Category Archives: Biomedical

Mawi DNA Technologies ได้รับการรับรอง CE สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์การเก็บตัวอย่าง

Logo

เฮย์เวิร์ด แคลิฟอร์เนีย (บิสิเนสไวร์)–07 มี.ค. 2565

Mawi DNA Technologies (Mawi) ผู้นำด้านเทคโนโลยีการเก็บตัวอย่างทางชีวภาพ ประกาศว่าบริษัทได้รับการรับรอง CE Mark และ UK MHRA สำหรับพอร์ตโฟลิโอ iSWAB อุปกรณ์เก็บตัวอย่างแบบไม่รุกราน  การอนุมัตินี้รวมถึงหลอดเก็บเลือดครบส่วน HemaSure-OMICS ของ Mawi สำหรับ gDNA, cfDNA และ RNA จากตัวอย่างเดียวกันและก้านเก็บตัวอย่าง NextSWAB

ใบรับรอง CE ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อนุมัติว่าผลิตภัณฑ์ของ Mawi เป็นไปตามข้อกำหนดด้านเครื่องมือแพทย์ของยุโรปและสหราชอาณาจักร  ด้วยการอนุมัติ CE Mark และ UK MHRA Mawi จะสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครบวงจรในสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรปและทุกประเทศที่ตระหนักถึงมาตรฐานการตรวจวินิจฉัยระดับโมเลกุลนี้

“การอนุมัติ CE Mark และ MHRA ของสหราชอาณาจักรถือเป็นก้าวสำคัญของ Mawi” Dr. Bassam El-Fahmawi ซีอีโอของ Mawi DNA Technologies กล่าว “โดยช่วยให้เราสามารถขยายประโยชน์และการเข้าถึงเทคโนโลยีการเก็บตัวอย่างชีวตัวอย่างที่เป็นนวัตกรรมของเราจากการใช้การวิจัยไปจนถึงตลาดการวินิจฉัยระดับโมเลกุลในหลอดทดลองในยุโรป  นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสในการร่วมมือและเป็นพันธมิตรกับบริษัทและองค์กรในยุโรปเพื่อรวมผลิตภัณฑ์ของเราเข้ากับกลุ่มตลาดที่มีมูลค่าสูงที่ได้รับการควบคุม เช่น การทดสอบการวินิจฉัยระดับโมเลกุล การทดลองทางคลินิก และการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อ”

Hanzel Lawas, QMS และผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของ Mawi กล่าวว่า “การได้รับเครื่องหมาย CE และ UK MHRA เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับบริษัทของเรา  เมื่อรวมกับการรับรอง ISO 9001/13485 ล่าสุดของเรา ถือเป็นการตอกย้ำถึงความสอดคล้องของเรากับคำสั่ง IVD Medical Device และความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ตรงตามความคาดหวังและข้อกำหนดของลูกค้าของเรา”

เกี่ยวกับ Mawi DNA Technologies

Mawi DNA Technologies ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2556 ได้พัฒนาและจำหน่ายเทคโนโลยี iSWAB ซึ่งเป็นระบบนวัตกรรมสำหรับการรวบรวมตัวอย่างชีวภาพ  ภารกิจของ Mawi คือการรักษาความสมบูรณ์ของตัวอย่างจากทุกที่ในโลกที่อุณหภูมิห้อง ทำให้เกิดความหลากหลายของตัวอย่างอย่างแท้จริงในทุกภูมิภาคหรือทุกกลุ่มประชากร  ที่ Mawi อนาคตของการสุ่มตัวอย่างทางชีวภาพอยู่ที่นี่™ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดไปที่ http://www.mawidna.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220307005296/en/

ติดต่อ:

สำหรับนักลงทุน:
Jerome David, VP of Sales and Marketing
510-256-5186, j.david@mawidna.com 

สำหรับสื่อ:
Susan Tellem, APR, RN, BSN
310-313-3444, susan@tellemgrodypr.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สูตรของเหลว RGC-COV19TM ที่ใช้ในการวิจัยของ Regencell Bioscience แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพผ่านทางผู้ป่วยที่ลงทะเบียนในการกำจัดโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางภายในระยะเวลาการรักษา 6 วันในการทดลองประสิทธิภาพของ EARTH

Logo

  • ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 36 จาก 37 รายที่รับการรักษาในการทดลองนี้ คิดเป็นประมาณร้อยละ 97.3 ของผู้ป่วย ผลรายงานว่าอาการทั้งหมดถูกกำจัดภายในระยะเวลาการรักษา 6 วัน ช่วยรักษาการสูญเสียหรือลดการรับรู้รสชาติและกลิ่น (“Sensory Dysfunction”) และไอเป็นครั้งคราว ทั้งนี้จำนวนสูงสุดของอาการต่าง ๆ ที่รายงานสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งคือ 14 ราย
  • ผู้ป่วยจำนวน 15 จาก 36 รายมีอาการผิดปกติทางประสาทสัมผัสก่อนเข้ารับการรักษา ในบรรดาผู้ป่วยจำนวน 15 รายนั้น มี 5 รายฟื้นตัวจากการทำงานทางประสาทสัมผัส ในขณะที่อีก 10 รายมีอาการดีขึ้นเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการรักษา 6 วัน
  • ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 31 จาก 37 ราย คิดเป็นประมาณร้อยละ 83.8 ของผู้ป่วย ผลรายงานว่ามีการกำจัดอาการอย่างน้อยหนึ่งอาการหลังจากรับประทาน RGC-COV19 TM ครบ 1 โดส (วันที่ 1 ของการรักษา) ด้วยจำนวนมากที่สุดของการกำจัดอาการหลังจาก 1 วัน ของการรักษาคือ 7 อาการ
  • จากผู้ป่วย 37 ราย ในผู้ป่วยจำนวน 9 รายมีอาการหายใจลำบาก (อาการหายใจไม่ออก หรือ difficulty breathing) ร่วมกับอาการเจ็บหน้าอกอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วย 6 จาก 9 รายนี้ไม่มีอาการหายใจลำบากและ/หรือเจ็บหน้าอกอย่างต่อเนื่องหลังจากได้รับ RGC-COV19 TM ครบ 1 โดส
  • ผู้ป่วยทั้งหมด 23 รายที่เริ่มใช้ RGC-COV19 TM ภายใน 3 วันนับจากเริ่มมีอาการ ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3.2 วัน ในการกำจัดอาการทั้งหมด ช่วยรักษาในความผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราว
  • ผู้ป่วยทั้งหมด 14 รายที่เริ่มใช้ RGC-COV19TM ระหว่าง 4 ถึง 5 วันนับจากเริ่มมีอาการ ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3.6 วัน ในการกำจัดอาการทั้งหมด ช่วยรักษาความผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราว

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–17 กุมภาพันธ์ 2565

Regencell Bioscience Holdings Limited (NASDAQ: RGC) (“Regencell” หรือ “บริษัท”) ในวันนี้ประกาศผลการวิเคราะห์บุคคลทั้งหมด 37 รายที่ลงทะเบียนในการประเมินค่า/การตัดสินและการประเมิน RGC-COV19TM TCM ผ่านแนวทางแบบองค์รวม หรือ Evaluation and Assessment of RGC-COV19TM TCM through a Holistic approach (“EARTH”) การทดลองใช้ประสิทธิภาพโดย Regencell Bioscience Asia Limited (“Regencell Asia”) ของ COVID-19 oral TCM candidate RGC-COV19TM ใหม่ชนิดรับประทาน (Regencell Bioscience (RGCA-CV01) ที่เป็นสูตรของเหลว) ผลลัพธ์ยังไม่ได้รับการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพ เมื่อเสร็จสิ้นการทดลองประสิทธิภาพของ EARTH แล้ว RGC-COV19TM สามารถใช้ในวงกว้างขึ้นสำหรับการรักษาประชากรที่แสวงหาแนวทางธรรมชาติและองค์รวมเพื่อลดและกำจัดอาการของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อลดความเสี่ยงของการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต

“ผลลัพธ์ของ EARTH ถือเป็นการเดินทางครั้งสำคัญของบริษัทโดยมีเป้าหมายในการช่วยและปรับปรุงชีวิตของผู้ป่วยทั่วโลก ในขณะที่ผู้ป่วยโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลกในปี 2565 จึงมีการเร่งโดยด่วนในการหาแนวทางแบบองค์รวมในการรักษาโควิด-19 ด้วยการก่อตั้ง Regencell Asia และจากผลการวิจัยเบื้องต้นของ EARTH เราหวังว่ากระบวนการในการหาทางเลือกในการรักษาโดยธรรมชาติสำหรับโควิด19 จะเร็วขึ้น ผลลัพธ์เหล่านี้เน้นให้เห็นถึงศักยภาพในการนำเสนอการรักษาแบบองค์รวมและเป็นธรรมชาติสำหรับโควิด-19” Ji Yang Lee (Jay) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Regencell Asia กล่าว

เกี่ยวกับการทดลองประสิทธิภาพของ EARTH

วัตถุประสงค์หลักของ EARTH คือการประเมินค่า/การตัดสินและการประเมินประสิทธิภาพใน TCM – RGC-COV19TM ของ Regencell Bioscience (Regencell Bioscience (RGCA-CV01) สูตรของเหลว) ในการลดและกำจัดอาการโควิด-19 ผ่านแนวทางองค์รวมภายในระยะเวลา 6 วัน

EARTH เป็นการทดลองประสิทธิภาพแบบไม่อำพรางซึ่งดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2565 เกณฑ์คุณสมบัติกำหนดให้ผู้ป่วยทุกรายได้รับการยืนยันทางห้องปฏิบัติการว่าติดเชื้อ SARS-CoV-2 ภายใน 3 วันก่อนการรักษาและมีอาการภายใน 5 วันก่อนการรักษา

ตามเกณฑ์ที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการถูกปฏิเสธและในที่สุดก็มีผู้ป่วย 37 รายที่ผ่านการคัดเลือกและเข้ารับการลงทะเบียน ผู้ป่วยที่ลงทะเบียนมีอายุระหว่าง 5 ถึง 61 ปี และมีเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน จำนวน 23 รายอาศัยอยู่ในกัวลาลัมเปอร์และเซเรมบัน ประเทศมาเลเซีย ในขณะที่อีก 14 คนอาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยที่ลงทะเบียนจำนวน 23 จาก 37 รายเริ่มใช้ RGC-COV19TM ภายใน 3 วันหลังจากเริ่มมีอาการ และผู้ป่วยที่เหลืออีก 14 รายเริ่มใช้ RGC-COV19TM ระหว่าง 4 ถึง 5 วันหลังที่เริ่มมีอาการ

ในการดำเนินการทดลอง EARTH ซึ่ง Regencell Asia ได้กำหนดการรักษาสูงสุดจำนวน 6 วันต่อผู้ป่วยหนึ่งราย ผู้ป่วยที่ลงทะเบียนต้องรายงานอาการโควิด-19 ทุกวันตามความรุนแรง 3 ประเภท (เล็กน้อย ปานกลาง รุนแรง) และรายการของอาการอย่างเช่น มีไข้ เหนื่อยล้า ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ รู้สึกร้อน หนาวสั่น ง่วงซึม หายใจถี่ เจ็บหน้าอกหรือแน่นอย่างต่อเนื่อง ปวดกล้ามเนื้อและไม่สบายท้อง ผู้ป่วยยังได้รับการร้องขอให้ระบุอาการอื่น ๆ ที่พวกเขาประสบอยู่ ทั้งนี้ผู้ป่วยแต่ละรายได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง 2 วัน ในขณะที่การทดสอบปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรสย้อนกลับ (RT-PCR) สำหรับผู้ป่วยในมาเลเซียดำเนินการทุก 2 วัน

เมื่อใดก็ตามที่ผลการทดสอบ RT-PCR ของผู้ป่วยเป็นลบหรือผู้ป่วยไม่มีอาการของโควิด-19 อีกต่อไป (ช่วยรักษาอาการผิดปกติทางประสาทสัมผัสหรือไอเป็นครั้งคราว) ภายในระยะเวลาการรักษา 6 วันนั้นการรักษาจะสิ้นสุดลง ขณะรับการรักษา TCM จำนวน 3 รายไม่ได้รับการฉีดวัคซีน จำนวน 3 รายได้รับการฉีดวัคซีนบางส่วน และจำนวน 31 รายได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน เมื่อสิ้นสุดการรักษาจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่อาการหายไปอย่างสมบูรณ์ภายในระยะเวลาการรักษา 6 วัน ช่วยรักษาความผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราวจะถูกบันทึกเพื่อประเมินประสิทธิภาพ

เกี่ยวกับผลลัพธ์ของ EARTH

ประสิทธิภาพของอาการหมดไปอย่างสมบูรณ์ภายในระยะเวลาการรักษา 6 วัน

ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 36 จาก 37 ราย ได้รับการรักษาจนหมดอาการ ช่วยรักษาอาการผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราวภายในระยะเวลาการรักษา 6 วัน การทดลองวัดประสิทธิภาพของเราแสดงให้เห็นว่าหลังจากรับ RGC-COV19TM ผู้ป่วยร้อยละ 97.3 ได้รับการกำจัดโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่วยรักษาความผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราวภายในระยะเวลาการรักษา 6 วัน ผู้ป่วยจำนวน 15 จาก 36 รายมีอาการผิดปกติทางประสาทสัมผัสก่อนเข้ารับการรักษา ในบรรดาผู้ป่วย 15 รายนั้น จำนวน 5 ราย มีการฟื้นตัวของการทำงานทางประสาทสัมผัส ขณะที่อีก 10 รายที่เหลือมีอาการดีขึ้นเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการรักษาจำนวน 6 วัน

จากผู้ป่วยจำนวน 36 ราย ซึ่งจำนวนวันที่ใช้รักษาจนหมดอาการ ช่วยรักษาอาการผิดปกติทางประสาทสัมผัสและไอเป็นครั้งคราวภายในระยะเวลาการรักษาจำนวน 6 วัน คือ 1 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 6 ราย, 2 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 7 ราย, 3 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 5 ราย, 4 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 11 ราย, 5 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 4 ราย, 6 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 3 ราย

อาการหมดไปหลังจากได้รับ RGC-COV19TM ครบ 1 โดส

ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 31 จาก 37 ราย คิดเป็นประมาณร้อยละ 83.8 ของผู้ป่วย ผลรายงานการกำจัดอาการอย่างน้อยหนึ่งอาการหลังจากรับ RGC-COV19TM ครบ 1 โดส ด้วยจำนวนที่มากที่สุดของการกำจัดอาการหลังจากการรักษา 1 วัน ได้ถูกรายงานโดยผู้ป่วยจำนวน 7 ราย จำนวนวันเฉลี่ยที่ใช้ตั้งแต่เริ่มการรักษาสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้ง 37 รายที่อาการหมดไป ช่วยรักษาความผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราวอยู่ที่ประมาณ 3.4 วัน จำนวนมากที่สุดของอาการต่าง ๆ ที่รายงานโดยผู้ป่วยคือ 14 อาการ และจำนวนเฉลี่ยของอาการต่าง ๆ ที่รายงานคือประมาณ 6 อาการ

มาเลเซีย – การรักษาที่นำไปสู่การตรวจด้วยวิธี RT-PCR ที่ได้ผลลบ

จากผู้ป่วยจำนวน 23 รายจากมาเลเซีย มีผู้ป่วยจำนวน 10 ราย (คิดเป็นประมาณร้อยละ 43.48) ทดสอบวิธี RT-PCR ที่ได้ผลลบภายใน 6 วันของการรักษา (RT-PCR ที่ได้ผลลบใน 2 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 4 ราย, 4 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 4 ราย, 5 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 1 ราย, 6 วัน = ผู้ป่วยจำนวน 1 ราย) นับตั้งแต่เริ่มการรักษา จำนวนวันเฉลี่ยของผู้ป่วยจำนวน 10 รายที่ทดสอบได้ผลเป็นลบคือ 3.5 วัน จำนวนวันต่ำสุดและสูงสุดที่ผู้ป่วยทดสอบได้ผลเป็นลบคือ 2 และ 6 วันตามลำดับ ผู้ป่วยที่เหลืออีก 13 ราย ที่อาการหมดไป ช่วยรักษาอาการผิดปกติทางประสาทสัมผัสและไอเป็นครั้งคราวภายใน 6 วัน (โดยเฉลี่ยประมาณ 3.5 วัน) ดังนั้นจึงไม่ได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพิ่มเติม

การรักษาภายใน 3 วันนับจากเริ่มมีอาการ เทียบกับภายใน 4 ถึง 5 วันนับจากเริ่มมีอาการ

การวิเคราะห์เพิ่มเติมพบว่าผู้ป่วยจำนวน 23 รายที่เริ่มใช้ RGC-COV19TM ภายใน 3 วันนับจากเริ่มมีอาการใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3.2 วันที่อาการหมดไป ช่วยรักษาความผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราว โดยจำนวนสูงสุดของอาการต่าง ๆ ที่รายงานโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งคือ 14 อาการและจำนวนเฉลี่ยของอาการต่าง ๆ ที่รายงานคือ 5 อาการ

ผู้ป่วยที่เหลืออีกจำนวน 14 รายที่เริ่มใช้ RGC-COV19TM ระหว่าง 4 ถึง 5 วันนับจากเริ่มมีอาการใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3.6 วันที่อาการหมดไป ช่วยรักษาความผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราว โดยจำนวนสูงสุดของอาการต่าง ๆ ที่รายงานโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งคือ 13 อาการและจำนวนเฉลี่ยของอาการที่รายงานคือ 7 อาการ

สถานะการฉีดวัคซีน

ผู้ป่วยจำนวน 3 รายที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ผลรายงานว่าแต่ละรายมีอาการโดยเฉลี่ย 3 อาการ และผู้ป่วยทั้ง 3 รายใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 2.3 วันในการกำจัดอาการ ผู้ป่วยจำนวน 3 รายที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพียงบางส่วน ผลรายงานอาการโดยเฉลี่ย 3 อาการต่อราย และใช้เวลาประมาณ 3.3 วันที่อาการหมดไป ช่วยรักษาความผิดปกติทางประสาทสัมผัส ผู้ป่วยจำนวน 1 ใน 3 รายนี้ทดสอบ RT-PCR ได้ผลเป็นลบหลังการรักษาจำนวน 4 วัน ผู้ป่วยที่เหลือซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน ผลรายงานจำนวนเฉลี่ย 6 อาการ และผู้ป่วยเหล่านี้ใช้เวลาประมาณ 3.5 วันที่อาการหมดไป ช่วยรักษาความผิดปกติทางประสาทสัมผัสและอาการไอเป็นครั้งคราว ผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับการฉีดวัคซีนอาจได้รับวัคซีนเข็มแรก เข็มสอง หรือวัคซีนสูตรไขว้จาก Pfizer-BioNTech, Moderna, AstraZeneca, Sinovac-CoronaVac และ/หรือ Janssen ของ Johnson & Johnson

ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง

จากผู้ป่วยจำนวน 37 ราย ผู้ป่วยจำนวน 9 รายมีอาการหายใจลำบาก (อาการหายใจไม่ออก) ร่วมกับอาการเจ็บหน้าอกอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจำนวน 6 ใน 9 รายนี้ไม่มีอาการหายใจลำบากและ/หรือเจ็บหน้าอกอย่างต่อเนื่องหลังจากได้รับ RGC-COV19 TM  ครบ 1 โดส

ไม่มีผลข้างเคียง

จากข้อมูลที่ผู้ป่วยรายงานด้วยตนเอง ไม่มีอาการแย่ลงระหว่างและหลังการใช้ RGC-COV19TM และไม่มีผู้ป่วยรายใดได้รับผลข้างเคียงที่ไม่ทราบสาเหตุ

ไม่มีการรักษาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น

ในบรรดาผู้ป่วยจำนวน 3 รายที่เป็นโรคร่วม อย่างเช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคหอบหืด และโรคมะเร็ง ไม่มีการรักษาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นและไม่มีการหยุด RGC-COV19TM เนื่องจากผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์

การเสียชีวิต/เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

เมื่อสิ้นสุดการทดลองใช้ประสิทธิภาพของ EARTH ไม่มีผู้ป่วยรายใดเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและไม่มีผู้เสียชีวิต ประสิทธิภาพของ RGC-COV19TM ไม่ได้รับผลกระทบจากระยะเวลาที่เริ่มมีอาการหรือปัจจัยเสี่ยง ผลลัพธ์มีความสอดคล้องกันในทุกช่วงอายุ เพศ เชื้อชาติและกลุ่มชาติพันธุ์ในผู้ป่วยที่ลงทะเบียน

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ EARTH

มีผู้ป่วยหลายร้อยล้านคนทั่วโลกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 และบางคนมีอาการหลังโควิด-19 อย่างเช่น เหนื่อยล้าอย่างรุนแรง (อ่อนเพลีย) หายใจลำบาก มีปัญหาด้านความจำและสมาธิ (สภาวะสมองล้า) ใจสั่น เวียนศีรษะ เจ็บหน้าอกหรือแน่น ปวดข้อ ซึ่งขณะนี้จัดอยู่ในกลุ่มอาการลองโควิด (long-COVID)

เนื่องจากอาการลองโควิดมีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการทำงานของแต่ละบุคคล Regencell Asia จึงอยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาสำหรับผู้ป่วยลองโควิดโดยใช้สูตรธรรมชาติและองค์รวม – RGC-COV19TM (RGCA-LCV01)

เกี่ยวกับ RGC-COV19TM

RGC-COV19TM (RGCA-CV01) เป็นสูตรของเหลวเพื่อการศึกษาวิจัยที่เป็นธรรมชาติชนิดรับประทาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดและกำจัดอาการโควิด-19

RGC-COV19TM สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยเป็นเวลาสองถึงสามสัปดาห์ ในการดำเนินการEARTH การรักษาถูกจำกัดไว้ที่ 6 วัน เพื่อประเมินประสิทธิภาพในการลดและกำจัดอาการโควิด-19

Regencell เริ่มแนวทางเชิงสอบสวนเกี่ยวกับการรักษาโควิด-19 เมื่อเพื่อนของ Regencell ได้รับเชื้อโควิด-19 ในเดือนมีนาคม 2563 และ TCM Practitioner ได้ใช้สูตร TCM ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา โดยใช้มาตลอด 30 ปีที่ผ่านมาเพื่อรักษาผู้ป่วยที่เป็นหวัดและไข้หวัดใหญ่ต่าง ๆ รวมถึงในช่วงการระบาดของโรคซาร์สในปี 2546 ในการรักษาเขา ทั้งนี้ TCM Practitioner ได้ให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่สมัครใจจำนวน 9 รายในสหรัฐอเมริกา “TCM Practitioner” หมายถึงพันธมิตรการวิจัยเชิงกลยุทธ์ของ TCM ซึ่ง Sik-Kee Au เป็นบิดาของผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเรา

ผลการศึกษาพบว่าการรักษาได้ผลดี เนื่องจาก Regencell มีเป้าหมายในการช่วยชีวิต ปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วย และตอบสนองความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนองในตลาด Regencell ต้องการทำให้การรักษาแบบธรรมชาติและแบบองค์รวมพร้อมสำหรับผู้คนที่ต้องการ

ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ถึงสิงหาคม 2564 Regencell ได้ตั้งค่าโปรโตคอลและขั้นตอนการดำเนินการทดลองประสิทธิภาพของ EARTH ในมาเลเซียและสหรัฐอเมริกา

RGC-COV19TM ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อกระตุ้นกลไกการรักษาของร่างกายและยาช่วยบรรเทาอาการของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หนาวสั่น เซื่องซึม หายใจถี่ เจ็บอกเรื้อรัง และปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ในขณะที่ยาทำงานเพื่อ (i) ลดและล้างเมือกและเสมหะออกจากระบบทางเดินหายใจส่วนบน; (ii) กำจัดเชื้อโรคจากไวรัสภายนอกผ่านทางเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระ; (iii) ล้างความร้อนสิ่งที่อยู่ภายในและตับ; (iv) ดีท็อกซ์ตับ; และ (v) ปรับปรุงการไหลเวียนของร่างกาย

ด้วยการใช้ TCM Practitioner “Sik-Kee Au TCM Brain Theory®”, RGC-COV19TM ช่วยขจัดลิ่มเลือดออกจากสมองจึงฟื้นฟูการทำงานของสมองต่าง ๆ ของผู้ป่วย

RGC-COV19TM (RGCA-CV01) จัดให้ที่ 1 โดสของ RGCA-CV01-1Na (ประมาณ 230 มล.) และ 1 โดสของ RGCA-CV01-2Da (ประมาณ 230 มล.) ในแต่ละครั้ง โดยให้ 1 โดสของ RGCA-CV01-1Na เริ่มตั้งแต่คืนวันแรกของการรักษา และรับประทาน 1 โดสของ RGCA-CV01-2Da หลังอาหารกลางวันในวันถัดไปจนกว่าอาการจะหมดไป

เกี่ยวกับ Regencell Bioscience Holdings Limited และ Regencell Bioscience Asia Limited: ความก้าวหน้าในสูตร TCM ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยชีวิตและปรับปรุงชีวิต

เป็นระยะเวลากว่า 30 ปีที่ TCM Practitioner ซึ่ง Regencell Bioscience เป็นพันธมิตรด้วยได้รักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบประสาทและโรคติดเชื้อ TCM formulae candidates ของ TCM Practitioner มาจากสูตรพื้นฐานของ TCM และสูตรที่ปรับได้ซึ่งพัฒนาขึ้นจากทฤษฎีสมอง TCM ของเขาหรือที่รู้จักกันในชื่อ “Sik-Kee Au TCM Brain Theory®”

ทั้ง Regencell Bioscience และ TCM Practitioner มุ่งมั่นที่จะตอบแทนสังคมและแสดงให้เห็นถึง CARE ผ่านการดูแลผู้ป่วย ความรับผิดชอบโดยการรักษามาตรฐานคุณภาพและความซื่อสัตย์ในระดับสูง ความเคารพโดยประเมินค่าความร่วมมือ การทำงานเป็นทีมและความสามัคคี และความกระตือรือร้นในการปรับปรุงชีวิตของผู้ด้อยโอกาส

นับตั้งแต่จดทะเบียน Regencell Bioscience ผ่านการร่วมทุนกับ Honor Epic Enterprises Limited ได้ก่อตั้ง Regencell Bioscience Asia Limited เพื่อเสนอการรักษาที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 แก่ผู้ป่วยในประเทศอาเซียน อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เนื่องจาก Regencell Bioscience มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำตลาดระดับโลกในด้านการรักษาแบบธรรมชาติและแบบองค์รวมสำหรับความผิดปกติทางระบบประสาทและโรคติดเชื้อ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ www.regencellbioscience.com และ www.regencellasia.com

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มี “ข้อความที่มีลักษณะคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต” ตามความหมายของกฎหมายที่บังคับใช้ รวมถึงกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางสหรัฐ ข้อความที่มีลักษณะคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้อาจรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ข้อความที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ แผนงาน และกลยุทธ์ของเรา; ข้อความที่มีการคาดการณ์ผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงิน; ข้อความที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย การพัฒนา และการใช้แพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยี  เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และตัวเลือกผลิตภัณฑ์ของเรา; และข้อความทั้งหมดที่กล่าวถึงกิจกรรม เหตุการณ์ หรือการพัฒนาที่เราตั้งใจ คาดหวัง โครงการ เชื่อ หรือคาดการณ์ว่าจะเกิดหรืออาจเกิดขึ้นในอนาคต ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของบริษัทของเรา ได้แก่: ความสามารถของเราในการได้รับการอนุมัติด้านกฎระเบียบและ TCM formulae และ/หรือผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่สุดแล้วตาม TCM formulae ของเรา; ผลการศึกษาวิจัยของเราปราศจากอคติของผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้ป่วย เนื่องจากเราอาศัยข้อมูลที่ได้รับจากพวกเขา; ความยากลำบากในการลงทะเบียนผู้ป่วยในการศึกษาวิจัยของเรา; ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใด ๆ ที่เกิดจาก TCM formulae candidates อาจทำให้ล่าช้าหรือขัดขวางการอนุมัติด้านกฎระเบียบหรือขัดขวางการค้าเชิงพาณิชย์;หรือไม่ผลการศึกษาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ TCM formulae เฉพาะบุคคลสามารถคาดการณ์ผลการศึกษาวิจัยในอนาคตได้; ความล้มเหลวของกระบวนการวิจัยและพัฒนา; หรือไม่ TCM formulae candidates ใด ๆ ที่สามารถพัฒนา ผลิต ขาย ทำการตลาดและจัดจำหน่าย; ความสามารถในการค้าที่ประสบความสำเร็จในการรักษาใด ๆ ในอนาคต; ความสามารถของเราในการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ของเรา; และความสามารถของเราในการได้มาและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของเรา; และการประชาสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ TCM formulae candidates ส่วนผสมหรือโปรแกรมการตลาดแบบเครือข่าย เราได้ใช้ข้อความที่มีลักษณะคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้บนสมมติฐานและการประเมินโดยฝ่ายบริหารของเราตามประสบการณ์และการรับรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับแนวโน้มในอดีต สภาวะปัจจุบัน การพัฒนาในอนาคตที่คาดหวัง และปัจจัยอื่น ๆ ที่พวกเขาเชื่อว่ามีความเหมาะสม นอกจากนี้บริษัทยังใช้และสันนิษฐาน โดยไม่มีการตรวจสอบโดยอิสระ ในความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมดที่มีจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ และไม่รับประกันโดยชัดแจ้งหรือโดยนัยเกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าว แม้ว่าผลการดำเนินงาน สถานะทางการเงินและสภาพคล่อง และการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เราดำเนินการอยู่จะสอดคล้องกับข้อความที่มีลักษณะคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตที่มีอยู่ในการนำเสนอนี้ แต่ก็อาจไม่ได้บ่งบอกถึงผลลัพธ์หรือการพัฒนาในอนาคต สำหรับการอภิปรายเกี่ยวกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอื่น ๆ เหล่านี้ โปรดดูรายงานประจำปีของเราในแบบฟอร์ม 20-F สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งอยู่บนเว็บไซต์ของ SEC ได้ที่ www.sec.gov ข้อมูลทั้งหมดในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้เป็นข้อมูล ณ วันที่เผยแพร่ และบริษัทไม่มีหน้าที่ในการปรับปรุงข้อมูลนี้เว้นแต่กฎหมายจะกำหนด คำเตือนนี้จัดทำขึ้นภายใต้บทบัญญัติด้านความปลอดภัยของมาตรา 21E ของกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220216005895/en/

ติดต่อ:

นักลงทุนสัมพันธ์
James Chung
ir@rgcbio.com
+852 2155 0823

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Parse Biosciences ระดมทุนรอบ Series B มูลค่า 41.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อปรับผลิตภัณฑ์การจัดลำดับเซลล์เดียวและขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์

Logo

บริษัทจะทำการค้าและสร้างผลิตภัณฑ์ multi-omics แบบเซลล์เดียว

ซีแอตเทิล–(BUSINESS WIRE)–15 กุมภาพันธ์ 2565

วันนี้ Parse Biosciences บริษัทที่ทุ่มเทในการให้บริการโซลูชันการจัดลำดับเซลล์เดียวที่ปรับขนาดได้ ประกาศเกี่ยวกับการระดมทุนในรอบ Series B เป็นมูลค่า 41.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนำโดย Marshall Wace และ Janus Henderson Investors ขณะที่ Soleus Capital, Logos Capital และ Bioeconomy Capital ก็เข้าร่วมในการระดมทุนรอบนี้เช่นเดียวกัน ทำให้มูลค่าการระดมทุนทั้งหมดของ Parse Biosciences ปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านเหรียญ

เงินทุนจะนำไปใช้เพื่อขยายการค้าผลิตภัณฑ์ Evercode Whole Transcriptome ของ Parse ซึ่งช่วยให้นักวิจัยสร้างโปรไฟล์เซลล์ในระดับต่าง ๆ และทำให้พวกเขาสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการในการทดลองเฉพาะของพวกเขาได้ Evercode ใช้ประโยชน์จากเทคนิคที่ได้รับการจดสิทธิบัตรแล้วของบาร์โค้ดแบบผสมผสาน ซึ่งช่วยปรับปรุงความละเอียดของตัวอย่าง เพิ่มความไวในการถอดรหัส และทำให้กระบวนการทำงานง่ายขึ้น

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Parse ประกอบด้วย Evercode Whole Transcriptome Mega ซึ่งสามารถกำหนดโปรไฟล์ได้มากถึง 1,000,000 เซลล์ในแบบคู่ขนาน และ Evercode Whole Transcriptome Mini ซึ่งเป็นชุดอุปกรณ์ที่ใช้สร้างโปรไฟล์มากถึง 10,000 เซลล์แบบคู่ขนานสำหรับการศึกษาในระดับที่เล็กกว่า หลังจากการระดมทุน Parse จะขยายแพลตฟอร์ม Evercode ไปมากกว่า transcriptomics ซึ่งช่วยให้นักวิจัยสามารถยกระดับการวัด multi-omic แบบเซลล์เดียวในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

Alex Rosenberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Parse Biosciences กล่าวว่า “การทำความเข้าใจและกำหนดโปรไฟล์เซลล์อย่างละเอียดตามระดับที่ต้องการเป็นพื้นฐานสำหรับการค้นพบครั้งใหญ่ในอนาคตในสาขาต่าง ๆ เช่น เนื้องอกวิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา และประสาทวิทยาศาสตร์ การทำความเข้าใจ transcriptome เป็นหัวใจสำคัญ แต่การพัฒนาไปสู่ ​​multi-omics เป็นการพัฒนาตามธรรมชาติ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะเริ่มขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา โดยเริ่มในปลายปีนี้”

ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทจะรองรับการใช้งานต่าง ๆ ได้แก่:

  • การทำโปรไฟล์ภูมิคุ้มกันที่จะช่วยให้นักวิจัยสามารถรวบรวมการแสดงออกของยีนและการทำโปรไฟล์ตัวรับ
  • การทำโปรไฟล์ Chromatin ที่จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับกลไกการควบคุมยีนเฉพาะเซลล์ และช่วยให้เข้าใจ epigenome มากขึ้น
  • การคัดกรอง CRISPR ปริมาณงานสูงที่จะช่วยให้สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีนตามการปรับยีนในเซลล์เดียว
  • เครื่องมือการวิเคราะห์ยีนเป้าหมายที่จะเสริมสร้างยีนย่อยเฉพาะอีกชุดที่เกี่ยวข้องกับนักวิจัย โดยจะช่วยให้การศึกษาที่ปรับระดับได้เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับรักษาต้นทุนในแต่ละลำดับที่เหมาะสม
  • ความไวเพิ่มเติมของชุดเครื่องมือ Evercode Whole Transcriptome ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมากในการถอดรหัสและการตรวจหายีน

หลังจากการระดมทุน Series A มูลค่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมกราคม 2564, Parse Biosciences ก็ได้ขยายขอบเขตการบริการไปยังระดับโลก ในเดือนตุลาคม 2564, Parse ร่วมมือกับ Decode Sciences เพื่อจัดหาโซลูชันการจัดลำดับเซลล์เดียวให้กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ หลังจากนั้นไม่นาน Parse ได้ประกาศข้อตกลงการจัดจำหน่ายกับ Research Instruments Pte Ltd เพื่อขยายการให้บริการไปยังสิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม

Charlie Roco ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง Parse Biosciences กล่าวว่า “ตั้งแต่ Series A ปิดตัวลง Parse ก็เติบโตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรากำลังพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งกำลังใช้การจัดลำดับเซลล์เดียวในวงกว้างในแบบที่เราไม่เคยพบมาก่อน เรารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งต่อนักลงทุนของเราที่ได้แบ่งปันวิสัยทัศน์ และเรารู้สึกภูมิใจที่ได้สนับสนุนนักวิจัยผู้ขับเคลื่อนข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อยารักษาที่ตรงจุดและการบำบัดด้วยยาโดยรวม”

Parse Biosciences จะเข้าร่วมการประชุมประจำปี Molecular and Precision Med Tri-Conference ตั้งแต่วันที่ 21-23 กุมภาพันธ์ 2565 ในเซสชันของเขา หัวข้อ “The Implications of Single-Cell Transcriptomics at Unprecedented Scale” หรือ ผลกระทบของการถอดรหัสเซลล์เดียวในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดย Charlie Roco จะนำเสนอผลกระทบที่สำคัญของการทำโปรไฟล์ transcriptome ตามระดับที่ต้องการในพื้นที่การรักษาจำนวนมาก Parse จะเป็นเจ้าภาพการสัมมนาผ่านทาง webinar คู่กับ American Society of Human Genetics เพื่อแสดงประสิทธิภาพใหม่ของแพลตฟอร์ม Evercode ในวันที่ 18 มีนาคม 2565 เวลา 00.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

Parse กำลังรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติมเพื่อเข้าร่วมทีม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.parsebiosciences.com/careers

เกี่ยวกับ Parse Biosciences

Parse Biosciences เป็นบริษัทในซีแอตเทิลที่มีภารกิจในการเร่งความก้าวหน้าในด้านสุขภาพของมนุษย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

หัวใจหลักของบริษัทของเราคือแนวทางการบุกเบิกสำหรับการจัดลำดับเซลล์เดียว การจัดลำดับเซลล์เดียวได้เปิดใช้งานการค้นพบที่แปลกใหม่ ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับการรักษามะเร็ง การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ โรคไตและตับ การพัฒนาสมอง และระบบภูมิคุ้มกัน  ที่ Parse Biosciences เรากำลังจัดหานักวิจัยที่มีความสามารถในการดำเนินการจัดลำดับเซลล์เดียวในขนาดและความง่ายดายที่ไม่เคยมีมาก่อน

เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่: https://www.parsebiosciences.com/

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220215005525/en/

ติดต่อ:

Shannia Coley
shannia@jones-dilworth.com
443-471-6830

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Parse Biosciences ประกาศความร่วมมือกับ Research Instruments Group เพื่อเสนอชุด RNA-Seq ในสิงคโปร์และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

วางจำหน่ายแล้วในอเมริกาเหนือ ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ความร่วมมือนี้มีขึ้นเพื่อเร่งการวิจัยจีโนมเซลล์เดียวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ซีแอตเทิล–(บิสิเนสไวร์)–19 ม.ค. 2565

Parse Biosciences บริษัทที่มอบแนวทางจัดลำดับเซลล์ให้กับนักวิจัยได้ประกาศความร่วมมือกับ Research Instruments Pte Ltd เพื่อมอบชุดรักษาสภาพของเซลล์และนิวคลีไอ Parse’s Evercode Whole Transcriptome Kits (WTKs) ให้กับตลาดในประเทศสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ภายใต้ข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย Research Instruments ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Parse สำหรับสิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม

เครื่องมือวิจัยจะให้บริการแก่ลูกค้า การสนับสนุนด้านเทคนิค การขายและการตลาด การจัดจำหน่าย และลอจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Parse Bioscience ของการวิจัยจีโนมเซลล์เดียว

Research Instruments เป็นผู้จัดจำหน่ายชั้นนำสำหรับผลิตภัณฑ์การวิจัยด้านจีโนมและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีทีมเทคนิคหลายทีมและสร้างความสัมพันธ์ในการสนับสนุนลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาค  ภารกิจหลักของพวกเขาคือการนำร่องและเร่งการนำเครื่องมือวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตที่ก้าวล้ำไปใช้ในตลาดของตน

ในต้นปี 2564 Parse Biosciences ได้เปิดตัว Whole Transcriptome Kits สู่ตลาดซึ่งมี Evercode ซึ่งเป็นเทคนิคบาร์โค้ดแบบผสมผสานที่ได้รับการจดสิทธิบัตร  ในเดือนตุลาคม 2564 พวกเขาได้ขยายข้อเสนอเพื่อรวม Evercode Whole Transcriptome Mega ซึ่งช่วยให้นักวิจัยสร้างโปรไฟล์ได้ถึง 1,000,000 เซลล์ในแบบคู่ขนาน และ Evercode Whole Transcriptome Mini ซึ่งเป็นชุดอุปกรณ์ที่ใช้สร้างโปรไฟล์ได้ถึง 10,000 เซลล์แบบขนานสำหรับการวิจัยขนาดเล็กในราคาเริ่มต้น

Alex Rosenberg ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Parse Biosciences กล่าวว่า “สำคัญสำหรับทีม Parse คือความสามารถในการเข้าถึง ไม่เพียงแต่ในความรวดเร็วที่ลูกค้าสามารถเริ่มใช้เทคโนโลยีได้ แต่ยังรวมถึงทีมที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่  เรารู้สึกตื่นเต้นที่ Research Instruments แบ่งปันวิสัยทัศน์ของเราในการนำเสนอเทคโนโลยี RNA-seq เซลล์เดียวที่ปรับขนาดได้และปรับเปลี่ยนได้ง่ายสู่ตลาดในวงกว้าง”

“ที่ RI เรามุ่งมั่นที่จะมอบการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่” Greg Kent ซีอีโอของ Research Instruments กล่าว “โซลูชันการจัดลำดับของ Parse Biosciences ช่วยให้เวิร์กโฟลว์ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเสียสละรายละเอียด และด้วยทีมขายด้านเทคนิคและสนับสนุนแอปพลิเคชันของเราที่ได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์ในแอปพลิเคชันจีโนมเซลล์เดียว แพลตฟอร์ม Parse Bioscience จึงสามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคนี้”

Parse Biosciences และ Research Instruments จะจัดสัมมนาทางเว็บเชิงเทคนิคสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในวันที่ 20 มกราคม 2565 เวลา 10.00 น. SGT  เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแยกวิเคราะห์ชีววิทยาศาสตร์และความสามารถของแพลตฟอร์มที่ https://www.parsebiosciences.com/ หรือติดต่อวิจัยเครื่องมือที่ https://www.ri.com.sg/

เกี่ยวกับ Parse Biosciences

Parse Biosciences เป็นบริษัทในซีแอตเทิลที่มีภารกิจในการเร่งความก้าวหน้าในด้านสุขภาพของมนุษย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

หัวใจหลักของบริษัทของเราคือแนวทางการบุกเบิกสำหรับการจัดลำดับเซลล์เดียว การจัดลำดับเซลล์เดียวได้เปิดใช้งานการค้นพบที่แปลกใหม่ ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับการรักษามะเร็ง การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ โรคไตและตับ การพัฒนาสมอง และระบบภูมิคุ้มกัน  ที่ Parse Biosciences เรากำลังจัดหานักวิจัยที่มีความสามารถในการดำเนินการจัดลำดับเซลล์เดียวในขนาดและความง่ายดายที่ไม่เคยมีมาก่อน

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม: https://www.parsebiosciences.com/

เกี่ยวกับ Research Instruments

Research Instruments Pte Ltd เป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และสารชีวภาพสำหรับการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต โดยมุ่งเน้นที่การจัดหาเครื่องมือและเทคโนโลยีแห่งอนาคตด้วยการสนับสนุนที่ดีที่สุดในระดับเดียวกันสำหรับแอปพลิเคชัน บริการบำรุงรักษา และการฝึกอบรม  Research Instruments Pte Ltd ก่อตั้งขึ้นในปี 2532 โดยมีสำนักงานกระจายอยู่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับการรับรอง GDP-MDS สำหรับการกระจายอุปกรณ์ Dx และ Medical, bizSAFE สำหรับบริการด้านวิศวกรรม และให้บริการคลังสินค้าตามมาตรฐาน GMP และ ISO 9001 และการขนส่งแบบ Cold-chain สำหรับลูกค้าของเรา

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม https://www.ri.com.sg/

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220118006247/en/

ติดต่อ:

Shannia Coley
Shannia@jones-dilworth.com 
443-471-6830

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Medisca เซ็นสัญญาเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวทั่วโลก ยกเว้นสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล สำหรับสายผลิตภัณฑ์ ORA ของ Padagis

Logo

มอนทรีออล–(BUSINESS WIRE)–12 ม.ค. 2565

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา Medisca ได้ทำข้อตกลงในการผลิต การจัดหา ออกใบอนุญาต และการจัดจำหน่ายระดับโลกกับ บริษัท Padagis (เดิมชื่อ Rx Division of Perrigo) สำหรับสายผลิตภัณฑ์ ORA ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ Padagis อย่าง: ORA-Plus® , ORA-Sweet®, ORA-Sweet® SF, ORA-Blend® และ ORA-Blend® SF ด้วยเหตุนี้ Medisca จึงมีสิทธิพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟในการจัดจำหน่ายในตลาดทั่วโลกทั้งหมด ยกเว้นสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล และยังมีสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายแบบไม่ผูกขาด พร้อมกับสิทธิประโยชน์ตามสัญญาในออสเตรเลีย อีกด้วย

“ข้อตกลงแบบเอ็กซ์คลูซีฟนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Medisca ในฐานะผู้บุกเบิกด้านการแพทย์เฉพาะบุคคลทั่วโลก” Panagiota Danopoulos รองประธานอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์และนวัตกรรมระดับโลกของ Medisca กล่าว “การเป็นพันธมิตรกับ Padagis เป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายการเข้าถึงของเรา ไปพร้อม ๆ กับการที่เรายังคงสร้างพลังของแบรนด์ Medisca ต่อไป เพื่อให้เป็นผู้บุกเบิกระดับโลกในด้านการผสมยา ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพอื่น ๆ”

ผลิตภัณฑ์ ORA ซึ่งถูกผลิตโดย Padagis ในรัฐมินนิโซตา ได้รับการพัฒนาขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วโดย Paddock Laboratories ซึ่ง Perrigo ได้เข้าซื้อกิจการในปี 2554  และเป็นยาที่พ่นเข้าทางปาก ที่มีมายาวนานที่สุดในตลาด โดยมีการศึกษาเกี่ยวกับความเสถียรมากกว่า 150 การศึกษา เพื่อรองรับการใช้งานจริง อันที่จริงแล้ว ประวัติการศึกษาวิจัยที่ไม่มีใครเทียบได้นี้เอง ที่เป็นกุญแจสำคัญที่ว่าทำไมหลาย ๆ คนจึงมองว่าผลิตภัณฑ์ ORA เป็นยาพ่นช่องปากที่คนนึกถึงเป็นตัวแรกทั่วโลก นอกเหนือจากไปจากยาแล้ว แบรนด์ ORA ยังคงสร้างชื่อเสียงอย่างต่อเนื่อง โดยพบได้ในห้างสรรพสินค้าเหมือนกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ซื้อจากเคาน์เตอร์ได้ และยังถูกรวมอยู่ในรายการยาสำเร็จรูปที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA หรือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แล้วอีกด้วย

Colter VanStedum รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเติบโตของ Padagis กล่าวว่า “จนถึงขณะนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ ORA ได้ใช้ผู้จัดจำหน่ายหลายรายทั่วโลก “การตัดสินใจของเราที่จะรวมศูนย์การจัดจำหน่ายผ่าน Medisca ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความสามารถในการจัดจำหน่ายทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ ORA มีศักยภาพมหาศาลในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลเด็ก และควรได้รับการจำหน่ายอย่างแพร่หลายสำหรับเภสัชกร แพทย์ และที่สำคัญที่สุดคือผู้ป่วยในทุกตลาดทั่วโลก การสร้างความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลกระทบเชิงบวกสูงสุดต่อผู้ป่วยทั่วโลก”

Danopoulos กล่าวเสริมว่า “มาตรฐานคุณภาพของ Medisca และเครือข่ายระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถลงนามในข้อตกลงเช่นนี้ได้ เป็นอีกก้าวสำคัญในความมุ่งมั่นของเราในการเติบโตและความเป็นผู้นำ เพื่อสร้างความแตกต่างที่มีความหมายและยั่งยืนในตลาดเกิดใหม่”

ด้วยข้อตกลงนี้ Medisca จะยื่นคำขอเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศในบางประเทศด้วยชื่อของบริษัทเอง

เกี่ยวกับ MEDISCA

MEDISCA เป็นผู้นำระดับโลกด้านการดูแลสุขภาพด้วยรากฐานที่มั่นคงในด้านการผสมยาและความก้าวหน้าในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมด้านการดูแลสุขภาพอื่น ๆ โดยเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว ที่ MEDISCA ได้ให้บริการร้านขายยาและสถาบันสุขภาพที่เป็นพันธมิตรกันด้วยข้อเสนอที่ล้ำสมัยและความมุ่งมั่นทุ่มเท พัฒนาเครือข่ายทั่วโลกที่อุทิศให้กับการแพทย์เฉพาะบุคคล MEDISCA สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและคุณภาพสูงสุด บริการชั้นนำของอุตสาหกรรม และระบบสนับสนุนระดับโลก ด้วยการใช้การสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง ประสบการณ์ที่ไร้กังวล กระบวนการที่สะดวกสบาย และระบบรองรับที่ได้รับความร่วมมือระดับโลกเชิงกลยุทธ์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDISCA กรุณาเยี่ยมชม www.medisca.com และติดตามเราบน Twitter ที่ @medisca

เกี่วกับ PADAGIS

PADAGIS ทุ่มเทเพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วยและผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดโดยการพัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเฉพาะทางคุณภาพสูงในราคาย่อมเยา บริษัทเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านเวชภัณฑ์เฉพาะทางและยาเฉพาะทางอื่น ๆ โดยมีพนักงานมากกว่า 1,300 คนทั่วโลก เยี่ยมชม PADAGIS ออนไลน์ได้ที่ (http://www.padagis.com).

ติดต่อ:

Panagiota Danopoulos

SVP กลยุทธ์ระดับโลกและนวัตกรรมที่ Medisca

www.medisca.ca

1-800-665-6334

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ANANDA Scientific ประกาศอนุมัติ FDA ของ IND สำหรับการทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับการรักษาโรคและความผิดปกติจากการใช้ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioid Use Disorder OUD)

Logo

กรีนวูดวิลเลจ โคโลราโดและลอสแอนเจลิส–(บิสิเนสไวร์)–04 ม.ค. 2565

ANANDA Scientific Inc., (บริษัทยาเทคโนโลยีชีวภาพ) ประกาศในวันนี้ว่าได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ให้กับยาทดลองใช้ Investigational New Drug (IND) สำหรับการทดลองทางคลินิกเพื่อประเมิน Nantheia™ ATL5 ซึ่งเป็นยาทดลองที่ใช้ cannabidiol (CBD) ในเทคโนโลยีการจัดส่งที่เป็นเอกสิทธิ์ของ ANANDA  เพื่อรักษาโรคและความผิดปกติจากการใช้ยากลุ่มโอปิออยด์  การศึกษาจะดำเนินการที่ Jane and Terry Semel Institute for Neuroscience and Human Behavior ที่ UCLA

(Photo: Business Wire)

(ภาพ: บิสิเนสไวร์)

“นี่เป็นการอนุมัติ IND ครั้งที่สี่สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มยา Nantheia™ ที่ใช้ในการวิจัยของเรา และยังเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเราในการพัฒนา CBD เพื่อใช้รักษาโรคสำหรับข้อบ่งชี้สำคัญหลายประการ  การศึกษาทางคลินิกที่ UCLA นี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพัฒนาทางคลินิกของเราที่เน้นเรื่องโรคและความผิดปกติจากการใช้ยากลุ่มโอปิออยด์ ซึ่งมีความต้องการการบำบัดแบบไม่เสพติดอย่างมาก” Sohail R. Zaidi ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ANANDA กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับทีม UCLA และตั้งตารอการทดลองใช้ที่ก้าวหน้านี้”

การทดลองนี้นำโดยผู้ตรวจสอบหลัก Edythe London, Ph.D., ศาสตราจารย์พิเศษด้านจิตเวชศาสตร์และชีวพฤติกรรมศาสตร์ ตลอดจนเภสัชวิทยาระดับโมเลกุลและยาที่สถาบัน Jane and Terry Semel ที่ David Geffen School of Medicine UCLA และ Richard De La Garza II, Ph.D ศาสตราจารย์จิตเวชและวิทยาศาสตร์ความประพฤติที่ Jane and Terry Semel ที่ David Geffen School of Medicine UCLA  เงินทุนสำหรับการทดลองนี้มาจากสถาบัน National Institute on Drug Abuseด (NIDA) (Clinical Trials.gov Identifier: NCT03787628)

“การอนุมัติ IND สำหรับการทดลองทางคลินิกที่สำคัญนี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับการวิจัยอย่างต่อเนื่องของเราเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาโรคสำหรับความผิดปกติของการใช้ยากลุ่มโอปิออยด์และการพลิกกลับผลของการแพร่ระบาดของฝิ่น” Dr. London กล่าว

Dr. De La Garza กล่าวว่า “เมื่อได้รับการอนุมัติจาก IND เรากำลังดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อเร่ิมการทดลอง

เกี่ยวกับ ANANDA SCIENTIFIC

ANANDA เป็นผู้นำการวิจัยที่เน้นการศึกษาทางคลินิกสำหรับเทคโนโลยีชีวภาพที่มีศักยภาพสูงเช่น โรคหรืออาการผิดปกติทางจิตใจหลังจากประสบสถานการณ์รุนแรง อาการปวดที่เกิดจากรากประสาทถูกกดทับ โรควิตกกังวล และโรคและความผิดปกติจากการใช้ยากลุ่มโอปิออยด์  ทางบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการจดสิทธิบัตร (ที่ได้รับอนุญาตจาก Lyotropic Delivery Systems (LDS) Ltd. เยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล) ในการผลิต cannabinoids และสารประกอบที่ได้จากพืชอื่นๆ ที่มีสถานะทางชีวภาพสูง ละลายน้ำได้ และมีอายุการเก็บรักษาที่มั่นคง และมุ่งเน้นการผลิตผลิตภัณฑ์ยาคุณภาพที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับข้อมูลการวิจัยที่แข็งแกร่ง  นอกจากนี้ บริษัทยังมีท่อส่งผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  บริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร โดยขยายไปสู่ตลาดอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป จีน แอฟริกา และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย  บริษัทกำลังขยายฐานการวิจัยผ่านข้อตกลงการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนหลายฉบับกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อกระจายพอร์ตโฟลิโอเทคโนโลยี

ดูคลังภาพ/มัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52556661/en

ติดต่อ:

ANANDA Scientific Media Relations | Christopher Moore | 813 326 4265 | media@anandascientific.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

LEO Pharma ประกาศการอนุมัติจาก FDA เกี่ยวกับ Adbry™ (tralokinumab) เป็นการรักษาแรกและเดียวที่กำหนดเป้าหมายไปที่ IL-13 สำหรับผู้ใหญ่ที่มีโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ปานกลางถึงรุนแรง

Logo

  • Adbry เป็นผลิตภัณฑ์ทางชีววิทยาชนิดแรกที่เปิดตัวโดย LEO Pharma ในสหรัฐอเมริกา และคาดว่าจะจำหน่ายในร้านขายยาภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565
  • Tralokinumab จำหน่ายนอกสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อทางการค้า Adtralza® และปัจจุบันได้รับการอนุมัติในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร แคนาดา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

บัลเลอโรป, เดนมาร์ก–(บิสิเนส ไวร์)–28 ธ.ค. 2564

LEO Pharma A/S ผู้นำระดับโลกด้านโรคผิวหนังทางการแพทย์ ประกาศในวันนี้ว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้อนุมัติ Adbry (tralokinumab) สำหรับการรักษาโรคผิวหนังภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงในผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไปที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาทาตามที่แพทย์สั่งหรือด้วยแนวทางการรักษาที่ไม่แนะนำ  Adbry สามารถใช้โดยมีหรือไม่มี corticosteroids เฉพาะที่1  Adbry เป็นผลิตภัณฑ์ทางชีววิทยารายแรกและรายเดียวที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ซึ่งจับและยับยั้ง IL-13 cytokine โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของอาการและอาการแสดงของโรคผิวหนังภูมิแพ้1,2,3

“การอนุมัติของ FDA ให้แก่ Adbry เป็นก้าวสำคัญของ LEO Pharma และสำหรับผู้คนหลายล้านที่อาศัยอยู่กับโรคผิวหนังภูมิแพ้ในระดับปานกลางถึงรุนแรงที่พยายามหาทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมสำหรับโรคเรื้อรังที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม” กล่าว Anders Kronborg ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LEO Pharma A/S “ในฐานะที่เป็นชีววิทยาแห่งแรกของเราในสหรัฐอเมริกา Adbry แสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในภารกิจของเราในการยกระดับมาตรฐานการดูแลด้านโรคผิวหนังทางการแพทย์”

การอนุมัติของ Adbry ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพจากการทดลอง ECZTRA 1, 2 และ ECZTRA 3 ระยะที่ 3 ที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยผู้ใหญ่เกือบ 2,000 คนที่เป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรง1  ข้อมูลด้านความปลอดภัยได้รับการประเมินจากการทดลองแบบสุ่ม การทดลองแบบอำพรางสองฝ่าย การศึกษาควบคุมด้วยยาหลอก การทดลองเพื่อหาปริมาณยาซึ่งรวมถึง ECZTRA 1, 2 และ ECZTRA 3 การทดลองหาขนาดยา และการทดลองตอบสนองต่อวัคซีน1

“โรคผิวหนังภูมิแพ้อาจรุนแรงและคาดเดาไม่ได้ ซึ่งมีความท้าทายสำหรับผู้ป่วยในการควบคุมโรคในระยะยาวและสำหรับแพทย์ในการรักษาเนื่องจากทางเลือกในการรักษาโรคผิวหนังเรื้อรังที่จำกัด” Jonathan Silverberg, MD, PhD, MPH, รองศาสตราจารย์ด้านโรคผิวหนังที่ George Washington University School of Medicine and Health Sciences และผู้ตรวจสอบการทดลองทางคลินิก tralokinumab กล่าว “Adbry จะเป็นส่วนเสริมที่สำคัญของ armamentarium ในฐานะการรักษาที่ออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมายและต่อต้านไซโตไคน์ IL-13 โดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับโรคผิวหนังภูมิแพ้ได้”

Adbry จะจำหน่ายเป็นกระบอกฉีดยาขนาด 150 มก./มล. สำหรับการฉีดใต้ผิวหนังด้วยขนาดเริ่มต้น 600 มก. ตามด้วย 300 มก. ทุกสัปดาห์ Adbry สามารถใช้โดยมีหรือไม่มี TCSโดยอาจพิจารณาขนาด 300 มก. ทุกสี่สัปดาห์สำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 100 กก. ที่มีผิวใสหรือเกือบใสหลังจากการรักษา 16 สัปดาห์1

เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึง Adbry นั้น LEO Pharma จะแนะนำโปรแกรม AdbryTM AdvocateTM เพื่อสนับสนุนผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาในการวินิจฉัยและรักษาด้วย Adbry

Julie Block ประธานและซีอีโอของ National Eczema Association กล่าวว่า “สำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้ ประสบการณ์มีมากกว่าแค่ผิวหนัง โดยมักส่งผลกระทบต่อแง่มุมทางจิตของพวกเขา  เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นตัวเลือกการรักษาแบบใหม่ที่ตรงเป้าหมายสำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่เป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรง  ความก้าวหน้าในการรักษาเช่นนี้ทำให้เกิดความหวังที่จำเป็นมากสำหรับผู้ที่อาจใช้เวลาหลายปีในการค้นหาวิธีบำบัดที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาภาระของโรคนี้”

การอนุมัติของ FDA ถือเป็นการอนุมัติด้านกฎระเบียบระดับโลกครั้งที่ 5 สำหรับ tralokinumab ในปี 2564.  Tralokinumab วางตลาดนอกสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อทางการค้า Adtralza® และปัจจุบันได้รับการอนุมัติในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร แคนาดา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เกี่ยวกับการทดลอง ECZTRA 1, 2 และ ECZTRA 3 ที่สำคัญ

ECZTRA 1 และ ECZTRA 2 (การทดลอง ECZema TRAlokinumab หมายเลข 1 และ 2) ได้รับการทดลองแบบสุ่มและการทดลองแบบอำพรางสองฝ่ายข้ามชาติเป็นเวลา 52 สัปดาห์ ซึ่งใช้ผู้ป่วยผู้ใหญ่ 802 และ 794 คน ตามลำดับ เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Adbry (300 มก. ทุกสัปดาห์) โดยเป็นยาเดี่ยวในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ได้รับการรักษาด้วยระบบบำบัด4

ECZTRA 3 (การทดลอง ECZema TRAlokinumab ครั้งที่ 3) เป็นการทดลองแบบอำพรางสองฝ่าย การทดลองแบบสุ่ม และการศึกษาควบคุมด้วยยาหลอกข้ามชาติ 32 สัปดาห์ ซึ่งใช้ผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ 380 คน เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Adbry (300 มก. ทุกสัปดาห์) ร่วมกับ TCS ตามความจำเป็นในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงซึ่งเป็นผู้เข้ารับการบำบัดด้วยระบบ5

เกี่ยวกับโรคผิวหนังภูมิแพ้ (Atopic dermatitis)

เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง อักเสบ และมีอาการคันรุนแรงและมีแผลเปื่อย6 โรคผิวหนังภูมิแพ้เป็นผลมาจากความผิดปกติของผิวหนังและการควบคุมภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง ซึ่งนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง7 Cytokines ชนิดที่ 2 รวมทั้ง IL-13 มีบทบาทสำคัญในแง่มุมที่สำคัญของโรคผิวหนังภูมิแพ้พยาธิสรีรวิทยา2

เกี่ยวกับ Adbry (tralokinumab)

Adbry (tralokinumab) เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดีของมนุษย์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อต่อต้านไซโตไคน์ IL-13 โดยเฉพาะ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการภูมิคุ้มกันและการอักเสบที่เป็นอาการแสดงของโรคผิวหนังภูมิแพ้  Adbry จับตัวจำเพาะกับ IL-13 cytokine และการยับยั้งอันตรกิริยากับหน่วยย่อย α1 และ α2 รีเซพเตอร์ IL-13 ของรีเซพเตอร์ (IL-13Rα1 และ IL-13Rα2)2,3

เกี่ยวกับ LEO Pharma

LEO Pharma ช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพผิวที่ดี บริษัทเป็นผู้นำด้านการแพทย์ผิวหนังด้วยการวิจัยพัฒนาที่แข็งแกร่ง การบำบัดที่หลากหลาย และจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก  LEO Pharma ก่อตั้งขึ้นในปี 2451 และมูลนิธิ LEO เป็นหุ้นส่วนใหญ่ โดยได้อุทิศเวลาหลายทศวรรษเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ด้านโรคผิวหนัง กำหนดมาตรฐานใหม่ในการดูแลผู้ที่มีสภาพผิว  LEO Pharma มีสำนักงานใหญ่ในเดนมาร์ก โดยมีทีมงานทั่วโลก 6,000 คน ให้บริการผู้ป่วย 93 ล้านคนใน 130 ประเทศ ในปี  2563 บริษัทมียอดขายสุทธิ 10,133 ล้าน DKK ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.LEO-Pharma.com

Dr. Silverberg เป็นที่ปรึกษาที่ได้รับค่าตอบแทนให้กับ LEO Pharma

ข้อมูลอ้างอิง

  1. ข้อมูลการสั่งจ่ายยาAdbry™ (tralokinumab) ของ LEO Pharma; ธันวาคม 2564
  2. Bieber T. Interleukin-13: การกำหนดเป้าหมาย cytokine ในโรคผิวหนังภูมิแพ้  ภูมิแพ้. 2563; 75:54-62.
  3. Popovic B, et al.การแสดงลักษณะเฉพาะของโครงสร้างเผยให้เห็นกลไกของทราโลคินูแมบแอนติบอดีที่ทำให้เป็นกลางด้วย IL-13 เป็นการยับยั้งการจับกับ IL-13Rα1 และ IL-13Rα2 J Mol Biol 2561; 429:208–19.
  4. Wollenberg A, et al. Tralokinumab สำหรับโรคผิวหนังภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรง: ผลลัพธ์จากการทดลองระยะที่ 3 ที่ควบคุมโดยกลุ่มที่ควบคุมด้วยยาหลอก แบบกลุ่มสุ่มสองกลุ่มสุ่มสองทาง 52 สัปดาห์ (ECZTRA 1 และ ECZTRA 2) Br J Dermatol. 2564; มี.ค.;184(3):437-449.
  5. Silverberg JI, et al. Tralokinumab ร่วมกับ corticosteroids เฉพาะสำหรับการรักษาโรคผิวหนังภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรง: ผลลัพธ์จากการทดลอง ECZTRA 3 แบบ double-blind, randomized, multicentre, placebo-controlled phase III Br J Dermatol 2564; มี.ค.;184(3):450-463.
  6. Weidinger S, et al. โรคผิวหนังภูมิแพ้. มีดหมอ 2016;387:1109-1122.
  7. Boguniewicz M, et al. โรคผิวหนังภูมิแพ้: โรคผิวหนังที่เปลี่ยนแปลงไปและภูมิคุ้มกันบกพร่อง Immunol Rev2011;242(1):233-46.

MAT-45764 ธันวาคม 2564

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211228005080/en/

ติดต่อ:

David Patti
LEO Pharma, Global Product Communications (ฝายการสื่อสารผลิตภัณฑ์ทั่วโลก)
973.796.7706
DAPAI@leo-pharma.com

Pia Beltrão Hansen
LEO Pharma, Director Global Commercial (ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารเชิงพาณิชย์ทั่วโลก)
+45 3140 1245
IRQDK@leo-pharma.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Prestige BioPharma และ Dr. Reddy’s ประกาศความร่วมมือเพื่อจำหน่ายยา trastuzumab biosimilar ในบางประเทศในละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

สิงคโปร์และไฮเดอราบาด อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–9 ธ.ค. 2564

Prestige BioPharma Ltd. (KRX: 950210) และ Dr. Reddy's Laboratories Ltd. (BSE: 500124, NSE: DRREDDY, NYSE: RDY, NSEIFSC: DRREDDY ซึ่งต่อจากนี้จะเรียกว่า “Dr. Reddy's”) ประกาศว่าทั้งสองบริษัทได้ ได้ทำข้อตกลงที่มีผลผูกพันสำหรับการเป็นหุ้นส่วนพิเศษในการจัดหาและการจำหน่ายยา trastuzumab biosimilar ที่เสนอโดย Prestige BioPharma ในบางประเทศในละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 trastuzumab (HD201) ของ Prestige BioPharma เป็นยาชีววัตถุคล้ายคลึง (biosimilar) ที่เสนอให้ Herceptin® ของ Roche และสามารถกำหนดให้ใช้รักษาHER2 เต้านมบวกและมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลาม Trastuzumab ตั้งเป้าไปที่ปัจจัยการเจริญเติบโตของผิวหนังชั้นนอกแฟคเตอร์ 2 (HER2) ในเซลล์มะเร็งบางชนิด HER2 แสดงออกมากเกินไปและกระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดย Trastuzumab ทำงานโดยการไปจับกับ HER2 เฉพาะ เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเหล่านี้

ข้อตกลงด้านใบอนุญาตให้สิทธิ์ Dr. Reddy แต่เพียงผู้เดียวในการทำการค้า biosimilar ที่เสนอในบางประเทศในละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ Prestige BioPharma จะรับผิดชอบในการจัดหา HD201 ในเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืนจากโรงงานผลิตในเมือง Osong ประเทศเกาหลีใต้ ในขณะที่ Dr. Reddy's จะรับผิดชอบการขึ้นทะเบียน การตลาด และการขายในพื้นที่ที่ได้รับใบอนุญาต

Lisa S. Park ซีอีโอของ Prestige BioPharma กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ก่อตั้งความร่วมมือกับ Dr. Reddy's สำหรับตลาดสำคัญในละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Dr. Reddy's เป็นหุ้นส่วนในอุดมคติในการทำการค้าตะกั่วของ biosimilar ของเราในพื้นที่เหล่านี้ ด้วยความร่วมมือนี้ เราตั้งตารอที่จะเสริมสร้างคุณค่าของโครงการ biosimilar ของเราในตลาดโลกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

M.V. Ramana, ซีอีโอ – Branded Markets (อินเดียและตลาดเกิดใหม่) ของ Dr. Reddy's กล่าวว่า “เพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของเราในการเร่งการเข้าถึงยาที่ราคาไม่แพงและเป็นนวัตกรรมใหม่ เรายินดีที่จะนำยาที่ช่วยชีวิตผู้คนนี้ไปใช้กับผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือ ความร่วมมือของเรากับ Prestige BioPharma จะช่วยให้เราผสมผสานความเชี่ยวชาญที่จัดตั้งขึ้นในด้านชีววัตถุคล้ายคลึงเข้ากับจุดแข็งทางการค้าและความทะเยอทะยานในการเติบโตในตลาดเหล่านี้ ซึ่งสอดคล้องกับความตั้งใจที่ระบุไว้ของเราในการสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านเนื้องอกวิทยาและขยายการนำเสนอ biosimilar ของเราในตลาดเกิดใหม่”

เกี่ยวกับ Prestige BioPharma Limited:

PRESTIGE BIOPHARMA LTD (PBP) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ในสิงคโปร์ที่มีการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกาและเกาหลี เชี่ยวชาญในการค้นคว้าและพัฒนาไบโอซิมิลาร์ แอนติบอดีและวัคซีนชนิดใหม่ ๆ PBP มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ริเริ่มระดับโลกผ่านการพัฒนา mAbs ระดับชั้นนำ ซึ่งรวมถึง PBP1510 anti-PAUF mAb สำหรับมะเร็งตับอ่อนที่เพิ่งได้รับการกำหนดมาตรฐานจาก FDA, EMA และ MFDS กลุ่มผลิตภัณฑ์ไบโอซิมิลาร์ที่หลากหลายของ PBP ในระยะต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง HD204 บีวาซิซูแมบในระยะที่ 3 ทั่วโลก, PBP1502 adalimumab ในระยะที่ 1 และอื่นๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหายาที่มีคุณภาพราคาไม่แพงให้กับผู้ที่ต้องการ ธุรกิจของ PBP ยังรวมถึงการพัฒนาและผลิตวัคซีนพันธมิตร โดยเริ่มจากความร่วมมือในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเชิงพาณิชย์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.prestigebiopharma.com.

เกี่ยวกับ Dr. Reddy’s:

Dr. Reddy's Laboratories Ltd. (BSE: 500124, NSE: DRREDDY, NYSE: RDY, NSEIFSC: DRREDDY) เป็นบริษัทเภสัชกรรมแบบบูรณาการที่มุ่งมั่นในการจัดหายานวัตกรรมราคาไม่แพงสำหรับชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น Dr. Reddy's นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ผ่านทางธุรกิจต่างๆ ซึ่งรวมถึง API บริการด้านเภสัชกรรมตามสั่ง ยาสามัญ ยาชีววัตถุคล้ายคลึง และสูตรที่แตกต่าง จุดเน้นการรักษาหลักของเราคือ ระบบทางเดินอาหาร หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน เนื้องอก การจัดการความเจ็บปวด และโรคผิวหนัง Dr. Reddy's ดำเนินงานในตลาดทั่วโลก ตลาดหลักของเราได้แก่ – ประเทศสหรัฐอเมริกา อินเดีย รัสเซียและ กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช และยุโรป สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เข้าสู่ระบบ: www.drreddys.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211208006176/en/

ติดต่อ:

Prestige BioPharma Limited

นักลงทุนสัมพันธ์

Bumjoon Kim

Bumjoon.kim@pbpsg.com

ฝ่ายสื่อสารองค์กร

Yujin Suh

yujin.suh@pgpsg.com

Dr. Reddy’s Laboratories Ltd.

นักลงทุนสัมพันธ์

Amit Agarwal

amita@drreddys.com

ฝ่ายสื่อสารองค์กร

Usha Iyer

ushaiyer@drreddys.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

LintonPharm ประกาศว่ามีผู้ป่วยรายแรกที่ไม่ตอบสนองต่อ BCG ได้รับ Catumaxomab ในการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 ในการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลามกล้ามเนื้อ

Logo

กวางโจ, จีน–(BUSINESS WIRE)–01 ธันวาคม 2564

LintonPharm Co., Ltd. บริษัทชีวเภสัชกรรมทางคลินิกที่ตั้งอยู่ในประเทศจีนซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาที-เซลส์ (T-cell) ของแอนติบอดีชนิด bispecific สำหรับการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด วันนี้ประกาศว่ามีผู้ป่วยรายแรกที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย Bacillus Calmette-Guerin (BCG) ได้รับ catumaxomab (clinicaltrials.govNCT04799847) ในโครงการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1/2 ของบริษัท ซึ่ง catumaxomab เป็นโมโนโคลนัลแอนติบอดีชนิด bispecific ที่กำลังมีการศึกษาสำหรับการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลาม (NMIBC)

Robert Li, PH.D., DABT, ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ LintonPharm กล่าวว่า “การเริ่มทดลองใช้ catumaxomab ระยะที่ 1 สำหรับการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลามเป็นขั้นตอนสำคัญในโปรแกรมทดลองทางคลินิกของเราเพื่อประเมิน catumaxomab ว่าเป็นการรักษาแบบกำหนดเป้าหมายในมะเร็งประเภทต่าง ๆ ได้หรือไม่ ผู้ป่วยที่ล้มเหลวจากการรับ BCG เพื่อรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลามต้องมีวิธีการรักษาใหม่เนื่องจากข้อจำกัดของการรักษาในปัจจุบันที่นำมาซึ่งการวินิจฉัยที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น อัตราการกลับมาเป็นเนื้องอกอยู่ในระดับสูง ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ และอาการแทรกซ้อนตลอดอายุขัย จากข้อมูลก่อนการทดลองและประสบการณ์ทางคลินิกกับผู้ป่วยที่เคยได้รับ catumaxomab ในอดีตผ่านโปรแกรมการนำยามาใช้รักษาผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้าร่วมการวิจัย เราหวังว่า catumaxomab จะเป็นการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลามที่ล้มเหลวจากการรับยา BCG”

การตีพิมพ์ล่าสุดระบุถึงประโยชน์ของการรักษาโดยใช้ catumaxomab ในฐานะยาที่นำมาใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลามและมีโมเลกุลยึดเกาะของเซลล์เยื่อบุผิว (EpCAM) มีการบันทึกไว้ว่า catumaxomab นั้นมีความทนทานและประสิทธิภาพที่ดีในการควบคุมเนื้องอก[1] จากข้อมูลและศักยภาพในการพัฒนา catumaxomab สามารถมอบการรักษาที่เป็นเห็นผล ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วย มะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลามหากได้รับการอนุมัติ

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นมะเร็งที่ได้รับการวินิจฉัยมากที่สุดเป็นอันดับที่ 10 ของโลก โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 573,000 รายในปี 2563 และประมาณ 75% ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลาม[2][3] ปัจจุบัน การรักษาหลักของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลาม ได้แก่ การผ่าตัดผ่านท่อปัสสาวะ เคมีบำบัด และการให้ยา BCG ทางเส้นเลือด[3]

เกี่ยวกับ Catumaxomab

Catumaxomab ได้รับการอนมัติจากองค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ในปี 2552 สำหรับการรักษาโรคท้องบวม แอนติบอดีชนิด bispecific นี้จับกับไกลโคโปรตีนชนิดทรานส์เมมเบรนบนเซลล์เนื้องอก ซึ่งเป็นโมเลกุลยึดเกาะของเซลล์เยื่อบุผิว (EpCAM) และ CD3 บนที-เซลล์ (T-cell) และยังคัดเลือกเซลล์เสริมภูมิคุ้มกันผ่านการจับ FcγR ซึ่ง Catumaxomab จะทำลายเซลล์เนื้องอกโดยกระตุ้นที-เซลส์และเซลล์เสริมที่เป็นสื่อกลางในการเกิด cytotoxicity และมีศักยภาพในการก่อให้เกิดผลของวัคซีนในระยะยาวซึ่งได้รับการตรวจสอบแล้วในสัตว์ทดลอง

เมื่อเร็วๆ นี้ catumaxomab ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศจีน ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ให้ทำการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ระดับโลกสำหรับการรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลาม (clinicaltrials.govNCT04222114)

เกี่ยวกับ LintonPharm

LintonPharm Co. , Ltd. เป็นบริษัทชีวเภสัชกรรมที่มุ่งเน้นการวิจัยทางคลินิกซึ่งมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรม ที-เซลส์ (T-cell) ที่เกี่ยวข้องกับแอนติบอดีชนิด bispecific โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนมะเร็งร้ายให้เป็นโรคที่สามารถจัดการได้และอาจรักษาให้หายได้ LintonPharm กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มแอนติบอดีชนิด bispecific หลายแบบที่มาพร้อมกับศักยภาพด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ การเกิดผลของวัคซีนในระยะยาว และประสิทธิภาพของ CMC โครงการในปัจจุบันได้แก่การพัฒนาแนวทางการรักษามะเร็งเม็ดเลือดและเนื้องอกชนิดแข็ง โมเลกุลชั้นนำอย่าง catumaxomab กำลังได้รับการประเมินในการทดลองทางคลินิกสำหรับรักษาทั้งมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลามกล้ามเนื้อ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ www.lintonpharm.com

[1]. Ruf P, Bauer HW, Schoberth A, Kellermann C, Lindhofer H (2021). First time intravesically administered trifunctional antibody catumaxomab in patients with recurrent non muscle invasive bladder cancer indicates high tolerability and local immunological activity. Cancer Immunology, Immunotherapy. http://doi.org/10.1007/s00262-021-02930-7

[2]. World Health Organization (WHO). Globocan 2020. Global Cancer Observatory. สืบค้นเมื่อ 7 มกราคม 2564. https://gco.iarc.fr/

[3]. Kamat AM, Hahn NM, Efstathiou JA, et al. (2016) Bladder cancer. Lancet 2016. 388: 2796-810. http://dx.doi.org/10.1016/S0140-6736(16)30512-8

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211201005307/en/

สื่อในสหรัฐฯ ติดต่อ:
Tim Hay
The Grace Communication Group
tim@gracegroup.us

สื่อในเอเชียแปซิฟิกติดต่อ:
Mia He
LintonPharm
jingyi.he@lintonpharm.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ไต้หวันและญี่ปุ่นร่วมมือกันในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต ด้วยการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ

Logo

ชิงหัว ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–25 พ.ย. 2564

ญี่ปุ่นบริจาควัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า COVID-19 จำนวน 5 ชุดให้กับไต้หวัน และไต้หวันได้ตอบแทนโดยให้การรักษาที่ศูนย์บำบัดซึ่งให้การบำบัดด้วยการดักจับนิวตรอนโบรอน Boron Neutron Capture Therapy Center (BNCTC) ของ NTHU สำหรับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปีที่ป่วยด้วยโรคเนื้องอกในสมอง โดยการรักษาประสบความสำเร็จ และตอนนี้เธอสามารถกลับไปโรงเรียนได้แล้ว

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211125005795/en/

A Japanese woman (center, holding teddy bear with a graduation cap) in front of the NSTDC with the medical team after receiving BNCT for a malignant brain tumor. (Photo: National Tsing Hua University)

หญิงสาวชาวญี่ปุ่น (คนกลาง ถือตุ๊กตาหมีสวมหมวกรับปริญญา ยืนอยู่หน้า NSTDC กับทีมแพทย์ หลังจากได้รับการรักษา BNCT สำหรับเนื้องอกในสมองที่ร้ายแรง (ภาพ: มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหัว)

แพทย์ที่ดูแลการรักษา ได้แก่นายแพทย์ Yi-Wei Chen จากแผนกเนื้องอกวิทยาที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกไทเป (TVGH) เขากล่าวว่ามีเพียงไต้หวันและญี่ปุ่นเท่านั้นที่มีศูนย์การแพทย์ที่ใช้การบำบัดด้วยการดักจับนิวตรอนโบรอน (BNCT) เพื่อรักษามะเร็ง อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นยังไม่อนุมัติให้ใช้วิธีการ BNCT รักษาเนื้องอกในสมอง ส่งผลให้ไต้หวันเป็นที่เดียวเท่านั้นในการรักษาเนื้องอกในสมองที่ร้ายแรงซึ่งรักษาได้ยากโดยการผ่าตัด

Chen กล่าวว่าผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น rhabdomyosarcoma ในช่องหูขวาเมื่ออายุได้ 6 ขวบ ซึ่งหลังจากการผ่าตัดและเคมีบำบัด อาการทรงตัวในชั่วขณะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เนื้องอกกลับมาอีกครั้งในปี 2561และเนื้องอกแพร่กระจายไปยังสมองส่วนหลัง หลังจากที่ตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกที่ปลอกประสาทส่วนปลายที่ร้ายแรง เธอได้รับการรักษาด้วยอนุภาคหนักและ CyberKnife ในญี่ปุ่น แต่เนื้องอกยังคงเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ

ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจมาไต้หวันเพื่อรับการรักษาแบบ BNCT และได้มาถึงที่นี่ในเดือนเมษายน 2564 ในเวลานั้นเนื้องอกมีขนาด 6-7 ซม. แต่หลังจากการฉายรังสีรอบแรกที่ศูนย์มะเร็ง THOR BNCT เนื้องอกของเธอลดลง 80% และ การกดทับที่คอของเธอก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก ส่งผลให้ทีมแพทย์พอใจมาก และเธอก็เดินทางกลับญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม พบสัญญาณการกลับเป็นซ้ำบางจุด และเธอได้รับคำแนะนำให้กลับไปไต้หวันเพื่อฉายรังสีรอบที่สอง

เธอได้ไปที่ศูนย์มะเร็ง THOR BNCT เพื่อรับการรักษาเมื่อวันที่ 17 กันยายน หลังจากการฉีดยาโบรอน-10 และการฉายรังสีนิวตรอนเป็นเวลา 20 นาที เธอได้ถ่ายรูปด้านหน้าอาคาร NSTDC  กับทีมแพทย์ที่ มอบตุ๊กตาหมีสวมหมวกรับปริญญาให้กับเธอเพื่ออวยพรให้เธอ “สำเร็จการศึกษา”จากการป่วยโรคมะเร็งโดยเร็ว หลังจากนั้น เธอกล่าวขอบคุณทีมแพทย์เป็นภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว

BNTCC ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ TVGH เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยกว่าร้อยรายจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงสเปน บราซิล ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และจีน

BNCT เป็นการฉายรังสีแบบเจาะจงเป้าหมาย ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับยาที่ประกอบด้วยโบรอนในเบื้องแรก เมื่อยาสะสมในเนื้องอกแล้ว ลำแสงนิวตรอนจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์จะถูกใช้ในการฉายรังสีเนื้องอก และอนุภาคพลังงานสูงที่เกิดจากปฏิกิริยาการจับนิวตรอนของโบรอนจะฆ่าเซลล์เนื้องอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติที่อยู่ใกล้เคียง ดังนั้น BNCT จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการรักษามะเร็งระยะแพร่กระจายและในกรณีที่มีข้อห้ามในด้านการผ่าตัด

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211125005795/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh

NTHU

(886)3-5162006

hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย