Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation มุ่งมั่นที่จะป้องกันและยุติความรุนแรงทางเพศทั่วโลก

Logo

ความมุ่งมั่นสู่แนวร่วมปฏิบัติยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมต่อความรุนแรงทางเพศและความร่วมมือครั้งใหม่กับกองทุนแห่งสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี (UN Trust Fund to End Violence against Women) และ CARE ตอกย้ำพันธกิจของแบรนด์ในการปกป้องสตรีและเด็กผู้หญิงทั่วโลก

แดลลัส–(BUSINESS WIRE)–24 พฤศจิกายน 2564

เนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากลที่กำลังจะมาถึงเพื่อรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงทางเพศเป็นเวลา 16 วัน Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ในวันนี้ประกาศคำมั่นสัญญาร่วมกันในการป้องกันและยุติความรุนแรงทางเพศโดยเข้าร่วมกลุ่มแนวร่วมปฏิบัติยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมต่อความรุนแรงทางเพศ ความมุ่งมั่นที่องค์กรต่าง ๆ ได้เปิดเผยต่อสาธารณะในระหว่างการประชุมยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมล่าสุดขององค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ในกรุงปารีส เป็นเพียงแค่ขั้นตอนล่าสุดสตอรี่บิวตี้แบรนด์และกำลังด้านการกุศลที่ได้จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาชีวิตของผู้หญิงในทุก ๆ ที่

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211124005749/en/

Vesna Jaric, Officer-In- Charge, UN Trust Fund to End Violence against Women (Photo: Mary Kay Inc.)

Vesna Jaric เจ้าหน้าที่ดูแลกองทุน UN Trust Fund เพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี (ภาพ: Mary Kay Inc.)

แนวร่วมปฏิบัติยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมต่อความรุนแรงทางเพศนำโดย UN Women และกองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women (UN Trust Fund) ท่ามกลางผู้นำคนอื่น ๆ เป็นขบวนการระดับโลกที่ทรงพลังที่ระดมรัฐบาล องค์กรระหว่างประเทศ การกุศล และภาคเอกชนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การยุติความรุนแรงทางเพศผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรมสี่ประการ:

  • การสร้างนโยบายที่เอื้ออำนวยสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและทรัพยากร;
  • ขยายขนาดโปรแกรมป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วยหลักฐาน;
  • ขยายบริการที่ครอบคลุม เข้าถึงได้ และมีคุณภาพสำหรับผู้รอดชีวิต
  • เปิดใช้งานและเพิ่มขีดความสามารถองค์กรอิสระที่นำโดยเด็กผู้หญิงและสิทธิสตรีเพื่อฝึกฝนความเชี่ยวชาญของพวกเขา

เป้าหมายของแนวร่วมปฏิบัติยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมต่อความรุนแรงทางเพศ คือการมีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงมากกว่า 550 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มีกฎหมายและนโยบายของการยุติการใช้ความรุนแรงทางเพศทุกรูปแบบต่อสตรีและเด็กผู้หญิงภายในปี 2569 รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในระหว่างการประชุม UN Women มุ่งมั่นที่จะขยายการสนับสนุนและให้เงินช่วยเหลือแก่องค์กรด้านสิทธิสตรีด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อจัดหาเงินสนับสนุนขั้นต่ำที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อจัดสรรผ่านกองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women (UN Trust Fund) ในอีกห้าปีข้างหน้า

“มีวิกฤตการณ์ระดับโลกเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ” Ryan Rogers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Mary Kay Inc. และรองประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ Mary Kay Ash FoundationSM กล่าว “ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงนั้นไม่ได้รับการรายงานเป็นจำนวนมาก แต่คาดว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงและ 1 ใน 4 ของเด็กผู้หญิงวัยรุ่นเคยประสบกับความรุนแรงทางร่างกายหรือทางเพศจากคู่รักที่สนิทสนม เราต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่ปี 2543 มูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ได้มอบเงินมากกว่า 58 ล้านดอลลาร์ให้กับที่พักพิงสำหรับความรุนแรงในครอบครัว ความมุ่งมั่นของเราต่อแนวร่วมปฏิบัติการว่าด้วยความรุนแรงทางเพศจะช่วยให้เราสามารถขยายความช่วยเหลือนั้นออกไปได้อีก”

“ตั้งแต่ปี 2506 Mary Kay ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับปรุงชีวิตของเด็กผู้หญิงและผู้หญิงในทุกที่” Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Mary Kay Inc. กล่าว “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมกับรัฐบาล ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนทั่วโลกที่มีความปรารถนาคล้ายคลึงกันในคำมั่นสัญญาที่จะป้องกันและยุติความรุนแรงทางเพศ การบรรลุถึงความเท่าเทียมที่แท้จริงจะเปลี่ยนแปลงโลกตามที่เรารู้กัน การลงทุนในสตรีคือความดีที่ทรงอานุภาพที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย”

ปีที่แล้ว Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ได้ร่วมมือกับกองทุน United Nations Trust Fund to End Violence against Women (UN Trust Fund) และ CARE ซึ่งเป็นสองผู้สนับสนุนสิทธิสตรีเพื่อสานต่อภารกิจเพื่อบรรลุโลกที่ปราศจากความรุนแรงต่อผู้หญิง

ตั้งแต่ปี 2539 กองทุน UN Trust Fund ได้สนับสนุนองค์กร 609 แห่งมูลค่ารวม 198 ล้านดอลลาร์ใน 140 ประเทศและภูมิภาค โดยลงทุนในนวัตกรรมและแนวทางแก้ปัญหาที่นำโดยประชาสังคมตามหลักฐาน และการริเริ่มที่เปลี่ยนแปลงชีวิตในระดับชาติและระดับท้องถิ่นผ่านการเป็นพันธมิตรกับกองทุน UN Trust Fund ซึ่ง Mary Kayได้สนับสนุนการระดมทุนโครงการที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อปกป้องผู้หญิงและเด็กผู้หญิงใน 68 ประเทศและภูมิภาคในปี 2564

ในปี 2564 กองทุน UN Trust Fund ครบรอบ 25 ปีของการให้ทุน การสนับสนุน และความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรสิทธิสตรี ในวันครบรอบการก่อตั้ง กองทุนขอเชิญชวนทุกคนให้ลงมือทำและเข้าร่วมโครงการผ่านการระดมทุน crowdfunding challenge #Give25forUNTF25 เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรสิทธิสตรีจะได้รับเงินทุนระยะยาวและยืดหยุ่นได้

“กองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women ซึ่ง Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ได้ร่วมมือกันเพื่อบรรลุความทะเยอทะยานของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 5 และยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงด้วยการรับประกันเงินทุนระยะยาว เป็นแกนหลัก และยืดหยุ่นเพื่อองค์กรสิทธิสตรีต่าง ๆ ทั่วโลกที่ตอบสนองต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่รอดชีวิตเป็นครั้งแรก” Vesna Jaric เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบกองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women กล่าว “ในขณะที่โลกยังคงประสบกับวิกฤตหลายครั้งและเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับอัตราการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงที่เพิ่มมากขึ้น การคุกคามต่อสิทธิสตรี การเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนมีความสำคัญเท่าที่เคยมีมาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลก”

CARE ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 เป็นองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่ทำงานทั่วโลกเพื่อช่วยชีวิต ขจัดความยากจน บรรลุความยุติธรรมทางสังคม และต่อสู้เพื่อสตรีและเด็กหญิง ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงเป็นจุดสนใจหลักของ CARE เนื่องจากหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการจัดการกับความไม่เท่าเทียมกันทางเพศเป็นกุญแจสำคัญในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ การเอาชนะความยากจน และทำให้มั่นใจว่าทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมั่นคง ในปี 2563 Mary Kay ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรระดับโลกกับ CARE เพื่อสนับสนุนแคมเปญ Crisis Response Campaign ขององค์กร และมุ่งมั่นที่จะขจัดความรุนแรงทางเพศในทุก ๆ ที่ ซึ่งรวมถึงเกณฑ์การตั้งค่าด้านมนุษยธรรม

“เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่จะบรรลุความเท่าเทียมกัน เมื่อความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศคุกคามความปลอดภัยของพวกเขาทุกวัน” Michelle Nunn ประธานและซีอีโอของ CARE กล่าว “ทั่วทั้งโลกในกรณีของความรุนแรงทางเพศได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ด้วยมีการโทรเข้าสายด่วนเพิ่มขึ้น 5 เท่าในบางประเทศและผู้หญิงถูกกักขังอยู่กับผู้ล่วงละเมิด Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ร่วมมือกับ CARE เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถลดความเสี่ยงของความรุนแรงทางเพศและให้การดูแลที่ครอบคลุมสำหรับผู้รอดชีวิต ในช่วง 16 วันของกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง เราขอร้องให้สาธารณชนเข้าร่วมกับเราในการตอบรับการโทรและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและสังคมเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงทั่วโลก”

Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ร่วมสนับสนุนสิทธิสตรีทั่วโลกในการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของกองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women และครบรอบ 75 ปีของ CARE

สาระสำคัญระดับโลกที่กำหนดโดยแคมเปญ UN Secretary-General’s UNiTE Campaign สำหรับกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง 16 วัน ของปี 2564 เพื่อต่อต้านความรุนแรงทางเพศ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2564 ในหัวข้อ Orange the world: ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงเดี๋ยวนี้! หรือ Orange the world: End violence against women now!”

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นเกือบ 58 ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมาย 3 ข้อได้แก่ มอบโอกาสให้กับผู้หญิง ผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และสร้างโลกให้น่าอยู่ ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay Inc. ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอม  Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขาด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลก โดยมุ่งเน้นที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง การปกป้องช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว สร้างความสวยงามให้กับชุมชน และสนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้ทำตามความฝันของพวกเขา วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกาย – และนำพาสู่ความสำเร็จไปทีละขั้น เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mary Kay ได้ที่ MaryKay.com

เกี่ยวกับมูลนิธิ Mary Kay Ash FoundationSM

เพื่อสานต่อความฝันของ Mary Kay Ash ในการส่งเสริมชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก มูลนิธิ Mary Kay Ash FoundationSM ได้ระดมทุนและทำการแจกจ่ายเพื่อลงทุนในการวิจัยโรคมะเร็งเพื่อค้นหาวิธีรักษาโรคมะเร็งที่มักเกิดกับผู้หญิง และเพื่อยุติผลกระทบความรุนแรงต่อผู้หญิงภายในประเทศ ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา มูลนิธฺ Mary Kay FoundationSM ได้มอบเงินบริจาคมากกว่า 80 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรต่าง ๆ ที่ทำงานสอดคล้องกับพันธกิจของมูลนิธิโดยให้ความสำคัญอย่างเท่ากัน นอกเหนือจากนั้นมูลนิธิยังสนับสนุนโครงการสร้างการรับรู้ โครงการเข้าถึงชุมชน และการสนับสนุนช่วยเหลือการร่างกฏหมายเพื่อให้ผู้หญิงมีสุขภาพดีและปลอดภัย พร้อมกันนั้นก็สร้างโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นสำหรับผู้หญิง ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้ความรู้ การสนับสนุน อาสาสมัคร และการบริจาค รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือชีวิตเพื่อสร้างแรงผลักดันแก่ผู้หญิง กรุณาเยี่ยมชม marykayfoundation.org ค้นหาเราได้ทาง Facebook และ Instagram หรือติดตามเราได้ที่ Twitter

เกี่ยวกับ United Nations Trust Fund to End Violence against Women

กองทุน United Nations Trust Fund to End Violence against Women (UN Trust Fund) ซึ่งบริหารจัดการโดย UN Women ในนามของระบบ UN system เป็นการให้ทุนระดับโลกเพียงกลไกเดียวที่อุทิศให้กับการขจัดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในทุกรูปแบบโดยเฉพาะ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้สนับสนุนองค์กร 609 แห่ง ลงทุนในโซลูชั่นที่นำโดยภาคประชาสังคมที่เป็นนวัตกรรมและอิงตามหลักฐาน และโครงการที่เปลี่ยนแปลงชีวิต โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนมุ่งเน้นไปที่การป้องกันความรุนแรง การนำกฎหมายและนโยบายไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขและยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิง และการปรับปรุงการเข้าถึงบริการที่จำเป็นสำหรับผู้รอดชีวิต เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ untf.unwomen.org  และติดตามเราบน FacebookInstagram และ Twitter

เกี่ยวกับ CARE

CARE ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 โดยมีการสร้าง CARE Package® เป็นองค์กรด้านมนุษยธรรมชั้นนำที่ต่อสู้กับความยากจนทั่วโลก CARE มีประสบการณ์มากกว่าเจ็ดทศวรรษในการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินในช่วงวิกฤต การตอบสนองวิกฤตการณ์ของเรามุ่งเน้นไปที่ความต้องการของกลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุดโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงและผู้หญิง ซึ่งปีที่แล้ว CARE ทำงานใน 100 ประเทศและเข้าถึงผู้คนเกือบ 70 ล้านคนทั่วโลก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.care.org

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211124005749/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย








Milrem Robotics นำกลุ่ม iMUGS Consortium สาธิตการใช้งานระบบไร้คนขับ

Logo

อะดาชิ ลัตเวีย–(บิสิเนสไวร์)–24 พ.ย. 2564

iMUGS Consortium ซึ่งรับผิดชอบโครงการ 32,6 MEUR ที่พัฒนาระบบภาคพื้นดินไร้คนขับมาตรฐานยุโรป (UGS) ได้สาธิตการใช้เครือข่ายการสื่อสารทางยุทธวิธี 4G/5G และ UGS ที่ติดตั้ง ISR และเครื่องกระจายข้อมูลข่าวกรอง เครื่องสกัดเรดาร์ เซ็นเซอร์อะคูสติก และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อปฏิบัติภารกิจ

Two THeMIS UGVs during the iMUGS Demonstration. One THeMIS UGV is equipped with an Intelligence, surveillance, and reconnaissance (ISR) payload, Signal Intelligence antenna (SIGINT), Rheinmetall’s Rapid Obscuring System (ROSY) Smoke Grenade Launcher, Bittium’s Vehicular Software Defined Radios), and FN Herstal’s deFNder Light Remote Weapon Station (RWS). The second THeMIS, used as a mule for transporting the squad’s equipment, is equipped with Rantelon’s Improvised Explosive Device (IED) Jammer and Bittium’s Tough SDR Vehicular. (Photo: Business Wire)

THEMIS UGV สองคันในระหว่างการสาธิต iMUGS THeMIS.  UGV หนึ่งคันมาพร้อมกับข้อมูลข่าวสาร การเฝ้าระวัง และการลาดตระเวน (ISR), เสาอากาศสัญญาณอัจฉริยะ (SIGINT), Rheinmetall's Rapid Obscuring System (ROSY) เครื่องยิงระเบิดควัน ระบบสื่อสารวิทยุ Bittium’s Vehicular Software Defined Radios และอาวุธ FN Herstal's deFNder Light Remote Weapon สถานี (RWS).  THeMIS คันที่สองซึ่งใช้เป็นล่อสำหรับขนส่งยุทโธปกรณ์ของทีม ได้ติดตั้งระบบ Jammer Improvised Explosive Device (IED) ของ Rantelon และยานพาหนะ Tough SDR ของ Bittium (ภาพ: บิสิเนสไวร์)

การสาธิตได้ดำเนินการในเดือนกันยายนในลัตเวีย นำโดย LMT ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มบริษัท integrated Modular Unmanned Ground System (iMUGS) โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้ประสานงานโครงการ Milrem Robotics และนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ ที่หลากหลาย

กองกำลังติดอาวุธแห่งชาติลัตเวียใช้ยานพาหนะไร้คนขับ THeMIS (UGV) ของ Milrem Robotics สองคันในสองสถานการณ์เพื่อแสดงประโยชน์ของการร่วมทีมกับหน่วยควบคุมด้วยระบบไร้คนขับ THEMIS UGV สองคันในระหว่างการสาธิต iMUGS THeMIS.  UGV หนึ่งคันมาพร้อมกับข้อมูลข่าวสาร การเฝ้าระวัง และการลาดตระเวน (ISR), เสาอากาศสัญญาณอัจฉริยะ (SIGINT), Rheinmetall's Rapid Obscuring System (ROSY) เครื่องยิงระเบิดควัน ระบบสื่อสารวิทยุ Bittium’s Vehicular Software Defined Radios และอาวุธ FN Herstal's deFNder Light Remote Weapon สถานี (RWS)  การใช้งาน RWS เป็นส่วนหนึ่งของการสาธิต แต่ไม่ใช่ของโครงการ iMUGS เอง

THeMIS คันที่สองซึ่งใช้เป็นล่อสำหรับขนส่งอุปกรณ์ของทีม ได้รับการติดตั้ง Improvised Explosive Device (IED) ของ Rantelon และ Tough SDR Vehicular ของ Bittium.  UGV ใช้เครือข่ายการสื่อสารทางยุทธวิธีของ Bittium TAC WIN ร่วมกับ 4G เชิงพาณิชย์ของ LMT และ 5G-SA bubble ทางยุทธวิธีที่ Bittium และ Cumucore จัดหาให้

นอกจากนี้ ได้ใช้งานยานพาหนะเคลื่อนที่ของทหารราบ Dingo ของ Krauss-Maffei Wegmann (KMW) เพื่อเป็นศูนย์บัญชาการจากที่ซึ่งใช้งาน UGV ในโหมด Line of Sight (LOS) และ Beyond the Line of Sight (BLOS) โดยใช้วิทยุ SDR ของ Bittium และฟีดเซ็นเซอร์ ISR และ Signal Intelligence ถูกถ่ายทอดและรวมเข้ากับระบบการจัดการการต่อสู้ของ LMT Viedsargs

“สถานการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าระบบไร้คนขับ ซึ่งได้รับการปรับปรุงด้วยระบบสื่อสารที่เป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีการป้องกันต่างๆ สามารถใช้สำหรับการรวบรวมและแบ่งปันข้อมูลยุทธวิธี ปรับปรุงการรับรู้สถานการณ์ ลดภาระทางกายภาพของทหาร และเพิ่มการป้องกันกำลัง” Kuldar Väärsi ซีอีโอของ Milrem Robotics

''เป็นครั้งแรกที่ใช้เครือข่ายพิเศษกับเครือข่ายยุทธวิธีเชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G แบบสแตนด์อโลน ทำให้สามารถสื่อสารระหว่างหน่วยและหุ่นยนต์ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์และการวางข้อมูลนี้ลงในระบบการจัดการการต่อสู้ของ LMT Viedsargs” Ingmars Pukis รองประธานและสมาชิกคณะกรรมการบริหารของ LMT กล่าว

อุปกรณ์เพิ่มเติมที่ใช้ในการสาธิตได้แก่: SRC Brasa ของ NATRIX UGV ใช้สำหรับ CASEVAC โดรนความเร็วสูง UAV STAR แบบ Vertical Take-off, and Landing และการตรวจสอบกระสุนปืนและการรับรู้แหล่งที่มาเซ็นเซอร์เสียงโดย Riga Technical University (RTU)

โครงการ iMUGS เปิดตัวในปี 2563 เพื่อพัฒนาสถาปัตยกรรมโมดูลาร์ที่ปลอดภัยและปรับขนาดได้สำหรับระบบไร้คนขับแบบไฮบริดโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับระบบนิเวศทั่วทั้งยุโรปสำหรับแพลตฟอร์มภาคพื้นดิน อุปกรณ์สั่งการ ควบคุมและสื่อสาร เซ็นเซอร์ น้ำหนักบรรทุก และอัลกอริธึม การจัดการกับความท้าทายในการปฏิบัติงาน ได้แก่ ความสามารถในการทำงานร่วมกันที่เพิ่มขึ้น การรับรู้สถานการณ์ที่เพิ่มขึ้น และการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น

ระบบจะใช้ UGV – Milrem Robotic THEMIS ที่มีอยู่และรายการเฉพาะของเพย์โหลด

จะมีการสาธิตความคืบหน้าของโครงการรวมหกครั้ง “จนถึงตอนนี้ Milrem Robotics และ LMT Innovations ได้สร้างมาตรฐานที่สูงมาก ซึ่งหมายความว่าเรามีสิ่งที่ยอดเยี่ยมรออยู่ เนื่องจากผลลัพธ์หลักของโครงการ iMUGS ยังไม่ปรากฏให้เห็น” Martin Jõesaar Estonian Center for Defence Investments ตัวแทนของประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมในโครงการ iMUGS กล่าว การสาธิตครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ในประเทศฟินแลนด์

iMUGS เป็นความร่วมมือระหว่าง 13 ฝ่าย: Milrem Robotics (ผู้ประสานงานโครงการ), Bittium, Diehl Defence, dotOcean, GMV Aerospace and Defense, Insta Advance, Krauss-Maffei Wegmann, Latvijas Mobilais Telefons (LMT), NEXTER Systems, Royal Military Academy of Belgium, Safran Electronics & Defense, Sol.One และ Talgen Cybersecurity

ชมตัวอย่าง 2 สถานการณ์ได้ที่นี่:

https://www.youtube.com/watch?v=-_iLCV3Ob2I

https://www.youtube.com/watch?v=HbK_ixrTuWU

ติดต่อ:

Gert Hankewitz
Milrem Robotics
gert.hankewitz@milrem.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Unicommerce ทุ่ม 5 ล้านเหรียญดอลลาร์ เพื่อขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ตั้งเป้าโตธุรกิจต่างประเทศ 400%

Logo

  • การลงทุนจะตั้งเป้าไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ การจ้างผู้มีความสามารถ การตลาด และการตั้งสำนักงานใหม่ในตลาดต่างประเทศ
  • เส้นทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีลูกค้า 10+ รายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สิงคโปร์–(บิสิเนสไวร์)–23 พฤศจิกายน 2564

Unicommerce แพลตฟอร์ม SaaS สำหรับซัพพลายเชนเน้นอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ตัดสินใจลงทุน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินงานระหว่างประเทศ และขยายการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง  บริษัทได้ลงทุนและพัฒนาธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง และจะยังคงหาลูกค้าเพิ่มขึ้นในตลาดเหล่านี้ต่อไป หลังจากก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่ไร้คู่แข่งในอินเดียแล้ว  Unicommerce ตั้งเป้าที่จะสร้างตัวเองให้เป็นตัวเลือกที่ต้องการของผู้ค้าปลีกออนไลน์และแบรนด์ค้าปลีกในภูมิภาค

Unicommerce จะลงทุนในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ การจัดตั้งสำนักงานในพื้นที่ การขายและการตลาด ควบคู่ไปกับการจ้างงานผู้มีความสามารถในท้องถิ่นในภูมิภาคเหล่านี้ ด้วยประสบการณ์กว่าเก้าปีและการทำงานร่วมกับลูกค้าในภาคส่วนต่างๆ ในอินเดีย Unicommerce ได้สร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับโลกอย่างแท้จริงซึ่งออกแบบมาสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ  บริษัทได้ลูกค้าใหม่มากกว่า 10 รายในตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และกำลังจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  การลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้ถึง 400% ในธุรกิจในต่างประเทศ

Kapil Makhija ซีอีโอของ Unicommerce กล่าวว่า “การใช้งานอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะเสริมสร้างสถานะของเราในภูมิภาคนี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การเร่งความเร็วของอีคอมเมิร์ซที่นำโดยโรคระบาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้สร้างความต้องการแพลตฟอร์มซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดส่งที่รวดเร็วขึ้นและประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ราบรื่นสำหรับผู้บริโภค  จนถึงตอนนี้ เราสามารถบริการลูกค้าในสิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และเร็วๆ นี้จะเพิ่มลูกค้าในตลาดอินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ในอีกสองสามปีข้างหน้า  เราจะขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยเงินทุนซึ่งมุ่งเน้นไปที่การได้มาซึ่งลูกค้า การสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง”

โซลูชัน Unicommerce มาพร้อมกับ การผสานรวมที่มีอยู่ก่อนแล้วกว่า 150 รายการ และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ซ้ำใคร เพื่อจัดหาโซลูชั่นเทคโนโลยีคลาวด์สำหรับซัพพลายเชนอีคอมเมิร์ซเพื่อช่วยผู้เล่นในอุตสาหกรรมทุกขนาด บริษัทได้ทำงานร่วมกับลูกค้ากว่า 15,000 รายทั่วอินเดีย ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดำเนินการธุรกรรม 1 ล้านครั้งต่อวัน

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211123005711/en/

ติดต่อ:

Kinshuk Sindhwani
kinshuk.sindhwani@unicommerce.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีเปิดตัวแคมเปญ ‘Come Play with Korea K-VIBE FESTA’ แคมเปญระดับโลกใหม่ที่ใช้เมตาเวิร์ส

Logo

– ประสบการณ์การเดินทางแบบใหม่ที่จะพาไปเยือนสถานที่ที่ได้รับความนิยมในเกาหลีผ่านโลกเสมือนจริง

– เผยแพร่เสน่ห์ของประเทศเกาหลีไปทั่วโลกด้วย K-Travelog, K-VIBE in ZEPETO และ K-VIBE CONCERT

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–23 พฤศจิกายน 2564

กระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (รัฐมนตรี Hee Hwang) และ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (ประธาน Young-bae Ahn) เปิดตัวแคมเปญใหม่ 'Come Play with Korea, K-VIBE FESTA' โดยใช้แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สกับเทคโนโลยีความเป็นจริงขยาย (extended reality หรือ XR) เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางสู่เกาหลีแบบใหม่ก่อนที่จะได้เดินทางมาเยือนด้วยตัวเอง ซึ่งเกาหลีได้รับความสนใจขึ้นมากหลังเปิดตัวซีรีส์ “Feel the Rhythm of Korea” ไปเมื่อปีที่แล้วพร้อมบทเพลงอย่าง “Tiger is Coming Down”

A new campaign 'Come Play with Korea, K-VIBE Festa' using the metaverse platform on an extended reality (XR) to provide a new traveling experience to Korea is launched. As part of the campaign, Korea Tourism Organization introduces Korea's diverse attractions with 'K-Travelog', the Korean virtual travel experience platform, and provides the 'K-VIBE in ZEPETO' program that connects 3D avatars to Korea’s representative tourist destination Gyeongju. In addition, a 'K-VIBE Concert' with top K-pop artists will be held with Korean local attractions (K-Local) implemented on XR in the background, to display the charms of Korea. (Graphic: Business Wire)

แคมเปญใหม่ที่ชื่อ 'Come Play with Korea, K-VIBE FESTA' โดยใช้แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สกับเทคโนโลยี XR เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางสู่เกาหลีในรูปแบบใหม่ได้รับการเปิดตัว โดยองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีได้แนะนำความน่าสนใจของประเทศเกาหลีที่หลากหลายผ่าน 'K-Travelog', แพลตฟอร์มประสบการณ์การเดินทางสู่เกาหลีแบบเสมือน และโปรแกรม 'K-VIBE in ZEPETO' ที่จะพาอวทาร์แบบสามมิติมาเยือนจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่เป็นเมืองตัวแทนของเกาหลีอย่างคยองจู นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม 'K-VIBE CONCERT' ที่จะได้พบกับศิลปินเคป๊อปของเกาหลีโดยมีสถานที่ท่องเที่ยวของเกาหลี (K-Local) ที่นำเสนอผ่านเทคโนโลยี XR เป็นฉากหลังเพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของเกาหลี (กราฟิก: Business Wire)

สำหรับแคมเปญใหม่นี้ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) จะใช้เทคโนโลยีเมตาเวิร์สในการแนะนำเอกลักษณ์และเสน่ห์ของแต่ละภูมิภาคให้กับผู้ใช้ที่อยู่ทั่วโลก

นอกจากนั้น องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลียังจะแนะนำความน่าสนใจของประเทศเกาหลีที่หลากหลายผ่าน 'K-Travelog', แพลตฟอร์มประสบการณ์การเดินทางสู่เกาหลีแบบเสมือน และโปรแกรม 'K-VIBE in ZEPETO' ที่จะพาอวทาร์แบบสามมิติมาเยือนจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นเมืองตัวแทนของเกาหลีอย่างคยองจู รวมถึงกิจกรรม 'K-VIBE CONCERT' ที่จะได้พบกับศิลปินเคป๊อปแถวหน้าของเกาหลีโดยมีสถานที่ท่องเที่ยวของเกาหลี (K-Local) ที่นำเสนอผ่านเทคโนโลยี XR เป็นฉากหลังเพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของเกาหลี

องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีจะใช้ K-Travelog เพื่อมอบโอกาสที่จะได้สัมผัสประเทศเกาหลีโดยตรงและยังให้สามารถกำหนดแผนการเดินทางได้เอง นอกจากนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจและร้านอาหารหลายแห่งในเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทั้งในปูซาน อันดง คยองจู แทกู ยางยาง โซล และอีกมากมายโดยสามารถเลือกชมได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ (www.kvibefesta.com) ซึ่งเปิดตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถออกแบบและวางแผนการเดินทางในฝันครั้งใหม่ในการมาเยือนประเทศเกาหลี

ไม่เพียงเท่านั้น องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีจะนำรูปภาพของผู้เข้าร่วมแคมเปญมาสร้างสรรค์เป็นวิดีโอท่องเที่ยวเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับพวกเขาต่อไป ในวิดีโอ ผู้เข้าร่วมจะรู้สึกราวกับว่าได้มาเยือนเกาหลีจริง ๆ และยังมีโอกาสที่จะได้รับ 'K-Random Box' ซึ่งภายในกล่องประกอบไปด้วยสิ่งของที่ผลิตขึ้นมาพิเศษในจำนวนจำกัด โดยมีทั้งของที่ระลึกที่สื่อถึงวัฒนธรรมเกาหลีและของที่ระลึกจากศิลปินเคป๊อป และในหน้าแคมเปญจะมีการจัดกิจกรรม 'Fan Letter Event' ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกศิลปินและสถานที่ในเกาหลีที่ต้องการไปเยือนพร้อมกับศิลปินได้ด้วย

สำหรับกิจกรรม K-VIBE in ZEPETO ซึ่งเชื่อมกับ ZEPETO แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของเกาหลี องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีได้จำลองเมืองคยองจู ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยมรดกแห่งอาณาจักรชิลลาอันน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นมา โดยผู้ใช้จะได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างถนนฮวังริดังอิลและหมู่บ้านบุกชอนฮันอก รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เช่น หอดูดาวชอมซองแด สุสานชอนมาชง และศาลาโพซอกจอง พร้อมกับมีการแสดงรายชื่อสถานที่ในท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมอย่างร้าน Hwangnam Bakery และ Yangji Dabang เพื่อสนับสนุนเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้

ในส่วนของกิจกรรม K-VIBE CONCERT ซึ่งจะจัดขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี XR ที่เป็นเทคโนโลยีหลักของเมตาเวิร์สนั้น จะแสดงความงดงามของประเทศเกาหลีในที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อชวนผู้ใช้จากทั่วโลกดำดิ่งไปในเสน่ห์อันน่าหลงใหลของประเทศเกาหลี คอนเสิร์ตซึ่งเตรียมจัดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้จะเผยแพร่ผ่านการสตรีมสดแบบเรียลไทม์จากสตูดิโอเป็นเวลาราว 80 นาที เพื่อให้ได้ชมศิลปินเคป๊อปไปพร้อมสถานที่ท่องเที่ยวรอบ ๆ เกาหลีอย่างอาคารลอตเต้ ย่านอินซาดง และหาดเซิร์ฟยางยาง

Choongsub Oh ผู้อำนวยการฝ่าย Brand Marketing ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี กล่าวว่า “เมตาเวิร์สคือระบบนิเวศใหม่ที่ทำให้เส้นแบ่งเขตแดนหายไปและทำให้ฝันและประสบการณ์ของทุกคนกลายเป็นจริง ด้วยแคมเปญเมตาเวิร์สนี้ เราจะสามารถมอบโอกาสให้กับผู้คนทั่วโลกได้สัมผัสประสบการณ์การเดินทางสู่เกาหลีและความฝันที่จะได้มาเยือนเกาหลีในรูปแบบใหม่ และยังมอบโอกาสให้ประเทศของเราได้อวดความเป็นผู้นำในตลาดเมตาเวิร์สอีกด้วย”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ดูภาพ/แกลเลอรี่สื่อมัลติมีเดียที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/52528824/en

ติดต่อ:

Korea Tourism Organization

Brand Marketing Team

Choongsub Oh

+82-33-738-3331

ocs@knto.or.kr

Kichan Nam

+82-33-738-3335

yuki4@knto.or.kr 

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Women’s Entrepreneurship Accelerator ร่วมมือกับ WE Empower UN SDG Challenge เพื่อเพิ่มผลกระทบต่อการพัฒนาของผู้ประกอบการสตรี

Logo

WE Empower Challenge เป็นโปรแกรมที่นำโดย Vital Voices และ Global Futures Laboratory ที่มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต เป็นการแข่งขันครั้งแรกสำหรับผู้ประกอบการทางสังคมสตรี

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–20 พฤศจิกายน 2564

Women's Entrepreneurship Accelerator (WEA) เป็นโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์แบบหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายที่จัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานของสหประชาชาติ 5 แห่งและ Mary Kay Inc. เพื่อสนับสนุน Global Entrepreneurship Week และ Women’s Entrepreneurship Day ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยประกาศความร่วมมือกับ WE Empower UN SDG challenge ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งแรกสำหรับผู้ประกอบการเพื่อสังคมสตรีทั่วโลก

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211120005125/en/

Women’s Entrepreneurship Accelerator Logo (Graphic: WEA)

โลโก้ Women’s Entrepreneurship Accelerator (กราฟิก: WEA)

WEA เป็นโครงการที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มผลกระทบทางด้านการพัฒนาของผู้ประกอบการสตรีในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยสำหรับผู้ประกอบการสตรีที่ส่งเสริมการเติบโต ความยั่งยืน และความยืดหยุ่น พันธมิตรของสหประชาชาติ หรือ UN ของ WEA ได้แก่ ความร่วมมือระหว่างองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC) ข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (UNGC) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) 

WE Empower UN SDG Challenge คือการแข่งขันทางธุรกิจระดับโลกสำหรับผู้ประกอบการสตรีที่กำลังก้าวไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนทั้งหมดในการดำเนินการเพื่อสร้างโลกที่พวกเขาต้องการภายในปี 2573 WE Empower UN SDG Challenge เป็นเกียรติแก่ผู้ประกอบการสตรีที่กำลังก้าวไปสู่ SDGs ผ่านการดำเนินธุรกิจ โอกาสดังกล่าวเป็นการยกย่องผลงานที่เป็นนวัตกรรมของพวกเขา จุดประกายความตระหนักเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมอันมีค่าของผู้ประกอบการสตรีที่สามารถนำไปสู่ ​​SDGs และจัดการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความเชื่อมโยงกับผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจทั่วโลกให้แก่ผู้ได้รับรางวัล

โปรแกรมดังกล่าวยกระดับและแสดงผลงานอันมีค่าที่ผู้ประกอบการสตรีและผู้นำทางธุรกิจสามารถมอบให้กับ SDGs และแก้ปัญหาความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก WE Empower นำโดย Vital Voices และ Julie Ann Wrigley Global Futures Laboratory ที่มหาวิทยาลัย ASU และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่ Bank of Montréal (BMO), Diane von Furstenberg, G5 Collective, GroYourBiz, Hawaii Tropical Botanical Garden, Mary Kay, Inc., Oxford University Said Business School, Procter & Gamble, Salesforce, มูลนิธิสหประชาชาติ (UN Foundation) และธนาคารโลก (World Bank)

“WE Empower SDG Challenge แสดงให้เห็นอย่างทรงพลังว่าผู้ประกอบการสตรีเป็นแบบอย่างในอุดมคติที่แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานในเชิงบวกของธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay, Inc. กล่าว “Women's Entrepreneurship Accelerator ได้รับเกียรติให้เป็นพันธมิตรกับ WE Empower กลุ่มพันธมิตรกว่า 70 รายที่ร่วมมือกันเพื่อสร้างผลกระทบที่ทวีคูณยิ่งขึ้น”

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เฉลิมฉลองความร่วมมือกับ Women's Entrepreneurship Accelerator ซึ่งร่วมก่อตั้งโดย WE Empower พันธมิตรชั้นนำของ Mary Kay, Inc.” ประธานร่วมของ WE Empower UN SDG Challenge และ Amanda Ellis ของ ASU Julie Ann Wrigley Global Futures Laboratory กล่าว “ผู้ประกอบการสตรีเป็นผู้แก้ปัญหาที่มีคุณค่าสำหรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประชาชาติและวาระการพัฒนาปี 2573 ระดับโลก หรือ global 2030 agenda และ WEA ได้ปลดล็อกชุดเครื่องมือสนับสนุนที่มีคุณค่าเพื่อช่วยขยายกระทบเชิงบวก”

ผู้หญิงเป็นหนึ่งในสามของเจ้าของธุรกิจทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งมีส่วนสนับสนุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญแม้จะเผชิญอุปสรรคทั่วทั้งระบบก็ตาม มีเพียงร้อยละห้าของประเทศเท่านั้นที่ออกกฎหมายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศโดยสมบูรณ์ ทำให้เครื่องมือสนับสนุนที่จัดทำโดย Women's Entrepreneurship Accelerator มีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก ในเดือนมิถุนายนปี 2564 WEA เข้าร่วมประชุมยุคสมัยแห่งความเท่าเทียม หรือ Generation Equality Forum ในกรุงปารีส เช่นเดียวกับแนวร่วมปฏิบัติของสิทธิและความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ หรือ Action Coalition on Economic Justice and Rights และให้คำมั่นที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีจำนวน 5 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2573 เพื่อเร่งความก้าวหน้าในความเท่าเทียมทางเพศ

ในระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ 76 (UNGA 76) WEA ได้ประกาศเปิดตัวชุดความคิดริเริ่มและผลิตภัณฑ์ความรู้ที่สร้างผลกระทบ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากมุมมองทางเพศ งานผลกระทบของ WEA ประกอบด้วยเครื่องมือและการฝึกอบรมสร้างขีดความสามารถทางดิจิทัล การวิจัยด้านผู้ประกอบการและนโยบาย การสนับสนุนและการฝึกอบรมด้านการจัดซื้อจัดจ้างโดยคำนึงถึงเพศสภาพ (GRP) ในเดือนตุลาคม WEA ยังได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับเครือข่าย Commonwealth Businesswomen's Network (CBWN) โดยมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาผู้ประกอบการสตรีใน 54 ประเทศในเครือจักรภพ (Commonwealth)

เกี่ยวกับ the Women’s Entrepreneurship Accelerator

Women's Entrepreneurship Accelerator (WEA) เป็นโครงการริเริ่มแบบหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายเกี่ยวกับผู้ประกอบการสตรีที่จัดโดยหน่วยงานของสหประชาชาติห้าแห่ง ได้แก่ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC) ข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (UNGC) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และ Mary Kay Inc. จะเพิ่มพลังให้ผู้ประกอบการสตรี 5 ล้านคนภายในปี 2573

เป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้คือการเพิ่มผลกระทบด้านการพัฒนาของผู้ประกอบการสตรีให้มากที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยสำหรับผู้ประกอบการสตรีทั่วโลก โครงการ Accelerator เป็นตัวอย่างของพลังในการเปลี่ยนแปลงของการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพื่อควบคุมศักยภาพของผู้ประกอบการสตรี

เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ we-accelerate ติดตามเราได้ที่: Twitter (@We_Accelerator), Instagram (@we_accelerator), Facebook (@womensentrepreneurshipaccelerator), LinkedIn (@womensentrepreneurshipaccelerator)

เกี่ยวกับ WE Empower UN SDG Challenge

WE Empower UN SDG Challenge คือการแข่งขันระดับโลกครั้งแรกสำหรับผู้ประกอบการทางสังคมสตรีที่กำลังก้าวไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนทั้งหมดในการดำเนินการเพื่อสร้างโลกที่เราต้องการภายในปี 2573 WE Empower Challenge เป็นเกียรติแก่ผู้นำนวัตกรรมสตรีจากทั่วโลกที่ผลักดัน SDGs ไปข้างหน้าผ่านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม โอกาสดังกล่าวถือเป็นการยกย่องผลงานที่เป็นนวัตกรรมของพวกเขา และจัดการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และโอกาสในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายระดับโลกที่ไม่มีใครเทียบได้เพื่อพัฒนาองค์กรของตนให้แก่ผู้ได้รับรางวัล โปรแกรมนี้ยกระดับและแสดงผลงานอันมีค่าที่ผู้ประกอบการสตรีและผู้นำทางธุรกิจสามารถบรรลุ SDGs และแก้ปัญหาความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้

เกี่ยวกับ Vital Voices Global Partnership

Vital Voices Global Partnership เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับสากลที่มีความเกี่ยวข้องและเป็นพันธมิตรกับผู้นำสตรีที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีความกล้าหาญทั่วโลก Vital Voices ค้นหาผู้นำสตรีที่มีวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญเพื่อการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก และทำงานร่วมกันเพื่อทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริงได้ เราคือธุรกิจร่วมลงทุนระยะยาว ผู้ซึ่งจัดหาผู้นำที่สร้างขีดความสามารถ การฝึกอบรมทักษะ เงินช่วยเหลือ การเข้าถึงเครือข่ายของเพื่อนร่วมงาน การให้คำปรึกษา การมองเห็น การยอมรับ และคำแนะนำเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ Vital Voices ได้ลงทุนในผู้นำสตรีกว่า 18,000 คนจาก 182 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งต่อมาได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก Vital Voices ทำงานร่วมกับผู้หญิงที่พัฒนาโอกาสทางเศรษฐกิจ เพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองและสาธารณะ ยุติความรุนแรงตามเพศภาวะ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนผ่านโปรแกรม signature fellowships การลงทุนรายบุคคล และความร่วมมือที่มีความหมายตลอดชีวิต Vital Voices เชื่อมโยงผู้หญิงในการแก้ปัญหาในชุมชนของพวกเขา และจัดเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับพวกเขาเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกในเชิงบวก และเร่งความก้าวหน้าร่วมกันสำหรับทุกคน สำหรับเรียนรู้เพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่ www.vitalvoices.org

เกี่ยวกับ Julie Ann Wrigley Global Futures Laboratory ที่มหาวิทยาลัย ASU

Julie Ann Wrigley Global Futures Laboratory ที่มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตตแสดงถึงความเชื่อเฉพาะหน้าว่าเราสามารถทำได้และต้องมีส่วนสนับสนุนที่มีความหมายเพื่อสร้างความมั่นใจว่าโลกที่สามารถอาศัยและอนาคตความเป็นอยู่ที่ดีจะเกิดขึ้นได้ Global Futures Laboratory เป็นห้องปฏิบัติการแห่งแรกของโลกใบนี้ที่อุทิศให้กับสุขภาพโลกและประชากร โดยสร้างขึ้นจากความเชี่ยวชาญเชิงลึกของมหาวิทยาลัย ASU และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวางสำหรับการแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและในทุกขอบเขตความรู้ที่หลากหลาย เพื่อจัดการกับความท้าทายทางสังคม เศรษฐกิจ และวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนที่เกิดจากภัยคุกคามในปัจจุบันและอนาคตจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม แพลตฟอร์มนี้ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของโลกสำหรับนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ และนักประดิษฐ์ระดับนานาชาติ และวางรากฐานในการคาดการณ์และตอบสนองต่อความท้าทายที่มีอยู่และที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ และใช้นวัตกรรมเพื่อกำหนดรูปแบบและรายงานอนาคตของเราอย่างมีจุดมุ่งหมาย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเยี่ยชมได้ที่ globalfutures.asu.edu

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211120005125/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
(+1) 972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย




Gradiant ระดมทุนรอบใหม่ได้กว่า 100 ล้านดอลลาร์ฯ เพื่อขยายการเติบโตของธุรกิจน้ำจากเทคโนโลยีสะอาด

Logo

  • การระดมทุนรอบนี้นำโดย Warburg Pincus และ Schlumberger New Energy
  • เงินทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตตามกลยุทธ์ เป็นแหล่งทุนให้กับโครงการต่าง ๆ การนำเทคโนโลยีมาใช้ และการเข้าซื้อกิจการเมื่อมีโอกาส
  • Gradiant คือผู้ให้บริการโซลูชันและผู้พัฒนาโครงการน้ำจากเทคโนโลยีสะอาดระดับโลก

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–22 พฤศจิกายน 2564

วันนี้ Gradiant ผู้ให้บริการโซลูชันการบำบัดน้ำแบบครบวงจรและผู้พัฒนาโครงการอสังหาชั้นนำระดับโลก ประกาศว่าบริษัทได้ทำการระดมทุนในรอบ Series C ได้กว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการระดมทุนครั้งนี้นำโดยพันธมิตรทางด้านการเงินและกลยุทธ์ของบริษัทอย่าง Warburg Pincus รวมทั้ง Schlumberger New Energy และสามารถระดมทุนได้เกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ตอนแรกที่ 65 ล้านดอลลาร์ฯ การระดมทุนในรอบนี้ทำให้เงินทุนของ Gradiant ณ ปัจจุบันมียอดรวมสูงกว่า 200 ล้านดอลลาร์ฯ นับตั้งแต่ก่อตั้ง

Gradiant เป็นผู้พัฒนาและผู้ให้บริการด้านโรงบำบัดน้ำและน้ำเสียที่มีความทันสมัยทั่วโลก โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับเจ้าของแบรนด์และผู้ผลิตระดับโลกที่มีความต้องการระบบน้ำจากเทคโนโลยีที่สะอาดและยั่งยืนซึ่งจำเป็นต่อธุรกิจ บริษัทยังมีเทคโนโลยีที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิบัตรมากมาย รวมถึงบริการต่าง ๆ สำหรับโซลูชันเทคโนโลยีสะอาดแบบครบวงจร โดยเน้นเรื่องการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ การฟื้นฟูทรัพยากร การลดความเค็มเพื่อลดการปล่อยน้ำให้เหลือน้อยที่สุดและไม่ปล่อยน้ำเสียออกสู่ภายนอกเลย (MLD / ZLD) รวมถึงโซลูชันแบบดิจิทัลเพื่อการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพของโรงงาน Gradiant ยังนำเสนอโมเดลต่าง ๆ ที่มีความยืดหยุ่นสำหรับการออกแบบและก่อสร้าง การดำเนินงานและบำรุงรักษา รวมถึงโมเดลด้านการเงินสำหรับโครงการต่าง ๆ ตามความต้องการและสถานการณ์ของลูกค้าแต่ละราย

การระดมทุนดังกล่าวจะช่วยให้ Gradiant สามารถขยายสู่ตลาดและอุตสาหกรรมตามกลยุทธ์ได้กว้างขึ้น สนับสนุนเงินทุนในการจัดหาสินทรัพย์สำหรับโครงการใหม่ ๆ เร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีของ Gradiant รวมถึงเข้าซื้อบริษัททางด้านน้ำจากเทคโนโลยีสะอาดและความยั่งยืนซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มและทำงานร่วมกันได้อย่างมีกลยุทธ์ บริษัทวางแผนสร้างธุรกิจให้เติบโตในอุตสาหกรรมหลัก เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เภสัชกรรม และการทำเหมือง โดยใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ทั้งในเอเชียแปซิฟิก สหรัฐอเมริกา และตะวันออกกลาง

Roy Ben-Dor กรรมการผู้จัดการของ Warburg Pincus กล่าวว่า “Gradiant อยู่บนเส้นทางการเติบโตอันน่าตื่นเต้นภายใต้การนำของทีมบริหารที่แข็งแกร่งและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องโซลูชันน้ำที่จำเป็นสำหรับลูกค้าของพวกเขาในการสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน” ขณะที่ Jeff Luse ประธานแห่ง Warburg Pincus ผู้ที่กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริษัท กล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ Gradiant เป็นเครื่องสะท้อนถึงความก้าวหน้าที่ทีมได้สร้างขึ้นจากการส่งมอบโซลูชันน้ำจากเทคโนโลยีสะอาดที่แตกต่างและมีประสิทธิภาพให้กับแบรนด์ระดับแถวหน้าของโลก”

Gradiant เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการคาดการณ์ว่ารายได้ในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สำหรับการคาดการณ์ทางการเงินในระยะเวลาอันใกล้นี้คาดว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในอัตราที่รวดเร็วจากสัญญาออกแบบ-ก่อสร้าง (DB) และสัญญาออกแบบ-ก่อสร้าง-ควบคุม-ดำเนินงาน-จัดการ (DBOOM) ที่ยังคงค้างอยู่ซึ่งมีมากขึ้น ขณะที่การเข้าซื้อ Sigma Water (มาเลเซีย) และ CRS Water (ออสเตรเลีย) อย่างมีกลยุทธ์เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้สร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า ข้อเสนอ และตลาดใหม่ ๆ เมื่อจับคู่กับเทคโนโลยีน้ำสะอาด การพัฒนาโครงการ และความสามารถทางการเงินของ Gradiant การเติบโตในช่วงที่ผ่านมาของ Gradiant นั้นเกิดจากการชนะประมูลโครงการสำคัญ ๆ ในเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก ซึ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมและการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ส่งผลให้เทคโนโลยีเพื่อน้ำสะอาดและความยั่งยืนเป็นที่ต้องการอย่างมาก

Anurag Bajpayee ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Gradiant กล่าวว่า “ลูกค้าของเราคือบรรดาเจ้าของแบรนด์ระดับโลกที่ติดอันดับ Fortune 100 ในตลาดและอุตสาหกรรมหลัก บริษัทเหล่านั้นใช้และบำบัดน้ำปริมาณมหาศาลในกระบวนการต่าง ๆ ที่เป็นหัวใจต่อผลิตภัณฑ์และบริการที่สำคัญของพวกเขา ลูกค้าของเราต้องเผชิญกับความกดดันทั้งด้านการเงินและสังคมมากขึ้นเพื่อให้นำการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาใช้ โดยการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่และการฟื้นฟูทรัพยากรให้ได้มากที่สุด รวมถึงลดการปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อมและใช้พลังงานให้น้อยที่สุด และพวกเขามาที่ Gradiant โดยหวังพึ่งพานวัตกรรม ความเป็นผู้นำ และการจัดการของเรา โซลูชันขอองเรามีศักยภาพที่สุดที่จะช่วยให้ลูกค้าของเราบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนตามความคาดหวังของผู้ถือหุ้นและชุมชนที่พวกเขาเข้าไป”

Ashok Belani รองประธานกรรมการบริหารของ Schlumberger New Energy กล่าวว่า “เราตั้งตารอที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรของ Gradiant รวมถึงการบำบัดน้ำเสียที่มีความก้าวล้ำผ่านการผสานการทำงานของเทคโนโลยีและตลาดอย่างมีกลยุทธ์ Gradiant คือผู้ส่งมอบโซลูชันน้ำสะอาดที่เข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรม ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่เรามีร่วมกันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนต่อไป”

เกี่ยวกับ Gradiant

Gradiant เป็นผู้ให้บริการโซลูชันชั้นนำและเป็นผู้พัฒนาโครงการเทคโนโลยีสะอาดสำหรับการบำบัดน้ำเสียขั้นสูง โซลูชันแบบครบวงจรที่มีประสิทธิภาพของ Gradiants รวมถึงการตอบสนองความต้องการด้านเทคนิคและความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานที่เป็นที่ยอมรับทำให้สามารถรับมือกับความท้าทายในเรื่องน้ำที่มีความซับซ้อนมากที่สุดได้อย่างยั่งยืนและคุ้มค่า Gradiant ก่อตั้งขึ้นที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) เพื่อแก้ปัญหาด้านการบำบัดน้ำที่มีความท้าทายมากที่สุดโดยใช้เทคโนโลยีที่ยั่งยืนเพื่อสร้างผลกระทบในทางบวกต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ Gradiant ให้บริการลูกค้าจากทั่วโลกจากสำนักงานใหญ่ในบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาครวมถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาในสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีบริษัทในเครืออย่าง Gradiant India (เชนไน), Gradiant China (เซี่ยงไฮ้, หนิงโป), Sigma Water (มาเลเซีย), Gradiant Australia (ซิดนีย์), Gradiant Energy Services (ฮูสตันและมิดแลนด์, เท็กซัส, สหรัฐอเมริกา) และ Gradiant Middle East (ซาอุดิอาระเบีย) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ www.gradiant.com

เกี่ยวกับ Warburg Pincus

Warburg Pincus LLC เป็นผู้ลงทุนด้านการเติบโตชั้นนำของโลก บริษัทมีสินทรัพย์ตราสารทุนนอกตลาดมูลค่ากว่า 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในการบริหารจัดการ และมีลูกค้าเป็นบริษัทต่าง ๆ กว่า 215 แห่งจากระดับ อุตสาหกรรม และภูมิภาคที่มีความหลากหลาย Warburg Pincus คือพันธมิตรที่มีประสบการณ์สำหรับทีมผู้บริหารที่ต้องการสร้างบริษัทที่มั่นคงและมีมูลค่าที่ยั่งยืน Warburg Pincus ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2509 มีกองทุนสินทรัพย์ตราสารทุนนอกตลาดมากกว่า 20 กองทุน ซึ่งได้ลงทุนไปแล้วกว่า 9.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในบริษัทกว่า 960 แห่งจากกว่า 40 ประเทศ สำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ในนิวยอร์ก และมีสำนักงานในอัมสเตอร์ดัม ปักกิ่ง เบอร์ลิน ฮ่องกง ฮูสตัน ลอนดอน ลักเซมเบิร์ก มุมไบ มอริเชียส ซานฟรานซิสโก เซาเปาโล เซี่ยงไฮ้ และสิงคโปร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ www.warburgpincus.com

เกี่ยวกับ Schlumberger New Energy

Schlumberger เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก Schlumberger New Energy ออกสำรวจเส้นทางใหม่ ๆ สู่การเติบโตโดยต่อยอดจากต้นทุนทางด้านปัญญาและธุรกิจของ Schlumberger ในตลาดพลังงานเกิดใหม่ โดยมุ่งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีพลังงานคาร์บอนต่ำและคาร์บอนเป็นกลาง และได้ลงทุนไปในธุรกิจไฮโดรเจน ลิเธียม การจัดเก็บพลังงาน การดักจับและกักคาร์บอน พลังงานความร้อนใต้พิภพ และพลังงานเชิงภูมิศาสตร์สำหรับระบบทำความร้อนและความเย็นในอาคาร ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.slb.com/newenergy

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211117005345/en/

ติดต่อ:

Felix Wang
Gradiant, รองประธานฝ่ายการตลาด
fwang@gradiant.com

Hytera เปิดตัวกล้องติดตัว VM750D สำหรับการสื่อสารที่ปลอดภัยและโปร่งใส

Logo

เซินเจิ้น จีน–(บิสิเนสไวร์)–19 พ.ย. 2564

กล้องติดตัว (BWCs) กำลังถูกใช้โดยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมากขึ้นเพื่อสร้างความโปร่งใส  จำเป็นอย่างยิ่งที่ลูกค้าจะต้องเลือกกล้องที่สวมใส่ตามร่างกายที่เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา  VM750D กล้องที่สวมใส่ตามร่างกายรุ่นล่าสุดของ Hytera ออกแบบมาเพื่อจับภาพ จัดเก็บ และอัปโหลดหลักฐาน เช่น รูปภาพ วิดีโอ และเสียงที่บันทึกในภาคสนาม  BWC สามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างความไว้วางใจกับสาธารณชนโดยการส่งเสริมความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ที่ดีขึ้นและเพิ่มความโปร่งใสของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำรวจและประชาชน

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย อ่านเวอร์ชั่นเต็มตัวได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211105005386/en/

Hytera Launches Body Worn Camera VM750D for Safe, Smart and Transparent Communications (Graphic: Business Wire)

Hytera เปิดตัวกล้องติดตัว VM750D สำหรับการสื่อสารที่ปลอดภัย อัจฉริยะ และโปร่งใส (กราฟิก: บิสิเนสไวร์)

มุมมอง 160°

กล้องมุมกว้างพิเศษช่วยให้ผู้ใช้จับภาพวัตถุได้ในขอบเขตที่กว้างขึ้น  แม้ในระยะห่างหนึ่งเมตร VM750D ก็สามารถจับการเคลื่อนไหวของมือบุคคลได้อย่างแม่นยำ

การตรวจจับฉากอัจฉริยะ

VM750D รวมเซ็นเซอร์อเนกประสงค์ที่จะส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์ควบคุมโดยอัตโนมัติในกรณีที่กล้องถูกปิดกั้น อยู่นิ่งเกินเวลาที่กำหนดไว้ หรือถูกถอดโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือเจ้าหน้าที่นอนอยู่บนพื้น  สิ่งนี้ทำให้ผู้มอบหมายงานทราบเงื่อนไขของ BWC ในภาคสนาม

เทคโนโลยี ID Switchover

เทคโนโลยี Near Field Communication (NFC) เปิดใช้งานการสลับ ID เพียงแค่ถือการ์ด NFC กับ BWC ซึ่งทำให้กระบวนการเปลี่ยน ID ง่ายขึ้น เพิ่มความพร้อมใช้งานของ BWC และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

วิทยุสื่อสาร Be A PoC

Hytera VM750D ยังทำหน้าที่เป็นวิทยุสื่อสารสองทางแบบ push-to-talk ผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ (PoC) ที่ทำงานบนเครือข่าย 3G, 4G หรือ WLAN ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถโทรออกด้วยเสียงได้ง่ายๆ โดยกดปุ่ม Push-to-talk (PTT)  ด้วยเทคโนโลยีการลดเสียงรบกวนขั้นสูง กล้องจะรับเสียงในขณะที่ขจัดเสียงรบกวนรอบข้าง  BWC มีลำโพง 1.5 วัตต์ทรงพลังสองตัวเพื่อมอบเสียงที่ดังและชัดเจนระหว่างการโทร แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมาก

ไมโครโฟนเคลื่อนที่ Be A Remote Speaker Microphone (RSM)

VM750D ยังสามารถจับคู่กับวิทยุแบบ two-way แบบแนร์โรแบนด์เพื่อทำหน้าที่เป็นไมโครโฟนของลำโพงระยะไกล (RSM) หลังจากเชื่อมต่อ BWC กับวิทยุผ่าน Bluetooth หรือสายดาต้าแล้ว ผู้ใช้สามารถโทรออกด้วยเสียงโดยกดปุ่ม PTT ขนาดใหญ่พิเศษ ซึ่งช่วยลดภาระของผู้ใช้ เนื่องจากไม่ต้องพก RSM อื่น

การกำหนดตำแหน่งทั่วโลก การวางตำแหน่งในร่มและกลางแจ้งอย่างรวดเร็ว

VM750D รองรับการกำหนดค่าตำแหน่งทั่วโลก เช่น GPS, GLONASS, AGPS และการกำหนดตำแหน่ง Bluetooth ในอาคาร ซึ่งหมายความว่าแม้ในสถานที่ที่มีสัญญาณไม่ดี เช่น ลานจอดรถ อุโมงค์ ห้างสรรพสินค้าใต้ดิน และอื่นๆ ก็ยังติดตามตำแหน่งของบุคลากรแนวหน้าได้แบบเรียลไทม์  ความสามารถนี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้ปลายทางทำงานได้สะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อุปกรณ์เสริมและโซลูชันที่ครอบคลุม

Hytera มอบโซลูชันที่สมบูรณ์เพื่อจัดการกล้องที่สวมใส่ในร่างกายและหลักฐานดิจิทัลตั้งแต่ภาคสนามไปจนถึงห้องพิจารณาคดี  โซลูชันนี้รวมถึงการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ (MDM) สถานีอุปกรณ์รวม (IDS) และซอฟต์แวร์การจัดการหลักฐานดิจิทัล (DEM)  MDM สามารถตั้งโปรแกรมและอัพเกรดกล้องที่สวมใส่ตามร่างกายได้จากระยะไกลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

IDS สามารถรวบรวมข้อมูลจากกล้องที่สวมใส่ร่างกายโดยอัตโนมัติ ค้นหาและเล่นหลักฐานซ้ำ DEM สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล มีฟังก์ชันการค้นหาที่มีประสิทธิภาพเพื่อค้นหาหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็ว และสนับสนุนการควบคุมการเข้าถึงตามบทบาทและการให้สิทธิ์ผู้ใช้เพื่อความปลอดภัย

Hytera ได้เปิดตัวกล้อง VM780 และ VM580D ในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดย Hytera สามารถมอบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในสถานการณ์ต่างๆ  คุณสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดได้ตามข้อกำหนดและสถานการณ์การใช้งานที่แตกต่างกันของคุณ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบอดี้แคมตัวใหม่ของ Hytera VM750D โปรดไปที่: https://bit.ly/3bHEafU

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211105005386/en/

ติดต่อ:

Lingran Tao
Lingran.Tao@hytera.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hytera จัดแสดงนวัตกรรมและโซลูชันล่าสุดของการสื่อสารแบบ Convergent ที่งาน CCW 2021

Logo

จัดขึ้นที่ เซินเจิ้น ประเทศจีน–(Business Wire)— วันที่ 11 ต.ค. – 10 พ.ย. 2564

งาน Critical Communications World (CCW) รวบรวมผู้ใช้ ผู้ประกอบการ นักพัฒนา และผู้ผลิตมืออาชีพชั้นนำจากอุตสาหกรรมการสื่อสารที่สำคัญ  ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยี PMR ชั้นนำระดับโลก Hytera ได้จัดแสดงนวัตกรรมล่าสุด ที่รวมข้อมูลเชิงลึก แนวโน้มในอนาคตของโซลูชัน Convergent และ เทคโนโลยี PMR-LTE ที่ CCW 2021

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211110006522/en/

Hytera Delivers Latest Convergence Innovations and Solutions to Critical Communications Industry at CCW 2021 (Photo: Business Wire)

Hytera จัดแสดงนวัตกรรมและโซลูชันล่าสุดของการสื่อสารแบบ Convergent สำหรับอุตสาหกรรมการสื่อสาร ที่งาน CCW 2021 (ภาพ: Business Wire)

Convergence – อนาคตของ Mission Critical Communications (MCC)

สำหรับผู้ใช้ในภารกิจสำคัญ มีสองสิ่งที่สำคัญ คือ ความเสถียรและข้อมูลจากหลายมิติ โดยการพัฒนาโซลูชัน Hytera เพื่อ MCC ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสำคัญทั้งสองประการนี้

“เครือข่ายที่หลากหลาย, การสื่อสารแบบ Convergent, ระบบมาตรฐานเปิด ทั้งหมดนี้เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของ MCC รุ่นต่อไป” Simon Yin รองผู้จัดการทั่วไปของ Hytera อเมริกา กล่าวว่า “แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับเครือข่ายที่มีความสำคัญต่อภารกิจในยุคต่อไปคือระบบเครือข่ายแบบ PMR เป็นการสื่อสารด้วยเสียงที่เชื่อถือได้  ให้บริการบนเครือข่ายบรอดแบนด์สำหรับหน่วยงานตำรวจเคลื่อนที่, MCPTT และ ใช้บริการเครือข่าย LTE ในพื้นที่ที่สำคัญ ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางแบบบูรณาการในอนาคตที่เหมาะสมที่สุดในการจัดสรรเครือข่ายประเภทต่างๆ”

นวัตกรรมสำหรับผู้ใช้งานในภารกิจสำคัญ

Hytera เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่งาน CCW 2021 เป็นวิทยุ MCS ที่ทนทาน มีชื่อรุ่นว่า PDM680, PNC360S PoC และ VM750D (BWC)

            PDM680 เป็นวิทยุ Mission Critical Services (MCS) ที่เป็นไปตามข้อกำหนด 3GPP อย่างสมบูรณ์เครื่องแรกของ Hytera  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการ MCPTT, MCVideo และ MCData ที่เชื่อถือได้ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่หน้างาน สามารถทำงานในสภาวะที่ท้าทายที่สุด  นอกเหนือจากการทำงานบนเครือข่ายแล้ว PDM680 ยังรองรับการสื่อสารแบบอุปกรณ์ต่ออุปกรณ์ (D2D) ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องพึ่งพาการสื่อสารผ่านเครือข่าย LTE เพียงอย่างเดียว

PNC360S และ แอพพลิเคชั่น HyTalk ของ วิทยุ PoC เวอร์ชั่นล่าสุดของ Hytera เป็นโซลูชั่นที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสื่อสารแบบ PTT ที่เข้าถึงได้และมีเสถียรภาพ ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลสำหรับผู้ใช้ทางธุรกิจโดยเฉพาะ  โซลูชันนี้ช่วยให้สามารถสื่อสารในทีมได้ทันทีและเชื่อถือได้

กล้องติดลำตัว VM750D รุ่นใหม่ มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมและคุณสมบัติที่หลากหลาย ประกอบด้วยเซ็นเซอร์มัลติฟังก์ชั่นและมีมุมมองภาพแนวทแยง 160° เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงานประจำวันได้ดียิ่งขึ้น  Hytera ยังมีฟังก์ชั่นไมโครกิมบอลเพื่อลดการสั่นไหวของภาพ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมจำนวนมาก

การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่จัดแสดงที่งาน CCW 2021 เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า Hytera เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นแบบ end-to-end ที่ครอบคลุมสำหรับผู้ใช้ในอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการต่างๆ เช่น การเชื่อมเครื่องจักรเข้ากับอินเทอร์เน็ต 5G+, แพลตฟอร์มมัลติมีเดีย PTT แบบ Convergent, คำสั่งและการควบคุมการมองเห็น, การขุดเจาะ, สมาร์ทกริด และโซลูชั่นการสื่อสารเชิงพาณิชย์

ในฐานะผู้ผลิตที่มีประวัติอันยาวนานในการให้บริการลูกค้าในอุตสาหกรรม โดยได้รับการสนับสนุนจากผลงานทางเทคโนโลยีที่มั่นคง Hytera เคียงคู่กับพันธมิตรที่ต้องการพัฒนาตลาดอุตสาหกรรม 5G.  Hytera แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการร่วมมือกัน นำไปสู่ความสำเร็จร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ ๆ  เช่น stc, Dialog และ China Unicom

Hytera ทุ่มเทในการจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการสื่อสารในอุตสาหกรรมด้วยทัศนคติที่เปิดกว้าง Hytera ยินดีที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรทุก ๆ ท่าน เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิด นี่คือวิธีที่ Hytera กำลังเข้าใกล้แผนงานสำหรับอนาคต

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hytera ติดตามเพิ่มเติมที่: https://bit.ly/3CaqRQd

ที่มา: businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211110006522/en/

ติดต่อ: Lingran Tao
Lingran.Tao@hytera.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hytera เปิดตัววิทยุ MCS PDM680 ที่ทนทาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิรูประบบดิจิทัลในเชิงลึกเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ

Logo

เซินเจิ้น ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–19 พ.ย. 2564

ณ งาน CCW 2021 Hytera ได้เปิดตัว PDM680 ซึ่งเป็นวิทยุแบบ Mission Critical Services (MCS) หรือ วิทยุบริการกรณีวิกฤต ที่เข้าได้กับ 3GPP แบบสมบุกสมบันเครื่องแรก โดย PDM680 ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้กลุ่มผู้เผชิญเหตุคนแรกสามารถเชื่อมต่อและรับทราบข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลาในสถานการณ์วิกฤติ

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211104005846/en/

Hytera เปิดตัววิทยุ PDM680 MCS ที่สมบุกสมบันเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิรูประบบดิจิทัลในเชิงลึกของความปลอดภัยสาธารณะ (กราฟิก: Business Wire)

ในฐานะวิทยุมืออาชีพแบบสมบุกสมบัน PDM680 สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์และติดตั้งบริการแบบกดเพื่อพูดยามวิกฤต หรือ Mission Critical Push-to-Talk (MCPTT) พร้อมกับบริการ Mission Critical Video (MCVideo) และบริการ Mission Critical Data (MCData) ที่เชื่อถือได้เพื่อรองรับการทำงานในสภาวะที่ท้าทายที่สุด

ออกแบบมาเพื่อความยืดหยุ่น ทนทานสำหรับสภาวะสมบุกสมบัน

ความทนทานและสมบุกสมบัน อีกทั้งยังได้รับการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์อีกด้วย ระดับ IP68 ของวิทยุและการรับรอง MIL-STD 810H ช่วยให้มั่นใจได้ว่าวิทยุจะยังคงทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

วิทยุได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้เผชิญเหตุคนแรกสามรถได้ยินและพูดให้คนได้ยิน ได้อย่างชัดเจน เทคโนโลยีเสียงที่ดีที่สุดในระดับที่สามารถเข้าถึง SPL สูงสุด 118 dB นอกจากนี้ เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนแบบ AI การยกเลิกเสียงสะท้อน และการตัดเสียงรบกวนจากลมยังช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างและเพิ่มความคมชัดของเสียงอีกด้วย

พร้อมสำหรับภารกิจบริการที่สำคัญ

“ด้วยการเติบโตของเทคโนโลยีบรอดแบนด์และความจำเป็นในการอัพเกรดบริการ ความต้องการบริการข้อมูลในด้านความปลอดภัยสาธารณะจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น บริการบรอดแบนด์ที่เครือข่ายเชิงพาณิชย์นำเสนอในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองข้อกำหนดที่เข้มงวดของผู้ใช้ด้านความปลอดภัยสาธารณะอย่างเต็มที่ในแง่ของความพร้อมใช้งานแบบเรียลไทม์ และความน่าเชื่อถือในการใช้งาน ประเทศต่าง ๆ จำนวนมากยกให้การพัฒนาเครือข่าย MC-LTE เป็นหนึ่งในวาระสำคัญ” Yan Liu ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของแผนกวิทยุอัจฉริยะ Hytera กล่าว “PDM680 แสดงถึงประสบการณ์อันล้ำลึกของเราในการออกแบบและพัฒนาโซลูชันที่สำคัญต่อภารกิจสำหรับผู้ใช้ด้านความปลอดภัยสาธารณะ”

วิทยุภารกิจวิกฤตระดับมืออาชีพ

การสื่อสารที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทีมบริการฉุกเฉิน บริการ MC-LTE ต้องการประสิทธิภาพการส่งผ่านเครือข่ายที่สูงขึ้น คุณภาพสัญญาณที่ดีขึ้น และเวลาแฝงของข้อมูลที่ต่ำกว่า วิทยุ PDM680 มีฟังก์ชัน eMBMS และ 40ms MCH Scheduling Period (MSP) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นเซสชัน multi-cast ด้วยบริการคุณภาพสูงและปราศจากความแออัดของผู้ใช้

ประสิทธิภาพ LTE (TRP/TIS) ของ PDM680 ในแถบความถี่หลักได้รับการปรับปรุงประมาณ 2dB เมื่อเทียบกับอุปกรณ์บรอดแบนด์แบบมีขายทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารจะมีเสถียรภาพแม้ในสถานการณ์ที่มีสัญญาณอ่อน

PDM680 มาพร้อมกับแอพ Hytera HyTalk MC ดั้งเดิม ซึ่งสามารถใช้เปิดใช้งานบริการหลัก เช่น MCPTT, MCVideo, MCData นอกจากนี้ Priority Quality of Service (QoS) ของโซลูชัน Hytera HyTalk MC ยังช่วยให้มั่นใจว่าผู้ตอบสนองในครั้งแรกจะได้รับความสำคัญสูงสุดที่เหนือผู้ใช้เชิงพาณิชย์รายอื่น ๆ

การสื่อสาร D2D และ MCS-DMR Simulcall

ลักษณะเหตุฉุกเฉินที่คาดเดาไม่ได้นั้นต้องการการตอบสนองในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเครือข่าย LTE ล่มหรือกรณีไม่มีเครือข่าย และเนื่องจากสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี DMR PDM680 จึงสามารถให้การสื่อสารแบบอุปกรณ์ต่ออุปกรณ์ (D2D) เมื่อใดก็ตามที่ไม่สามารถเชื่อมต่อ LTE ได้

นอกจากนี้ PDM680 ยังมี MCS-DMR Simulcall จึงสามารถเรียกหาทั้งอุปกรณ์ MCS และวิทยุ DMR ได้พร้อมกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บังคับบัญชาประหยัดเวลาและแรงในการโทรเรียก MCS และ DMR พร้อมกันด้วยการกดปุ่ม PTT

เชื่อมต่อได้มากขึ้น มีความเป็นไปได้มากขึ้น

นวัตกรรมอื่นๆ ได้แก่ การจัดหาแพลตฟอร์ม Android ที่ผ่านการรับรอง GMS และ API แบบเปิดเพื่อปรับปรุงการจัดการอุปกรณ์และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ผู้เผชิญเหตุครั้งแรกสามารถขยายและปรับแต่งฟังก์ชันการทำงานของ PDM680 ได้โดยใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น การใช้พอร์ต USB Type-C และขั้วต่อ 13 พิน

PDM680 เป็นวิทยุ MCS ที่ทนทาน ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนประกอบหลักของโซลูชันความปลอดภัยสาธารณะของ Hytera สามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Hytera เพื่อสร้างโซลูชันที่หลากหลาย เพื่อให้มั่นใจในการสื่อสารที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ในทุกสถานการณ์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hytera PDM680 โปรดไปที่: https://bit.ly/3GRN1tO

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211104005846/en/

ติดต่อ:

Lingran Tao

Lingran.Tao@hytera.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

RECUR ประกาศความร่วมมือ NFT เชิงกลยุทธ์กับ Sanrio ครั้งแรกในการนำแบรนด์ดัง Hello Kitty มาสู่โลกของสะสมดิจิทัล

Logo

RECUR ยังประกาศเปิดตัว NFT ที่เป็นกรรมสิทธิ์ RECUR Portal Pass

ไมแอมี–(บิสิเนสไวร์)–18 พ.ศ. 2564

RECUR ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ดัง Hello Kitty เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่เข้าถึงแฟนๆ ซึ่งจะนำตัวละครอันเป็นที่รักมาสู่พื้นที่ NFT เป็นครั้งแรก

RECUR รู้สึกตื่นเต้นที่จะสร้างประสบการณ์เฉพาะของ Hello Kitty ที่จะมอบความเป็นส่วนร่วมและความทุ่มเทให้กับแฟนๆ มากที่สุดในโลกเพื่อซื้อ รวบรวม และแลกเปลี่ยน NFT ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลและของสะสม Hello Kitty.  RECUR เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเปิดใจกับทุนบล็อกเชนซึ่งทำให้ Hello Kitty NFT สามารถทำงานร่วมกันข้ามเครือข่ายได้  ประสบการณ์ Hello Kitty และ NFT จะพร้อมเปิดตัวในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565

Silvia Figini ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Sanrio ประจำยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา อินเดียและโอเชียเนีย Mr Men – Worldwide กล่าวว่า “การสำรวจแนวทางธุรกิจและนวัตกรรมใหม่นี้เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา  สำหรับ Sanrio การก้าวเข้าสู่พื้นที่ NFT จะเพิ่มวิธีการใหม่ในการเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัย และมอบวิธีใหม่ให้แก่แฟนๆ ได้สัมผัสและเพลิดเพลินไปกับแบรนด์ของเรา”

นอกจากนี้ RECUR กำลังประกาศ NFT ที่เป็นกรรมสิทธิ์ครั้งแรกซึ่งจะวางจำหน่ายในวันที่ 9 ธันวาคม  NFT ที่เป็น “Portal Pass” จะให้สิทธิ์การเข้าถึงกรรมสิทธิ์ IP ทั้งหมดของ RECUR ก่อนใครและประสบการณ์ต่างๆ รวมถึงคุณสมบัติการใช้งานอื่นๆ  RECUR ได้รวบรวมฐานแฟนๆ ของ IP ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วโดยมี Hello Kitty เป็นส่วนเสริมล่าสุด  RECUR Pass จะวางขายเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเท่านั้น โดยมอบโอกาสที่พิเศษและเป็นจำนวนจำกัดสำหรับแฟนๆ ในการเป็นสมาชิกของชุมชน RECUR รุ่นแรก

“บางครั้งคุณอาจคิดว่า 'ฉันน่าจะอยู่ที่นั่นตอนมันเกิดขึ้น'  เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศกับชุมชนของเราว่า RECUR Portal Pass เป็นโอกาสของคุณ”  ผู้ร่วมก่อตั้ง Zach Bruch และ Trevor George กล่าว “ในช่วงการวางขาย 24 ชั่วโมงนี้ คุณจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงสิ่งที่จะเป็นของสะสมดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนรุ่นต่อไปก่อนใคร และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะสามารถแบ่งปันแผนงานซึ่งก็คือ คุณสมบัติการใช้งานที่กว้างขวางของทรัพย์สินทางปัญญาและหุ้นส่วนของเรา”

เรียนรู้รายละเอียดแผนงาน RECUR Pass ได้ที่ www.recurforever.com/portal

เกี่ยวกับ SANRIO

Sanrio เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก โดยชื่อที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือ Hello Kitty ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 2517 และตัวละครอันเป็นที่รักอื่นๆ อีกมากมายแบรนด์เช่น My Melody, LittleTwinStars, Cinnamoroll, Pompompurin, Gudetama, Aggretsuko, Chococat, Bad Badtz-Maru, Kerokerokeroppi และไอคอนของอังกฤษ Mr. Men Little Miss.

Sanrio ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดของขวัญชิ้นเล็ก ปรัชญายิ้มกว้าง ที่ชื่อว่าของขวัญชิ้นเล็กๆ สามารถนำความสุขและมิตรภาพมาสู่ ผู้คนทุกวัย  ตั้งแต่ปี 2503 ปรัชญานี้เป็นแรงบันดาลใจในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมที่มีคุณภาพซึ่งส่งเสริมการสื่อสารและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครทั่วโลก  ปัจจุบัน ธุรกิจของ Sanrio ได้ขยายไปสู่อุตสาหกรรมบันเทิงและรวมถึงสวนสนุก  Sanrio มีผลิตภัณฑ์มากมายประมาณ 50,000 รายการ ซึ่งมีจำหน่ายในกว่า 130 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก  เพื่อเรียนรู้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Sanrio โปรดเยี่ยมชมที่ www.sanrio.eu และติดตามเราบน Facebook, Instagram และ Twitter

เกี่ยวกับ RECUR

ก่อตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคริปโต Zach Bruch และผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมการออกใบอนุญาตดิจิทัล Trevor George.  RECUR เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ออกแบบและพัฒนาแบรนด์ออนไลน์ ประสบการณ์ที่ช่วยให้แฟนๆ ซื้อ รวบรวม และขายต่อผลิตภัณฑ์ดิจิทัลและของสะสม (NFT).  RECUR เปิดใจกับทุกบล็อกเชนและกำลังเปลี่ยนแปลงตลาด NFT โดยการสร้างและกำหนดมาตรฐานสำหรับค่าลิขสิทธิ์ที่เกิดซ้ำแบบกระจายอำนาจ การสร้างการจำหน่ายที่กว้างที่สุดและการเข้าถึงสำหรับ NFT ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มของพวกเขา

ติดต่อ:

RECUR Public Relations (ฝ่ายประชาสัมพันธ์)
ALISON BROD MARKETING & COMMUNICATIONS
Recur@abmc-us.com

Talar Malakian
Sr Director of Marketing Strategy (ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด)
tmalakian@recurforever.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Thai Herald

Thai Herald