Tag Archives: 2565

ขอแนะนำคอลเลคชัน GUESS USA ประจำฤดูใบไม้ร่วงปี 2565

Logo

ลอสแองเจลิส–(BUSINESS WIRE)–17 ต.ค. 2565

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 เป็นต้นมา GUESS ได้มีวิสัยทัศน์ที่เป็นหนึ่งเดียวเกี่ยวกับ 'วิถีอเมริกัน' และการเป็นคลังเก็บรวบรวมผลงานของการออกแบบและภาพถ่ายขนาดใหญ่

Nicolai Marciano ได้นำ Eli Russell Linnetz ช่างภาพ มาสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ GUESS USA ซึ่งเป็นแบรนด์ย่อยของ GUESS ในแคลิฟอร์เนีย คอลเลคชันเครื่องแต่งกายที่ออกแบบโดย Nicolai Marciano เป็นผลงานการสร้างสรรค์เชิงสุนทรียศาสตร์แบบอเมริกาตะวันตกผ่านการกำกับการถ่ายภาพโดย Linnetz – วิสัยทัศน์ของเขาผสมผสานกับพลังและทัศนคติของวัฒนธรรมอเมริกานา (Americana)

ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2565 เป็นต้นไป คอลเลกชั่นนี้จำหน่ายผ่าน Slam Jam ซึ่งเป็นพันธมิตรระดับโลกของ GUESS USA แต่เพียงบริษัทเดียว โดยให้บริการแก่ผู้ค้าปลีกที่ได้รับการคัดเลือกทั่วโลก

“การได้รับแรงบันดาลใจจาก American Iconography ของแคมเปญ GUESS ในยุคแรก ทำให้คอลเล็กชั่นนี้เต็มไปด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่คุณจะพบได้ที่ร้านบูติกริมถนนในอเมริกา หนังแบบ (Distressed leathers) ยีนส์ซีด (faded denim) ขนสัตว์ฟอกแดด (sun-bleached furs) และฮาร์ดแวร์สีแตก (hardware cracking with paint)” — NICOLAI MARCIANO กล่าว

ความร่วมมือที่สอดประสานกันก่อให้เกิดคอลเล็กชันที่คัดสรรมาอย่างดีซึ่งรวมเอาคลังข้อมูล GUESS USA เอาไว้อย่างสมบูรณ์ ด้วยแรงบันดาลใจจากผลงานที่หาไม่ได้อีกแล้วที่ค้นพบในอาร์ตเวิร์กของ GUESS ที่ออกแบบในยุค 80, 90 และ 2000 ผลงานเหล่านี้ไม่เคยถูกนำไปผลิตเลย จวบจนถึงปัจจุบัน

ตั้งแต่แคมเปญการตลาดแรกสุดเป็นต้นมา GUESS ได้สนับสนุนสื่อการถ่ายภาพซึ่งบุกเบิกรูปแบบใหม่ของการโฆษณาและการสร้างแบรนด์ ซึ่งบางครั้งไม่ใช่แต่เพียงบนเสื้อผ้าเท่านั้น แต่งโฆษณาก็ยังขายไลฟ์สไตล์และความฝันแบบอเมริกัน ซึ่งเป็นธีมที่โดดเด่นในผลงานของ Eli Russell Linnetz อีกด้วย

“GUESS ใช้ภาพถ่ายเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งเสมอ เรื่องราวที่ไม่เพียงแต่ใช้นำเสนอเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทัศนคติและพลังงานอันน่าตื่นเต้นอีกด้วย” — ELI RUSSELL LINNETZ กล่าว

GUESS มีความจำเป็นที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับวิถีอเมริกัน การถ่ายภาพทั้งหมดดำเนินการโดย Eli Russell Linnetz  ผู้ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเพื่อบันทึกแคมเปญ FA22 ของแบรนด์

ด้วยการอาศัยวิสัยทัศน์ของ Eli Russell Linnetz ในการนำคลังภาพถ่ายของ GUESS มาจินตนาการใหม่  Nicolai Marciano, Linnetz และ Slam Jam ได้ทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดความเซ็กซี่และทัศนคติที่ผลักดันขอบเขตของคนรุ่นใหม่

เกี่ยวกับ GUESS?, Inc.

GUESS ก่อตั้งขึ้นในปี 2524 โดยเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทกางเกงยีนส์และเติบโตจนกลายเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก ปัจจุบัน Guess?, Inc. ออกแบบ ทำการตลาด จัดจำหน่าย และออกใบอนุญาตคอลเลกชั่นไลฟ์สไตล์ของเสื้อผ้าร่วมสมัย ผ้ายีนส์ กระเป๋าถือ นาฬิกา แว่นตา รองเท้า และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  สินค้าของ Guess?จำหน่ายผ่านแบรนด์ Guess? ตลอดจนถึงร้านค้า ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าเฉพาะทางทั่วโลก บริษัทเปิดร้านค้าปลีกโดยตรงเป็นจำนวน 1,064 แห่ง ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2565 ในอเมริกา ยุโรป และเอเชีย พันธมิตรและผู้จัดจำหน่ายของบริษัทดำเนินการร้านค้าปลีกเพิ่มเติม 567 แห่งทั่วโลก  บริษัทและคู่ค้าและผู้จัดจำหน่ายได้ดำเนินการในประมาณ 100 ประเทศทั่วโลก ณ วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทได้ที่ www.guess.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20221017005040/en/

ติดต่อ:

Montana Wilkie

GUESS?, Inc.

212.852.0534

mwilkie@guess.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

eCloudvalley เป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ปี 2565

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–27 กันยายน 2565

eCloudvalley Digital Technology ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียโดย HR Asia ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคล วัฒนธรรมของ eCloudvalley แห่งนวัตกรรมของ Day 1  ซึ่งส่งผลให้เกิดสภาพการทำงานไร้ที่ติ นิตยสาร HR Asia ได้แจกจ่ายชุดแบบสอบถามให้กับหลายองค์กรเพื่อให้พนักงานตอบคำถามโดยไม่เปิดเผยตัวตน และจากผลการศึกษาดังกล่าวพบว่า eCloudvalley ได้คะแนนสูงเหนือค่าเฉลี่ยของตลาดมากในด้าน “การส่งเสริมนวัตกรรม การสร้างสภาพแวดล้อมที่ใช้ร่วมกันและยืดหยุ่น และสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตร “

บริษัทที่เกิดในคลาวด์แห่งนี้ ได้กำหนดกระบวนการสรรหาเชิงกลยุทธ์เพื่อกำหนดเป้าหมายผู้ที่มีความสามารถด้านคลาวด์ผ่านกระบวนการสรรหาของตนเองที่เรียกว่า “STAR Principle”  STAR เป็นตัวย่อสำหรับ สถานการณ์ ภารกิจ การดำเนินการ และผลลัพธ์ หรือ Situation, Task, Action, and Result ซึ่งกำหนดให้แผนกสรรหาบุคลากรสามารถถามคำถามที่เข้ากับแต่ละสถานการณ์และประเมินว่าผู้สมัครสามารถให้โซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและที่ยืดหยุ่นในระยะเวลาที่จำกัดได้หรือไม่

คุณ MP Tsai ตำแหน่ง Chief Executive Officer (CEO) จาก eCloudvalley ได้กล่าวว่า “อุตสาหกรรมคลาวด์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เฉพาะผู้ที่มีกรอบความคิดที่เป็นไปเพื่อการเติบโต หรือ growth mindset เท่านั้น ที่จะเอาชนะความท้าทายนี้ได้ ทุกคนใน eCloudvalley เป็นผู้เปลี่ยนเกม หรือ game changer ในตลาด ในขณะที่ eCloudvalley เติบโตอย่างต่อเนื่องและกลุ่มผู้มีความสามารถของเราก็ขยายตัวเพิ่ม เราจะยังคงยึดมั่นในจิตวิญญาณของ Day 1 ต่อไปพร้อม ๆ ไปกับการเปิดรับนวัตกรรม ทั้งนี้ ที่ eCloudvalley เรามีคำกล่าวที่ว่า 'มีเพียงสิ่งที่คุณนึกไม่ถึง แต่ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้'”

ภายใต้นโยบาย D&I ตอนนี้อัตราส่วนทางเพศเกือบเท่ากัน โดยทั้งนี้ เพื่อคงความเป็นนวัตกรรมและส่งเสริมกิจกรรมเชิงรุก eCloudvalley ได้เปิดตัว “โปรแกรมฮีโร่” ในปี 2564 โดยมีเป้าหมายในการปลูกฝัง KOLs คลาวด์อย่างมีกลยุทธ์ ในปีนี้ โปรแกรมได้ดึงดูดทีมงานข้ามชาติสี่ทีม และสมาชิกในทีมจะพบปะกับผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและภายนอกในแต่ละเดือนเพื่อรับประสบการณ์โดยตรง ซึ่ง eCloudvalley เชื่อว่าสามารถก่อให้เกิดสายธารแห่งความรู้ได้

เกี่ยวกับ eCloudvalley

eCloudvalley (ECV) เป็นคู่ค้า AWS Premier Tier Services ที่เกิดบนคลาวด์ที่มุ่งเน้นการให้บริการคลาวด์แบบครบวงจรแก่ลูกค้า ซึ่งเชี่ยวชาญใน Next Generation Managed Services, Cloud Migration, Big Data & Analytics, Cloud Native Development, CDN และ DevOps บนคลาวด์ และ ECV ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีพนักงานมากกว่า 600 คน มีบริษัท 10 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้รับการรับรองด้านไอทีมากกว่า 1,000 รายการ และให้บริการลูกค้ามากกว่า 1,800+ ราย

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220825005315/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ

Siaoyu Chien siaoyu.chien@ecloudvalley.com

Cathy Ye cathy.ye@ecloudvalley.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

eCloudvalley ได้รับรางวัล “AWS Partner Awards ASEAN ประจำปี 2565”

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–09 กันยายน 2565

eCloudvalley Digital Technology (ECV) พันธมิตรด้านการบริการระดับพรีเมียร์ของ AWS ชนะรางวัลทั้ง 4 ประเภทที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในงาน AWS ASEAN Partner Awards ประจำปี 2565 ซึ่งได้แก่ Specialized Partner of the Year หรือ พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแห่งปี (อาเซียน) Services Partner of the Year หรือ พันธมิตรผู้ให้บริการแห่งปี (อาเซียน) Partner of the Year หรือ พันธมิตรแห่งปี (มาเลเซีย) และ Partner of the Year หรือ พันธมิตรแห่งปี (ฟิลิปปินส์)

eCloudvalley Digital Technology (ECV), AWS Premier Tier Services Partner, wins all four categories they were nominated for at the AWS ASEAN Partner Awards 2022, including Specialized Partner of the Year (ASEAN), Services Partner of the Year (ASEAN), Partner of the Year (Malaysia), Partner of the Year (Philippines). (Photo: Business Wire)

eCloudvalley Digital Technology (ECV) พันธมิตรด้านการบริการระดับพรีเมียร์ของ AWS ชนะรางวัลทั้ง 4 ประเภทที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในงาน AWS ASEAN Partner Awards ประจำปี 2565 ซึ่งได้แก่ Specialized Partner of the Year หรือ พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแห่งปี (อาเซียน) Services Partner of the Year หรือ พันธมิตรผู้ให้บริการแห่งปี (อาเซียน) Partner of the Year หรือ พันธมิตรแห่งปี (มาเลเซีย) และ Partner of the Year หรือ พันธมิตรแห่งปี (ฟิลิปปินส์) (ภาพ: Business Wire)

ปี 2565 เป็นปีที่โดดเด่นสำหรับ ECV เนื่องจากบริษัทได้รับรางวัลพันธมิตรผู้ให้บริการแห่งปีในฮ่องกงเมื่อเดือนเมษายน และผู้ให้บริการโซลูชันแห่งปีที่ AWS Summit ในไต้หวันเมื่อต้นปีนี้ สิ่งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ECV อยู่ในฐานะหนึ่งในพันธมิตรชั้นนำและเป็นพันธมิตรกับพันธมิตรอื่น ๆ ของ AWS ในภูมิภาคด้วย

รางวัลพันธมิตรประจำปีได้ยกย่องผลงานอันเป็นแบบอย่างของ ECV บริษัทได้ช่วยลูกค้าเร่งการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ดิจิทัลด้วยโซลูชันใหม่ๆ ด้านข้อมูลและการเรียนรู้ของโปรแกรมด้วยตัวเอง บริษัทได้รับรางวัลพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแห่งปีจากจำนวนลูกค้าหลากหลายในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2557 บริษัทได้ให้การสนับสนุนลูกค้ากว่า 1,800 ราย ด้วยเส้นทางการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบคลาวด์และดิจิทัลที่โดดเด่น ECV ยังคงลงทุนเพื่อสร้างประสิทธิภาพของ AWS ด้วย AWS Competencies จำนวน 12 รายการ ได้แก่ โปรแกรมสมาชิก APN จำนวน 6 รายการ และการเป็นสมาชิกด้านบริการ APN จำนวน 3 รายการ โดยได้รับรางวัลพันธมิตรผู้ให้บริการแห่งปี (อาเซียน)

นอกจากนี้ บริษัทยังแสดงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อตลาดในประเทศมาเลเซียและฟิลิปปินส์ โดยให้ความช่วยเหลือลูกค้าองค์กรในการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ดิจิทัล ได้แก่ บริษัทชั้นนำของฟิลิปปินส์อย่าง Union Bank และ Jollibee Foods ตลอดจนลูกค้ามาเลเซียอย่าง QR Retail Automation ทำให้บริษัทได้รับรางวัลพันธมิตรแห่งปี (มาเลเซีย) และ พันธมิตรแห่งปี (ฟิลิปปินส์)

Jonathan Que ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคของ eCloudvalley Digital Technology กล่าวว่า “ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ eCloudvalley ได้รับรางวัลเชิงกลยุทธ์เหล่านี้จาก AWS! รางวัลเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เรายกระดับไปอีกขั้นเพื่อช่วยเหลือลูกค้าในเส้นทางการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ดิจิทัลที่ไม่เหมือนใครและแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง”

เกี่ยวกับ eCloudvalley

eCloudvalley (ECV) เป็นพันธมิตรการบริการระดับพรีเมียร์ที่เริ่มต้นพัฒนาโดยใช้คลาวด์ (born-in-the-cloud) ของ AWS โดยให้ความสำคัญในการจัดหาบริการด้านคลาวด์แบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า บริษัทเชี่ยวชาญการบริการระบบคลาวด์ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ Next Generation Managed Services, Cloud Migrations, Big Data & Analytics, Cloud Native Development, CDN และ DevOps ECV ได้เติบโตขึ้นโดยมีพนักงานกว่า 600 คน มีสถานที่ดำเนินงาน 10 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้รับใบรับรองด้านไอทีมากกว่า 1,000 รายการ ใบรับรอง AWS มากกว่า 600 รายการ และให้บริการลูกค้ามากกว่า 1,800 ราย

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220831005900/en/

ติดต่อ:

สื่อ
Siaoyu Chien siaoyu.chien@ecloudvalley.com
Cathy Ye cathy.ye@ecloudvalley.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Midea ประกาศผลประกอบการครึ่งปี 2565: มีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องและการเร่งผลกำไรในการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

Logo

ฝัวชาน ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–31 ส.ค. 2565

Midea เผยแพร่รายงานทางการเงินสำหรับครึ่งแรกของปี 2565 โดยแสดงการเติบโตของรายรับครึ่งปีจาก 5.0% เป็น 183.7 พันล้านหยวน การเติบโตของกำไรสุทธินั้นเร็วกว่ารายได้ โดยเข้ามาที่ 16 พันล้านหยวนโดยเพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบปีต่อปี

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220830006040/en/

Midea 2022 Semi-annual Results (Photo: Business Wire)

ผลประกอบการครึ่งปี 2565 ของ Midea (ภาพ: Business Wire)

โดยสร้างสมดุลในธุรกิจ ToB และ ToC รายได้ Midea Smart Home ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีมูลค่า 126.9 พันล้านหยวน  จากข้อมูลของ AVC ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านของ Midea อยู่ในอันดับที่ 1 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ในด้านส่วนแบ่งการตลาดทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ในประเทศจากหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน 7 ประเภท รวมถึงเครื่องปรับอากาศและเตาอบไมโครเวฟ

เทคโนโลยีอุตสาหกรรมทำรายได้ 12.1 พันล้านหยวน โดยเติบโต 13.3% เมื่อเทียบปีต่อปี และตลาดคอมเพรสเซอร์สำหรับบ้านเรือนทั่วโลกของ Midea เพิ่มขึ้นเป็น 44% ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของโลก ยอดขายต่อหน่วยของมอเตอร์สำหรับเครื่องปรับอากาศในที่พักอาศัยและเครื่องซักผ้าคิดเป็น 42% ของตัวเลขทั่วโลก

Building Technology เติบโต 33.1% คิดเป็น12.2 พันล้านหยวน  รายได้ AC เชิงพาณิชย์อยู่ในอันดับที่ 1 ท่ามกลางส่วนแบ่งการตลาดในประเทศ ในขณะที่มูลค่าการส่งออกปั๊มความร้อนของ Midea เติบโตขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยปริมาณการส่งออกอยู่ในอันดับที่ 1 ในอุตสาหกรรมปั๊มความร้อนของจีน

รายได้ในต่างประเทศของ Midea ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อยู่ที่ 77.8 พันล้านหยวน โดยเพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบปีต่อปี  Midea ได้ขยายฐานการผลิตในอียิปต์และบราซิลให้ครอบคลุมตลาดท้องถิ่น ฐานการผลิตคอมเพรสเซอร์แอร์ของอินเดีย และรวมบริษัทคอมเพรสเซอร์ของไทยด้วย “การจัดหาจากจีนสำหรับโลก + ท้องถิ่น” ด้วยเครือข่ายการขายใหม่กว่า 20,000 เครือข่าย และการเปิดร้านขายตรงของ Midea ในบราซิลและฟิลิปปินส์ Midea ยังคงปรับปรุงช่องทางการจัดจำหน่ายในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ด้วยความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่แน่วแน่ในฐานะกลยุทธ์ระยะยาว Midea ยังคงสร้างความสามารถด้านเทคนิคปัญญาประดิษฐ์ด้วยการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 คิดเป็นมูลค่า 5.9 พันล้านหยวน โดยมีการเติบโต 10.5% เมื่อเทียบปีต่อปี Midea เป็นเจ้าของศูนย์ R&D ทั่วโลก 35 แห่ง และมีสิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาตมากกว่า 77,000 รายการจนถึงปัจจุบัน

โดยขับเคลื่อนโดยข้อมูล Midea loT มีอุปกรณ์และบริการที่เชื่อมต่อใหม่เกือบ 13 ล้านเครื่องสำหรับกว่า 70 ล้านครอบครัว

เกี่ยวกับ Midea Group

Midea Group ประกอบด้วย 5 เสาหลักของธุรกิจเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ บ้านอัจฉริยะ เทคโนโลยีอุตสาหกรรม เทคโนโลยีการก่อสร้าง หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และนวัตกรรมดิจิทัล Midea Group มีพนักงานมากกว่า 160,000 คนในกว่า 200 ประเทศและภูมิภาค และอยู่ในอันดับที่ 245 ในรายการ Global Fortune 500 ประจำปี 2565

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220830006040/ th/

ติดต่อ:

Lori Luo, luory17@midea.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Midea ขึ้นอันดับที่ 245 ใน Fortune Global 500 ปี 2565 ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการเจาะตลาดต่างประเทศ

Logo

ฝอซาน ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–03 ส.ค. 2565

รายชื่อ Fortune Global 500 ปี 2565 โดย Midea Group ได้รับการจดทะเบียนใน Fortune Global 500 เป็นปีที่เจ็ดติดต่อกัน โดยคราวนี้ได้เลื่อนขึ้นสู่อันดับที่ 245

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220731005072/en/

(Graphic: Business Wire)

(กราฟิก: Business Wire)

ในเดือนเมษายนนี้ Midea Group เผยแพร่รายงานประจำปี 2564 – รายได้ของบริษัทต่อปีเพิ่มขึ้น 20.06% ในปี 2564 โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 343.4 พันล้านหยวน

Midea ยึดมั่นในการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ใน “ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี” และเร่งการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

สำหรับธุรกิจ C-suite สมาร์ทโฮมมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์เครื่องใช้และบริการในบ้านอัจฉริยะทั้งบ้านที่ดีที่สุดผ่านการใช้เทคโนโลยี IoT และ AI

สำหรับธุรกิจ B-suite, Midea มุ่งเน้นที่การพัฒนาไม่เพียงแต่ด้านธุรกิจของ ToB เช่น หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีอาคาร การจัดการพลังงาน การเดินทางอัจฉริยะ และ Midea Healthcare แต่ยังพัฒนาต่อยอดการเปลี่ยนแปลงและยกระดับธุรกิจนวัตกรรมดิจิทัล เช่น Annto Midea Cloud

ในแนวทางนี้ Midea มุ่งที่จะบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดในการปรับปรุงจากบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านให้เป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

Midea Industrial Technology ลงทุนในพลังงานสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่มีความแม่นยำสูง และดำเนินการแบรนด์ต่างๆ เช่น GMCC, Welling, HICONICS, SERVOTRONIX เป็นต้น

ด้วยแพลตฟอร์มบริการอาคารดิจิทัล Midea Building Technologies นำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรที่ชาญฉลาด ดิจิทัล และคาร์บอนต่ำ

แผนก Robotics & Automation มุ่งเน้นในการจัดหาโซลูชั่นสำหรับหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ระบบลอจิสติกส์อัตโนมัติ และระบบส่งกำลังสำหรับสาขาที่เกี่ยวข้องกับโรงงานในอนาคต ตลอดจนโซลูชั่นสำหรับการดูแลสุขภาพ ความบันเทิง การบริโภคใหม่ ฯลฯ

ธุรกิจนวัตกรรมดิจิทัลให้บริการโซลูชั่นและบริการ สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กร

นอกจากนี้ Midea ยังแสวงหาความก้าวหน้าในตลาดต่างประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ CSP Abu Dhabi ของ COSCO ได้ลงนามในข้อตกลงกับ Midea เกี่ยวกับการก่อสร้างร่วมกันของศูนย์ขนส่งคลังสินค้าในต่างประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ต่างประเทศเข้าถึงผลิตภัณฑ์ Midea ได้ง่ายขึ้น

Midea Group ภูมิใจที่มีครอบครัวพนักงานประมาณ 160,000 คน รวมถึงกว่า 30,000 คนในต่างประเทศ

เกี่ยวกับ Midea Group

Midea Group ยึดมั่นในปรัชญาในการสร้างชีวิตที่ดีขึ้นผ่านเทคโนโลยีนับตั้งแต่ก่อตั้ง 54 ปีที่แล้ว ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา Midea ได้ลงทุนเกือบ 5 หมื่นล้านหยวนในการวิจัยและพัฒนา และมีศูนย์วิจัยและพัฒนา 35 แห่ง และฐานการผลิตหลัก 35 แห่งทั่วโลก ผู้บริโภค 400 ล้านคนใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของ Midea ในกว่า 200 ประเทศและภูมิภาค

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220731005072/en/

ติดต่อ:

Lori Luo
+8613512784739
luory17@midea.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

NielsenIQ BASES ประกาศผู้ชนะรางวัล Design Impact Award ประจำปี 2565

Logo

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–21 กรกฎาคม 2565

NielsenIQ มีความยินดีที่จะประกาศรายชื่อผู้รับรางวัล Design Impact Award โดย NielsenIQ BASES ครั้งที่ 7 ประจำปี 2565 สำหรับอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (CPG) โดยการแข่งขันระดับโลกนี้เป็นการยกย่องชื่นชมบรรจุภัณฑ์ที่ถูกนำมาปรับดีไซน์ใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงอิทธิพลทางธุรกิจที่บรรจุภัณฑ์นั้นมีต่อบริษัท สำหรับผู้ชนะปีนี้ประกอบด้วยแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีบรรจุภัณฑ์ล้ำสมัยและสร้างสรรค์ พร้อมมีแนวคิดด้านการออกแบบที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของแบรนด์ไปพร้อมกับอำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อ

แบรนด์ต่าง ๆ 60 แบรนด์ได้ส่งผลงานการปรับดีไซน์บรรจุภัณฑ์เข้ามา และทีม NielsenIQ BASES ได้นำข้อมูล Retail Measurement Sales (RMS) ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทมาใช้เพื่อพิจารณาว่าแบรนด์ใดที่สามารถแสดงให้เห็นถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นหลังมีการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ที่มีการปรับดีไซน์ใหม่ นอกเหนือจากการนำข้อมูล RMS มาประเมินแล้ว NielsenIQ ยังได้ทำแบบสำรวจพฤติกรรมของผู้ซื้อสินค้า 15,000 คนเพื่อประเมินผลงานแต่ละรายการตลอดเส้นทางการเลือกซื้อสินค้าของผู้ซื้อ โดยมีการประเมินผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นเพื่อพิจารณาว่าบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์นั้นมีลักษณะที่น่าดึงดูดและสามารถแยกออกจากสินค้าอื่นได้ง่ายเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์บนชั้นวางและชักชวนให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าชิ้นนั้นหรือไม่ ผลปรากฏว่ามีผู้ชนะ 10 รายในหมวดหมู่สินค้าอุปโภคบริโภคชนิดต่าง ๆ ที่มีการออกแบบอันยอดเยี่ยมและยอดขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งสามารถวัดได้

Andrea Fraboni ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานและ Global Leader ทีม BASES Design Solutions ของ NielsenIQ กล่าวว่า “ทีมของเราตื่นเต้นที่ได้สนับสนุนและส่งเสริมแบรนด์ที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจผู้นำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างแปลกใหม่และสวยงาม ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตของแบรนด์และความสำเร็จทางด้านการเงิน ผู้ชนะปีนี้ได้ทำให้เห็นว่าการปรับดีไซน์บรรจุภัณฑ์สามารถช่วยพลิกโฉมและยกระดับสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญมากที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร บริษัทเหล่านี้ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบและเราตื่นเต้นที่จะได้แสดงความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของพวกเขา”

ผู้ชนะรางวัล Design Impact Award โดย NielsenIQ BASES ประจำปี 2565* มีดังนี้

  • L’usine Sliced Multigrain Bread (บริษัทแม่: Almarai; ประเทศ: ซาอุดิอาระเบีย)
  • Coors Light Beer (บริษัทแม่: Molson Coors Beverage Company; ดีไซน์เอเจนซี่: Soulsight; ประเทศ: สหรัฐอเมริกา)
  • Brooke's Oros Beverages (บริษัทแม่: Tiger Brands; ดีไซน์เอเจนซี่: Just Design; ประเทศ: แอฟริกาใต้)
  • Cadbury Old Gold Chocolate (บริษัทแม่: Mondelez International; ดีไซน์เอเจนซี่: Bulletproof; ประเทศ: ออสเตรเลีย)
  • Lucozade Energy Drink (บริษัทแม่: Suntory; ประเทศ: สหราชอาณาจักร)
  • Nescafé Artesano Coffee (บริษัทแม่: Nestlé; ประเทศ: โคลอมเบีย)
  • SSENSE Herbal Tea (บริษัทแม่: SSENSE; ดีไซน์เอเจนซี่: Pigeon; ประเทศ: แคนาดา)
  • Turin Chocolate (บริษัทแม่: Mars; ประเทศ: เม็กซิโก)
  • Speed Stick & Lady Speed Stick (บริษัทแม่: Colgate-Palmolive; ดีไซน์เอเจนซี่: Dragon Rouge BZ; ประเทศ: เม็กซิโก)
  • Lay's Potato Chips (บริษัทแม่: PepsiCo; ดีไซน์เอเจนซี่: PEP Global Design Team; ประเทศ: แอฟริกาใต้)

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันวิจัยการออกแบบบรรจุภัณฑ์ รางวัล NielsenIQ BASES Design Impact Award และเรียนรู้จากผู้ชนะประจำปีนี้ได้ที่หน้าเว็บของ BASES Design Impact Award

*ชื่อผลิตภัณฑ์และชื่อบริษัททั้งหมดเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของชื่อนั้น ๆ ไม่มีข้อผูกพันหรือการอนุญาตทั้งในชัดแจ้งหรือโดยปริยาย

เกี่ยวกับ NielsenIQ

NielsenIQ คือบริษัทบริการด้านข้อมูลระดับโลก ผู้ส่งมอบการวัดด้านผู้บริโภคและการค้าปลีกที่มีมาตรฐานระดับชั้นนำ ผ่านความเข้าใจที่เข้าถึง สมบูรณ์ และนำไปดำเนินการต่อได้มากที่สุดของผู้บริโภคกลุ่ม omnichannel ทั่วโลกที่กำลังพัฒนาไปข้างหน้า NielsenIQ คือที่มาของความมั่นใจสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เรารับใช้ และผู้บุกเบิกที่กำหนดนิยามใหม่ให้กับการวัดด้านผู้บริโภคและการค้าปลีกแห่งศตวรรษถัดไป ข้อมูล ข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อมโยงกัน และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ของเราช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคและค้าปลีก โดยพาบริษัทเหล่านั้นเข้าถึงชุมชนที่พวกเขารับใช้มากขึ้น รวมถึงช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทเหล่านั้น

NielsenIQ เป็นบริษัทในเครือ Advent International มีการดำเนินงานในกว่า 90 ตลาด ครอบคลุมมากกว่า 90% ของประชากรโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ NielsenIQ.com

ติดต่อ:

สื่อ 
Gillian Mosher 
Gillian.Mosher@nielseniq.com 
647-282-9714

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Intelly เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มการลงทุนอสังหาใหม่ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2565

Logo

Ismet Tasceken ซีอีโอของบริษัทฟินเทค Intelly เปิดตัวการแพลตฟอร์มลงทุนรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการสร้างโทเค็นบนบล็อคเชนเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ได้

เจนีวา–(บิสิเนส ไวร์)–19 ก.ค. 2565

บริษัทฟินเทคด้านบล็อคเชน Intelly เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์แบบเศษส่วน NFT (F-NFT) ในวันที่ 20 กรกฎาคม นักลงทุนจะได้รับสิทธิ์เข้าถึงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกโดยใช้ INTL เพื่อซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเศษส่วนบนแพลตฟอร์มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์แบบกระจายอำนาจ  Intelly ประสบความสำเร็จในการเสนอขายโทเค็นเมื่อต้นปี 2565 และก่อตั้ง Intelly Exchange เป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้นักลงทุนสามารถซื้อขาย F-NFT  โดยผู้เข้าร่วมตลาดสามารถพิจารณาความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์อ้างอิง การแลกเปลี่ยนจะแสดงรายการโครงการจากภาคที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และองค์กร เช่น บีชคลับหรือร้านอาหารที่มีแบรนด์ ซึ่งได้รับการแปลงเป็นโทเค็นผ่าน F-NFT's ทำให้นักลงทุนสามารถสลับไปมาระหว่างการลงทุนต่างๆ ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที และขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

Intelly Launches an Innovative Real Estate Investment Platform on 20 July 2022 (Photo: Business Wire)

Intelly เปิดตัวแพลตฟอร์มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 (ภาพ: Business Wire)

พลิกโฉมการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน

Ismet Tasceken ซีอีโอของ Intelly ให้ความเห็นว่า “สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่โดดเด่นของสวิตเซอร์แลนด์ให้ความเสถียรและความสามารถในการคาดการณ์ที่จำเป็นสำหรับฟินเทคที่กระตือรือร้นในการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน  แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันจะมีมูลค่ามากกว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่อุตสาหกรรมนี้ยังคงประสบปัญหาจากความไร้ประสิทธิภาพมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ เราวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์กว่า 30 ปี การเชื่อมต่อในอุตสาหกรรม และพลังของบล็อกเชน เพื่อปลดล็อกศักยภาพของยุคใหม่ของการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์”

ตลาดโทเค็นคาดว่าจะสูงถึง 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว แต่ต้องมีเงินดาวน์เริ่มต้นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาของนักลงทุนจำนวนมาก แพลตฟอร์ม F-NFT ของ Intelly ช่วยลดขั้นตอนต่างๆ ที่จำเป็นในการเข้าร่วมการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์  ระบบนิเวศเดียวของ Intelly เชื่อมโยงโลกทางกายภาพกับโลกเสมือนจริง โดยเข้าร่วมตลาด tokenization ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะถึง 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573.  Tasceken กล่าวว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวจะเริ่มทำการซื้อขายในวันที่ 20 กรกฎาคม “ตัวกำหนด Intelly นอกเหนือจากคู่แข่งแล้วยังมีความเป็นเลิศของเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมกับความลึกของการเจาะอุตสาหกรรม เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งทางการเงิน ประสบการณ์ และวิสัยทัศน์ของเรา จะช่วยให้มั่นใจว่าเราสร้างโอกาสที่สร้างผลกำไรให้กับลูกค้าของเราผ่านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วยโทเคน”

คลังรูปภาพ/มัลติมีเดีย: https://www.businesswire.com/news/home/52780911/en

ติดต่อ:

Carlos R. Tuzun
contact@intelly.tech&nbsp
https://intelly.tech

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลเชิงลึกจาก FICO ระบุว่า เกือบ 3 ใน 4 ของคนไทยมีรายได้ลดลงเนื่องจากโรคระบาด หลายคนจะเปลี่ยนไปใช้ธนาคารที่มอบข้อเสนอที่ดีกว่าในปี 2565

Logo

ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนธนาคารในปี 2565 สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)–19 กรกฎาคม 2565

FICO (NYSE: FICO)

ประเด็นสำคัญ

  • 70% (เกือบ 3 ใน 4) ของลูกค้าธนาคารรายย่อยของไทยได้รับผลกระทบเชิงลบด้านรายได้เนื่องจากโรคระบาด
  • ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเงินที่ไม่แน่นอน ลูกค้าธนาคารส่วนใหญ่ในประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ (73%) และการลงทุน (66%)
  • 1 ใน 5 ของลูกค้าธนาคารไทยที่มีกำลังซื้อสูงจะเปลี่ยนไปใช้ธนาคารอื่นที่มอบข้อเสนอด้านการเงินที่ดีที่สุด

รายงานการคาดการณ์ด้านธนาคารสำหรับลูกค้าหลังเกิดโรคระบาดปี 2565 ของ RFI Global ซึ่งจัดทำให้กับ FICO ยืนยันว่าการแพร่ระบาดได้สร้างความลำบากทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยในประเทศไทย โดยเกือบ 3 ใน 4 ของลูกค้าประสบปัญหารายได้ลดลง นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า ลูกค้าหลายคนมีแรงจูงใจในการมองหาข้อเสนอด้านการเงินที่ดีกว่า และแนวโน้มการเปลี่ยนสถาบันสำหรับกู้เงินก็เพิ่มขึ้นทุกปีอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.fico.com/en/how-banking-expectations-asia-pacific-are-changing-post-pandemic

ผลกระทบที่สร้างการเปลี่ยนแปลงจากโรคระบาดแตกต่างกันไปทั่วทั้งภูมิภาค

ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามชาวนิวซีแลนด์และออสเตรเลียจำนวน 23-30% ได้รับผลกระทบเชิงลบด้านรายได้อันเนื่องมาจากโรคระบาด แต่ตัวเลขนี้กลับสูงขึ้นเป็น 40% ในสิงคโปร์และอินเดีย 50% ในมาเลเซีย และ 63% ในอินโดนีเซีย ผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด โดย 70% ระบุว่ารายได้ของพวกเขาลดลง

รายงานเปิดเผยว่าผู้บริโภคมากกว่า 1 ใน 4 ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (27%) ได้ชะลอการผ่อนชำระเงินกู้ โดยผู้บริโภคในบางประเทศมีแนวโน้มที่จะชะลอการผ่อนชำระเงินกู้มากกว่าประเทศอื่น ๆ ขณะที่ลูกค้าธนาคารรายย่อยในประเทศไทยเกือบครึ่งหนึ่ง (47%) และเกือบ 1 ใน 3 (31%) ในอินเดียได้ชะลอการชำระคืนเงินกู้อันเป็นผลจากโรคโควิด-19 เช่นเดียวกันกับ สิงคโปร์ (12%) ออสเตรเลีย (9%) เปอร์เซ็นต์) และนิวซีแลนด์ (7%)

แม้สถานการณ์ทางการเงินจะยังไม่แน่นอน ลูกค้าธนาคารรายย่อยส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีการวางแผนที่จะคงไว้หรือเพิ่มการลงทุน (66%) โดยลูกค้าส่วนใหญ่กำลังมองหาการคงไว้หรือเพิ่มเงินออม (73%) และหลายคนจะพิจารณาเปลี่ยนผู้ให้บริการด้านการเงินในปีนี้

ลูกค้าตั้งใจที่จะเปลี่ยนผู้ให้บริการด้านการเงินมากขึ้น

ที่น่าแปลกคือ รายงานระบุว่าลูกค้าส่วนใหญ่พอใจกับผู้ให้บริการด้านการเงินหลักของตนมาก แต่ลูกค้าธนาคารในเอเชียแปซิฟิกมากถึง 20% ที่ตอบว่ามีแผนจะเปลี่ยนธนาคารในปี 2565 ในทางตรงกันข้าม มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาได้เปลี่ยนธนาคารในปี 2564

แนวโน้มการเปลี่ยนผู้ให้บริการกู้เงินที่เพิ่มขึ้นนี้มีอัตราสูงสุดในกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง (หมายถึงตลาดระดับสูงหรือผู้ที่มีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนรวมอย่างน้อย 3,000,000 บาท)

ในประเทศไทย ลูกค้าธนาคารรายย่อย 13% และลูกค้ากลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง 8% ได้เปลี่ยนธนาคารในปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีนี้สำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง โดย 20% กล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยน จำนวนลูกค้าธนาคารรายย่อยมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 10% ซึ่งคิดเป็นลูกค้าธนาคารจำนวน 1 ใน 10 ราย

เหตุผลหลักที่ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยกล่าวถึง ได้แก่ สถานการณ์ส่วนบุคคลที่เปลี่ยนแปลง (28%) ความต้องการที่จะรวมบัญชีทั้งหมดกับสถาบันการเงินอื่น (22%) ความต้องการในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการด้านการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่งที่ดีขึ้น (20%) และผลตอบแทนที่จะได้รับจากสถาบันการเงินอื่น (20 เปอร์เซ็นต์)

กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบทางการเงิน

ในบรรดาลูกค้าธนาคารที่มีกำลังซื้อสูงในประเทศไทย 63% มีรายได้ลดลงเนื่องจากโรคระบาด ซึ่งน้อยกว่าลูกค้าธนาคารรายย่อยในประเทศไทย 7% ส่งผลให้กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงในประเทศจำนวน 41% ชะลอการผ่อนชำระเงินกู้ ซึ่งต่ำกว่าลูกค้าธนาคารรายย่อยของไทยทั้งหมด 6%.

การชะงักงันของรายได้นี้ทำให้ชาวไทยที่มีกำลังซื้อสูงจำนวน 37% ตั้งใจที่จะลดการใช้จ่าย เช่นเดียวกับครึ่งหนึ่งของลูกค้าธนาคารรายย่อยของไทย

กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะกู้ยืมมากขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดในวงกว้าง (16% และ 8%) ขณะที่ประเทศไทย กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงมีแนวโน้มที่จะกู้ยืมเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันกับลูกค้าธนาคารรายย่อย (11% และ 12% ตามลำดับ)

รายงานยังระบุอีกว่า 78% ของกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงในประเทศไทยเลือกที่จะคงไว้หรือเพิ่มระดับการลงทุนกับธนาคาร ซึ่งสูงกว่าตลาดธนาคารรายย่อยโดยรวมของประเทศ (66%)

ผลกระทบของโรคระบาดต่อการเปลี่ยนผู้ให้บริการธนาคาร

ลูกค้ากำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการธนาคารเพื่อตอบรับกับผลกระทบด้านการเงินที่เกิดจากโรคระบาด

ลูกค้าธนาคารรายย่อยของไทยประมาณ 3 ใน 4 จะเพิ่มหรือคงเงินออมไว้ (73%) ขณะที่ทั่วทั้งภูมิภาค ความรู้สึกในการคงไว้หรือเพิ่มเงินออมจะสูงที่สุดในนิวซีแลนด์ (94%) และในอินโดนีเซีย (87%)

แม้ว่าแผนกู้ยืมเงินจะลดลงทุกปี แต่ระดับการกู้ยืมสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยในเอเชียแปซิฟิกยังคงสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด เนื่องจากผู้บริโภคต้องรับมือกับผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการชะงักงันดังกล่าว

Aashish Sharma ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายโซลูชันการจัดการการตัดสินใจของ FICO ในเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “โรคระบาดได้สร้างความยากลำบากด้านการเงินให้กับลูกค้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากมีการทำสัญญากู้ยืมเงินและการใช้จ่าย ลูกค้าจึงมองหาหนทางที่จะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินและเพิ่มเงินออม ธนาคารต้องจับจุดความต้องการของลูกค้าให้ได้อย่างทันท่วงที และปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อบรรเทาความวิตกกังวลทางการเงิน ในขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีความเหมาะสมกับความสามารถในการจับจ่ายและความต้องการด้านการเงินของลูกค้า”

การมุ่งสู่ดิจิทัล

ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งของประเทศไทย (44%) ยังคงพิจารณาว่า ความใกล้ของระยะทางของสาขาและตู้เอทีเอ็มเป็นปัจจัยหลักสำหรับผู้ให้บริการหลักด้านการธนาคาร อย่างไรก็ตาม รายงานยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้บริการผ่านระบบดิจิทัลด้วย ลูกค้าธนาคารรายย่อยในเอเชียแปซิฟิกมากถึง 72% เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฟินเทคมากกว่าบริการหลักต่าง ๆ ของธนาคาร ซึ่งสูงที่สุดในมาเลเซีย (94%) และต่ำสุดในออสเตรเลีย (39%) ผู้ตอบแบบสอบถามก็เลือกฟินเทคเช่นเดียวกัน เพราะต้องการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ใช้งานง่าย และขั้นตอนการสมัครใช้งานง่ายขึ้น

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2564 กับ 2562 ลูกค้าในเอเชียแปซิฟิกเริ่มหันมาสนใจช่องทางดิจิทัลมากขึ้นในทุกขั้นตอนตลอดเส้นทางการใช้งาน ได้แก่ การสอบถามและการค้นคว้าข้อมูลเบื้องต้น (เพิ่มขึ้น 14%) การสอบถามเพื่อติดตามผล (เพิ่มขึ้น 15%) และแอปพลิเคชันธนาคาร (เพิ่มขึ้น 15%)

วิธีที่ธนาคารทำให้เห็นว่าลูกค้าเป็นศูนย์กลางของการดำเนินการและการตัดสินใจ

  • พลิกโฉมการดำเนินงานและการจัดเตรียมข้อมูลผ่านการใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ที่ชาญฉลาดมากขึ้นและแพลตฟอร์มการบริหารจัดการจากส่วนกลาง
  • ตัดสินใจที่อิงจากข้อมูลโดยคาดการณ์ วิเคราะห์ และเพิ่มประสิทธิภาพการโต้ตอบกับลูกค้าแบบเรียลไทม์สำหรับแนวทางการจัดการความสัมพันธ์ที่อิงตามเหตุการณ์และตามโปรไฟล์
  • พัฒนาข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำเพื่อโต้ตอบและมอบข้อเสนอที่เหมาะสมที่สุดให้แก่ลูกค้า
  • สร้างฝาแฝดดิจิทัล (แบบจำลองเสมือนประเภทหนึ่งที่ใช้สำหรับการจำลอง) เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และทดสอบแนวทางและกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมที่มีต้นทุนและความเสี่ยงต่ำ
  • มอบข้อเสนอที่เหมาะกับแต่ละบุคคลและการดำเนินการกับลูกค้าในทิศทางที่ปรับเปลี่ยนได้

Sharma กล่าวว่า “ธนาคารต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าในระดับที่ลึกและละเอียดยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะเสี่ยงที่จะเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งและผู้ให้บริการเจ้าอื่น การรักษาความพึงพอใจของลูกค้าเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ประสบการณ์การดูแลลูกค้าจะต้องได้รับการปรับปรุงอย่างมาก การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางจะเป็นกุญแจสำคัญในการมอบประสบการณ์ที่มีความเป็นส่วนตัวสูงและรักษาลูกค้าไว้อย่างต่อเนื่อง”

ระเบียบวิธีการวิจัย

การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการในปี 2564 โดยบริษัทวิจัยอิสระที่ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการวิจัย โดยทำการสำรวจผู้ใหญ่จำนวน 1,012 คนในประเทศไทย พร้อมด้วยลูกค้าจำนวน 12,885 คนในมาเลเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และอินเดีย

ศึกษาเพิ่มเติมที่นี่ และ www.fico.com

เกี่ยวกับ FICO

FICO (NYSE: FICO) ขับเคลื่อนการตัดสินใจที่ช่วยให้ผู้คนและธุรกิจทั่วโลกประสบความสำเร็จ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2499 เป็นผู้บุกเบิกการใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์และวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน FICO ถือครองสิทธิบัตรเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศมากกว่า 200 รายการ ที่ช่วยเพิ่มผลกำไร ความพึงพอใจของลูกค้า และการเติบโตของธุรกิจในบริการทางการเงิน การผลิต โทรคมนาคม การดูแลสุขภาพ การค้าปลีก และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ด้านการใช้โซลูชันของ FICO ธุรกิจในกว่า 120 ประเทศทำทุกอย่างตั้งแต่ป้องกันอาชญากรรมบัตรชำระเงินจำนวน 2.6 พันล้านใบ เพื่อช่วยให้ผู้คนได้รับเครดิต และเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องบินและรถเช่าหลายล้านลำอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม

ศึกษาเพิ่มเติมที่ www.fico.com

FICO เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Fair Isaac Corporation ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

ติดต่อ:

Neil Mirano 
RICE for FICO 
+65 3157 5680 
neil.mirano@ricecomms.com 

Saxon Shirley 
FICO 
+65 9171 0965 
saxonshirley@fico.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mary Kay Inc. เน้นการอนุรักษ์แนวปะการังในวันสามเหลี่ยมปะการังประจำปี 2565

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)– 9 มิ.ย. 2565

สามเหลี่ยมปะการัง หรือ The Coral Triangle เป็นดั่งหัวใจของแนวปะการังและชีวิตต่าง ๆ ที่อยู่ในมหาสมุทรของเราทั่วโลก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันสามเหลี่ยมปะการัง Mary Kay ผู้สนับสนุนด้านความยั่งยืนระดับโลก จึงให้ความสำคัญกับความพยายามในการรักษาสุขภาพของสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของโลกของเรา

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหาเป็นมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220609005686/en/

Papua New Guinea ©Mark Godfrey (Photo: Mary Kay Inc.)

ปาปัวนิวกินี ©Mark Godfrey (ภาพ: Mary Kay Inc.)

“สามเหลี่ยมปะการังซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกว่า 120 ล้านคน เป็นแหล่งอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของโลก น่านน้ำของอินโดนีเซีย มาเลเซีย ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ เกาะโซโลมอน และติมอร์-เลสเต เป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายและให้ผลผลิตมากที่สุดในมหาสมุทร จึงทำให้รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นป่าฝนในทะเล “สามเหลี่ยมปะการังมีความหลากหลายของปะการังมากที่สุดในโลก โดยสามารถพบปะการังเกือบ 80% ทั่วโลกได้ที่นี่ ดร.Elizabeth Mcleod ผู้นำด้านการอนุรักษ์แนวปะการังของThe Nature Conservancy กล่าว “บริเวณนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของปลาในแนวปะการังที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก โดยมีสายพันธุ์ปลาแนวปะการังในโลก  37% และ มีปลาแนวปะการังในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก 56% การเป็นพันธมิตรของเรากับผู้ให้ทุนอย่าง Mary Kay ทำให้ TNC และพันธมิตรในท้องถิ่นของเราสามารถฟื้นฟูและปกป้องภูมิภาคแนวปะการังที่สำคัญแห่งนี้ได้”

เมื่อตระหนักถึงความสำคัญของระบบนิเวศอันมีค่านี้และความหลากหลายทางชีวภาพที่กว้างขวาง หกประเทศที่ประกอบเป็นสามเหลี่ยมปะการังได้รวมตัวกันเพื่อมุ่งเน้นที่การอนุรักษ์พื้นที่ ทั้งนี้ The Nature Conservancy (TNC) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Mary Kay ได้สร้างโครงการอนุรักษ์ระดับภูมิภาคที่สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อดินแดนละแวกนี้ เป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้วที่ TNC ได้จัดตั้งโครงการระดับประเทศที่เข้มแข็งในอินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความร่วมมือที่เชื่อถือได้กับชุมชน ธุรกิจ และรัฐบาลในท้องถิ่น มีการทำงานอย่างกว้างขวางเพื่อสร้างเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองทางทะเลทั่วสามเหลี่ยมปะการัง ในปาปัวนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอน มีการวางแผนรวบรวมความรู้ในท้องถิ่นและวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด เรียกว่า Ridges to Reefs ซึ่งได้รับการสนับสนุนและพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน

The Nature Conservancy ยังทำงานร่วมกับ Coral Triangle Initiative ซึ่งเป็นความร่วมมือพหุภาคีของ 6 ประเทศที่ทำงานร่วมกันเพื่อรักษาทรัพยากรชายฝั่งและทางทะเล เพื่อทำให้แน่ใจว่ามีการสร้างเวทีการอนุรักษ์ที่ตอบสนองต่อประเด็นทางเพศและที่มีความครอบคลุม ด้วยการสนับสนุนจาก Mary Kay ได้มีการทำงานเพื่อยกระดับโครงการที่นำโดยผู้หญิงใน Coral Triangle รวมถึงการอนุรักษ์แบบพื้นเมืองและโดยชุมชนในอินโดนีเซีย ชัยชนะในการอนุรักษ์ที่สำคัญเกิดขึ้นจากความคิดริเริ่มนี้เพื่อพัฒนาโซลูชั่นสำหรับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ พื้นที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับการอนุรักษ์ของโครงการนี้ในอินโดนีเซีย ได้แก่ Raja Ampat, ทะเล Savu, Wakatobi และ Berau พื้นที่เหล่านี้มีคุณค่าการอนุรักษ์สูงและมีความสำคัญต่อการสนับสนุนวิถีชีวิตท้องถิ่น

ด้วยการอนุรักษ์เชิงยุทธศาสตร์โดยชุมชน เราในฐานะชุมชนระดับโลกสามารถปกป้องแนวปะการังที่หลงเหลืออยู่ของโลก และสร้างความมั่นใจว่าจะมีมหาสมุทรที่อุดมสมบูรณ์สำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป เข้าร่วมกับเราไปพร้อม ๆ กับการที่เราเฉลิมฉลองการทำงานอันล้ำลึกที่ทำอยู่ใน สามเหลี่ยมปะการัง ซึ่งเทียบได้กับป่าอเมซอนใต้น้ำ

เกี่ยวกับ The Nature Conservancy

The Nature Conservancy เป็นองค์กรอนุรักษ์ระดับโลกที่อุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์ดินแดนและน่านน้ำที่มีความจำเป็นต่อทุกชีวิต ภายใต้การนำของวิถีวิทยาศาสตร์ เราสร้างสรรค์โซลูชั่นที่สร้างสรรค์และทำได้จริงสำหรับความท้าทายที่ยากที่สุดในโลกเพื่อให้ธรรมชาติและผู้คนสามารถเติบโตไปด้วยกัน เรากำลังจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อนุรักษ์ที่ดิน น้ำ และมหาสมุทรในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จัดหาอาหารและน้ำอย่างยั่งยืน และช่วยให้เมืองต่าง ๆ มีความยั่งยืนมากขึ้น เราทำงานใน 79 ประเทศและดินแดน และใช้แนวทางการทำงานร่วมกันที่มีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น รัฐบาล ภาคเอกชน และพันธมิตรอื่น ๆ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม โปรดไปที่ www.nature.org หรือติดตาม @nature_press บน Twitter

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉีกกฎเกณฑ์รูปแบบเดิมก่อตั้งบริษัทความงามในฝันของเธอในปี 2506 โดยมีเป้าหมายคือทำให้ชีวิตผู้หญิงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ ในฐานะบริษัทพัฒนาผู้ประกอบการ Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้หญิงผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน เครือข่าย และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในด้านวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัย เครื่องสำอางสี อาหารเสริม และน้ำหอม Mary Kay เชื่อในการทำให้ชีวิตดีขึ้นในวันนี้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลกที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความเป็นเลิศทางธุรกิจ สนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ปกป้องผู้รอดชีวิตจากการทารุณกรรมในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็กๆ ทำตามความฝัน เรียนรู้เพิ่มเติมที่ marykayglobal.com, หรือ Facebook Instagram และ LinkedIn หรือตามเราได้ที่ Twitter.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220609005686/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. ฝ่ายสื่อสารองค์กร

marykay.com/newsroom

972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย







จินตนาการถึงอนาคตและสัมผัสพลังแห่งระบบคอมพิวติ้งไปกับ GIGABYTE ที่งาน COMPUTEX 2565

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–26 พ.ค. 2565

GIGABYTE ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะนำเสนอ “พลังแห่งคอมพิวติ้ง หรือ Power of Computing” ซึ่งเป็นธีมแห่งปี และจะจัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นชั้นนำที่ออกแบบมาสำหรับอุตสาหกรรมและสาขาต่าง ๆ ในงาน COMPUTEX Taipei ที่กำลังจะมาถึง

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหาเป็นมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220519005640/en/

Envision the Future and Take on the Power of Computing with GIGABYTE at COMPUTEX 2022

จินตนาการถึงอนาคตและสัมผัสพลังแห่งระบบคอมพิวติ้งกับ GIGABYTE ที่งาน COMPUTEX 2565

GIGABYTE ได้จัดเตรียมพรีเซนเตชันเกี่ยวกับหัวข้อ “พลังแห่งคอมพิวติ้ง หรือ Power of Computing” เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุก ๆ อย่าง เริ่มตั้งแต่ระบบคลาวด์ไปจนถึงระบบเอดจ์ การทำงานร่วมกันเป็นทีมไปจนถึงการทำงานรายบุคคล แอปพลิเคชันทางธุรกิจไปจนถึงการใช้งานส่วนตัว การคำนวณแบบคอมพิวติ้งที่ทำโดยเซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ข้อมูลเพื่อประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และระบบฝังตัวใน IoT ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเพื่อแสดงผลข้อมูลตามเวลาจริง เป็นกุญแจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังนวัตกรรมที่ก้าวล้ำที่ปรากฏอยู่บนพื้นที่ปัญญาประดิษฐ์ การปรับใช้บนคลาวด์ เทคโนโลยีอัจฉริยะ และการสร้างเนื้อหาดิจิทัล เป็นต้น

ศูนย์ข้อมูล เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่ง GIGABYTE เป็นผู้บุกเบิกที่เชื่อถือได้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ใหม่สำหรับนักพัฒนา และทำงานเกี่ยวกับการผสานรวมซอฟต์แวร์เพื่อจัดหาโซลูชันผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับอนาคตของยุคดิจิทัล นอกจากนี้ GIGABYTE ยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้จำหน่ายในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาแพลตฟอร์มเซิร์ฟเวอร์ HPC เพื่อให้การรวมระบบและการเพิ่มประสิทธิภาพของ SmartNIC และ GPGPUs สามารถสร้างสถาปัตยกรรมที่แตกต่างหลากหลายในเซิร์ฟเวอร์ เพื่อที่จะเร่งการประมวลผลเฉพาะแอปพลิเคชันเพื่อการคำนวณคอมพิวติ้งและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น นอกเหนือไปจากการรองรับแอพพลิเคชั่นแบบคูณ x86 โดยใช้โปรเซสเซอร์ AMD และ Intel แล้ว GIGABYTE ยังเสนอทางเลือกในรูปแบบเซิร์ฟเวอร์ ARM ที่ให้การประมวลผลและการเข้ารหัสข้อมูลที่สอดคล้องกันจากเทอร์มินัลของผู้ใช้ไปสู่เอดจ์ ซึ่งไม่เพียงเพิ่มการตอบสนองที่คล่องตัวเท่านั้น แต่ยังเร่งการพัฒนานวัตกรรมในยุคบุกเบิก 5G ที่ใช้ระบบประมวลผลแบบเอดจ์ อีกด้วย

GIGABYTE ทุ่มเทในการใช้ประสิทธิภาพการประมวลผลเพื่อเร่งนวัตกรรมและยกระดับคุณภาพชีวิต และได้ทุ่มเทความพยายามในการพัฒนาวิธีการทำความเย็นต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์โดยใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง และเทคโนโลยีการระบายความร้อนแบบ immersion cooling เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากความร้อนที่เพิ่มขึ้นที่เกิดจากการมีอยู่ของศูนย์ข้อมูล

ในยุคดิจิทัลใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานด้วย AI ทาง GIGABYTE จึงได้จับคู่เซิร์ฟเวอร์กับแพลตฟอร์ม MLSteam ของ MyelinTe เพื่อจัดคลัสเตอร์เซิร์ฟเวอร์การประมวลผล ที่เก็บข้อมูล และโหนดการจัดการทั้งหมด เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดสรรทรัพยากร การตรวจสอบและการจัดการ และเพิ่มการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด GIGABYTE ได้ขยายประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ด้วยการเปิดตัวคอมพิวเตอร์แบบฝังตัวในแอพพลิเคชั่นในชีวิตประจำวัน เช่น รถยนต์ไร้คนขับและอินเทอร์เน็ตของยานพาหนะ โดย ADCU series ของ GIGABYTE สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และตัดสินใจควบคุมยานพาหนะได้แบบเรียลไทม์ ส่วน T-BOX สามารถจัดการข้อมูลและการสื่อสารระหว่างยานพาหนะบนท้องถนน ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดการยานพาหนะเชิงพาณิชย์

พลังแห่งการคำนวณคอมพิวติ้ง เป็นตัวขับเคลื่อนสำหรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจเท่านั้น แต่ยังมอบประสบการณ์ส่วนตัวที่ดีอีกด้วย GIGABYTE จัดแสดงภาพจำลองการทำงานร่วมกันแบบเสมือนของ NVIDIA Omniverse™ พร้อมการตั้งค่าโฮสต์-ไคลเอนต์โดยใช้เวิร์กสเตชัน W771-Z00 ประสิทธิภาพสูงและมินิพีซี BRIX แบบภาพ ซึ่งเป็นการแสดงเกมที่น่าประทับใจของโซลูชั่นการเล่นเกมระดับเรือธงที่ขับเคลื่อนโดยโปรเซสเซอร์ Intel เจนเนอเรชั่นที่ 12  ซึ่งเป็นมาเธอร์บอร์ดและจอภาพที่ได้รับรางวัล iF Design และมาเธอร์บอร์ด AMD Socket AM5 ที่มีการออกแบบขั้นสูงและคุณสมบัติมากมายของสล็อตกราฟิก PCIe 5.0 และอินเทอร์เฟซ m.2 Gen5 และแล็ปท็อปสำหรับครีเอเตอร์/เกมมิ่งของ GIGABYTE ให้ประสิทธิภาพที่สูงพร้อมประสบการณ์ด้านภาพระดับพรีเมียม แล็ปท็อปสำหรับเล่นเกมรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i9 HX ซีรีส์ เจนเนอเรชั่น 12 นำเสนอโอกาสของสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อีกมากจาก Metaverse

ตั้งแต่วันที่ 24 ถึง 27 พฤษภาคม GIGABYTE ได้รับการจัดเตรียมผลิตภัณฑ์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ และพร้อมที่จะแสดงความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์และความรู้ด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีประสิทธิภาพในการประมวลผลเพื่อเร่งให้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและรักษาวิสัยทัศน์ในการ “อัปเกรดชีวิตของคุณ” ”

GIGABYTE @ COMPUTEX 2565 – https://gbte.tech/CX22

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์กร GIGABYTE: https://www.gigabyte.com/enterprise

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220519005640/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ: Michael Pao brand@gigabyte.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย