SoftBank เข้าสู่การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาวและสร้างข้อตกลงแลกเปลี่ยนหุ้นกับ Deutsche Telekom

Logo

พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ช่วยให้บริษัทในเครือของ SoftBank สามารถเข้าถึงลูกค้าประมาณ 240 ล้านรายทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกาและ Deutsche Telekom (“DT”) ด้วยการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อลูกค้าหนึ่งราย ลดอัตราการเสียลูกค้า และเพิ่มโอกาสในกิจการร่วมค้า

SoftBank ได้รับหุ้น DT ใหม่ 225 ล้านหุ้นเพื่อแลกกับหุ้น T-Mobile US (“TMUS”) ประมาณ 45 ล้านหุ้น โดย DT ตั้งใจที่จะซื้อหุ้น TMUS อีกประมาณ 20 ล้านหุ้นจาก SoftBank โดยนำรายได้จากการขาย T-Mobile ที่ประกาศขายในเนเธอร์แลนด์กลับมาใช้ใหม่

SoftBank กระจายการครอบคลุมด้านโทรคมนาคมทั่วทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยถือหุ้น 41% ใน SoftBank Corp., 4.5% ของ DT และ 3.3%1 ของ TMUS

SoftBank แลกเปลี่ยนหุ้น TMUS โดยอิงราคาจากอนุพันธ์ที่กำหนดราคาตายตัวไว้โดยไม่มีการเคลื่อนราคาขึ้นตัวเพื่อให้ได้รับหุ้น DT ที่มีโอกาสการเคลื่อนราคาขึ้นเพื่อเป็นผู้ถือหุ้นเอกชนรายใหญ่อันดับสองด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 4.5% และมีตัวแทนในคณะกรรมการ

SoftBank ยังสามารถรับประโยชน์จากการเคลื่อนราคาขึ้นของหุ้น TMUS และคาดว่า TMUS จะ สร้างมูลค่าหุ้นต่อไปผ่านการเป็นผู้นำ 5G และการควบรวมกิจการ

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–7 ก.ย. 2564

SoftBank Group Corp. (“SoftBank”) ประกาศการเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์และข้อตกลงแลกเปลี่ยนหุ้นกับ Deutsche Telekom AG (“DT”)  ภายใต้ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างทั้งสองบริษัท บริษัทในเครือของ SoftBank มากกว่า 300 แห่งสามารถเข้าถึงลูกค้า DT เพิ่มเติมอีกประมาณ 240 ล้านรายทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและด้วยต้นทุนที่ต่ำ  DT จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อลูกค้าหนึ่งราย ลดอัตราการเสียลูกค้า และเพิ่มโอกาสในกิจการร่วมค้า

ภายใต้ข้อตกลงแลกเปลี่ยนหุ้น DT จะใช้สิทธิอนุพันธ์ call option ส่วนหนึ่งที่ได้รับจาก SoftBank จากข้อตกลงในเดือนมิถุนายน 2020 ที่ผ่านมา โดย DT จะซื้อหุ้น T-Mobile US (“TMUS”) ประมาณ 45 ล้านหุ้นจาก SoftBank เพื่อแลกกับการออกหุ้น DT ใหม่ 225 ล้านหุ้นให้กับ SoftBank จากทุนจดทะเบียน  ในขั้นตอนต่อไป DT อาจใช้สิทธิอนุพันธ์ call option เพื่อซื้อหุ้น TMUS เพิ่มอีกประมาณ 20 ล้านหุ้นจาก SoftBank โดยนำเงินที่ได้จากการขาย T-Mobile Netherlands 2.4 พันล้านดอลลาร์ไปลงทุนใหม่  จากการแลกเปลี่ยนหุ้นทุนและการลงทุนเหล่านี้ SoftBank จะกลายเป็นผู้ถือหุ้น 4.5% ใน DT และยังคงการถือหุ้น 3.3%1 ใน TMUS ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็น 6.9% ผ่านหุ้น True-Up หากราคาหุ้น TMUS ถึงจุดราคาสำคัญ

ธุรกรรมดังกล่าวช่วยกระจายความเสี่ยงด้านโทรคมนาคมของ SoftBank ในญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยถือหุ้น 41% ใน SoftBank Corp., 4.5% ของ DT และ 3.3%1 ของ TMUS  SoftBank จะเข้าถึงลูกค้าเกือบ 300 ล้านคนทั่วโลก รวมถึง 55 ล้านคนจาก SoftBank Corp. ประมาณ 95 ล้านคนจาก DT และประมาณ 140 ล้านคนจาก TMUS

ธุรกรรมนี้เป็นโอกาสทางการเงินที่น่าสนใจเพราะ SoftBank กำลังแลกเปลี่ยนหุ้น TMUS ที่อิงจากอนุพันธ์ที่มีราคาคงที่เป็นหลักโดยไม่มีโอกาสการเคลื่อนราคาขึ้นเพื่อให้ได้หุ้นใน DT ซึ่ง SoftBank เชื่อว่ามีโอกาสการเคลื่อนราคาขึ้นในระยะยาวกว่าราคาอ้างอิงที่ตกลงกันไว้ที่ 20 ยูโร  SoftBank จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นเอกชนรายใหญ่อันดับสองโดยมีเจตนาเข้าร่วมเป็นตัวแทนคณะกรรมการ  นอกจากนี้ SoftBank ยังคงมีส่วนได้เสียในหุ้น TMUS ผ่านอนุพันธ์ราคาลอยตัวและอาจรวมถึงหุ้น True-up2. SoftBank คาดหวังการสร้างมูลค่าหุ้นอย่างต่อเนื่องที่ TMUS เนื่องจากยังคงความเป็นผู้นำ 5G และปลดล็อกการผนึกกำลังผ่านการควบรวมกิจการ

SoftBank จะสามารถใช้หุ้น DT และ TMUS เป็นหลักประกันทางการเงินและการป้องกันความเสี่ยง  ธุรกรรมดังกล่าวจะสอดคล้องกับการเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ระยะยาว โดย SoftBank ยังคงมีส่วนได้เสียกับราคาหุ้น DT และ TMUS

“นี่เป็นการทำธุรกรรมครั้งสำคัญซึ่งเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อ SoftBank และ Deutsche Telekom ซึ่งเป็นสองบริษัทในเครือของเรา” Marcelo Claure เจ้าหน้าที่องค์กร รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ SoftBank Group Corp. และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SoftBank Group International กล่าว “การเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ระยะยาวจะสร้างโอกาสที่น่าทึ่งสำหรับบริษัทในพอร์ตของเราในการกระตุ้นการเติบโตด้วยการเข้าถึงลูกค้าประมาณ 300 ล้านคนทั่วญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา  ธุรกรรมดังกล่าวช่วยกระจายความเสี่ยงด้านโทรคมนาคมของเรา และส่งผลให้ SoftBank กลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนตัวรายใหญ่เป็นอันดับสองของ DT ในขณะที่ยังคงรักษา TMUS ที่มีการเติบโตสูงไว้  นอกจากนี้ยังเป็นขั้นตอนชี้ขาดสำหรับ DT เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ใน TMUS และการเพิ่มผู้ลงทุนด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของโลกใน SoftBank ตามวิสัยทัศน์ Telco 2030 และแสดงให้เห็นถึง ข้อได้เปรียบ “Magenta Advantage” ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับทิมและทีมในอนาคตอันยาวนาน”

Timotheus Höttges ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Deutsche Telekom AG กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ SoftBank ในฐานะนักลงทุนรายสำคัญรายใหม่และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Deutsche Telekom และตื่นเต้นที่จะได้ทำงานเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือนี้ให้ทั้ง SoftBank และ Deutsche Telekom”

สำหรับข้อตกลง ฝ่ายบริหารของ DT จะสนับสนุนข้อเสนอของ SoftBank เพื่อให้นาย Claure ได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมการกำกับดูแลของ DT ในการประชุมสามัญประจำปีครั้งต่อไป  ธุรกรรมดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของ SoftBank และคณะกรรมการกำกับดูแลของ DT และคาดว่าจะปิดตัวลงและมีผลบังคับโดยการรวมตัวกันในทะเบียนการค้าของ DT

Sullivan & Cromwell ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับ SoftBank ในการทำธุรกรรมครั้งนี้

เกี่ยวกับ SoftBank Group

SoftBank Group ลงทุนในเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก  SoftBank Group ประกอบด้วย SoftBank Group Corp. (TOKYO: 9984) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งด้านการลงทุนที่ถือหุ้นในโทรคมนาคม บริการอินเทอร์เน็ต AI หุ่นยนต์อัจฉริยะ IoT และผู้ให้บริการเทคโนโลยีพลังงานสะอาด  กองทุน SoftBank Vision Funds ซึ่งลงทุนมากกว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยผู้ประกอบการที่ไม่ธรรมดาในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและสร้างวงการใหม่ ได้แก่ กองทุน SoftBank Latin America Fund มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นกองทุนร่วมลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนั้น และ SB Opportunity Fund กองทุน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่อุทิศให้กับการลงทุนในองค์กรที่ก่อตั้งโดยผู้ประกอบการผิวสีในสหรัฐอเมริกา  หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม โปรดไปที่ https:/ /global.softbank.

1 รวมผลกระทบที่คาดการณ์ไว้ของการใช้สิทธิของอนุพันธ์ TMUS ประมาณ 20 ล้านโดย DT โดยใช้เงิน 2.4 พันล้านดอลลาร์จากการขาย T-Mobile Netherlands  ก่อนการใช้สิทธิ SoftBank จะถือหุ้น 4.9%

2 True-up Shares จะพร้อมใช้หากราคาหุ้น TMUS พุ่งทะลุเป้า

ดูเวอร์ชันต้นทางบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210906005324 /th/

ติดต่อ:

ญี่ปุ่น:
sbpr@softbank.co.jp 
+81 3 6889 2300

สหรัฐอเมริกา:

SoftBank Group
Mark Kornblau
mark.kornblau@softbank.com

Sard Verbinnen & Co
Benjamin Spicehandler / Hannah Dunning
SoftBank-SVC@sardverb.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Amazon ประกาศการลงทุนในโซลูชันการกำจัดคาร์บอนจากธรรมชาติในบราซิลกับ The Nature Conservancy

Logo

ความคิดริเริ่มนี้จะเปิดตัวในป่าดิบชื้นแอมะซอน โดยเน้นที่การปลูกป่าและวนเกษตรแบบปฏิรูป พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

การลงทุนของ Amazon มีเป้าหมายที่จะกำจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 10 ล้านเมตริกตันภายในปี 2593 ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยมลพิษหนึ่งปีจากรถยนต์จำนวน 2 ล้านคัน

ซีแอตเทิล–(BUSINESS WIRE)–2 กันยายน 2564

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสนับสนุนโซลูชันระดับโลกเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ วันนี้ Amazon (NASDAQ: AMZN) ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ Agroforestry and Restoration Accelerator โดยร่วมมือกับ The Nature Conservancy ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก โครงการ Accelerator จะสร้างแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับเกษตรกรในท้องถิ่นหลายพันรายใน Brazilian Amazonian state of Pará ในขณะเดียวกันก็ช่วยฟื้นฟูป่าฝนพื้นเมืองและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ

ตามรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลและภาคเอกชนทั้งสองสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศโดยการลงทุนในการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐานตามขนาด  โครงการ Agroforestry and Restoration Accelerator เป็นหนึ่งในโครงการกำจัดคาร์บอนดังกล่าว และเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Amazon ที่จะบรรลุปฏิญญา The Climate Pledge ซึ่งบริษัทได้ร่วมก่อตั้ง Global Optimism ผู้ลงนามในปฏิญญามุ่งมั่นที่จะลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2583— 10 ปีข้างหน้าในความตกลงปารีส

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามปฏิญญา Climate Pledge โดย Amazon คืออันดับแรกและสำคัญที่สุดในการเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและลงทุนในการลดคาร์บอนให้กับธุรกิจ บริษัทได้ซื้อรถส่งของไฟฟ้าจำนวน 100,000 คัน และเป็นผู้ซื้อองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกในด้านพลังงานหมุนเวียน Amazon ยังลงทุนในการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐานนอกห่วงโซ่คุณค่าผ่านกองทุน Right Now Climate Fund ซึ่งสนับสนุนโครงการ Accelerator และโครงการอื่นๆ เพื่อฟื้นฟูดินแดนที่เสื่อมโทรมด้วยวิธีที่ปรับปรุงการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่นและกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ที่เพิ่งประกาศพันธมิตร LEAF Coalition ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มของภาครัฐและเอกชนในการระดมเงินอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องป่าเขตร้อนของโลก Amazon และพันธมิตรรายอื่น ๆ กำลังทำงานเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อนชื้น โดยการลดปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาในชั้นบรรยากาศ

Kara Hurst รองประธานฝ่ายความยั่งยืนทั่วโลกของ Amazon กล่าวว่า “การฟื้นฟูป่าไม้ของโลกเป็นหนึ่งในการดำเนินการที่มีความหมายมากที่สุดที่เราสามารถทำได้ในขณะนี้เพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจะต้องมีโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่จึงจะประสบความสำเร็จ” “เราภูมิใจที่ได้เปิดตัวโครงการ Agroforestry and Restoration Accelerator โดยร่วมมือกับ The Nature Conservancy เพื่อสนับสนุนโซลูชันที่คำนึงความถึงสำคัญอย่างสูงของความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ของชุมชนที่แข็งแกร่ง Amazon ตั้งตารอที่จะร่วมเป็นแรงผลักดันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของเราพร้อมกับการสนับสนุนทางการเงินเพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่นในบราซิล ในขณะเดียวกันก็ช่วยปกป้องโลกสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต”

Christiana Figueres ผู้ร่วมก่อตั้ง Global Optimism และอดีตหัวหน้าฝ่ายภูมิอากาศของ UN ที่รับผิดชอบในความตกลงปารีสกล่าวว่า “วิทยาศาสตร์มีความชัดเจนเกี่ยวกับระบบธรรมชาติเป็นลำดับความสำคัญในการดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศและรายงานล่าสุดของ IPCC เน้นย้ำเรื่องนี้” “การปกป้องระบบนิเวศที่ยืนยงและการฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมเป็นสิ่งสำคัญใกลยุทธ์การลดคาร์บอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษหน้าหรือสองทศวรรษข้างหน้า โครงการที่บรรลุเป้าหมายนี้เพื่อรักษาทั้งธรรมชาติและการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่นอันมีค่าอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตที่เหนือกว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เราขอชื่นชม Amazon และ The Nature Conservancy”

การลงทุนครั้งแรกของ Amazon ในโครงการ Accelerator จะช่วยสนับสนุนเกษตรกรจำนวน 3,000 ราย และฟื้นฟูพื้นที่ประมาณ 20,000 เฮกตาร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดประมาณเมืองซีแอตเทิล โดยภายในสามปีจะกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศได้มากถึง 10 ล้านเมตริกตันจนถึงปี 2593

The Nature Conservancy จะทำงานร่วมกับ World Agroforestry Center และองค์กรภาคประชาสังคมในท้องถิ่นหลายแห่งเพื่อดำเนินการโครงการ Accelerator โดยช่วยเกษตรกรรายย่อยฟื้นฟูทุ่งหญ้าปศุสัตว์ที่เสื่อมโทรมไปสู่ป่าพื้นเมืองและวนเกษตร ระบบวนเกษตรจะช่วยให้เกษตรกรมีแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนผ่านการขายเมล็ดโกโก้และพืชผลอื่น ๆ นอกจากนี้โครงการ Accelerator ยังจะทำการทดลองด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการสนับสนุนเกษตรกรและดูแลตลาดสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์จากป่าที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และจะพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ และเทคโนโลยีที่ใช้ดาวเทียมในการหาปริมาณและติดตามในการกำจัดคาร์บอน

“รัฐปาราเป็นพื้นที่อาศัยของป่าเขตร้อน 9% ของโลก แต่ต้องเผชิญกับอัตราการตัดไม้ทำลายป่าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยสูญเสียพื้นที่ 3,300 เอเคอร์ในทุก ๆ วันของปีที่แล้ว” Jennifer Morris ซีอีโอของ The Nature Conservancy กล่าว “ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ฟาร์มขนาดเล็กในรัฐปาราเป็นพื้นที่การทำเกษตรกรรมแบบเผาป่าซึ่งดูเหมือนเป็นทางเลือกเดียว—โดยมีส่วนรับผิดชอบต่อการตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉลี่ย 40% ของรัฐ เป็นเวลา 20 ปีแล้วที่ The Nature Conservancy ทำงานร่วมกับเกษตรกรรายย่อย ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่ของรัฐ และชนพื้นเมืองเพื่อระบุและดำเนินการโดยใช้โซลูชันแบบที่ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ เช่น วนเกษตร ที่ช่วยให้ผู้คนและธรรมชาติเจริญเติบโต การเป็นพันธมิตรใหม่กับ Amazon จะช่วยให้เราสามารถจัดหาทรัพยากรและความช่วยเหลือด้านเทคนิคที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงการนี้ และแสดงให้เห็นว่าตลาดวนเกษตรเชิงปฏิรูปและตลาดคาร์บอนเป็นรูปแบบธุรกิจที่ใช้งานได้จริงสำหรับชุมชนในป่าแอมะซอน”

“เราต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุสิ่งที่อาจเป็นเป้าหมายของศตวรรษ นั่นคือการพัฒนาเศรษฐกิจและปกป้องรายได้ของผู้คน ในขณะเดียวกันก็รักษาและฟื้นฟูป่าไม้” Helder Barbalho ผู้ว่าการรัฐปารากล่าว “รัฐปาราพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายนี้ และกลยุทธ์ของเราได้วางไว้อย่างชัดเจนในแผน Amazonia Agora  ซึ่งมุ่งมั่นที่จะปราศจากคาร์บอนภายในปี 2579 โดยผ่านการลดการตัดไม้ทำลายป่าและโดยการส่งเสริมการฟื้นฟูป่า การลงทุนอย่างเช่น Amazon ในด้านวนเกษตรที่ยั่งยืนและการปลูกป่าในรัฐปารานั้นเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ความคิดริเริ่มนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชุมชนของรัฐ ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของ Amazon ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรุณาเยี่ยมชมได้ที่: https://sustainability.aboutamazon.com.

เกี่ยวกับ Amazon

Amazon ซึ่งนำด้วยหลักการสี่ประการดังต่อไปนี้: ให้ความสำคัญกับความคลั่งใคล้ในลูกค้ามากกว่าการมุ่งเน้นของคู่แข่ง แรงผลักดันในการประดิษฐ์ ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน และการคิดระยะยาว  Amazon มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับลูกค้ามากที่สุดในโลก นายจ้างที่ดีที่สุดในโลก และสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยที่สุดในโลก โดยความคิดเห็นของลูกค้า, การซื้อของในคลิกเดียว, คำแนะนำเฉพาะบุคคล, Prime, Fulfillment by Amazon, AWS, Kindle Direct Publishing, Kindle, Career Choice, Fire tablets, Fire TV, Amazon Echo, Alexa, เทคโนโลยี Just Walk Out, Amazon Studios และ The Climate Pledge เป็นส่วนหนึ่งที่บุกเบิกโดย Amazon สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ amazon.com/about และติดตาม @AmazonNews

เกี่ยวกับ The Nature Conservancy

The Nature Conservancy เป็นองค์กรอนุรักษ์ระดับโลกที่อุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์ดินแดนและน่านน้ำที่ทุกชีวิตต้องพึ่งพาอาศัย ภายใต้การนำด้วยวิทยาศาสตร์ เราสร้างสรรค์โซลูชั่นที่สร้างสรรค์และใช้งานได้จริงเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยากที่สุดในโลกของเรา เพื่อให้ธรรมชาติและผู้คนสามารถเติบโตไปด้วยกัน เรากำลังจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อนุรักษ์พื้นดิน น้ำ และมหาสมุทรในแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จัดหาอาหารและน้ำอย่างยั่งยืน และช่วยให้เมืองมีความยั่งยืนมากขึ้น การทำงานใน 72 ประเทศและภูมิภาค: ซึ่งแบ่งเป็น 38 ประเทศและภูมิภาคผ่านผลกระทบด้านการอนุรักษ์โดยตรง และ 34 ประเทศและภูมิภาคผ่านพันธมิตร เราใช้แนวทางการทำงานร่วมกันที่มีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น รัฐบาล ภาคเอกชน และพันธมิตรอื่น ๆ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ www.nature.org หรือติดตาม @nature_press บน Twitter

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210902005314/en/

ติดต่อ:

Amazon.com, Inc.
สายด่วนสื่อ
Amazon-pr@amazon.com
www.amazon.com/pr

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Semperis ขยายการปกป้อง Active Directory ที่ครอบคลุมมากที่สุดในอุตสาหกรรม ไปยังตลาดเอเชียแปซิฟิก

Logo

ผู้นำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้สร้างทีมงานเอเชียแปซิฟิกระดับภูมิภาค โดยนำ Albert Lee มาร่วมทีมงาน

โฮโบเกน นิวเจอร์ซีย์–(BUSINESS WIRE)–2 ก.ย. 2564

Semperis ผู้บุกเบิกด้านความยืดหยุ่นในโลกไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลประจำตัวสำหรับองค์กร ได้ประกาศการลงทุนครั้งใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมกับการขยายโซลูชันการป้องกัน การตอบสนอง และการกู้คืน Active Directory ไปยังธุรกิจต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเพื่อรองรับการขยายตัวนี้ บริษัทกำลังสร้างทีมในภูมิภาคและนำอดีตผู้อำนวยการฝ่ายขายของ Proofpoint อย่าง Albert Lee มาร่วมทีม ซึ่งเขาเป็นผู้นำด้านการจัดการธุรกิจ การขายระดับองค์กร และประสบการณ์การดำเนินงานด้านโทรคมนาคม ไอที และความปลอดภัยทางไซเบอร์มาเป็นเวลา 20 ปี ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เอเชียแปซิฟิก ขึ้นชื่อว่าเป็นภูมิภาคที่ ตกเป็นกลุ่มเป้าหมายของกลุ่มแรนซัมแวร์และกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐมากที่สุดในโลก ภูมิภาคนี้ยังเผชิญกับปัญหา การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ อย่างมาก และคาดว่าจะต้องใช้พนักงานจำนวนมากถึง 5 เท่าที่มีทักษะด้านดิจิทัลเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีภายในปี 2568 สำหรับองค์กรในภูมิภาคนี้ การมีโซลูชันที่มีศูนย์กลางอยู่ที่การปกป้องแหล่งเก็บข้อมูลประจำตัว เช่น Microsoft Active Directory (AD) ซึ่งเป็นแหล่งที่มาหลักของความไว้วางใจสำหรับข้อมูลประจำตัวและการเข้าถึงขององค์กร มีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

“แรนซัมแวร์และการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับไดเรกทอรีมีความถี่เพิ่มขึ้นและมีผลกระทบอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็ไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากข้อมูลประจำตัวเป็นแกนหลักของทุกเครือข่ายและมีความสำคัญมากขึ้นในระบบดิจิทัลที่บริษัทส่วนใหญ่แสวงหา Active Directory จึงมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีมากขึ้น” Lee กล่าว “ไม่มีโซลูชันไหนที่เหมือนกับของ Semperis ในการป้องกันและกู้คืน Active Directory และ Azure AD ผมภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับบริษัทที่สร้างความแตกต่างให้กับองค์กรที่ต้องการลดพื้นที่การถูกโจมตีและเสริมความแข็งแกร่งให้กับการวางแผนรับมือภัยพิบัติในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้”

การโจมตีทางไซเบอร์ที่เจาะจงไปที่ AD เพื่อติดตั้งหรือเผยแพร่มัลแวร์กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ Semperis ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ใน Global 2000 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันที่ครอบคลุมสำหรับบริการไดเรกทอรีในองค์กรและในระบบคลาวด์ ด้วยการใช้ Semperis จึงทำให้องค์กรต่าง ๆ สามารถตรวจสอบไดเรกทอรีของพวกเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัย สกัดกั้นการโจมตีทางไซเบอร์ที่กำลังเกิดขึ้น และการกู้คืนจากการโดนโจมตีจากแรนซัมแวร์และเหตุฉุกเฉินด้านความสมบูรณ์ของข้อมูลอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ Semperis ยังเป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลัง Purple Knight ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินความปลอดภัยที่ให้บริการฟรี ที่สร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับการโจมตีอย่างเป็นระบบโดยใช้ช่องโหว่ของ AD

เกี่ยวกับ Semperis

ในฐานะทีมรักษาความปลอดภัยที่มีหน้าที่ปกป้องสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์แล้ว Semperis รับรองความสมบูรณ์และความพร้อมใช้งานของบริการไดเรกทอรีระดับองค์กรที่สำคัญในทุกขั้นตอนในห่วงโซ่การฆ่าในโลกไซเบอร์ และลดเวลาการกู้คืนลงไป 90% โดย Semperis ที่ถูกสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์สำหรับการรักษาความปลอดภัยสภาพแวดล้อม Active Directory แบบไฮบริด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการจดสิทธิบัตร  สามารถปกป้องข้อมูลประจำตัวกว่า 50 ล้านรายการจากการโจมตีทางไซเบอร์ การละเมิดข้อมูล และข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงาน องค์กรชั้นนำของโลกไว้วางใจ Semperis ในการตรวจหาช่องโหว่ของไดเรกทอรี สกัดกั้นการโจมตีทางไซเบอร์ที่กำลังมีการดำเนินการ และกู้คืนจากแรนซัมแวร์และเหตุฉุกเฉินด้านความสมบูรณ์ของข้อมูลอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว Semperis มีสำนักงานใหญ่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์และดำเนินงานในระดับสากล โดยมีทีมวิจัยและพัฒนาที่กระจายอยู่ในซานฟรานซิสโกและเทลอาวีฟ

Semperis เป็นเจ้าภาพการประชุมที่ได้รับรางวัลอย่าง Hybrid Identity Protection (www.hipconf.com) บริษัทได้รับรางวัลระดับสูงสุดของอุตสาหกรรมและเพิ่งได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ลำดับ #157 ในรายการ the 2021 Inc. 5000 ซึ่งเป็นการจัดอันดับที่มีชื่อเสียงที่สุดของบริษัทเอกชนที่เติบโตเร็วที่สุดของประเทศ Semperis ยังได้รับการรับรองโดย Microsoft และได้รับการยอมรับจาก Gartner

Twitter https://twitter.com/SemperisTech

LinkedIn https://www.linkedin.com/company/semperis

Facebook https://www.facebook.com/SemperisTech

YouTube https://www.youtube.com/channel/UCycrWXhxOTaUQ0sidlyN9SA

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210901006064/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ

Katie Leonowitz

fama PR สำหรับ Semperis

semperis@famapr.com

617-986-5028

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

NielsenIQ และ Qualtrics ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

Logo

การเข้าถึงและความสามารถร่วมกันสร้างหนึ่งในโซลูชันประสบการณ์แบรนด์ที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลก

ชิคาโก–(บิสิเนสไวร์)–2 ก.ย. 2564

NielsenIQ ผู้นำอุตสาหกรรมด้านการวัดและวิเคราะห์ข้อมูลระดับโลกและ Qualtrics (NASDAQ: XM) ผู้นำและผู้สร้างหมวด Experience Management (XM) ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่ที่จะส่งเสริมผู้นำแบรนด์ให้ฉลาดขึ้นและตัดสินใจได้เร็วขึ้น  ความร่วมมือครั้งนี้คาดว่าจะสร้างหนึ่งในโซลูชั่นประสบการณ์แบรนด์ที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลก โดยให้องค์กรต่างๆ สามารถดูสภาพของแบรนด์แบบเรียลไทม์ได้ 360 องศาตามความคิดเห็นของผู้บริโภค

ความคาดหวังของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และในขณะที่ยังต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคเป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความแตกต่างและขยายฐานลูกค้าของตน  ด้วยการเป็นหุ้นส่วน NielsenIQ จะใช้ Qualtrics BrandXM™ เพื่อเพิ่มพลังของ Winning Brands®

Winning Brands® เป็นแบบจำลองที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ NielsenIQ สำหรับการวัดการรับรู้ถึงแบรนด์ การพิจารณา และภาพลักษณ์ก่อน ระหว่าง และหลังการแสดงแบรนด์ต่อผู้บริโภค  Qualtrics BrandXM™ ระบุตัวขับเคลื่อนแบรนด์ที่สำคัญในหมู่ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า เสริมศักยภาพธุรกิจในการเร่งการได้มาซึ่งลูกค้าและเพิ่มมูลค่าแบรนด์

การร่วมกันนี้จะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถจับตัวชี้วัดแบรนด์ที่สำคัญ เช่น ดัชนี Brand Equity (บารอมิเตอร์ของความตั้งใจในการซื้อของผู้บริโภคที่สัมพันธ์กับส่วนแบ่งการตลาด) บนแพลตฟอร์มเดียว โดยปรับให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ทางธุรกิจ รวมถึงการรับรู้ การพิจารณา และการใช้งาน นอกจากนี้ยังจะให้การวิเคราะห์ล่วงหน้า เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ และแดชบอร์ดเชิงโต้ตอบจาก Qualtrics เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถจำลองสถานการณ์ในอนาคตและขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

วิธีการที่ดีที่สุดในวงการของ NielsenIQ รวมกับเทคโนโลยีการจัดการประสบการณ์ของ Qualtrics จะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับตัวและประสบความสำเร็จในทุกสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ” Yuneeb Khan ประธานทั่วโลกของ NielsenIQ Consumer Insights กล่าว “เราภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Qualtrics เพื่อให้ผู้นำแบรนด์ได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในแบบเรียลไทม์เพื่อให้พวกเขาได้เปรียบในการแข่งขัน

ประสบการณ์ที่ทุกองค์กรมอบให้ไม่เคยมีความสำคัญเท่านี้มาก่อน” R.J. Filipski หัวหน้าฝ่ายระบบนิเวศน์ระดับโลกของ Qualtrics กล่าว “การรวมโมเดล Winning Brands ชั้นนำของ NielsenIQ เข้ากับความสามารถที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ Qualtrics ในการช่วยให้องค์กรส่งมอบสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ จะทำให้แบรนด์มีความได้เปรียบอย่างมากในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ข้อมูลเชิงลึกจะช่วยให้ผู้นำแบรนด์สามารถให้บริการผู้บริโภคในระดับโลกได้รวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา

เกี่ยวกับ NielsenIQ

NielsenIQ เป็นผู้นำในการนำเสนอมุมมองของพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกที่สมบูรณ์ที่สุด  NielsenIQ ขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มข้อมูลผู้บริโภคที่ก้าวล้ำที่ขับเคลื่อนด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ที่หลากหลาย ทำให้บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคและผู้ค้าปลีกชั้นนำของโลกสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเด็ดขาด

การใช้ชุดข้อมูลที่ครอบคลุมและการวัดผลธุรกรรมทั้งหมดอย่างเท่าเทียมกัน NielsenIQ ช่วยให้ลูกค้ามีมุมมองเชิงคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในแพลตฟอร์มการค้าปลีกทั้งหมด  ปรัชญาเปิดของการบูรณาการข้อมูลช่วยให้มีชุดข้อมูลผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก  NielsenIQ มอบความจริงที่สมบูรณ์แบบ

NielsenIQ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Advent International ที่มีการดำเนินงานในเกือบ 100 ตลาด ครอบคลุมมากกว่า 90% ของประชากรโลก  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม www.nielseniq.com

เกี่ยวกับ Qualtrics

Qualtrics ผู้นำและผู้สร้างหมวดหมู่ XM กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่องค์กรจัดการและปรับปรุงประสบการณ์หลักสี่ประการของธุรกิจ ได้แก่ ลูกค้า พนักงาน ผลิตภัณฑ์ และแบรนด์  องค์กรกว่า 13,500 แห่งทั่วโลกใช้ Qualtrics เพื่อฟัง ทำความเข้าใจ และดำเนินการกับข้อมูลประสบการณ์ (X-data™) ซึ่งแสดงถึงความเชื่อ อารมณ์ และความตั้งใจที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่างๆ และการตอบสนอง  Qualtrics XM Platform™ เป็นระบบการดำเนินการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดึงดูดลูกค้าที่เข้าร่วมขึ้นและซื้อมากขึ้น ดึงดูดพนักงานที่สร้างวัฒนธรรมเชิงบวก พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยที่ผู้คนชื่นชอบ และสร้างแบรนด์ที่ผู้คนหลงใหล หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม qualtrics.com 

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210901005357/en/

ติดต่อสื่อ
Gillian Mosher – gillian.mosher@nielseniq.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Dear Klairs คว้ารางวัล ‘Red Dot Design’ จากผลงานการออกแบบที่ดีที่สุด 3 อันดับแรกของโลก

Logo

– การออกแบบของแบรนด์นำมาซึ่งความหวังและการเยียวยาในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19
– ผลงานความร่วมมือกับ Yoon Yeo-Dong ช่างฝีมือจากกรุงโซล

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–31 สิงหาคม 2564

Dear, Klairs แบรนด์สกินแคร์ภายใต้บริษัท Wishcompany (โดยมี Ryan Sungho Park เป็นซีอีโอ) ได้รับรางวัล Red Dot Design Award ปี 2564 ด้านการออกแบบการสื่อสาร

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210831005061/en/

Dear, Klairs, a skincare brand under Wishcompany, won the 2021 Red Dot Design Award for Communication Design. Dear, Klairs is a cruelty-free and vegan-friendly skincare brand based in Seoul. A Moment was a collaboration project with a Seoul-based artisan, Yoon Yeo-Dong. Inspired by the brand’s name, Dear Klairs, Yoon Yeo-Dong and the Klairs design team created a metal object that can be gifted to someone near and dear. Dear, Klairs received high marks for collaborating with a local artisan, Yoon Yeo-Dong and promoting social values through the A Moment design project. Klairs carries out donation projects for animal rights and environmental organizations. They are dedicated to promoting sustainability through their campaigns and projects. (Graphic: Business Wire)

Dear, Klairs แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวภายใต้บริษัท Wishcompany ได้รับรางวัล Red Dot Design Award ปี 2564 ด้านการออกแบบการสื่อสาร Dear, Klairs เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งมีฐานอยู่ในกรุงโซล A Moment เป็นโครงการผ่านความร่วมมือกับ Yoon Yeo-Dong ช่างฝีมือในกรุงโซล Dear, Klairs, Yoon Yeo-Dong และทีมออกแบบของ Klairs ได้ออกแบบวัตถุโลหะที่ใช้มอบเป็นของขวัญให้กับคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากชื่อแบรนด์ Dear, Klairs ได้รับคะแนนสูงจากการร่วมมือกับช่างฝีมือท้องถิ่น Yoon Yeo-Dong และส่งเสริมคุณค่าทางสังคมผ่านโครงการออกแบบ A Moment Klairs ดำเนินโครงการบริจาคเพื่อสิทธิสัตว์และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม พวกเขาทุ่มเทเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนผ่านแคมเปญและโครงการต่าง ๆ (กราฟิก: Business Wire)

Red Dot Awards เป็น 1 ใน 3 การแข่งขันประจำปีด้านการออกแบบชั้นนำของโลกที่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ผ่านนวัตกรรม ในปีนี้ มีการส่งผลงานออกแบบทั้งหมด 7,800 รายการจากกว่า 60 ประเทศ และมีผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบระดับโลกจำนวน 50 คนร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสิน

Dear, Klairs (Klairs) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโซล ได้รับรางวัลในหมวดการออกแบบการสื่อสาร โดยผลงานชื่อ A Moment เป็นโครงการผ่านความร่วมมือกับ Yoon Yeo-Dong ช่างฝีมือในกรุงโซล Dear, Klairs, Yoon Yeo-Dong และทีมออกแบบของ Klairs ได้ร่วมกันออกแบบวัตถุโลหะที่ใช้มอบเป็นของขวัญให้กับคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากชื่อแบรนด์

Dear, Klairs ได้รับคะแนนสูงจากการร่วมมือกับช่างฝีมือท้องถิ่นอย่าง Yoon Yeo-Dong และส่งเสริมคุณค่าทางสังคมผ่านโครงการออกแบบ A Moment

Kim Min-hee ตัวแทนฝ่ายออกแบบของ Klairs Skincare กล่าวว่า “เราต้องการทำงานร่วมกับช่างฝีมือท้องถิ่นและส่งเสริมคุณค่าของศิลปินท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากของการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 นี้”

ในฐานะแบรนด์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Klairs จึงดำเนินโครงการบริจาคเพื่อสิทธิสัตว์และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม พวกเขาทุ่มเทเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนผ่านแคมเปญและโครงการต่าง ๆ

ผลิตภัณฑ์ Klairs สามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการของ Klairs, Wishtrend.comร้าน Chicorทั่วประเทศ และร้านค้าออนไลน์ 29mm และ W Concept

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210831005061/en/

ติดต่อ:

Wishcompany
Jenny Shin
+82 70-4366-3412
jenny@wishcompany.net

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Standard Industries เผย Bob Patel เตรียมเข้าร่วมบริษัทในฐานะซีอีโอแห่ง W. R. Grace

Logo

การแต่งตั้งจะมีผลในเดือนมกราคม 2565

พร้อมนำประสบการณ์กว่า 30 ปีมาพลิกโฉมธุรกิจอุตสาหกรรม

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–31 สิงหาคม 2564

วันนี้ Standard Industries Holdings (“Standard”) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนด้านอุตสาหกรรมระดับโลก ประกาศว่า Bhavesh V. (Bob) Patel จะเข้าร่วมงานกับบริษัทในฐานะซีอีโอของ Grace โดยจะมีผลตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปิดดีลเข้าซื้อกิจการ WR Grace (“Grace”)

“David Winter และ David Millstone ซีอีโอร่วมของ Standard Industries กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ Bob เข้าสู่ครอบครัว Standard ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ W. R. Grace โดย Bob เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในอุตสาหกรรมมาเป็นเวลาหลายสิบปี พร้อมประวัติการทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เขาได้พิสูจน์ว่าตัวเองมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำทีมยอดเยี่ยมของ Grace และช่วยก่อร่างการลงทุนของ Standard ในด้านวัสดุขั้นสูง เขาจะมีบทบาทสำคัญในการพา Grace เข้าสู่เส้นทางธุรกิจข้างหน้า ขณะที่เรามั่นใจได้ว่าการเปลี่ยนผ่านหลังจากปิดดีลซื้อขายจะราบรื่นและเริ่มดำเนินกลยุทธ์การเติบโตที่หวังผลได้ต่อไป”

Patel จะร่วมงานกับ Standard หลังจากสิ้นสุดการทำงานกับ LyondellBasell ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) มาตั้งแต่ปี 2558 และเป็นผู้นำในช่วงเวลาแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับบริษัท ตั้งแต่ปี 2553 ถึงปี 2557 Patel เป็นผู้นำในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเพื่อปรับโครงสร้างต้นทุนและร่องรอยทางภูมิศาสตร์ของบริษัทให้เหมาะสม ตลอดระยะเวลาที่ทำงานกับ LyondellBasell เขาได้ขยายโครงการด้านความยั่งยืนของบริษัทมากมายและเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้อย่างมหาศาลผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ต่าง ๆ ซึ่งประกอบไปด้วยการเข้าซื้อกิจการของ A. Schulman และการสร้างโรงงานผลิตระดับโลก ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งอยู่นั้น LyondellBasell ได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในรายชื่อบริษัทที่น่าชื่นชมมากที่สุดในโลก หรือ “World’s Most Admired Companies” ของนิตยสาร Fortune เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน ก่อนที่จะร่วมงานกับ LyondellBasell ในปี 2553 Patel ได้ทำงานกับ Chevron Phillips Chemical Co. เป็นเวลา 20 ปี โดยดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในด้านการผลิตและเป็นผู้นำธุรกิจหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาและเอเชีย

Patel กล่าวว่า “นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ Standard Industries และได้รับคำขอให้นำพา W. R. Grace เข้าสู่เส้นทางใหม่ทางธุรกิจ Grace เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและเป็นธุรกิจที่มีพื้นฐานมั่นคง ซึ่งขับเคลื่อนโดยพนักงานที่มีทักษะและความสามารถโดดเด่น ฉันหวังว่าจะได้ร่วมงานกับทีมผู้นำที่ Grace เพื่อนำพาบริษัทไปสู่จุดสูงสุด”

Patel จะสืบทอดตำแหน่งต่อจาก Hudson La Force ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Grace มาตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้การนำของ La Force บริษัท Grace ได้ลงทุนมหาศาลเพื่อให้การเติบโตสูงขึ้นในธุรกิจตัวเร่งปฏิกิริยาและวัสดุ La Force จะยังคงดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารต่อไปจนถึงสิ้นปีและจะเข้าร่วมคณะกรรมการที่ปรึกษาของ Standard ในเดือนมกราคม 2565

Winter และ Millstone กล่าวว่า “Hudson เป็นผู้นำแบบอย่างที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง Grace ให้กลายเป็นธุรกิจเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกในปัจจุบัน เรารู้สึกขอบคุณในการดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับเขาเข้าสู่คณะกรรมการที่ปรึกษาของ Standard”

เกี่ยวกับ Standard Industries:

Standard Industries เป็นบริษัทอุตสาหกรรมเอกชนระดับโลกที่ดำเนินงานใน 80 กว่าประเทศและมีพนักงานมากกว่า 15,000 คน ระบบนิเวศของ Standard ครอบคลุมความหลากหลายของการถือครอง เทคโนโลยี และการลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทภาครัฐและเอกชนตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงระยะสุดท้าย ตลอดจนสินทรัพย์วัสดุก่อสร้างระดับโลกและโซลูชั่นพลังงานแสงอาทิตย์รุ่นต่อไป ตลอดระยะเวลา 140 ปีที่ผ่านมา Standard ได้สนับสนุนความเชี่ยวชาญและวิสัยทัศน์เชิงลึกในอุตสาหกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเกินมาตรฐานในธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยบริษัทที่กำลังดำเนินงาน ได้แก่ GAF, BMI, Siplast, GAF Energy, Schiedel และ SGI ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่าง 40 North ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ 40 North Ventures และ Winter Properties

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210831005554/en/

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ:

Patrick Ryan
Edelman
610-306-7536
Patrick.Ryan@edelman.com

Josh Hochberg
Edelman
Josh.Hochberg@edelman.com

Beth Kseniak
Standard Industries
917-509-7031
beth.kseniak@standardindustries.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

คุมาโมโตะและผลการฟื้นตัวจากแผ่นดินไหว 5 ปีต่อมา

Logo

ความคืบหน้าของการฟื้นตัวจากแผ่นดินไหวในคุมาโมโตะและแนวคิดสำหรับโตเกียว 2020 “โอลิมปิกและพาราลิมปิกเกมส์แห่งการฟื้นฟู”

คุมะโมะโตะ ญี่ปุ่น–(บิสิเนสไวร์)–31 ส.ค. 2564

เป้าหมายของการประมูลโอลิมปิกและพาราลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียวคือเพื่อให้งานนี้เป็นสัญญาณของการฟื้นตัวของญี่ปุ่นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในโทโฮกุในปี 2554

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210831005307/en/

Post-Earthquake Recovery, Kumamoto 5 years later (Graphic: Business Wire)

คุมาโมโตะและผลการฟื้นตัวจากแผ่นดินไหว 5 ปีต่อมา (กราฟิก: บิสิเนสไวร์)

การแพร่กระจายที่คาดการณ์ไม่ได้ของ COVID-19 ได้ทำให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกล่าช้าไปถึงหนึ่งปีและทำให้การแข่งขันต้องจัดขึ้นโดยไม่มีผู้ชม  นี่หมายความว่าความคืบหน้าหลังแผ่นดินไหวทั้งหมดในญี่ปุ่น ซึ่งตั้งใจจะเปิดเผยต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส่วนใหญ่ไม่ได้มีใครสังเกต

ในปี 2559 คุมาโมโตะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวหลายครั้ง  โดยเป็นแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดสองครั้งวัดขนาด 6.2 และ 7.0 ริกเตอร์  คุมาโมโตะเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเพื่อเป็นมาตรการในการฟื้นตัวจากภัยพิบัติของตัวเอง

แต่เช่นเดียวกับในภาคตะวันออกของญี่ปุ่น โควิด-19 ได้ขัดขวางไม่ให้ผู้มาเยือนจากต่างประเทศได้เข้ามาดูความคืบหน้าด้วยตนเอง  เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เราต้องการแสดงสิ่งที่คุมาโมโตะประสบความสำเร็จในช่วงห้าปีที่ผ่านมาให้คุณได้เห็นในเว็บไซต์ของเรา

การฟื้นฟูแผ่นดินไหวในคุมาโมโตะ 5 ปีต่อมา ได้แก่

  1. การฟื้นฟูพื้นที่ภูเขาอาโสะ ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและบริเวณแคลดีรา
    ภูเขาอาโสะ หนึ่งในพื้นที่ท่องเที่ยวชั้นนำของญี่ปุ่น ได้รับความเดือดร้อนอย่างมากจากแผ่นดินไหว  ห้าปีต่อมา ความพยายามในการฟื้นฟูได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งอีกครั้ง หากการระบาดไม่ได้เป็นปัญหา พื้นที่ภูเขาอาโสะจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ในการต้อนรับผู้มาเยือนจำนวนมาก
  2. การสร้างปราสาทคุมาโมโตะขึ้นใหม่
    ปราสาทคุมาโมโตะคุมาโมโตะ ซึ่งสร้างขึ้นในปี 2150 เป็นสัญลักษณ์ หัวใจ และจิตวิญญาณของชาวคุมาโมโตะ  แผ่นดินไหวทำให้อาคารถล่ม กระเบื้องหลังคาแตก และทำให้กำแพงหินกลายเป็นซากปรักหักพัง  ตอนนี้ การบูรณะปราสาทยังคงดำเนินต่อไป โดยได้เสร็จสิ้นการสร้างทางยกกระดับเพื่อให้เข้าถึงภายในปราสาทได้ และตอนนี้หอปราสาทเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมแล้ว
  3. มังงะและอนิเมะยอดนิยม “วันพีซ” มอบความช่วยเหลือในการสร้างใหม่
    เรื่องราวดั้งเดิมของวันพีซ “Hinokuni Recovery” ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนคุมาโมโตะ  ในนั้น ตัวละครแต่ละตัว (ลูฟี่และสมาชิก 9 คนของกลุ่มหมวกฟาง) ใช้พลังของพวกเขาเพื่อช่วยคุมะโมะโตะ รูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของตัวละครแต่ละตัวกำลังถูกเปิดเผยผ่านจังหวัดคุมาโมโตะ

    กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราสำหรับรายละเอียด
    https://kumamoto.guide/en/season/detail/145

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210831005307/en/

ติดต่อ:

Kumamoto Prefectural Tourism Federation (การท่องเที่ยวแห่งคุมาโมโตะ)
Takayuki Kubo
โทร: 81 -96-382-2660
อีเมล: kubo@minamiaso.info

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

SPRIX ส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาในญี่ปุ่นโดยสำรวจเด็กและผู้ปกครองจำนวน 22,000 รายใน 11 ประเทศทั่วโลกด้านการเรียนรู้

Logo

การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและแรงจูงใจของเด็กที่เกี่ยวข้องกับอัตราการจดจำในการเรียนรู้ของเด็ก

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–31 สิงหาคม 2564

สถาบันวิจัย SPRIX ซึ่งดำเนินการโดย SPRIX (สำนักงานใหญ่: Toshima Ward, Tokyo) (ตัวแทนผู้อำนวยการและประธาน: Hiroyuki Tsuneishi) ได้นำสองแบบสำรวจที่ออกแบบมาใช้เพื่อทำความเข้าใจการศึกษาของรัฐทั่วโลกให้ดียิ่งขึ้น แบบสำรวจทั้งสองมุ่งเป้าไปที่เด็กและพ่อแม่หรือผู้ปกครองใน 11 ประเทศที่แตกต่างกัน แบบสำรวจแรกเป็นแบบสำรวจความตระหนัก เน้นการเรียนรู้ และแบบที่สองเป็นแบบสำรวจความรู้ เน้นการวัดทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐาน

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย รับชมฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210831005018/en/

Average Response Rates (as Percentages) for Basic Academic Skills Survey Directed at Children Aged Fifteen and Younger Across Eleven Countries (Graphic: Business Wire)

อัตราการตอบกลับโดยเฉลี่ย (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) สำหรับแบบสำรวจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานที่มุ่งเป้าไปที่เด็กอายุสิบห้าหรือน้อยกว่าใน 11 ประเทศ (กราฟิก: Business Wire)

การสำรวจแต่ละครั้งเกี่ยวข้องกับผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนหนึ่งพันรายในแต่ละประเทศ รวมเด็ก พ่อแม่ และผู้ปกครองเป็นจำนวน 22,000 ราย ผลการสำรวจพบว่าประเทศที่มีระดับความสม่ำเสมอในการเรียนรู้และการจดจำสำหรับทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานที่สูงขึ้นยังมีอัตราการมีส่วนร่วมของพ่อแม่หรือผู้ปกครองในการเรียนรู้ของเด็กที่สูงขึ้น ผลการสำรวจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มอัตราการตอบสนองที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อทราบถึงอาชีพในอนาคตของเด็กอย่างชัดเจน

ผลสำรวจที่สำคัญ

1. อัตราการตอบกลับโดยเฉลี่ยสำหรับผลการสำรวจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานเกินร้อยละเจ็ดสิบในเอเชีย และพบว่าผลลัพธ์ของยุโรปและสหรัฐอเมริกาโดยทั่วไปต่ำกว่า

เราเห็นความแตกต่างในระดับภูมิภาคอย่างชัดเจนในการเรียนรู้ที่สม่ำเสมอและการจดจำสำหรับเด็กอายุสิบห้าหรือต่ำกว่า

2. เด็กจากประเทศที่มีอัตราของความสม่ำเสมอในการเรียนรู้และการจดจำที่สูงขึ้นจะมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคตของพวกเขา

เด็กที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตจะมีความสนใจในชั้นเรียนและการศึกษาด้วยตนเอง

3. ประเทศที่ทำการสำรวจทั้งหมดตระหนักถึงความสำคัญของทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐาน

ที่กล่าวมานั้น ได้เห็นความแตกต่างบางประการในแนวทางการเรียนรู้ในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา

4. ความพึงพอใจในชั้นเรียนเกินร้อยละแปดสิบ การระบาดใหญ่เปลี่ยนแปลงไปสู่การเรียนรู้ออนไลน์ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญ พ่อแม่และผู้ปกครองมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องการให้แบบสำรวจความรู้มีการตรวจสอบถึงความยากลำบากเป็นประจำของการเรียนออนไลน์ในช่วงที่เกิดโรคระบาด อย่างเช่น โควิด-19

หมายเหตุ: เมื่อต้องการแชร์เนื้อหาจากข่าวประชาสัมพันธ์นี้ ให้ระบุว่าจัดทำโดยสถาบันวิจัย SPRIX

ภาพรวมของการสำรวจ

ประเทศเป้าหมาย:

ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส โปแลนด์ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา

ผู้ตอบแบบสอบถาม:

เด็กอายุ 6 ถึง 15 ปี จำนวน 1,000 คนจากแต่ละประเทศที่ทำการสำรวจ รวมผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 11,000 คน

พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กดังกล่าว จำนวน 1,000 คนจากแต่ละประเทศที่ทำการสำรวจ รวมผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 11,000 คน

วิธีการสำรวจ:

ออนไลน์

เนื้อหาแบบสำรวจ:

แบบสำรวจความตระหนักสอบถามคำถามเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทั้งเด็กและพ่อแม่หรือผู้ปกครอง

แบบสำรวจทักษะทางวิชาการสอบถามคำถามทั้งหมด 50 ข้อในรูปแบบการทดสอบพื้นฐานสำหรับเด็ก

ระยะเวลาการสำรวจ:

สิงหาคม ถึง กันยายน 2563

1. อัตราการตอบกลับโดยเฉลี่ยสำหรับผลการสำรวจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานเกินร้อยละเจ็ดสิบในเอเชีย และพบว่าผลลัพธ์ของยุโรปและสหรัฐอเมริกาโดยทั่วไปต่ำกว่า

เราเห็นความแตกต่างในระดับภูมิภาคอย่างชัดเจนในการเรียนรู้ที่สม่ำเสมอและอัตราในการจดจำสำหรับเด็กอายุสิบห้าหรือต่ำกว่า

ภายในการสำรวจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานที่จัดทำโดย SPRIX ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่เด็กอายุสิบห้าหรือต่ำกว่าใน 11 ประเทศที่ต่างกัน อัตราการตอบกลับสำหรับประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับต่ำ ในทางกลับกัน อัตราการตอบกลับสำหรับประเทศต่าง ๆ ภายในเอเชีย โดยเฉลี่ยอยู่ที่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์หรือสูงกว่านั้น เราเห็นความแตกต่างในระดับภูมิภาคในด้านความสม่ำเสมอในการเรียนรู้ทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานและอัตราในการจดจำ

ชื่อแผนภูมิ: อัตราการตอบกลับโดยเฉลี่ย (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) สำหรับแบบสำรวจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานที่มุ่งเป้าไปที่เด็กอายุสิบห้าหรือน้อยกว่าในสิบเอ็ดประเทศ

2. เด็กจากประเทศที่มีอัตราของความสม่ำเสมอในการเรียนรู้และการจดจำที่สูงขึ้นจะมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคตของพวกเขา

เด็กที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตจะมีความสนใจในชั้นเรียนและการศึกษาด้วยตนเอง

การสำรวจเด็ก ๆ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาพบว่าคะแนนสูงอย่างต่อเนื่องในวิชาชีพด้านการแพทย์ วิชาชีพด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม และวิชาชีพด้านการศึกษาในหลายประเทศ โดยไม่มีความแตกต่างที่สำคัญสำหรับอาชีพในอนาคตทั่วทั้ง 11 ประเทศ เนื่องจากนวัตกรรมทางด้านเทคนิคเพิ่มบทบาทในด้านไอทีและเทคโนโลยีดิจิทัลภายในบทบาทบริการของแต่ละอุตสาหกรรม เราเชื่อว่าเด็ก ๆ จะมีความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นในวิชาชีพด้านเทคนิค วิศวกรรม และการเขียนโปรแกรม

ชื่อแผนภูมิ: อาชีพที่เด็กสนใจ

อย่างไรก็ตาม เราเห็นความแตกต่างในระดับภูมิภาคเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของเด็กเกี่ยวกับอาชีพในอนาคต ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น เด็ก ๆ ในประเทศอื่น ๆ ในเอเชียมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับอาชีพในอนาคตมากกว่าเมื่อเทียบกับเด็กในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิดจากผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับการกระจายผลลัพธ์สำหรับประเทศที่ยังคงทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานไว้ เราเชื่อว่าผลลัพธ์เหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน

ชื่อแผนภูมิ: อัตรา (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ของเด็กที่ไม่มีอาชีพในอนาคตหรือยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพในอนาคต

นอกจากนี้ เด็กในประเทศที่ผลลัพธ์ชี้ให้เห็นถึงอาชีพในอนาคตที่ชัดเจน ยังแสดงความรู้สึกเชิงบวกต่อชั้นเรียนในโรงเรียนด้วย นอกจากนี้ เส้นแนวโน้มความสนใจเรียนนอกโรงเรียนยังอยู่ในระดับสูง แบบสำรวจแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงระดับแรงจูงใจในการเรียนรู้ที่สูงมาก

ชื่อแผนภูมิ: อัตรา (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ของเด็กที่คิดว่างานชั้นเรียนน่าสนใจ

ชื่อแผนภูมิ: เวลาเรียนเฉลี่ย (คิดเป็นชั่วโมง) นอกชั้นเรียน

3. ประเทศที่ทำการสำรวจทั้งหมดตระหนักถึงความสำคัญของทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐาน

ที่กล่าวมานั้น ได้เห็นความแตกต่างบางประการในแนวทางการเรียนรู้ในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา

การตระหนักรู้สำหรับพ่อแม่และผู้ปกครองเกี่ยวกับทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานของบุตรหลานนั้นสูงมาก เกินกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์สำหรับพ่อแม่และผู้ปกครองจาก 11 ประเทศที่ทำการสำรวจซึ่งเชื่อว่าทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานมีความสำคัญ การสำรวจยังระบุอย่างชัดเจนว่าพ่อแม่และผู้ปกครองประมาณร้อยละเก้าสิบต้องการพัฒนาระดับทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานของบุตรหลานและต้องการมีส่วนร่วมกับพวกเขาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เราเห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเห็นด้วยกับความสำคัญของทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐาน เนื่องจากเชื่อว่าความรู้ดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง หรืออย่างอื่นที่ขาดไม่ได้สำหรับการศึกษาของบุตรหลาน

ชื่อแผนภูมิ: ความตระหนัก (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ของความรู้พื้นฐานสำหรับพ่อแม่และผู้ปกครองในสิบเอ็ดประเทศ

ชื่อแผนภูมิ: ทักษะ (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ที่เชื่อว่าจำเป็นนอกเหนือจากการเรียน

นอกจากนี้ พ่อแม่และผู้ปกครอง ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น ที่เข้าใจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานมีอยู่ในระดับสูง ในประเทศส่วนใหญ่พ่อแม่และผู้ปกครองเข้าใจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานของบุตรหลาน และเราสามารถเห็นได้ว่าความตระหนักในทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานของพวกเขาก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน

ชื่อแผนภูมิ: อัตรา (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ของเด็กและพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่เข้าใจทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐาน

เมื่อเราสำรวจความตระหนักเฉพาะเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของพ่อแม่หรือผู้ปกครองในการเรียนรู้ของบุตรหลานของพวกเขา พ่อแม่และผู้ปกครองใน 11 ประเทศมีส่วนร่วมอย่างมาก ด้วยผลลัพธ์โดยเฉลี่ยมากกว่าร้อยละเก้าสิบสำหรับการมีส่วนร่วมซึ่งรวมถึงการกระตุ้นให้เด็กศึกษาและให้รางวัลเด็กในการศึกษา อย่างไรก็ตาม เราเห็นความแตกต่างในระดับภูมิภาคสำหรับเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ในเรื่องการมีส่วนร่วม อย่างเช่น พ่อแม่หรือผู้ปกครองที่สอนบุตรหลานของตนเอง ให้คะแนนการบ้านแก่เด็ก หรือการพัฒนาตารางเรียนสำหรับเด็ก พ่อแม่และผู้ปกครองจากประเทศที่มีอัตราการตอบแบบสำรวจทักษะทางวิชาการสูงกว่าจะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในรายละเอียดการเรียนของเด็กมากขึ้น รวมถึงการจัดตารางการเรียนรู้ที่เป็นอิสระของเด็ก และการให้คะแนนการบ้านของเด็ก แทนที่จะปล่อยไว้ให้แล้วแต่บุตรหลานของพวกเขา

ชื่อแผนภูมิ: การมีส่วนร่วม (เป็นเปอร์เซ็นต์) ในการเรียนรู้ของเด็กทั่วทั้งสิบเอ็ดประเทศ

4. ความพึงพอใจในชั้นเรียนเกินร้อยละแปดสิบ การระบาดใหญ่เปลี่ยนแปลงไปสู่การเรียนรู้ออนไลน์ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญ พ่อแม่และผู้ปกครองมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องการให้แบบสำรวจความรู้มีการตรวจสอบถึงความยากลำบากเป็นประจำของการเรียนออนไลน์ในช่วงที่เกิดโรคระบาด อย่างเช่น โควิด-19

เราสำรวจว่าพ่อแม่และผู้ปกครองสนับสนุนโรงเรียนที่เป็นศูนย์กลางของการศึกษาทักษะทางวิชาการของเด็กอย่างไร ผู้ตอบแบบสอบถามจาก 11 ประเทศให้คะแนนโรงเรียนในระดับที่สูง ด้วยคำตอบรวมถึงความพึงพอใจต่อบทเรียนที่ทางโรงเรียนจัดให้ การเข้าเรียนของบุตรหลานของพวกเขา และทักษะทางวิชาการที่เพียงพอที่ได้รับการสอนในชั้นเรียนของโรงเรียน เนื่องจากประมาณร้อยละแปดสิบของผู้ตอบแบบสอบถามในทั้งหมด 11 ประเทศ ระบุว่าพวกเขาเชื่อมั่นในผลการทดสอบของโรงเรียน เราเชื่อว่าสิ่งนี้บ่งบอกถึงความพึงพอใจในระดับสูงสำหรับการศึกษาในโรงเรียน ในทางกลับกัน โรงเรียนหลายแห่งถูกบังคับให้พิจารณารูปแบบชั้นเรียนใหม่เพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของการติดเชื้อโควิด-19 และมีการใช้กลยุทธ์หลายอย่างสำหรับการเรียนรู้ออนไลน์ รวมถึงชั้นเรียนออนไลน์ผ่านแอปการประชุมทางไกล เช่น Zoom การเสนอเนื้อหาดิจิทัล และการแชร์วิดีโอของชั้นเรียนโดยคุณครู

ชื่อแผนภูมิ: การให้คะแนน (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ของชั้นเรียนโดยพ่อแม่และผู้ปกครองในสิบเอ็ดประเทศ

ชื่อแผนภูมิ: การตอบสนองของโรงเรียน (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ในสิบเอ็ดประเทศต่อโควิด-19

เป็นที่ชัดเจนว่าผลกระทบของโควิด-19 ต่อการเรียนรู้ของเด็กมีความสำคัญ และพ่อแม่หรือผู้ปกครองจำนวนมากเชื่อว่าต้องใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การเรียนรู้เฉพาะบุคคล การทบทวนระดับทักษะทางวิชาการอย่างสม่ำเสมอ และโอกาสในการเรียนรู้นอกโรงเรียนที่จำเป็น พ่อแม่หรือผู้ปกครองสี่ในห้าต้องการให้ใช้มาตรฐานแห่งชาติเพื่อประเมินทักษะทางวิชาการ และสามในสี่ต้องการให้ใช้มาตรฐานสากล ผลลัพธ์เหล่านี้บ่งชี้ว่าพ่อแม่และผู้ปกครองหลายรายตระหนักถึงสภาพการเรียนรู้ของบุตรหลาน

ชื่อแผนภูมิ: สิ่งที่จำเป็น (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เพื่อการเรียนรู้ของเด็กในสิบเอ็ดประเทศ

ชื่อแผนภูมิ: ความตระหนัก (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ของการประเมินทักษะทางวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศในสิบเอ็ดประเทศ

คำพูดบางส่วนจาก Shuhei Umeda ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย SPRIX

เป็นเวลากว่ายี่สิบปีที่ SPRIX ได้ให้บริการด้านการศึกษาแก่เด็กชาวญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งและที่จะได้รับการจัดอันดับในรระดับกลางหรือต่ำกว่าของทักษะทางวิชาการ

การศึกษาวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในการเรียนรู้ในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศในเอเชีย ระดับแรงจูงใจในการเรียนรู้ทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้แนวทางต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนรู้ เราเชื่อว่าผลลัพธ์จะเป็นข้อมูลอ้างอิงที่ดีเยี่ยมสำหรับประเทศที่ผลการทดสอบทักษะทางวิชาการไม่สูงนัก

การสำรวจวิจัยประเภทนี้ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานอย่างที่ไม่เคยมีการดำเนินการในระดับโลกมาก่อน อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ นอกจากนี้การทดสอบของ Fundamental Academic Skills (TOFAS) ที่เปิดตัวซึ่งเติบโตจากผลการวิจัยที่ได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 30,000 คนในสิบประเทศทั่วโลก โดยมีแผนเรียกร้องเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในภายภาคหน้า หากบุคคลในต่างประเทศสนใจงานวิจัยประเภทนี้ และต้องการทดสอบและศึกษาวิธีพัฒนาทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานสำหรับเด็ก เรายินดีที่จะพัฒนาการวิจัยต่อไป

ภาพรวมของสถาบันวิจัย SPRIX

สถาบันวิจัย SPRIX มุ่งเน้นที่ทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐาน และจัดตั้งขึ้นเพื่อประเมินทักษะทางวิชาการของเด็กอย่างถูกต้อง และเพื่อให้มั่นใจว่ามีความสม่ำเสมอและการจดจำของทักษะเหล่านั้น โดยมุ่งเน้นที่ทักษะทางวิชาการที่เป็นพื้นฐานขั้นต้นซึ่งทำหน้าที่เป็นบรรทัดเริ่มต้นของสถาบันวิจัยสำหรับการพัฒนาทักษะเหล่านั้น เมื่อทักษะเหล่านั้นเหมาะสมแล้ว เด็ก ๆ จะมีอนาคตที่หลากหลายให้เลือก โดยมอบโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชีวิตของพวกเขา ภารกิจของเราในฐานะสถาบันวิจัยคือการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาที่จำเป็นสำหรับการจดจำที่สม่ำเสมอของทักษะทางวิชาการขั้นพื้นฐานสำหรับเด็ก ไม่เพียงแต่ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ไปยังทั่วโลกด้วย

ชื่อสถาบัน:

สถาบันวิจัย SPRIX

ผู้อำนวยการสถาบัน:

Shuhei Umeda

เว็บไซต์:

https://tofas.education/

บัญชีโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการ:

Twitter https://twitter.com/SprixBasri

Facebook https://www.facebook.com/SprixBasri

ภาพรวมของ SPRIX

ชื่อบริษัท:

SPRIX

สำนักงานใหญ่:

12F, Metropolitan Plaza Building, 1-11-1 Nishi-Ikebukuro, Toshima Ward, Tokyo

ตัวแทน:

Hiroyuki Tsuneishi, Representative Director and President

เว็บไซต์:

https://sprix.jp/

สอบถามโดยตรงไปที่:

tofas@sprix.jp

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210831005018/en/

สมาชิกของสื่อมวลชนควรส่งคำถามไปที่:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ SPRIX (สำหรับการติดต่อเบื้องต้น)
หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์: Ririna Matsui, Nao Aoyama
โทร: +81-3-5572-6062
โทรสาร: +81-3-5572-6065
อีเมล์: sprix@vectorinc.co.jp










การลงทุนจาก EIG ให้กำเนิด ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระแห่งใหม่ของสหราชอาณาจักร

Logo

EIG เข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซร่วม (CCGT) ขนาด 1332 เมกะวัตต์ และแบตเตอรี่ขนาด 49 เมกะวัตต์ ในเมืองนอตติงแฮมเชียร์ ประเทศอังกฤษ

West Burton Energy ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน

นอตติงแฮมเชอร์ ประเทศอังกฤษ–(BUSINESS WIRE)–31 ส.ค. 2564

West Burton Energy ถูกก่อตั้งขึ้นในวันนี้ในฐานะซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านการผลิตไฟฟ้าในสหราชอาณาจักร หลังจากที่ EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันในภาคพลังงานทั่วโลกและเป็นหนึ่งในนักลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของโลก เข้าซื้อสินทรัพย์ด้านการผลิตไฟฟ้าจาก EDF Energy ธุรกรรมดังกล่าวซึ่งปิดตัวลงอย่างสำเร็จเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ประกอบด้วยโรงไฟฟ้า West Burton B ซึ่งเป็น โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซร่วมขนาด 1332 เมกะวัตต์ (“CCGT”) และแบตเตอรี่ขนาด 49 เมกะวัตต์ในเมืองนอตทิงแฮมเชอร์ ประเทศอังกฤษ

R. Blair Thomas ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ EIG กล่าวว่า “ธุรกรรมนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของเราในการลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง ทีมงานที่ดีที่สุด และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญ โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระบบการจ่ายไฟฟ้าของสหราชอาณาจักร และการลงทุนของเราใน West Burton Energy ตอกย้ำความมั่นใจของเราในบทบาทที่ต่อเนื่องของก๊าซในการอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน”

West Burton B เป็นโรงงาน CCGT ที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีประสิทธิภาพสูง โดยมีหน่วยวงจรรวมสามชุด ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอสำหรับจ่ายพลังงานให้กับบ้านประมาณ 1.5 ล้านหลัง และเชื่อมโยงกับการเก็บแบตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป เทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกันมอบผลิตภัณฑ์พลังงานตามความต้องการที่จำเป็น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนภูมิทัศน์กริดที่เปลี่ยนแปลงไปของสหราชอาณาจักร และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำ

Mike Nason ผู้จัดการสถานีพลังงาน West Burton อธิบายว่า “ประสิทธิภาพสูงของสถานีย่อมหมายความว่ามีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยลงและมีการปล่อยมลพิษในระดับที่ต่ำลงสำหรับทุกๆ หน่วยการผลิตไฟฟ้า” “เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ ประกอบกับความจริงที่ว่าสถานีอิสระแห่งใหม่ของเราเป็นหนึ่งในอาคารล่าสุดในประเทศ West Burton Energy จึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีในระดับแนวหน้าของตลาดพลังงานที่กำลังพัฒนาของสหราชอาณาจักร”

Walid Mouawad กรรมการผู้จัดการของ EIG กล่าวเสริมว่า “นี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุนของเรา เนื่องจาก West Burton Energy ได้เริ่มดำเนินการบนเส้นทางข้างหน้าเพื่อนำเสนอโซลูชันที่สามารถรองรับอนาคตที่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ได้ ด้วยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของการผลิตพลังงานทดแทน เราเชื่อว่าเทคโนโลยีการจัดเก็บแบตเตอรี่จะยังคงสนับสนุนความเสถียรของเครือข่ายกริดแห่งชาติของสหราชอาณาจักร EIG ยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรกับทีมที่น่าทึ่งทีมนี้ และได้เป็นส่วนหนึ่งของบทต่อไปที่น่าตื่นเต้นของ West Burton Energy”

Cantor Fitzgerald ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ EIG เกี่ยวกับการทำธุรกรรมดังกล่าว และ White & Case ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมาย

เกี่ยวกับ West Burton Energy

West Burton Energy เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระที่เพิ่งได้รับจัดตั้งขึ้นใหม่ และเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำในสหราชอาณาจักร บริษัทดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม หรือ Combined Cycle Gas Turbine  (CCGT) ขนาด 1332 เมกะวัตต์ และแบตเตอรี่ขนาด 49 เมกกะวัตต์ พร้อมทั้งยังมีสถานที่ตั้งที่ได้รับอนุญาตสำหรับโครงการกังหันก๊าซธรรมชาติรอบเปิด หรือ Open Cycle Gas Turbine  (OCGT) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองนอตทิงแฮมเชอร์ ประเทศอังกฤษ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ West Burton Energy ที่ www.westburtonenergy.com.

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานทั่วโลกด้วยเงิน 22.5 พันล้านดอลลาร์ภายใต้การบริหาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 EIG เชี่ยวชาญด้านการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 39 ปี EIG ได้ให้คำมั่นสัญญามูลค่ากว่า 38.0 พันล้านดอลลาร์แก่ภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทมากกว่า 373 โครงการใน 38 ประเทศในหกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วย แผนบำเหน็จบำนาญชั้นนำมากมาย บริษัทประกันภัย การบริหารเงินบริจาค มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งอธิปไตยในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ ริโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210831005838/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ:

West Burton Energy

FTI Consulting

Stephanie Randall

+1 212-850-5603

WestBurtonEnergy@fticonsulting.com

EIG

Sard Verbinnen & Co.

Kelly Kimberly / Brandon Messina

+1 212-687-8080

EIG-SVC@sardverb.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Taiwan Plus แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวิดีโอแห่งแรกของไต้หวัน เปิดให้ใช้งานจริงแล้ว

Logo

ไทเป, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–30 ส.ค. 2564

Taiwan Plus (Taiwan+) แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระหว่างประเทศที่เป็นภาษาอังกฤษแพลตฟอร์มแรกของไต้หวัน ได้ถูกเปิดตัวโดย Lai Ching-te รองประธานาธิบดี You Si-kun โฆษกสภานิติบัญญัติ  Lee Yung-te รัฐมนตรีวัฒนธรรม Liu Ka -shiang ประธานสำนักข่าวกลาง (CNA)  Joanne Tsai ซีอีโอของ Taiwan+  และ เอกอัครราชทูต Jasmine E. Huggins แห่งสถานทูตเซนต์คริสโตเฟอร์และเนวิส ณ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันในไทเป เมื่อวันที่ 30 ส.ค.

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่ https://www.businesswire.com/news/home/20210830005449/en/

Taiwan's Vice President Lai Ching-te (center) waves to the audiences at the launch party of Taiwan+, the first English-language international streaming platform of the nation on Monday. The Central News Agency Chairman Liu Ka-shiang (from right), H.E. Ambassador Jasmine E. Huggins of Embassy of Saint Christopher and Nevis in Taiwan, Culture Minister Lee Yung-te, Legislative Speaker You Si-kun, Taiwan+ CEO Joanne Tsai along with Taiwan+ News Center Director Divya Gopalan attended the event held at National Taiwan Museum. (Photo: Business Wire)

รองประธานาธิบดี Lai Ching-te (กลาง) ของไต้หวันโบกมือให้กับผู้ชมที่งานเปิดตัว Taiwan+ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งภาษาอังกฤษระดับนานาชาติแห่งแรกของประเทศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Liu Ka-shiang ประธานสำนักข่าวกลาง (จากขวาไปซ้าย) เอกอัครราชทูต Jasmine E. Huggins แห่งสถานทูตเซนต์คริสโตเฟอร์และเนวิสในไต้หวัน, รัฐมนตรีวัฒนธรรม Lee Yung-te, โฆษกสภานิติบัญญัติ You Si-kun, ซีอีโอ Joanne Tsai แห่ง Taiwan+ พร้อมด้วย Divya Gopalan ผู้อำนวยการศูนย์ข่าว Taiwan+ ได้เข้าร่วมงานที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน (ภาพ: Business Wire)

Taiwan+ ซึ่งมุ่งเป้าหมายไปที่ผู้ชมที่พูดภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมในประเทศที่ทำงานร่วมกันเพื่อนำเสนอข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับไต้หวัน กิจการระหว่างประเทศ และหัวข้ออื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ แพลตฟอร์มนี้ยังรวบรวมเรื่องราวที่มาจากองค์กรสื่อของทั้งรัฐและเอกชนของไต้หวันเอาไว้อีกด้วย

Sanpuy Katatepan Mavaliyw  นักร้องเจ้าของรางวัลเมโลดี้ทองคำ เปิดงานด้วยการแสดงดนตรี โดยมีตัวแทนจากหลายประเทศเข้าร่วมด้วย เช่น Izumi Hiroyasu จากญี่ปุ่น Jordan Reeves จากแคนาดา Andrew Wylegala กับ Don Shapiro จากสหรัฐอเมริกา และ Henry Chang กับ Giuseppe Izzo จากยุโรป ซึ่งงานถูกจัดขึ้นภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19

เอกอัครราชทูต Jasmine E. Huggins แห่ง สถานทูตเซนต์คริสโตเฟอร์และเนวิสในไต้หวัน กล่าวว่า แพลตฟอร์มวิดีโอระดับนานาชาตินี้ถูกคาดหมายว่าจะเชื่อมต่อไต้หวันกับโลก

ประธานาธิบดี Tsai Ing-wen  แสดงความยินดีที่ได้เข้าร่วมการเปิดตัว Taiwan+ ด้วยข้อความวิดีโอ โดยกล่าวว่า “Taiwan+ เป็นความคิดริเริ่มใหม่ที่น่าตื่นเต้นในการบอกเล่าเรื่องราวของไต้หวัน ชาวไต้หวันหลายรุ่นต่อสู้เพื่อเปลี่ยนประเทศนี้ให้เป็นประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง ซึ่งปกป้องเสรีภาพในการพูดและการแสดงออก”

นายกรัฐมนตรี Su Tseng-chang ได้อวยพรให้แพลตฟอร์มประสบความสำเร็จ เขาเน้นว่าไต้หวันเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เสรีภายใต้หลักนิติธรรม และใส่ใจในคุณค่าสากลของสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการแสดงความเห็น และความหลากหลาย โดยสังเกตว่านี่คือเหตุผลที่หลายประเทศยินดีผูกมิตรและทำธุรกิจกับไต้หวัน

รองประธานาธิบดี Lai กล่าวว่า “ ผมหวังว่าเวทีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่โลกจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ชาวไต้หวันคิดและต้องการ สิ่งที่ไต้หวันกำลังทำ และสิ่งที่เราสามารถมีส่วนร่วมกับโลกได้”

โฆษกสภานิติบัญญัติ You ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะการมีอยู่ของการข่มขู่และการกดขี่ทางการเมืองของจีนต่อไต้หวัน การก่อตั้ง Taiwan+ ทำให้ไต้หวันสามารถบอกเล่าเรื่องราวของตนให้โลกได้รับรู้ผ่านเสียงเล่าของไต้หวันเอง

Taiwan+ ซึ่งเป็นโครงการที่ CNA ได้รับมอบหมายจากกระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์สื่อมวลชนของประเทศ รัฐมนตรี Lee กล่าว ทั้งนี้ เขายังได้แสดงความขอบคุณต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติและผู้เชี่ยวชาญที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้

“ฉันหวังว่าจะทำให้แพลตฟอร์มนี้เป็นรูปแบบของการขยายตัว การเชื่อมต่อ และความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกับที่ไต้หวันผสมผสานความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และภาษาเข้าไว้ด้วยกัน และยังแนะนำไต้หวันให้โลกได้รู้จัก ผ่านการเล่าเรื่องและข่าวสารแบบไดนามิก” Tsai ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่ออาวุโสที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีในสื่อต่างประเทศ เช่น NBC/CNBC, National Geographic และ Fox International Channels กล่าว

เนื้อหาของ Taiwan+ สามารถเล่นได้บนแอพ Taiwan Plus หรือดูบนเว็บไซต์และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, YouTube, Twitter และ Instagram

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210830005449/en/

ติดต่อ:

Taiwan+

Hanna Liu

0988-653-078

hanna.liu@taiwanplus.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Thai Herald

Thai Herald