ADC เข้าซื้อกิจการ Pinpoint Software เพื่อเดินหน้าขยายแพลตฟอร์มการบริหารจัดการร้านค้าปลีกในทุกขั้นตอน

Logo

การเข้าซื้อกิจการเป็นมากกว่าการลดขยะอาหารและการขับเคลื่อนความยั่งยืนเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าปลีกในการหาแนวทางปฏิรูปฟื้นฟูการบริหารจัดการที่ดีขึ้น

แทมปา, ฟลอริดา–(BUSINESS WIRE)–05 ตุลาคม 2564

วันนี้ Applied Data Corporation (ADC) ผู้นำตลาดระดับโลกด้านแพลตฟอร์มการบริหารจัดการร้านค้าในทุกขั้นตอนด้วยระบบซอฟท์แวร์ (SaaS) ที่สร้างขึ้นสำหรับผู้ค้าปลีก ประกาศว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการบริษัท Pinpoint Software, Inc. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันซอฟต์แวร์เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพและการจัดการสำหรับร้านขายของชำและผู้ค้าปลีกอื่น ๆ Pinpoint Software, Inc. ยังเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการจัดการวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ชั้นนำของโลกอย่าง Date Check Pro® การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มกลยุทธ์ไปยังแผนงานของ ADC ซึ่งประกอบไปด้วยแพลตฟอร์มการจัดการรายการสินค้าอาหารสดของ ADC อย่าง FreshIQ® และแพลตฟอร์มบริหารและจัดการคลังสินค้าอย่าง ShopperKit ซึ่งจะส่งผลให้มีโซลูชันที่ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะอาหารและเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมอบสิ่งที่มากกว่าความยั่งยืนไปสู่แนวทางการปฏิรูปฟื้นฟูที่ดีขึ้นแก่ผู้ค้าปลีกอีกด้วย

ขยะอาหารเป็นปัญหาสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจในพื้นที่ค้าปลีกส่วนใหญ่ทั่วโลก เนื่องจากขยะอาหารเป็นสินค้าอันดับหนึ่งที่จะนำไปฝังกลบและมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ทุกคน ADC และ Pinpoint ต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการจัดหาเครื่องมือที่จำเป็นแก่ผู้ค้าปลีกเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนผ่านการผสมผสานระหว่างการวัดปริมาณ การวิเคราะห์ และการดำเนินการ

Shamus Hines ประธานกรรมการบริหารของ ADC กล่าวว่า “เส้นทางของ ADC ในฐานะแพลตฟอร์มการบริหารจัดการร้านค้าในทุกขั้นตอนยังคงขยายตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ค้าปลีกในตลาดที่กำลังพัฒนาในปัจจุบัน Pinpoint ช่วยให้ผู้ค้าปลีกติดตามวันหมดอายุของสินค้าคงคลังทั่วทั้งร้านและทำงานร่วมกับผู้ซื้อเพื่อลดขยะอาหารตลอดเวลา” Hines กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในฐานะบริษัท เรามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการบริหารจัดการร้านค้าในทุกขั้นตอนให้แก่ผู้ค้าปลีกด้านอาหาร ด้วยความสนใจของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความยั่งยืน ผู้ค้าปลีกจึงเผชิญกับความท้าทายในการลดขยะอาหารไปพร้อมกับการผลักดันยอดขาย และนั่นคือจุดที่ทั้ง ADC และ Pinpoint ได้เข้ามามีบทบาทร่วมกัน”

เป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษแล้วที่ ADC เป็นผู้ให้บริการที่ได้รับความไว้วางใจจากร้านขายของชำและร้านสะดวกซื้อกว่า 20,000 แห่ง แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยระบบซอฟท์แวร์ของบริษัทสำหรับโซลูชันการค้าปลีกที่ปรับให้เหมาะกับอุตสาหกรรมนั้น ประกอบด้วยการบริหารและจัดการคลังสินค้า การจัดการขั้นตอนการทำงาน การผลิตตามออเดอร์ การพิมพ์ฉลาก การจัดการสินค้าคงคลังและของเสีย การตรวจสอบย้อนกลับอาหาร การวางแผนการผลิต การสั่งซื้อ และการตรวจสอบอุณหภูมิ การนำแพลตฟอร์ม Date Check Pro ของ Pinpoint มาใช้ จะทำให้ ADC สามารถลดจำนวนการสูญเสียจากผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้นด้วย

Andrew Hoeft ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของ Pinpoint กล่าวว่า “ที่ Pinpoint เราเชื่อเสมอมาในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพและการรับประกันประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สดใหม่แก่ลูกค้า ADC เริ่มต้นด้วยความสดใหม่ และมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในการช่วยให้ผู้ค้าปลีกลดปริมาณขยะอาหาร เมื่อผสานกับการเน้นความสำคัญร่วมกันต่อการปรับใช้งานด้วยโซลูชันที่ใช้งานและเรียนรู้ได้ง่าย การผนึกกำลังกับ ADC คือการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ”

จากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ การทำงานจะเริ่มขึ้นทันทีด้วยขั้นตอนการบูรณาการระหว่างแพลตฟอร์มในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เว็บไซต์ ADC จะได้รับการปรับปรุงเพื่อแสดงขอบเขตการทำงานทั้งหมดของบริษัทหลังควบรวม

เกี่ยวกับ Applied Data Corporation

กว่า 30 ปีแล้ว ที่ ADC เป็นผู้ริเริ่มเทคโนโลยีอาหาร แพลตฟอร์มของ ADC ได้แก่ FreshIQ® และ ShopperKit ช่วยให้ผู้ค้าปลีกมีช่องทางหลากหลายในการบริหารจัดการร้านค้าในทุกขั้นตอน FreshIQ ช่วยให้ผู้ค้าปลีกวางแผน จัดเตรียม วิเคราะห์ และส่งมอบรายการอาหารสดที่ผู้ซื้อต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่แพลตฟอร์ม ShopperKit ช่วยบริหารและจัดการคลังสินค้าให้ผู้ค้าปลีกสามารถรับ จัดลำดับความสำคัญ และดำเนินการตามคำสั่งซื้อจากคู่ค้าผ่านทางออนไลน์ ทำให้ผู้ขายของชำสามารถเสนอบริการรับสินค้าในร้านหรือจัดส่งให้แก่ลูกค้าออนไลน์ได้ ผลิตภัณฑ์ของ ADC มีการใช้งานทั่วโลกในเชนร้านขายของชำและร้านสะดวกซื้อมากกว่า 120 เชน และมากกว่า 20,000 สาขา ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.applieddatacorp.com 

เกี่ยวกับ Pinpoint

Pinpoint Software, Inc. เป็นบริษัทแม่ของ Date Check Pro ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2554 และตั้งอยู่ในชุมชนเทคโนโลยีและศูนย์กลางเทคโนโลยีสำหรับร้านขายของชำที่เติบโตอย่างรวดเร็วในเมืองเมดิสัน รัฐวิสคอนซิน โดยเริ่มต้นจากการที่ Andrew Hoeft ผู้ก่อตั้งบริษัทตั้งใจจะแก้ปัญหาสินค้าหมดอายุก่อนกำหนด ปัจจุบัน เราช่วยซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อกว่าพันแห่งทั่วโลกขจัดความสูญเสียในผลิตภัณฑ์ที่เสียหายและหมดอายุ และมอบผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ผู้ซื้อ

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211005005211/en/

ติดต่อ:

Abby Sandbach
720.341.6354
abby.sandbach@applieddatacorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

“การท่องเที่ยวฮ่องกง” จับมือ “ซีเจ อีเอ็นเอ็ม” ปลุกกระแสเที่ยวฮ่องกงด้วยวัฒนธรรม “เคป็อป”

Logo

imgimg

การท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board: HKTB) ได้ลงนามข้อตกลงสามปีกับ บริษัท ซีเจ อีเอ็นเอ็ม (CJ ENM) หนึ่งในบริษัทผู้นำด้านอุตสาหกรรมบันเทิงแห่งเอเชีย ลงนามข้อตกลงสามปี ตั้งแต่ปี 2565 ถึง 2567 เพื่อสร้างมุมมองใหม่ต่อฮ่องกงในฐานะสถานที่น่าท่องเที่ยวผ่านซีรีส์ และรายการวาไรตี้เกาหลี และยังเป็นครั้งแรกที่องค์กรด้านการท่องเที่ยวได้ร่วมวางแผนกลยุทธ์ควบคู่กับบริษัทด้านความบันเทิงอย่างซีเจ อีเอ็นเอ็ม ซึ่งมีประสบการณ์ในการผลิตซีรีส์และวาไรตี้ที่ได้รับกระแสตอบรับล้นหลามในระดับโลกอย่าง ซีรีส์ปักหมุดรักฉุกเฉิน (Crash Landing On You), ก็อบลิน คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ (Goblin: The Lonely and Great God), เพลย์ลิสต์ชุดกาวน์ (Hospital Playlist), วินเชนโซ่ ทนายมาเฟีย (Vincenzo) รวมทั้งรายการวาไรตี้อย่าง Youn's Kitchen และ New Journey to the West การร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นการกระตุ้นให้ผู้ชมได้นึกถึงฉากที่ชื่นชอบจากซีรีส์เกาลี และรายการวาไรตี้ต่างๆ ในบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวท้องถิ่นในฮ่องกง และยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวเมื่อสามารถเดินทางข้ามพรมแดนได้อีกครั้งด้วย

การท่องเที่ยวฮ่องกง และบริษัทสัญชาติเกาหลีอย่าง ซีเจ อีเอ็นเอ็ม ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งจะทำให้ฮ่องกงได้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหารายการมากมายที่ผลิตโดย ซีเจ อีเอ็นเอ็ม ตั้งแต่ปี 2565 ถึง 2567 โดยจะนำเสนอภาพของไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรมฮ่องกงอันเป็นเอกลักษณ์ สู่สายตาผู้ชมทั่วโลก ในปัจจุบัน คอนเทนต์อันโด่งดังที่ทางซีเจ อีเอ็นเอ็มผลิตขึ้นนั้น ถ่ายทอดไปแล้วกว่า 200 ประเทศ และมีการรับชมทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งชื่อดังระดับโลกที่เป็นพันธมิตรกับซีเจ อีเอ็นเอ็มอีกด้วย

เมื่อการจำกัดการเดินทางสิ้นสุดลง ภาพบรรยากาศของฮ่องกงก็จะได้รับการถ่ายทอดออกไปในฐานะฉากหลังของละครและรายการวาไรตี้หลายประเภทที่ผลิตโดยบริษัท ซีเจ อีเอ็นเอ็ม ที่เคยฝากผลงานการผลิตซีรีส์สุดฮิตและได้รับกระแสตอบรับที่ดีทั่วโลก อย่าง ซีรีส์ปักหมุดรักฉุกเฉิน (Crash Landing On You), ก็อบลิน คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ (Goblin: The Lonely and Great God), เพลย์ลิสต์ชุดกาวน์ (Hospital Playlist), วินเชนโซ่ ทนายมาเฟีย (Vincenzo) รวมทั้งรายการวาไรตี้อย่าง Youn's Kitchen และ New Journey to the West

หุ้นส่วนทั้งสองจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อก่อให้เกิดความกลมกลืนของผลงาน ซึ่งรวมถึงการให้คำแนะนำด้านสถานที่และมุมมองทางวัฒนธรรมของฮ่องกงที่จะปรากฏในแต่ละรายการ ซึ่งจะทำให้ฮ่องกงติดอันดับลิสต์สถานที่น่าท่องเที่ยวของคอซีรีส์เกาหลีอย่างแน่นอน

ดร. วายเค แปง ประธานการท่องเที่ยวฮ่องกง ผู้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจออนไลน์ ระหว่าง นายเดน เฉิง ผู้อำนวยการบริหารการท่องเที่ยวฮ่องกง และ นายลี ซังมู รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายขายโฆษณา และพันธมิตรทางธุรกิจ บริษัท ซีเจ อีเอ็นเอ็ม กล่าวว่า “การท่องเที่ยวฮ่องกงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นองค์กรด้านการท่องเที่ยวแรกที่มีการร่วมมือเชิงกลยุทธ์ลักษณะนี้กับบริษัท ซีเจ อีเอ็นเอ็ม เป้าหมายของเราคือการสอดแทรกฮ่องกงในเนื้อหาซีรีส์และรายการวาไรตี้เกาหลีชื่อดัง ซึ่งจะช่วยเสริมสถานะให้ฮ่องกงเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่น่าตื่นเต้นและน่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เมื่อสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อีกครั้ง เราคาดการณ์ว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะทวีความเข้มข้นขึ้นเมื่อโรคระบาดนี้สิ้นสุดลง ดังนั้น การท่องเที่ยวฮ่องกงจึงออกตัวก่อนด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรที่ทรงอิทธิพลในด้านสื่อ เพื่อให้ฮ่องกงยังคงอยู่ในสายตาและความสนใจของผู้ชมทั่วโลกอยู่เสมอ”

นายลี ซังมู รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายขายโฆษณาและพันธมิตรทางธุรกิจ บริษัท ซีเจ อีเอ็นเอ็ม กล่าวปิดท้ายว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้เป็นพันธมิตรกับการท่องเที่ยวฮ่องกง และหยิบยกเสน่ห์ และความน่าตื่นตาตื่นใจของฮ่องกง ออกสู่สายตาของผู้ชมผ่านซีรีส์และรายการวาไรตี้ที่เป็นที่นิยมของเรา และด้วยคอนเทนต์ระดับพรี
เมียมของซีเจ อีเอ็นเอ็ม ที่ผ่านการพิสูจน์ทั้งยอดการรับชมและอิทธิพลในระดับโลก เรายังคงมุ่งมั่นที่จะขยายผลงานสู่ตลาดนานาชาติผ่านกลยุทธ์การร่วมมือจากทั่วโลก”

###

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับท่านสื่อมวลชน

เกี่ยวกับการท่องเที่ยวฮ่องกง

การท่องเที่ยวฮ่องกง (The Hong Kong Tourism Board: HKTB) เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งโดยภาครัฐบาล มีสำนักงาน 15 แห่งทั่วโลก และมีสำงานตัวแทนใน 7 ภูมิภาค โดยมีภารกิจหลักเพื่อขยายผลผลิตทางเศษฐกิจและสังคมของฮ่องกงจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และร่วมกันผลักดันให้ฮ่องกงเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายการท่องเที่ยวระดับโลก การท่องเที่ยวฮ่องกงทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาครัฐบาล ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และพันธมิตร เพื่อประชาสัมพันธ์ฮ่องกงออกสู่สายตานานาชาติ รวมถึงขยายรูปแบบของบริการดีๆ ในฮ่องกงให้มีความหลากหลาย ยกระดับมาตรฐานการบริการ และส่งเสริมประสบการณ์ของผู้ที่มาเยี่ยมเยือน

ติดตามข่าวสาร discoverhongkong.com Facebook: www.facebook.com/hk.discoverhongkong/

Instagram: www.instagram.com/discoverhongkong/ 3

เกี่ยวกับบริษัท ซีเจ อีเอ็นเอ็ม จำกัด

บริษัท ซีเจ อีเอ็นเอ็ม เป็นบริษัทผู้นำทางด้านบันเทิงและไลฟ์สไตล์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ตั้งแต่ปี 2538 โดยบริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่หลายหลากในอุตสาหกรรมบันเทิงตั้งแต่ คอนเทนต์ในสื่อ, ดนตรี, ภาพยนตร์, ศิลปะการแสดง รวมไปถึงอนิเมชั่น ซึ่งผลิตผลงานชั้นนำออกสู่หลากหลายแพลตฟอร์ม ซีเจ อีเอ็นเอ็มได้สร้างสรรค์ ดำเนินการผลิต รวมถึงจัดจำหน่าย รายการชื่อดังที่ได้รับกระแสตอบรับดีในระดับโลก รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลคานส์อย่าง ชนชั้นปรสิต(Parasite) และ ชนะรางวัล โทนี่ อวอร์ด สาขาละครเพลงอย่าง จับหัวใจมาใส่เกือก(Kinky Boots) รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ทุบสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศของเกาหลีอย่าง ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม(Roaring Currents), ภารกิจทอดไก่ ซุ่มจับเจ้าพ่อ(Extreme Job), กี่หมื่นวัน…ไม่ลืมคำสัญญาพ่อ(Ode to My Father) รวมไปถึง ซีรีส์และรายการโทรทัศน์ที่ทุกคนต่างติดตามอย่าง ปักหมุดรักฉุกเฉิน(Crash Landing On You), สุภาพบุรุษตะวันฉาย(Mr. Sunshine), ก็อบลิน คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ(Guardian: The Lonely and Great God), ป๋าซ่าพาซิ่ง(Grandpas over Flowers), นักร้องซ่อนแอบ(I Can See Your Voice) และอื่นๆ อีกมากมาย และเพื่อที่จะนำเสนอประสบการณ์แห่งวัฒนธรรมเกาหลีในระดับนานาชาติ  ซีเจ อีเอ็นเอ็ม ยังภูมิใจนำเสนอ KCON/KCON:TACT มหกรรมที่รวบรวมวัฒนธรรมเกาหลีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเทศกาลการเฉลิมฉลอง Hallyu รวมถึง เอ็มเน็ต เอเชี่ยน มิวสิค อวอร์ด (MAMA) งานประกาศรางวัลด้านดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และยังมีสำนักงานระดับภูมิภาคในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ปัจจุบันซีเจ อีเอ็นเอ็ม มีพนักงานมากกว่า 3,600 คน

ลิงก์สำหรับดาวน์โหลดไฟล์ภาพขนาดใหญ่

https://hktb.filecamp.com/s/2021_MOU_signing_between_HK/fo

###

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


Novo Nordisk ประเทศไทย ได้รับการรับรองสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดเป็นปีที่สองติดต่อกัน

Logo

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–4 ต.ค. 2564

Novo Nordisk ประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกที่มีนวัตกรรมและความเป็นผู้นำในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานมายาวนานกว่า 95 ปี ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่ดีที่สุดในการทำงานในประเทศไทยทั้งในปี 2563 และ 2564 บริษัทเสนอบริการที่มีรางวัลการันตี มีวัฒนธรรม โอกาสก้าวหน้า การฝึกอบรมและการพัฒนาอาชีพ การให้คำปรึกษาระดับสูง การริเริ่มด้านสุขภาพกายและใจ การริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และผลประโยชน์ในการแข่งขัน ส่งผลบริษัทให้เป็นหนึ่งนายจ้างที่น่าปรารถนาในประเทศไทย จากผลสำรวจของบริษัท พบว่า พนักงานร้อยละ 99 กล่าวว่าที่นี่เป็นที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม เมื่อเทียบกับองค์กรไทยทั่วไปที่ได้คะแนนร้อยละ 82

“Novo Nordisk Thailand ให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคนและครอบครัวในช่วงการระบาดใหญ่ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ด้วยการสื่อสารที่ชัดเจนทั้งด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วม ไปพร้อม ๆ กับการจัดการการทำงานจากที่บ้านอย่างมีชีวิตชีวา การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและชื่นชมอย่างมากในช่วงเวลานี้ จิตวิญญาณของทีมไม่เคยล้มเหลวในการสร้างความมั่นใจว่าอุปสรรคทั้งหมดจะได้รับการจัดการอย่างสอดคล้องเหมาะสมกัน พร้อมกับการเฉลิมฉลองความสำเร็จตลอดทั้งปี” หนึ่งในพนักงานของ Novo Nordisk ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์เอาไว้

“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นบริษัทที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน” John Dawber ผู้จัดการทั่วไปของ Novo Nordisk ประจำประเทศไทยกล่าว “ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างแท้จริงกับผลลัพธ์ เมื่อคำนึงว่าเราเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เราทำงานอย่างหนัก ไปพร้อม ๆ กับการใช้แนวทางที่เป็นระบบเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อให้แน่ใจว่า สภาพแวดล้อมที่เราจัดเตรียมไว้เป็นสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลิน รู้สึกปลอดภัย มีส่วนร่วม และประสบความสำเร็จ แม้ในช่วงเวลาที่ต้อง Work from Home เราให้ความสำคัญกับสถานการณ์ส่วนบุคคลของทีมอย่างใกล้ชิด และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีที่สุดสำหรับพนักงานของเราใน สถานการณ์ที่ยากลำบาก”

“ผลตอบรับที่ได้รับจากรางวัล Best Place To Work Award ปีที่แล้ว ถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานของเรา เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถปรับปรุงคะแนนทั้งหมดทั่วทั้ง 8 มิติของแบบสำรวจ เมื่อเทียบกับปี 2563 กุญแจสู่ความสำเร็จของบริษัทของเราคือพนักงานของเรา เราขอขอบคุณพวกเขาที่มีส่วนร่วมอย่างมากต่อวัฒนธรรมองค์กรของเรา สำหรับความไว้วางใจในภารกิจของเรา และข้อเสนอแนะที่ตรงไปตรงมา” Vera Bakirova ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Novo Nordisk ประเทศไทย กล่าว

“แม้จะมีปัญหาจากการระบาดใหญ่ แต่  Novo Nordisk ประเทศไทย ไม่เพียงแต่จะสามารถส่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่โดดเด่น และสร้างคุณูปการเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังได้รับความไว้วางใจจากพนักงานให้ยังคงเป็นหนึ่งในสุดยอดสถานที่ทำงานในประเทศไทย”

เกี่ยวกับโครงการสถานที่ทำงานที่ดีที่สุด

Best Places To Work หรือ โครงการสถานที่ทำงานที่ดีที่สุด เป็นโครงการการรับรองระดับโลกที่รับรองสถานที่ทำงานชั้นนำในหลายประเทศทั่วโลก การประเมินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเราจะวิเคราะห์ความน่าดึงดูดใจของบริษัทผ่านกระบวนการสองขั้นตอนโดยเน้นที่ปัจจัยในที่ทำงาน 8 ประการ ได้แก่ วัฒนธรรม ความเป็นผู้นำ โอกาสในการเติบโต และการปฏิบัติของบุคลากร นอกจากการสำรวจความพึงพอใจของพนักงานแล้ว เรายังดำเนินการประเมินด้านทรัพยากรบุคคลโดยมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติด้านทรัพยากรบุคคลในองค์กรโดยเทียบกับมาตรฐานกรอบงานบุคลากรของเราที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างรายได้ที่อยู่ในระดับชั้นนำของตลาด และนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.bestplacestoworkfor.org

ติดต่อสำหรับสื่อ: Grace Kelly

อีเมล: grace@bestplacestoworkinasia.com

โทร: +65 3159 1167

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ออสเตรเลียประสบความสำเร็จในการขึ้นระบบด้วยแพลตฟอร์มของ Everbridge Public Warning ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นตัวแทนของการเปิดตัวระบบแจ้งเตือนสำหรับพลเมืองในชาติรุ่นต่อไปของรัฐบาลออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ

Logo

  • Everbridge ขับเคลื่อนระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินของออสเตรเลีย โดยให้การแจ้งเตือนทั่วทั้งพลเมืองเพื่อแจ้งและปกป้องผู้อยู่อาศัยในทวีปจำนวน 34 ล้านคนและผู้มาเยือนประจำปี (เมื่อมีการเปิดพรมแดนอีกครั้ง)
  • การปรับใช้ขึ้นระบบแจ้งเตือนระดับชาติของออสเตรเลียช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำของ Everbridge ในด้านโซลูชันการเตือนภัยสาธารณะ ด้วยสัญญาที่ครอบคลุมทั่วประเทศและทั่วทั้งภูมิภาคอเมริกา (Americas) ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) เอเชียแปซิฟิก (APAC) ซึ่งสามารถเข้าถึงพลเมืองและผู้เดินทางกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก

ซิดนีย์–(BUSINESS WIRE)–05 ตุลาคม 2564

Everbridge, Inc. (NASDAQ: EVBG) ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการเหตุวิกฤต (CEM) และโซลูชันการแจ้งเตือนภัยสาธารณะระดับชาติ ยืนยันในวันนี้ว่ารัฐบาลออสเตรเลียได้เปิดตัวระบบ การแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน ในรูปแบบใหม่สำหรับพลเมืองอย่างเป็นทางการ ซึ่งขับเคลื่อนโดย Everbridge

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211004005968/en/

Australia Successfully Goes Live With Everbridge Public Warning Platform Countrywide (Graphic: Business Wire)

ออสเตรเลียประสบความสำเร็จในการขึ้นระบบด้วยแพลตฟอร์มของ Everbridge Public Warning ทั่วประเทศ (กราฟิก: Business Wire)

ขณะนี้รัฐและเขตการปกครองพิเศษของออสเตรเลียทั้งหมดได้ใช้งานได้บนระบบ Everbridge Public Warning ตามมาด้วยระยะเวลาการปรับใช้โครงการที่ครอบคลุม Everbridge จะเข้าร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลออสเตรเลียในสัปดาห์นี้เพื่อหารือเกี่ยวกับระบบการแจ้งเตือนระดับชาติและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการเตือนภัยสาธารณะที่งาน Australian Disaster Resilience Conference และงาน AFAC21 Virtual Conference & Exhibition

บ้านเรือนของผู้อยู่อาศัยมากกว่า 25 ล้านคน และผู้มาเยือนกว่า 9 ล้านคนต่อปี (เมื่อมีการเปิดพรมแดนใหม่อีกครั้ง) ออสเตรเลียได้เปิดตัวระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินครั้งแรกในปี 2552 เพื่อรับมือกับไฟป่าที่ร้ายแรงหลายครั้ง ด้วยความต้องการที่จะปรับปรุงบริการให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ออสเตรเลียได้เลือกแพลตฟอร์มแจ้งเตือนภัยสาธารณะแบบการให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ หรือ software-as-a-service (SaaS) ของผู้นำด้านการตลาด Everbridge เพื่อให้แต่ละรัฐและเขตปกครองพิเศษและหน่วยงานระดับภูมิภาคของตนใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเพื่อแจ้งเตือนพลเมืองในท้องถิ่นของตนและผู้มาเยือน การสนับสนุนการสื่อสารในการตอบกลับครั้งแรก และวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการสื่อสารเมื่อเกิดภัยพิบัติสำหรับกิจกรรมบรรเทาผลกระทบที่ตามมาภายหลัง

“ระบบนี้เป็นช่องทางสำหรับบริการเหตุฉุกเฉินเพื่อเตือนชุมชนของเราเกี่ยวกับภัยคุกคามที่กำลังรอดำเนินการ และเรายินดีที่เงินทุน Commonwealth funding ช่วยบรรเทาความเสี่ยงซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชาวออสเตรเลียทุกคน” รัฐมนตรีกระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินและวุฒิสมาชิก Hon Bridget McKenzie กล่าวในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ

Joe Buffone ผู้อำนวยการทั่วไปของการจัดการเหตุฉุกเฉินของออสเตรเลีย หรือ Emergency Management Australia กล่าวเพิ่มเติมว่า “ระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินถูกนำไปใช้เพื่อรับมือกับไฟป่าในฤดูร้อนปี 2552 และยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาชุมชนในออสเตรเลียให้ปลอดภัย”

หลังจากการทดสอบเป็นเวลา 2 ปี ทั่วทั้งรัฐและเขตการปกครองพิเศษของออสเตรเลีย รัฐบาลออสเตรเลียประสบความสำเร็จในการใช้ระบบเตือนภัยสำหรับพลเมืองในรุ่นต่อไป เพื่อให้ตำรวจ นักดับเพลิง และการบริการฉุกเฉิน สามารถแจ้งเตือนชุมชนถึงเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นหรือที่เกิดขึ้นจริงได้ ในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤติ อย่างเช่น ไฟป่า น้ำท่วม พายุไซโคลน ความร้อนจัด หรือการโจมตีของผู้ก่อการร้าย บริการฉุกเฉินของออสเตรเลียจะส่งข้อความตามสถานที่ไปยังโทรศัพท์มือถือและข้อความเสียงไปยังโทรศัพท์บ้านภายในพื้นที่เป้าหมายทางภูมิศาสตร์ที่แม่นยำ ขณะที่บูรณาการเข้ากับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้สนับสนุนออสเตรเลียในการพัฒนาระบบเตือนภัยระดับชาติ” Steve Foster รองประธานออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และโอเชียเนียของ Everbridge กล่าว “ด้วยการไม่ต้องเลือกใช้หรือดาวน์โหลดแอป แพลตฟอร์มแจ้งเตือนภัยสาธารณะของ Everbridge จะส่งการแจ้งเตือนฉุกเฉินไปยังพลเมืองที่มีความเสี่ยงในระดับทั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยในออสเตรเลียและผู้มาเยือนปลอดภัยเมื่อพรมแดนกลับมาเปิดอีกครั้ง ทำให้ปลอดภัยในระหว่างเกิดเหตุไฟป่าและเหตุวิกฤตอื่น ๆ ทุกประเทศสามารถได้รับประโยชน์จากแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยนี้ซึ่งเข้าถึงทุกคนได้ในยามวิกฤต”

การใช้ระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินของออสเตรเลียขยายจุดยืนของ Everbridge ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันแจ้งเตือนภัยสาธารณะทั่วทั้งพลเมืองที่ใช้โดยเทศบาล เขตปกครอง เมือง รัฐ และประเทศต่าง ๆ กว่า 1,500 แห่งในทั่วทุกภูมิภาคที่สำคัญของโลก รวมถึงยุโรป เอเชีย โอเชียเนีย ตะวันออกลาง แอฟริกา และอเมริกา

แพลตฟอร์มของ Everbridge ซึ่งรวมเอาการส่งข้อมูลแบบ Cell Broadcast, SMS ตามตำแหน่ง, เทคโนโลยีการแจ้งเตือนหลายช่องทางตามที่อยู่และตามกลุ่ม – ให้ความสามารถในการจัดการเหตุวิกฤตในภัยคุกคามที่หลากหลาย รวมถึงภัยธรรมชาติ การก่อการร้าย การโจมตีทางอินเทอร์เน็ต และเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยอื่น ๆ

ระบบ Everbridge Public Warning นั้นตรงและเกินความต้องการของหน่วยงานสาธารณะที่กำลังมองหาโซลูชันการแจ้งเตือนภัยขั้นสูงเพื่อปกป้องพลเมืองและผู้มาเยือน ในขณะที่ยังคงปฏิบัติตามกฎระเบียบความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างเต็มที่ บริษัทเพิ่งประกาศสิทธิบัตรใหม่สำหรับงานปฏิวัติในการเปิดใช้งานความสามารถในการแจ้งเตือนพลเมืองมัลติมีเดียแบบครบวงจร หรือ end-to-end สิทธิบัตรซึ่งเป็นหนึ่งในมากกว่า 160 รายการ ทั่วทั้งโซลูชั่นของชุดแจ้งเตือนพลเมืองของผู้นำด้านการตลาดของ Everbridge โดยเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการส่งการแจ้งเตือนผ่านการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี 5G การส่งข้อมูลแบบ cell broadcast และมัลติมีเดีย Everbridge ยังคงเป็นผู้นำในการบูรณาการเทคโนโลยี 5G สำหรับระบบแจ้งเตือนภัยสาธารณะ

เกี่ยวกับ Everbridge

Everbridge, Inc.. (NASDAQ: EVBG) คือบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลกที่ให้บริการแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ระดับองค์กรซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติและรับมือได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยและให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ ระหว่างเกิดเหตุการณ์ที่เป็นภัยคุกคามความปลอดภัยสาธารณะ เช่น เหตุการณ์กราดยิง การโจมตีของผู้ก่อการร้าย หรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ รวมถึงเหตุวิกฤตทางธุรกิจอย่างระบบไอทีล่มและการโจมตีทางไซเบอร์ หรือเหตุการณ์อื่น ๆ เช่น การเรียกคืนผลิตภัณฑ์หรือเหตุที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน ลูกค้าทั่วโลกกว่า 5,800 รายต่างต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มสำหรับจัดการเหตุวิกฤตของบริษัท เพื่อรวบรวมและประเมินข้อมูลที่เป็นภัยคุกคามอย่างรวดเร็วและด้วยวิธีการที่น่าเชื่อถือ ระบุตำแหน่งของผู้ตกอยู่ในความเสี่ยง และอุปกรณ์ตอบรับสามารถช่วยเหลือ เริ่มกระบวนการสื่อสารที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าโดยอัตโนมัติผ่านการส่งที่มีความปลอดภัยไปยังอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ กว่า 100 แบบ และติดตามความคืบหน้าในการเริ่มแผนรับมือ Everbridge ให้บริการในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทั้งหมด 8 ใน 10 เมือง ธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 9 ใน 10 แห่ง สนามบินที่มีความหนาแน่นที่สุดในอเมริกาเหนือ 47 ใน 50 แห่ง บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดทั้งหมด 9 ใน 10 แห่ง บริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ระดับโลก 8 ใน 10 แห่ง ผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 9 ใน 10 แห่ง และบริษัทด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก 7 ใน 10 แห่ง สำนักงานของ Everbridge ตั้งอยู่ในบอสตัน และมีสำนักงานเพิ่มเติมใน 25 เมืองทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ www.everbridge.com

การแจ้งเตือนเกี่ยวกับข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

เอกสารฉบับนี้ประกอบด้วย “ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต” ตามความหมายใน  “บทบัญญัติการจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบ” ภายใต้กฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 รวมถึงแต่ไม่จำกัดข้อความในลักษณะที่เป็นการคาดการณ์โอกาสและแนวโน้มการเติบโตของระบบสื่อสารที่สำคัญและแอปพลิเคชันเพื่อความปลอดภัยขององค์กร ธุรกิจในภาพรวม โอกาสทางการตลาด ความคาดหวังต่อยอดขายผลิตภัณฑ์ เป้าหมายในการรักษาสถานะผู้นำทางการตลาดและเป้าหมายในการขยายตลาดซึ่งเราแข่งขันเพื่อให้ได้ลูกค้า และผลกระทบที่คาดการณ์ต่อผลลัพธ์ทางการเงิน ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้จัดทำขึ้นในวันที่เอกสารนี้ถูกเผยแพร่และตั้งอยู่บน ความคาดหวัง การประมาณการ การคาดการณ์ และการคาดคะเน รวมถึงความเชื่อและสมมติฐานของฝ่ายบริหารที่เป็นปัจจุบัน ณ ขณะนั้น เมื่อมีการใช้คำว่า “เชื่อ” “คาดการณ์” “ประมาณการ” “ควรจะ” “เชื่อว่า” “ตั้งเป้า” “วางแผน” “เป้าหมาย” “เป็นไปได้” “คาดเดา” “อาจ” “จะ” “อาจจะ” “มุ่งหมาย” คำที่มีความหมายเหมือนกัน หรือคำเหล่านี้ที่มีความหมายในเชิงลบ และคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน ให้ถือว่าเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เหนือการควบคุมของเรา ผลลัพธ์ที่แท้จริงของเราอาจแตกต่างออกไปอย่างมากจากที่คาดการณ์ไว้ในข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตเนื่องจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ความสามารถของผลิตภัณฑ์และบริการของเราในการดำเนินการตามที่ตั้งใจไว้และตอบสนองลูกค้าของเราได้ตามที่คาดหวัง ความสามารถของเราในการควบรวมกับธุรกิจและสินทรัพย์ที่เราอาจเข้าซื้อได้สำเร็จ ความสามารถในการดึงดูดลูกค้ารายใหม่และรักษาและเพิ่มยอดขายจากลูกค้าที่มีในปัจจุบัน ความสามารถของเราในการเพิ่มยอดขายของแอปพลิเคชัน Mass Notification และ/หรือ ความสามารถในการเพิ่มยอดขายของแอปพลิเคชันอื่น ๆ ของเรา การพัฒนาในตลาดสำหรับระบบสื่อสารที่สำคัญตามเป้าหมายและเกี่ยวข้องกับบริบทหรือสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง การประเมินโอกาสทางการตลาดและการคาดการณ์การเติบโตของตลาดของเราอาจไม่ถูกต้อง ผลประกอบการของเราที่ผ่านมาไม่ได้ทำกำไรอย่างต่อเนื่องและเราอาจไม่สามารถรักษาระดับผลกำไรได้ในอนาคต วงจรการขายที่ยาวนานและไม่สามารถคาดเดาได้ของลูกค้ารายใหม่ ลักษณะธุรกิจของเราทำให้เรามีความเสี่ยง ความสามารถของเราในการดึงดูด ควบรวม และรักษาพนักงานที่มีความสามารถเอาไว้ ความสามารถของเราในการรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรจัดจำหน่ายและพันธมิตรทางเทคโนโลยีได้สำเร็จ ความสามารถในการจัดการการเติบโตของเราอย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถของเราในการรับมือกับความกดดันทางการแข่งขัน ความรับผิดที่อาจเกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถระบุได้ ความสามารถของเราในการปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของเรา และความเสี่ยงอื่น ๆ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (“SEC”) รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง รายงานประจำปีของเราในฟอร์ม 10-K สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ยื่นต่อ SEC เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้แสดงให้เห็นทัศนะของบริษัท ณ วันที่เผยแพร่เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ บริษัทไม่มีภาระผูกพันและไม่ขอรับผิดชอบในการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตนี้ แม้ว่าจะมีข้อมูลใหม่หรือเกิดเหตุการณ์ในอนาคตหรือไม่ก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นทัศนะของบริษัทหลังจากวันที่เผยแพร่เอกสารประชาสัมพันธ์นี้แล้ว

ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ Everbridge เป็นเครื่องหมายการค้าของ Everbridge, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ชื่อผลิตภัณฑ์หรือชื่อบริษัทอื่น ๆ ที่กล่าวถึงในที่นี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211004005968/en/

ติดต่อสอบถามสำหรับสื่อ:
Kathryn Van Kuyk
Media-Wize
kathryn@media-wize.com
0414 726 958

Jim Gatta
Everbridge
jim.gatta@everbridge.com
+1 215-290-3799

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Watts Water Technologies Inc. แต่งตั้ง Monica Barry เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล

Logo

นอร์ธแอนโดเวอร์ แมสซาชูเซตส์–(BUSINESS WIRE)–4 ต.ค. 2564

Watts Water Technologies, Inc. (NYSE: WTS) ประกาศแต่งตั้ง Monica Barry เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล

คุณ Monica Barry ย้ายมาที่ Watts จาก Colfax Corporation ซึ่งเธอเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การบริหารคน พัฒนาองค์กร และหุ้นส่วนธุรกิจ HR ขององค์กร (Talent Management, Organizational Development and Corporate HR Business) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงกันยายน 2564 โดยก่อนที่จะร่วมงานกับ Colfax คุณ Barry ดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายความสามารถของคนระดับโลก การเรียนรู้ การพัฒนา และความครอบคลุม (Global Talent, Learning & Development and Inclusion) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558 ถึงมกราคม 2563 และในตำแหน่งผู้อำนวยการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ภาคสุขภาพ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 ถึงตุลาคม 2558 ที่ Johnson Matthey, PLC. นอกจากนี้ Monica Barry ยังดำรงตำแหน่งบริหารทรัพยากรบุคคลกับ The Campbell Soup Company และ FMC Corporation อนึ่ง Monica Barry สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย และปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยโลโยลาในรัฐแมริแลนด์

คุณแบร์รี่จะรับตำแหน่งต่อจาก Kenneth R. Lepage ในฐานะผู้นำฝ่ายทรัพยากรบุคคลทั่วโลกของบริษัท โดย คุณ Lepage จะยังคงดำรงตำแหน่งปัจจุบันในฐานะที่ปรึกษาทั่วไปและบทบาทที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของบริษัท

“ผมเชื่อว่าความสามารถและประสบการณ์ของ Monica จะทำให้เธอมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะช่วยเป็นผู้นำในการริเริ่มเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องของเราทั่วโลก” Robert J. Pagano, Jr. ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว “ Monica นำประสบการณ์ที่กว้างขวางและลึกซึ้งมาสู่เราในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง กลยุทธ์การพัฒนาผู้มีความสามารถระดับโลก ประสิทธิผลและความหลากหลายขององค์กร ความเสมอภาคและความทั่วถึง (diversity, equity and inclusion หรือ DEI) ผมตื่นเต้นที่ Monica เข้าร่วมทีมผู้นำระดับโลกของเรา และเราหวังว่าจะได้ร่วมงานกับเธอเพื่อดำเนินการตามกลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคลของเรา และสร้างวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพสูงต่อไป”

Watts Water Technologies, Inc. เป็นผู้ผลิตระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา การดำเนินงานผ่านกลุ่มบริษัทต่าง ๆ ที่ให้บริการผลิตภัณฑ์ระบบประปา ระบบทำความร้อน และคุณภาพน้ำที่กว้างขวางที่สุดในโลก บริษัทและแบรนด์ Watts Water นำเสนอโซลูชันระบบประปา ระบบทำความร้อน และคุณภาพน้ำสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย และอุตสาหกรรม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.wattswater.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211004005524/en/

ติดต่อ:

Watts Water Technologies, Inc.

Timothy M. MacPhee

เหรัญญิกและรองประธานฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์

โทร: 978-689-6201

แฟ็กซ์: 978-794-0353

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mary Kay Inc. ผนึกกำลังกับ Equal Rights Trust เพื่อบุกเบิกการวิจัยเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในอัลกอริทึมและเอไอ

Logo

ดัลลาส–(บิสิเนสไวร์)–04 ต.ค. 2564

Mary Kay Inc. ผู้นำระดับโลกด้านการส่งเสริมเพศหญิงได้ประกาศความร่วมมือกับ Equal Rights Trust (ERT) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีภารกิจในการกำจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบและสร้างความมั่นใจว่าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน  Trust ก่อตั้งขึ้นในปี 2550 โดยทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาความเท่าเทียมผ่านกฎหมายทั่วโลก ในการร่วมมือครั้งนี้ Mary Kay Inc. จะช่วยให้ ERT ริเริ่มการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอและอัลกอริธึมที่เป็นนวัตกรรมใหม่ผ่านเลนส์ตามเพศ

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211004005308/en/

Equal Rights Trust logo (Graphic: Mary Kay Inc.)

โลโก้ Equal Rights Trust (ภาพกราฟิก: Mary Kay Inc.)

“ในฐานะบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นด้วยพันธกิจในการยกระดับชีวิตของผู้หญิงทุกที่ Mary Kay มองหาองค์กรต่างๆ ที่เราสามารถร่วมมือด้วยเสมอเพื่อสร้างผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางเพศทั่วโลก” Julia Simon ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านความหลากหลายของ Mary Kay Inc. กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้สนับสนุน Equal Rights Trust ในงานของพวกเขาที่จะช่วยพัฒนาความเท่าเทียมด้วยการออกแบบและก้าวไปข้างหน้าสู่ความร่วมมือกับภาคเอกชน  การทำงานของเรากับ ERT มุ่งเน้นเฉพาะในการวางกรอบภูมิทัศน์ใหม่ของปัญญาประดิษฐ์และความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งเป็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นในยุคดิจิทัล”

การสนับสนุน ERT ของ Mary Kay จะเป็นผู้บุกเบิกด้านการวิจัยใหม่เกี่ยวกับผลกระทบจากการเลือกปฏิบัติของระบบอัลกอริธึมที่ ERT ได้พัฒนาและส่งเสริมแบบจำลองของการประเมินผลกระทบความเท่าเทียมกัน โดยสนับสนุนแนวทาง “ความเท่าเทียมโดยการออกแบบ” ในการตัดสินใจภาครัฐและเอกชนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการเลือกปฏิบัติและความเท่าเทียมกันในการมีส่วนร่วม  ลำดับที่สำคัญที่สุดคือการเปิดตัวความคิดริเริ่มเพื่อสร้างและจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเลือกปฏิบัติของการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ

“การใช้อัลกอริธึมและปัญญาประดิษฐ์กำลังแพร่กระจาย” Ariane Adam รองผู้อำนวยการ Equal Rights Trust กล่าว “เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิเคราะห์ การสื่อสาร และแม้กระทั่งกฎหมายสำหรับสังคมของเราอย่างรวดเร็ว  แม้ว่าระบบดังกล่าวจะแพร่หลายไปทั่วโลก แต่เราเพิ่งเริ่มเข้าใจข้อบกพร่อง ข้อจำกัด และขอบเขตของการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเลือกปฏิบัติ เรายินดีที่ได้ร่วมมือกับ Mary Kay ในการให้ความกระจ่างเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดการเลือกปฏิบัติจากการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง”

การส่งมอบความคิดริเริ่มสามารถแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน:

  • ระยะที่ 1: การวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบการเลือกปฏิบัติที่เกิดขึ้นใหม่ของการใช้อัลกอริทึมในการตัดสินใจในด้านการจ้างงาน การเข้าถึงสินเชื่อและการเข้าถึงที่อยู่อาศัย รวมถึงการมุ่งเน้นที่ผลกระทบของผู้หญิงในฐานะกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในบริบทเหล่านี้โดยเฉพาะ
  • ระยะที่ 2: การมีส่วนร่วมกับผู้มีบทบาทที่หลากหลายเพื่อพัฒนากลยุทธ์การสนับสนุนเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันโดยแนวทางการออกแบบ การพัฒนา การเปิดตัว และการเฝ้าติดตามเทคโนโลยี AI
  • ระยะที่ 3: มีส่วนร่วมกับผู้มีบทบาทระดับนานาชาติ ระดับภูมิภาค และระดับชาติในการกำหนดมาตรฐานที่กำหนดความเท่าเทียมกันด้วยแนวทางการออกแบบ

การเป็นพันธมิตรกับ Equal Rights Trust เป็นเพียงความคิดริเริ่มล่าสุดที่ได้รับการสนับสนุนจาก Mary Kay ในปี 2564 เพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศในทุกที่ เป็นเวลาเกือบ 60 ปีที่ Mary Kay มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมสตรีและครอบครัวโดยร่วมมือกับองค์กรต่างๆ จากทั่วโลก

เกี่ยวกับ EQUAL RIGHTS TRUST

Equal Rights Trust เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนระดับนานาชาติที่มีขึ้นเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติและรับรองว่าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน  เพื่อให้บรรลุภารกิจนี้ องค์กรได้ทำงานร่วมกับผู้ปกป้องความเท่าเทียม – องค์กรภาคประชาสังคม (CSO) นักกฎหมาย ผู้แทนรัฐบาล และอื่นๆ ที่มุ่งมั่นที่จะใช้กฎหมายเพื่อสร้างโลกที่เท่าเทียม โดยให้การสนับสนุนด้านเทคนิค กลยุทธ์ และการปฏิบัติที่จำเป็นแก่พวกเขา การทำงานเพื่อการยอมรับและการดำเนินการตามกฎหมายความเท่าเทียมกันที่ครอบคลุม  ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา เราได้สนับสนุนผู้ปกป้องความเสมอภาคในเกือบ 50 ประเทศ ขณะที่พัฒนาฉันทามติในระดับสากลเกี่ยวกับความจำเป็นและเนื้อหาของกฎหมายความเท่าเทียมกันที่ครอบคลุม เรียนรู้เพิ่มเติมที่ equalrightstrust.org

เกี่ยวกับ MARY KAY

หนึ่งในผู้ทลายเพดานแก้วรายแรก Mary Kay Ash ก่อตั้งบริษัทความงามของเธอเมื่อเกือบ 60 ปีที่แล้วโดยมีเป้าหมาย 3 ประการคือ พัฒนาโอกาสที่คุ้มค่าสำหรับผู้หญิง นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ และทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น  ความฝันนั้นเบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยมีสมาชิกฝ่ายขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ  Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวล้ำสมัย เครื่องสำอางสี อาหารเสริม และน้ำหอม และการร่วมมือกับองค์กรทั่วโลกเพื่อสร้างผลกระทบทางสังคมที่ดี  Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขาด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่างๆ จากทั่วโลกโดยมุ่งเน้นที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง ปกป้องผู้รอดชีวิตจากการถูกล่วงละเมิดในครอบครัว สร้างความสวยงามให้ชุมชนของเรา และสนับสนุนให้เด็กๆ ทำตามความฝัน  วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกายในทุกลิปสติก   เรียนรู้เพิ่มเติมที่ marykayglobal.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211004005308/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. ฝ่ายสื่อสารองค์กร
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย



Black & Veatch Management Consulting ได้รับเลือกให้ช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าของ SCG International ในประเทศไทย

Logo

การศึกษาที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นแม่แบบในการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในวงกว้างในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โอเวอร์แลนด์พาร์ค แคนซัส–(BUSINESS WIRE)–5 ตุลาคม 2564

Black & Veatch ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการลดก๊าซคาร์บอนและโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งไร้มลพิษ ประกาศว่าบริษัทได้รับการคัดเลือกเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าสำหรับยานยนต์แก่ SCG International Corp โครงการนี้มีความพยายามที่จะเป็นต้นแบบในการนำยานยนต์พลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานมาใช้ทั่วประเทศไทยและตลาดอื่น ๆ ที่ SCG ให้บริการในวงกว้างขึ้น

สำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (USTDA) มอบเงินช่วยเหลือแก่ SCG International เพื่อศึกษาแนวทางที่ดีที่สุดในการเร่งรัดการนำยานยนต์พลังงานไฟฟ้ามาใช้งานในสถานที่ตั้งของธุรกิจหลายร้อยแห่งของเครือ SCG รวมถึงธุรกิจซีเมนต์ Black & Veatch จะเป็นพันธมิตรที่สำคัญของโครงการนี้ โดยจะวางแผนกลยุทธ์ในการลดก๊าซคาร์บอนรถขนส่งสินค้าของ SCG

เงินสนับสนุนดังกล่าวครอบคลุมไปถึงการออกแบบโครงการนำร่องในสถานที่ดำเนินงาน 3 แห่งที่ SCG International จะทดสอบความเป็นไปได้ของการพัฒนาระบบไฟฟ้าสำหรับรถขนส่งสินค้า  รวมไปถึงรถบรรทุกคอนกรีตผสมเสร็จ ซึ่งบริษัทมียานพาหนะเหล่านี้อยู่เป็นจำนวนมาก เงินสนับสนุนนี้ยังใช้เพื่อการสำรวจการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถแท็กซี่พลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพฯ อีกด้วย

Deepa Poduval หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ Black & Veatch กล่าวว่า “หลังจากช่วยเหลือองค์กรหลายแห่งในการเปลี่ยนผ่านสู่ยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแล้ว Black & Veatch ก็ได้โอกาสมอบความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงแก่ SCG International เพื่อช่วยให้แนะแนวทางการลดก๊าซคาร์บอนในอนาคต”

Poduval กล่าวเพิ่มเติมว่า “การดำเนินงานสนับสนุนด้านเงินทุนของ USTDA เพื่อช่วยหาแนวทางในการพัฒนารถขนส่งสินค้าแบบไร้มลพิษถือเป็นคำมั่นสัญญาที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นต้นแบบการนำยานยนต์พลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ทั่วประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อปรับปรุงชีวิตและสุขภาพของผู้คนภายในภูมิภาค

Abhijit Datta กรรมการผู้จัดการของ SCG International กล่าวว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการยกระดับการปฏิบัติงานตามเป้าหมายของเครือเอสซีจี โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2593

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมขอขอบคุณ USTDA และ Black & Veatch ด้วยใจจริงที่ให้การสนับสนุน แนะแนวทาง และดำเนินงานเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้ เราหวังว่าจะมีความร่วมมือที่เข้มแข็งต่อไปในอนาคต”

โครงการนี้ช่วยให้เป้าหมายด้าน Global Partnership for Climate-Smart Infrastructure ของ USTDA รุดหน้า ซึ่งเป็นการเชื่อมอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เข้ากับโครงการด้านการพัฒนาพลังงานสะอาดและการขนส่งที่สำคัญ ๆ ในตลาดเกิดใหม่

หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ:

  • ดาวน์โหลด ebook ของ Black & Veatch เรื่อง “Electric Fleets: 8 Steps to Medium- and Heavy-Duty Fleet Electrification” คลิกที่นี่
  • ชมการไลฟ์ผ่าน LinkedIn ในเดือนมกราคม 2564 หัวข้อ “The Electric Fleet Power Play” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งและพลังงานสะอาดของ Black & Veatch ได้ตอบคำถามผู้ชมเกี่ยวกับการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า คลิกที่นี่

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่พนักงานร่วมเป็นเจ้าของ โดยมีประวัติผลงานด้านนวัตกรรมมากกว่า 100 ปีในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2458 เป็นต้นมา เราได้ช่วยลูกค้าของเราพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยจัดการกับความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ในปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมในการดำเนินงาน เท่ากับ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และทางสื่อสังคม

เกี่ยวกับสำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (USTDA)

สำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (USTDA) ช่วยให้เกิดการสร้างงานในบริษัทต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ผ่านการส่งออกสินค้าและบริการให้แก่โครงการด้านการพัฒนาที่สำคัญ ๆ ในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ USTDA เชื่อมโยงธุรกิจของสหรัฐฯ กับโอกาสการส่งออกโดยให้เงินสนับสนุนกิจกรรมการเตรียมการดำเนินงานในโครงการและการสร้างความเป็นหุ้นส่วน ซึ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศภาคี

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210927005890/en/

ติดต่อ:

EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com
สายด่วน 24 ชั่วโมงสำหรับสื่อ | +1 855-999-5991

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Jetcraft ขยายธุรกิจในเอเชียด้วยสำนักงานแห่งใหม่ในสิงคโปร์

Logo

ลอนดอน–LONDON–(BUSINESS WIRE)–04 ตุลาคม 2564

Jetcraft ผู้นำระดับโลกด้านการขายและการเข้าซื้อกิจการ business jet หรือ เครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ประกาศเปิดสำนักงานในสิงคโปร์ เพื่อรองรับการเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วทั้งภูมิภาค

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211003005018/en/

Tim Yue, sales director, Jetcraft Asia (left), will lead Jetcraft’s new Singapore office, with the oversight of David Dixon, president, Jetcraft Asia (right). (Photo: Business Wire)

Tim Yue ผู้อำนวยการฝ่ายขาย Jetcraft Asia (ซ้าย) จะเป็นผู้นำสำนักงานแห่งใหม่ในสิงคโปร์ของ Jetcraft ด้วยการกำกับดูแลของ David Dixon ประธาน Jetcraft Asia (ขวา) (ภาพ: Business Wire)

สำนักงานดังกล่าวจะนำโดย Tim Yue ซึ่งปัจจุบันอยู่ในฮ่องกง และมีประสบการณ์ด้านธุรกิจการบินมากว่าทศวรรษ Tim จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ David Dixon ประธาน Jetcraft Asia ซึ่งจะดูแลกิจกรรมทั้งหมดในภูมิภาค

David Dixon กล่าวว่า: “เอเชียยังคงเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับ Jetcraft ดังนั้นการขยายธุรกิจของเราไปยังสิงคโปร์จึงเป็นขั้นตอนที่สมเหตุสมผล โดยเป็นการพิสูจน์เพิ่มเติมถึงความมุ่งมั่นระยะยาวของเราในการให้บริการฐานลูกค้าทั่วโลกและการเข้าถึงตลาดที่ไม่มีใครเทียบได้

“เราได้เห็นการเติบโตที่สำคัญของสิงคโปร์ในด้านธุรกิจการบินและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการบำรุงรักษาหลายแห่งที่ Seletar Aerospace Park ประกอบกับบทบาทของภูมิภาคในภาคบริการทางการเงิน ทำให้สิงคโปร์เป็นทำเลที่เหมาะสมที่สุด มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจการบินทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเราได้รับการสนับสนุนโดยผู้ซื้อครั้งแรกที่มีนัยสำคัญที่เข้ามาในอุตสาหกรรมของเรา ถึงแม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้จะเป็นไปในลักษณะที่ไม่คาดคิดก็ตาม”

Jetcraft มีสำนักงานใหญ่ในสหราชอาณาจักรได้ก่อตั้งธุรกิจในเอเชียขึ้นเป็นครั้งแรกในฮ่องกงในปี 2555 ตามด้วยการเปิดสาขาเพิ่มเติมในโกลด์โคสต์ ประเทศออสเตรเลีย Jetcraft จะสรรหาทีมงานท้องถิ่นในสิงคโปร์ รวมทั้งการย้ายพนักงานที่มีอยู่อีกด้วย

จบ

เกี่ยวกับ Jetcraft

Jetcraft เป็นผู้นำด้านการขายเครื่องบินระหว่างประเทศ กลยุทธ์การตลาดและการเป็นเจ้าของ บริหารจัดการและบำรุงรักษาสำนักงานภูมิภาคกว่า 20 แห่งทั่วโลก ความสำเร็จที่เหนือชั้นของบริษัทตลอดเกือบ 60 ปีในธุรกิจการบินทำให้บริษัทมีชื่อเสียงระดับโลก พร้อมด้วยฐานลูกค้าที่ยอดเยี่ยม เครือข่ายการเชื่อมต่อที่กว้างขวาง และสินค้าคงคลังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรม

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ www.jetcraft.com

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211003005018/en/

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ 8020 Communications
Anna Price
อีเมล: jetcraft@8020comms.com
โทรศัพท์: +44 (0)1483 447380

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งการศึกษาทางการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยชิงหวา

Logo

ซินจู๋, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–02 ตุลาคม 2564

แผนการของมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาในการจัดตั้งหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตด้านการแพทย์ได้รับการอนุมัติในการประชุมระดับรัฐมนตรี ซึ่งจัดขึ้นที่กระทรวงศึกษาธิการเมื่อเร็ว ๆ นี้ ขั้นตอนการสรรหาและรับสมัครของมหาวิทยาลัยจะเริ่มในปลายปี 2564 และนักเรียนชั้นปีแรกที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจะลงทะเบียนในเดือนกันยายน 2565

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211001005043/en/

College of Life Science dean Kao Ruey-Ho (left) and Department of Medical Science chair Chen Linyi (right) prepare for the post-baccalaureate program in medicine. (Photo: National Tsing Hua University)

Kao Ruey-Ho (ซ้าย) คณบดีวิทยาลัยชีววิทยาศาสตร์ และ Chen Linyi (ขวา) หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ กำลังเตรียมหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตด้านการแพทย์ (รูปภาพ: มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา)

Hocheng Hong อธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวากล่าวว่า “มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวามีรากฐานที่แข็งแกร่งในการวิจัยข้ามสาขาด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิศวกรรมชีวภาพ วัสดุศาสตร์ และเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โดยที่มหาวิทยาลัยอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในการฝึกอบรมแพทย์ให้มีความเชี่ยวชาญมากกว่าหนึ่งอย่าง ดังนั้น หลักสูตรใหม่นี้จึงแสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดของการศึกษาด้านการแพทย์ในไต้หวัน

Hocheng อธิการบดี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวามีจำนวนคณาจารย์ เงินทุน และโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับหลักสูตรใหม่ นอกจากคณาจารย์ที่มีอยู่จำนวน 180 คน ซึ่งสอนในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องแล้ว หลักสูตรนี้ยังได้คัดเลือกอาจารย์ประจำเพิ่มเติมอีก 71 คน และนักวิทยาศาสตร์แพทย์อีก 87 คนจากศูนย์การแพทย์ชั้นนำทั่วไต้หวัน นอกจากนี้ สำนักงานชั่วคราวของหลักสูตรนี้ได้ระดมเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ไต้หวันเพื่อการศึกษาทางการแพทย์อีกด้วย โดยกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการกำลังทบทวนแผนต่อเนื่องในการจัดตั้งโรงพยาบาลเพื่อการเรียนการสอนและศูนย์การแพทย์ที่ทันสมัยในโครงการ Taoyuan Aerotropolis ซึ่งเป็นผังเมืองที่มุ่งสร้างพื้นที่อุตสาหกรรมถัดจากท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน

หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตด้านการแพทย์เป็นหลักสูตร 4 ปี เปิดรับผู้สำเร็จการศึกษาจากทุกสาขาวิชา นักศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจะต้องทำงานในสถานพยาบาลสาธารณะเป็นเวลา 6 ปี และจะมีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมขั้นสูงอีก 2 ปีในศูนย์การแพทย์

มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาจะใช้ประสบการณ์ที่กว้างขวางในการสรรหานักศึกษา เพื่อรับเฉพาะผู้สมัครที่มีคุณสมบัติครบตามที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวดในการรับเข้าเรียน ซึ่งกระบวนการคัดเลือกนักศึกษาผ่านนวัตกรรมจะเปิดเส้นทางใหม่สำหรับการศึกษาด้านการแพทย์ในไต้หวันได้

หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตด้านการแพทย์จะเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัยชีววิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์และการแพทย์ในอนาคต (ปัจจุบันคือวิทยาลัยชีววิทยาศาสตร์) Kao Ruey-Ho คณบดีวิทยาลัยชีววิทยาศาสตร์ และอดีตผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์ Tzu Chi กล่าวว่า ผู้สมัครที่สมัครโดยตรงกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาจะได้รับการประเมินผ่านคะแนนการทดสอบ ใบรับรองผลการเรียน และการสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกนักศึกษาที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการ รวมไปถึงความหลงใหลในการแพทย์และสาธารณประโยชน์

นักศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในหลักสูตรจะต้องเรียนหลายกระบวนวิชาที่ออกแบบมาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ชนบท เช่น การฝึกเวชศาสตร์ชุมชน และใช้ประโยชน์จากการวินิจฉัยด้วย AI และเทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล นักศึกษาจะได้เข้าร่วมสัมมนาเรื่องการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นและการอุทิศตนด้านสาธารณสุข ซึ่งจะสอนโดยผู้ที่ได้รับรางวัล Medical Contribution Award

ดูเนื้อหาต้นฉบับได้ที่นี่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211001005043/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh
NTHU
(886)3-5162006
hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

TDCX เตรียมจับโอกาสจากตลาดบริการ CX Services แบบเอาต์ซอร์ซที่มีมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยการเปิดตัวซื้อขายบน NYSE

Logo

ผู้ให้บริการประสบการณ์ลูกค้าดิจิทัลรายแรกของ Asia ที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา

สิงคโปร์และนิวยอร์ก–(บิสิเนส ไวร์)–01 ต.ค. 2564

TDCX Inc. (NYSE: TDCX) ผู้ให้บริการโซลูชั่นประสบการณ์ลูกค้าดิจิทัลที่มีการเติบโตสูงสำหรับเทคโนโลยีและบริษัทบลูชิป ประกาศเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (“NYSE”)  ในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียน TDCX อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะเร่งกลยุทธ์การเจริญเติบโตไปสู่โอกาสในการเจาะตลาดบริการลูกค้าเอาท์ซอร์ส (“CX”) ทั่วโลกซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568

TDCX ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ โดยให้บริการโซลูชัน CX ดิจิทัลที่เชื่อถือได้ เพื่อช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วและแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกอื่นๆ สามารถจัดการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในนามของพวกเขา การเสนอขายหุ้นได้สร้างรายได้ 348.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 2.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 3.50 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์หากผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์เลือกที่จะใช้สิทธิการจัดสรรหุ้นส่วนเกินของพวกเขาโดยเต็ม รายได้รวมทั้งหมดของการเสนอขายจะอยู่ที่ประมาณ 401 ล้านดอลลาร์ ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2.62 ดอลลาร์สหรัฐ 3.57 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์

Mr. Laurent Junique ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง TDCX กล่าวว่า “การจดทะเบียนบริษัทที่ประสบความสำเร็จของเราสะท้อนให้เห็นถึงบริษัทระดับโลกที่เราสร้างขึ้นและจุดยืนของเราในฐานะพันธมิตรที่มุ่งให้บริการประสบการณ์ลูกค้าดิจิทัลที่พลิกโฉมหน้าวงการ  ด้วยสมาชิกในทีมที่มีความสามารถ หลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมหลากหลายกว่า 13,000 คนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานของเรา เราช่วยลูกค้าของเราแก้ปัญหาการโต้ตอบกับลูกค้าที่ซับซ้อนและที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในกว่า 20 ภาษาทุกวันใน 10 ภูมิภาค  เรารู้สึกขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของลูกค้าของเรา ซึ่งหลายคนเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล”

จากข้อมูลของ Frost & Sullivan โซลูชัน CX ดิจิทัล มีตลาดขนาดใหญ่และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วสำหรับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอุปสงค์รวมคาดว่าจะถึง 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 โดยมีความต้องการจากอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เติบโตที่ร้อยละ 19 ต่อปีจาก 2559

“ในขณะที่ผู้บริโภคใช้ชีวิตออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ความคาดหวังที่จะทำสิ่งต่างๆ ที่ง่าย สะดวก และตามความต้องการก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นและจะยังคงเป็นตัวสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ในยุคดิจิทัล การเป็นบริษัทมหาชนช่วยให้เราสามารถเร่งผลักดันการเติบโตของเรา และทำให้เราสามารถคว้าโอกาสทางการตลาดในเอเชียและภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงอื่นๆ ทั่วโลก

“ในขณะที่เรามองไปข้างหน้า เรามุ่งเน้นที่การดำเนินกลยุทธ์การเติบโตของเรา และการลงทุนเพิ่มเติมในบุคลากร เทคโนโลยี และเครือข่ายของเรา ด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย รวมถึงกลยุทธ์ของเราในตลาดหลักและกลุ่มผู้มีความสามารถที่หลากหลาย เราจะสามารถคาดการณ์และสนับสนุนลูกค้าของเราต่อไปได้ในขณะที่พวกเขามองหาพันธมิตรที่อยู่ในระดับแนวหน้าในการนำเสนอประสบการณ์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง Mr. Junique กล่าว

เกี่ยวกับ TDCX

TDCX เป็นผู้ให้บริการโซลูชันประสบการณ์ลูกค้าดิจิทัลที่มีการเติบโตสูงสำหรับเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและบริษัทบลูชิพอื่นๆ  บริษัทนำเสนอโซลูชัน Omnichannel CX บริการการขายและการตลาดดิจิทัล และบริการตรวจสอบเนื้อหาและกลั่นกรอง  บริษัทมีประวัติความสำเร็จกับลูกค้าในด้านการเดินทางและการบริการ การโฆษณาดิจิทัลและสื่อ สินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยี บริการทางการเงิน ฟินเทค หน่วยงานภาครัฐและเอกชน การเล่นเกม อีคอมเมิร์ซและการศึกษา  TDCX มีสำนักงานในสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไทย จีน ญี่ปุ่น สเปน อินเดีย โคลอมเบีย และโรมาเนีย และให้บริการลูกค้าทั่วโลกในกว่า 20 ภาษา TDCX ได้รับรางวัลมากกว่า 270 รางวัล

_____________________________

1 ตามข้อมูลของ Frost & Sullivan

2,3ตามอัตราแลกเปลี่ยน SGD/USD=1.36141

4 อัตราการเติบโตแบบทบต้นหมายถึงขนาดตลาดเศรษฐกิจใหม่ตั้งแต่ปี 2559 ถึงปี 2568

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211001005456/en/

สำหรับสื่อ:
TDCX
Eunice Seow
+65 8432 8388
eunice.seow@tdcx.com

สำหรับนักลงทุน:
TDCX
Jason Lim
+65 9799 6550
lim.jason@tdcx.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Thai Herald

Thai Herald