Category Archives: Technology

Parking Guidance Systems ประกาศควบรวมกิจการระดับโลกกับ INDECT และ ParkZen

Logo

ฮูสตัน–(BUSINESS WIRE)–11 กันยายน 2025

Parking Guidance Systems, LLC (PGS) ผู้นำด้านเทคโนโลยีระบบจอดรถเฉพาะทางในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศควบรวมกิจการเชิงกลยุทธ์กับ INDECT Electronics & Distribution GmbH (INDECT) และ ParkZen โดยในฐานะบริษัทผู้นำในการควบรวมกิจการ ทาง PGS กำลังขยายธุรกิจออกไปนอกสหรัฐอเมริกาเพื่อนำเสนอโซลูชันระบบจอดรถที่ครอบคลุมในระดับสากล ซึ่งธุรกิจที่ควบรวมกิจการนี้จะผสานรวมฮาร์ดแวร์ระดับโลกของ INDECT กับซอฟต์แวร์ที่มีความคล่องตัวสูงของ ParkZen รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่พิสูจน์แล้วของ PGS ในการดำเนินงานขนาดใหญ่ ทำให้เกิดบริษัทเทคโนโลยีระบบจอดรถที่ครบวงจรที่สุดในอุตสาหกรรม

นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ 12 ปีที่แล้ว PGS ได้สร้างชื่อเสียงในด้านบริการที่เป็นเลิศ นวัตกรรมที่ล้ำสมัย และการมุ่งเน้นถึงความพึงพอใจของลูกค้า โดย PGS ได้ติดตั้งระบบนำทางการจอดรถที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมีชื่อเสียงในด้านการออกแบบ การติดตั้ง และการบริการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ โดยหัวใจสำคัญในการบริการของ PGS คือโซลูชันนำทางการจอดรถของ INDECT โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเซนเซอร์เสียงและเซนเซอร์ออปติคัล เทคโนโลยีเซนเซอร์จอดรถของ INDECT ถือเป็นมาตรฐานปัจจุบันในด้านนวัตกรรมและด้านความแม่นยำของอุตสาหกรรม โดยเซนเซอร์ขนาดเล็กอัลตราโซนิกของ INDECT นั้นเป็นเซนเซอร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในการส่งมอบความแม่นยำสำหรับการตรวจจับพื้นที่เพียงพื้นที่เดียว ขณะที่เซนเซอร์กล้อง Upsolut นั้นจะผสานรวมกับการตรวจสอบพื้นที่ในหลายๆ พื้นที่ที่สามารถเชื่อถือได้ รวมถึงการจับภาพวิดีโอสตรีม และการจดจำป้ายทะเบียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการวิเคราะห์อัตราการครอบครองที่จอดรถ โดย PGS เป็นพันธมิตรช่องทางการจัดจำหน่ายรายใหญ่ที่สุดของ INDECT ในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ PGS เริ่มก่อตั้ง การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้บริษัทที่ควบรวมกันสามารถปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน เร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และสร้างความร่วมมือทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่าง PGS และ INDECT ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในสหรัฐอเมริกา

โซลูชัน PGS ยังได้รับการยกระดับจากการเข้าซื้อกิจการ ParkZen ที่เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบอัจฉริยะสำหรับที่จอดรถ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแบตันรูช รัฐลุยเซียนา โดยแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนอันล้ำสมัยของ ParkZen นั้นใช้ประโยชน์จากการระดมทุนจากมวลชนและอัลกอริทึมที่เป็นกรรมสิทธิ์ เพื่อส่งมอบข้อมูลแบบเรียลไทม์และซอฟต์แวร์ระบบอัจฉริยะสำหรับที่จอดรถที่ช่วยให้ผู้ประกอบการที่จอดรถสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นสำหรับการดำเนินงาน และมอบความพร้อมใช้งานแบบเรียลไทม์ให้กับผู้จอดรถไม่ว่าจะมีหรือไม่มีฮาร์ดแวร์ก็ตาม แพลตฟอร์มนี้ยังปรับปรุงกระบวนการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีเครื่องมือจัดการการอนุญาตขั้นสูงสำหรับเจ้าของและผู้ถือใบอนุญาต ทำให้เกิดข้อเสนอที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ก่อนการเข้าซื้อกิจการ PGS ได้ร่วมมือกับ ParkZen ในหลายๆ โครงการในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันนำทางสำหรับผู้ใช้และซอฟต์แวร์การจัดการลานจอดรถด้วย

การเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ถือเป็นการบูรณาการในแนวตั้งอันทรงคุณค่าของ PGS และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการนำเสนอโซลูชันที่จอดรถที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงสนามบิน โครงการพัฒนาแบบผสมผสาน มหาวิทยาลัย วิทยาเขตขององค์กร สถานพยาบาล และจุดหมายปลายทางอื่นๆ ที่มีการจราจรหนาแน่นที่ต้องอาศัยป้ายบอกทางและการค้นหาเส้นทาง

“ด้วยการควบรวมกิจการครั้งนี้ เราขอให้ผู้ประกอบการทั่วโลกพิจารณาทบทวนสิ่งที่ระบบจอดรถของพวกเขาสามารถทำได้” กล่าวโดย Derek Frantz ซีอีโอของ PGS “PGS กำลังเป็นผู้นำในการกำหนดนิยามใหม่ของที่จอดรถในฐานะแหล่งสร้างรายได้ แทนที่จะเป็นศูนย์ต้นทุน ด้วยการนำฮาร์ดแวร์ที่แม่นยำของ INDECT, ซอฟต์แวร์อัจฉริยะของ ParkZen และผลงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้วของ PGS ในการนำเสนอโซลูชันที่จอดรถที่ซับซ้อน เราจึงสามารถนำเสนอระบบที่ผสานรวมและแข็งแกร่ง ซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการของผู้ประกอบการทั่วโลกได้ โดยช่วยให้พวกเขาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน และปลดล็อกมูลค่าทางการเงินใหม่ๆ จากสินทรัพย์ที่จอดรถของพวกเขาเอง”

ปัจจุบัน PGS มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในอุตสาหกรรมที่จอดรถได้มากกว่าที่เคย โดยมี INDECT และ ParkZen เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงาน

เกี่ยวกับ Parking Guidance Systems, Inc.

Parking Guidance Systems (PGS) นำเสนอโซลูชันเทคโนโลยีโรงจอดรถขั้นสูง ที่สร้างขึ้นจากผลงานที่พิสูจน์แล้วจากการใช้งานจริงในวงกว้างที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ปี 2013 ทาง PGS ได้ร่วมมือกับสนามบิน ระบบการดูแลสุขภาพ มหาวิทยาลัย วิทยาเขตของบริษัทต่างๆ และโครงการพัฒนาแบบผสมผสาน เพื่อเปลี่ยนโฉมที่จอดรถจากศูนย์ต้นทุนให้กลายเป็นแหล่งรายได้และความพึงพอใจของลูกค้า ผลงานของบริษัทประกอบด้วยระบบนำทางที่จอดรถชั้นนำของอุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์จดจำป้ายทะเบียนรถ https://cts.businesswire.com/ct/CT?id=smartlink&url=https%3A%2F%2Fparkingguidancesystems.com%2Fparking-solutions%2F%3Futm_campaig%2520n%3D22056732-PGS%2520M%2526A%2520Communications%26utm_source%3DBusinessWire%26u%2520tm_medium%3Dpress-release&esheet=54321018&newsitemid=54321018015&lan=en-US&anchor=software&index=6&md5=01a30e39f80328045cd9d64789b1729dการวิเคราะห์ที่จอดรถ รวมถึงป้ายบอกทาง และการค้นหาเส้นทางแบบดิจิทัล ด้วยการติดตั้งระบบมากกว่า 347 ระบบ การตรวจสอบพื้นที่จอดรถเกือบ 600,000 แห่งในสหรัฐอเมริกา รวมถึงโอกาสใหม่ๆ ที่ขยายไปทั่วโลก PGS ยังคงสร้างมาตรฐานสำหรับโซลูชันที่จอดรถที่เป็นนวัตกรรม เชื่อถือได้ และมุ่งเน้นไปที่ลูกค้า เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ parkingguidancesystems.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Felicia Perez
felicia@farpublicrelations.com
(832) 222-2101
1811 First Oaks St, Suite 100 Richmond, TX 77406

ที่มา: Parking Guidance Systems, LLC

Nikkiso ตอบรับความต้องการอุปกรณ์จัดการแอมโมเนียที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมเปิดตัวปั๊มรุ่นใหม่ในงาน Gastech 2025

Logo

มิลาน–(BUSINESS WIRE)–09 กันยายน 2025

Nikkiso Clean Energy & Industrial Gases Group (Nikkiso CE&IG) ได้ประกาศในงาน Gastech Conference วันนี้ว่า บริษัทได้เปิดตัวปั๊มแอมโมเนียแบบจุ่มใต้น้ำรุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบให้มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้มากที่สุดในอุตสาหกรรม

แอมโมเนียเป็นส่วนประกอบสำคัญในปุ๋ย และถูกนำมาใช้เป็นตัวพาไฮโดรเจนสะอาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความต้องการในการจัดการแอมโมเนียก็เพิ่มขึ้นเช่นกันในภาคส่วนต่างๆ เช่น การผลิตไฟฟ้า โรงงานเคมี กองเรือขนส่ง รวมถึงท่าเรือส่งออก ทาง Nikkiso CE&IG จึงตอบสนองต่อความต้องการนี้ด้วยโซลูชันแรกที่ออกแบบมาเพื่อลดภาระการบำรุงรักษาทั่วไปสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ด้วยโครงสร้างที่ปราศจากซีลต่างๆ บำรุงรักษาง่าย ปราศจากทองแดง รวมถึงระบบมอเตอร์ปั๊มแบบบูรณาการ

โดยปั๊มมีความสามารถในการส่งน้ำได้มากกว่า 2,500 ม.3 ต่อชั่วโมง และมีประวัติการบำรุงรักษาที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรม โดยชิ้นส่วนที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะทำให้ปั๊มมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะต้องมีการบำรุงรักษาใดๆ โดยมีระยะเวลาเฉลี่ยระหว่างการหยุดทำงานแต่ละครั้งสูงกว่า 16,000 ชั่วโมง

Emile Bado ประธานฝ่ายปั๊มของ Nikkiso CE&IG กล่าวว่า “ความต้องการแอมโมเนียในการใช้งานที่หลากหลายกำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากความสำคัญของแอมโมเนียในฐานะเชื้อเพลิงสะอาดทางเลือก บทบาทในภาคเกษตรกรรม และในฐานะตัวพาไฮโดรเจน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เรามีความยินดีที่จะเปิดตัวปั๊มที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดจากผู้ปฏิบัติงานต้องเผชิญ

“เรามีความภาคภูมิใจในนวัตกรรมของ Nikkiso CE&IG และความพยายามในการผลิตปั๊มนี้ก็ไม่ต่างกัน ส่งผลให้ปั๊มนี้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ การบำรุงรักษา และประสิทธิภาพ”

การเปิดตัวปั๊มนี้เกิดขึ้นจากความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของทั้ง Nikkiso CE&IG และ Nikkiso Co ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในการให้บริการตลาดแอมโมเนียในหลากหลายรูปแบบ โดย Nikkiso CE&IG มีประสบการณ์กว่าสี่ทศวรรษในการสร้างปั๊มมอเตอร์แบบจุ่มสำหรับใช้กับแอมโมเนีย และเพิ่งได้รับการอนุมัติในหลักการสำหรับระบบจ่ายเชื้อเพลิงแอมโมเนียแบบใหม่ ควบคู่ไปกับเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนแบบอุณหภูมิแวดล้อมและแบบไฟฟ้าสำหรับแอมโมเนียที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทางที่มีอยู่และได้รับการพิสูจน์แล้ว ฝ่ายอุตสาหกรรมของ Nikkiso Co ได้สร้างปั๊มมอเตอร์แบบกระป๋องมากกว่า 7,000 ตัวสำหรับใช้ในการจัดการแอมโมเนีย และมีแผนจะเปิดตัวปั๊มแอมโมเนียเหลวสำหรับการผลิตพลังงานความร้อนในปีหน้า

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ

Eric Sensat ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ – ปั๊มมอเตอร์แบบจุ่มใต้น้ำของ Nikkiso CE&IG จะมีการนำเสนอปั๊มแอมโมเนียแบบจุ่มใต้น้ำรุ่นใหม่นี้ที่บูทของ Nikkiso CE&IG (J14) เวลา 10.30 น. และ 13.30 น. ในวันพุธที่ 10 กันยายน 2025

เกี่ยวกับ Nikkiso Clean Energy & Industrial Gases Group

Nikkiso Clean Energy & Industrial Gases Group คือผู้ให้บริการชั้นนำด้านอุปกรณ์และโซลูชันไครโอเจนิกทั่วโลกที่ตอบสนองความต้องการของตลาดพลังงานคาร์บอนต่ำและก๊าซอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและโซลูชันที่ทำงานร่วมกัน เรามุ่งมั่นขับเคลื่อนอนาคตของตลาดพลังงาน การขนส่ง การเดินเรือ การบินและอวกาศ และก๊าซอุตสาหกรรม

กลุ่มบริษัทมีพนักงานมากกว่า 1,800 คนใน 12 ประเทศ และบริหารงานโดย Cryogenic Industries, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ถือหุ้นโดย Nikkiso Co., Ltd (TSE: 6376)

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Nikkiso CE&IG Group ได้ที่ NikkisoCEIG.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สื่อ
Ross Davidson
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารภายนอก
+44 (0)7946 930741
Ross.davidson@nikkisoceig.com
pr@nikkisoceig.com

ที่มา: Nikkiso Clean Energy & Industrial Gases Group

NIPPON KINZOKU เดินหน้าโปรโมต SFA Finish ในฐานะผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม

Logo

SFA Finish ช่วยให้เหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าเครื่องมืออ่อนตัวลง แม้เป็นชิ้นงานที่ยากต่อการแปรรูป

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–09 กันยายน 2025

NIPPON KINZOKU CO., LTD. (สำนักงานใหญ่: มินาโตะ-คุ โตเกียว) เตรียมผลักดันการจำหน่าย “SFA Finish” สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าเครื่องมือ ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มความง่ายในการแปรรูปด้วยการทำให้วัสดุอ่อนตัวลง ถือเป็นผลิตภัณฑ์ลำดับที่ 5 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “Eco-Product” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

Compared to standard annealed finishes, SFA finish offers greater elongation, preventing processing cracks.

เมื่อเทียบกับการอบอ่อนจะเห็นว่า SFA Finish ให้ความยืดหยุ่นสูงกว่า และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแตกร้าวระหว่างแปรรูป

“SFA (Super Full Annealing) Finish” เป็นผลิตภัณฑ์ลิขสิทธิ์เฉพาะของเรา ที่ช่วยให้วัสดุอ่อนตัวลงและไม่เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีด้วยการปรับสภาวะการผลิตให้เหมาะสมที่สุด การทำให้วัสดุอ่อนตัวลงทำให้การแปรรูปง่ายขึ้นและช่วยลดการคืนตัว ส่งผลให้กระบวนการมีประสิทธิภาพและเพิ่มอัตราผลผลิตมากขึ้น รวมถึงช่วยประหยัดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ “SFA finish” สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าเครื่องมือของเรา จึงได้รับการรับรองว่าเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์สิ่งแวดล้อม “Eco-Product” ตามมาตรฐานของบริษัท เรามุ่งมั่นที่จะผลิตสินค้าอย่างยั่งยืนผ่านการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ยิ่งไปกว่านั้น ผลิตภัณฑ์นี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “NIPPON KINZOKU 2030” ตามแผนธุรกิจฉบับที่ 11 ภายใต้คีย์เวิร์ดสำคัญอย่าง “Near Net Performance” (บรรลุประสิทธิภาพที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ขั้นวัสดุ) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เราตั้งเป้าว่าจะขยายการจัดจำหน่ายให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

คุณสมบัติและคุณประโยชน์ของ SFA Finish

  1. องค์ประกอบทางเคมี
    คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปรับปรุงโดยปรับสภาพการรีดเย็นให้เหมาะสม องค์ประกอบทางเคมีจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง
     
  2. คุณสมบัติเชิงกล
    เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการอบอ่อน SFA Finish ให้ความเหนียวที่เหนือกว่า พร้อมความอ่อนตัวที่มากกว่า (ความแข็งแรงต่ำกว่า)
     
  3. ความง่ายในการแปรรูป
    เนื่องจากมีการคืนตัวต่ำจึงทำให้ชิ้นงานค่อนข้างคงตัวหลังการแปรรูป
     
  4. โครงสร้างของโลหะ
    ขนาดของคาร์ไบด์ทรงกลมอยู่ที่ประมาณ 1.0-1.5 μm ซึ่งเทียบเท่ากับการอบอ่อนทั่วไป
     
  5. คุณสมบัติหลังอบชุบความร้อน
    โครงสร้างจุลภาคและความแข็งหลังชุบแข็งและการอบคืนตัวเทียบเท่าวัสดุพื้นฐานทั่วไป

คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.nipponkinzoku.co.jp/assets/images/2025/09/934d41c708857ee8bb4409fafb7ffb18.pdf

ภาพรวมของผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดเย็น

บริษัทของเราเริ่มผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นตั้งแต่ปี 1930 ทำให้เราเป็นผู้ผลิตที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานที่สุดในญี่ปุ่น เราภูมิใจที่ได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ตรงตามข้อกำหนดและขนาดที่หลากหลายในทุกอุตสาหกรรม

ภาพรวมของผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่น

ด้วยเครื่องจักรเฉพาะของบริษัทที่ออกแบบโดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการรีดเย็นและเทคโนโลยีชั้นนำในอุตสาหกรรม เราจึงสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้
URL: https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/corporate-profile/business/cold-rolled-stainless-steel-strip

เกี่ยวกับกลุ่มบริษัท NIPPON KINZOKU

ผลิตภัณฑ์ของเราถูกนำไปใช้ในหลายสาขา ตั้งแต่งานที่ต้องการความแม่นยำไปจนถึงอุตสาหกรรมก่อสร้าง https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/20250908712511/en

Contacts

NIPPON KINZOKU CO., LTD. แผนกกระบวนการผลิตและสนับสนุน
โทร: +81-3-5765-8113
https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/inquiry

ที่มา: NIPPON KINZOKU CO., LTD.

Autel Energy เปิดตัวแพลตฟอร์มการชาร์จรุ่นใหม่: ตั้งแต่โมดูลระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ออกแบบภายในองค์กรไปจนถึงระบบตู้ที่ปรับขนาดได้ เทอร์มินัลประสิทธิภาพสูง และเครื่องชาร์จแบบออลอินวันที่ได้รับการอัปเกรด

Logo

เบอร์ลิน-(BUSINESS WIRE)–05 กันยายน 2025

ด้วยแนวคิด “พลังไร้ขีดจำกัด – เริ่มต้นจากศูนย์” ในงานเปิดตัวระดับโลก Autel Energy Europe ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นโซลูชันรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และปรับขนาดได้ที่เพิ่มขึ้นในยุโรปและทั่วโลก แพลตฟอร์มนี้สร้างขึ้นจากโมดูลพลังงานระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ออกแบบภายในองค์กร ผสานประสิทธิภาพสูงเข้ากับความสามารถในการปรับเปลี่ยนที่เหนือชั้น มอบโซลูชันการชาร์จที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย

Andreas Lastei, Vice President of Sales and Marketing at Autel Energy Europe, presents the MaxiCharger DS600L

Andreas Lastei รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ Autel Energy Europe นำเสนอ MaxiCharger DS600L

MaxiModule LCM60/120: โมดูลระบายความร้อนด้วยของเหลวประสิทธิภาพสูงที่พัฒนาภายในองค์กร

แกนหลักของแพลตฟอร์มคือโมดูลพลังงานระบายความร้อนด้วยของเหลว MaxiModule LCM60/120 ที่ Autel พัฒนาขึ้นเอง มีให้เลือกทั้งขนาด 60 กิโลวัตต์และ 120 กิโลวัตต์ โมดูลเหล่านี้ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อประสิทธิภาพการแปลงพลังงานสูง ความเสถียรในระยะยาว และการทำงานที่ยั่งยืนภายใต้สภาวะการทำงานที่หนักหน่วง โมดูลเหล่านี้มอบประสิทธิภาพทางความร้อนที่สม่ำเสมอแม้ในขณะที่ใช้พลังงานสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับประโยชน์จากต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของที่ต่ำลง เวลาทำงานที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับขนาดที่พร้อมรองรับอนาคต

MaxiCharger DS600L: ระบบตู้ที่ปรับขนาดได้พร้อมสถาปัตยกรรมแบบซ้ำซ้อน

โมดูลพลังงานใหม่นี้ถูกรวมเข้ากับระบบตู้ชาร์จ MaxiCharger DS600L ของ Autel ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จขนาดใหญ่ที่มีกำลังไฟฟ้ารวมสูงสุด 3 เมกะวัตต์ต่อคลัสเตอร์ตู้ชาร์จ

เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการทำงาน MaxiCharger DS600L จึงมีสถาปัตยกรรมสำรองสำหรับส่วนประกอบสำคัญต่างๆ เช่น โมดูลจ่ายไฟ ชุดควบคุม และเมทริกซ์สวิตชิ่ง ซึ่งออกแบบขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ที่จะลดเวลาหยุดทำงานให้เหลือศูนย์ เมื่อใช้ร่วมกับชุดอุปกรณ์ปลายทางของ Autel ระบบจะรองรับการกำหนดค่าไซต์งานที่ยืดหยุ่น รองรับ CCS และ MCS แอปพลิเคชันสำหรับยานพาหนะและคลังสินค้า และการผสานรวม BESS และ PV ได้อย่างราบรื่น ทั้งหมดนี้ควบคุมผ่านระบบ EMS ของ Autel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของพลังงานและประสิทธิภาพการทำงาน DS600L ยังสามารถจับคู่กับชุดจ่ายและชุดอุปกรณ์ปลายทางที่หลากหลายได้อย่างยืดหยุ่น ตั้งแต่เสารถยนต์โดยสารไปจนถึงตู้จ่ายรถบรรทุกสำหรับงานหนัก ทำให้สามารถออกแบบโซลูชันที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการที่หลากหลายของไซต์งาน เทอร์มินัล MaxiCharger DT1500 รองรับเอาต์พุตสูงสุด 1,500 แอมป์ และ 1.44 เมกะวัตต์ จึงมั่นใจได้ถึงความพร้อมสำหรับความต้องการการชาร์จแบบเร็วพิเศษแห่งอนาคต

อัปเกรดเครื่องชาร์จแบบออลอินวันเป็น MaxiCharger DH600

Autel ได้ยกระดับเครื่องชาร์จแบบออลอินวันด้วย MaxiCharger DH600 ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก MaxiCharger DH480 ที่ยังคงขนาดกะทัดรัดและดีไซน์ที่เพรียวบางของรุ่นเดิมไว้ พร้อมมอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด MaxiCharger DH600 มาพร้อมกับสายชาร์จระบายความร้อนด้วยของเหลว รองรับกระแสไฟสูงสุด 650 แอมป์ ให้กำลังส่งสูงต่อเนื่อง 600 กิโลวัตต์ พร้อมประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม ด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่ต่อเนื่องสูงขึ้น ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่ดีขึ้นสำหรับสถานการณ์การชาร์จที่หลากหลาย MaxiCharger DH600 จึงรับประกันการทำงานที่เชื่อถือได้แม้ในสภาวะที่ยากลำบากที่สุด

บริการ MaxiCare และการผสานรวม AI

นอกเหนือจากความก้าวหน้าด้านฮาร์ดแวร์แล้ว Autel ยังเน้นย้ำถึงความสามารถในการให้บริการ MaxiCare และฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เครื่องมือเหล่านี้รองรับการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายแบบเรียลไทม์ และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถจัดการโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาหยุดทำงาน และมอบกระบวนการชาร์จที่ราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ จากจุดนี้ Autel ยังสำรวจการประยุกต์ใช้ AI ในการชาร์จและการตรวจสอบในวงกว้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวางรากฐานสำหรับนวัตกรรมในอนาคต

“ด้วยการพัฒนาโมดูลพลังงานหลักภายในองค์กรและการผสานรวมเข้ากับระบบตู้ที่ปรับขนาดได้ เทอร์มินัลประสิทธิภาพสูง และเครื่องชาร์จแบบออลอินวันรุ่นใหม่ เราจึงมอบความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือให้กับตลาดการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังพัฒนา” กล่าวโดย Andreas Lastei รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ Autel Energy ยุโรป “ด้วยแพลตฟอร์มบริการอัจฉริยะและความสามารถของ AI ของเรา รวมถึงความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับ CCS, MCS, BESS และ PV การเปิดตัวครั้งนี้จึงเป็นรากฐานที่ครอบคลุมสำหรับการสร้างเครือข่ายการชาร์จแห่งอนาคต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของยุโรปไปสู่การขนส่งที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์”

*วันวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250905801873/en

Contacts

ฝ่ายขายและการตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก:

FiFi Huang

marketing.jp@autel.com

ที่มา: Autel Energy

การประชุม EmPOWER AI 2025 ผนึกกำลังนวัตกรรมด้านพลังงานและ AI ร่วมสร้างโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งอนาคต

Logo

ซีอีโอของ Glean จะบรรยายปาฐกถาสำคัญ พร้อมรับฟังมุมมองจาก Ameren IL, APS, OG&E, SMUD, NV Energy, Itron, Infosys, AWS และบริษัทอื่นๆ

ลอสอัลโตส, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–04 กันยายน 2025

Bidgelyจัดงานประชุมด้านข่าวกรองด้านพลังงานชั้นนำในชื่อว่า “EmPOWER AI” ในระหว่างวันที่ 16-18 กันยายน ณ เมืองนาปา รัฐแคลิฟอร์เนีย งานประชุมประจำปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมจากบริษัทระดับโลกกว่า 40 แห่ง เพื่อจุดประกายการสนทนาเชิงวิพากษ์ระหว่างผู้นำด้านสาธารณูปโภค ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล และผู้บริหารด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกี่ยวกับบทบาทของ AI ที่กำลังปฏิวัติวงการนี้

Bidgely's EmPOWER AI, held September 16-18 in Napa, California, gathers over 40 global energy companies to explore how AI is revolutionizing the sector.

งาน EmPOWER AI ของ Bidgely จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 กันยายน ณ เมืองนาปา รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยรวบรวมบริษัทพลังงานระดับโลกกว่า 40 แห่ง เพื่อสำรวจว่า AI กำลังปฏิวัติวงการนี้อย่างไร

“งานนี้ถือเป็นเวทีสำคัญสำหรับการนำเสนอความก้าวหน้าด้าน AI ระลอกใหม่ของเรา โดยปีที่แล้ว Bidgely ได้เปิดตัวผลงานอันล้ำสมัยของเราในด้าน AI เชิงสร้างสรรค์ ส่วนในปีนี้ ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสโซลูชัน AI ใหม่ล่าสุดอันทรงพลังของเราอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำมีความยืดหยุ่นมากกว่าที่เคยในการนำ AI มาใช้ในธุรกิจสาธารณูปโภคต่างๆ” Abhay Gupta ซีอีโอของ Bidgely กล่าว “เราแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันความสำเร็จอันน่าทึ่งของลูกค้าและเปิดเผยถึงอนาคตของอุตสาหกรรมพลังงาน”

งาน EmPOWER AI ปีนี้จัดขึ้นโดย PacifiCorp ผู้ให้บริการโครงข่ายไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาตะวันตก และเป็นพันธมิตรกับ Bidgely มายาวนาน ภายในงานจะประกอบด้วยหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการแยกส่วนพลังงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI การแบ่งส่วนตลาดและการมีส่วนร่วมของลูกค้ายุคใหม่ รวมถึงการวางแผนโครงข่ายไฟฟ้าและการใช้ไฟฟ้า โดยหัวข้อเหล่านี้จะมีการพูดคุยอย่างเข้มข้นจากบริษัทสาธารณูปโภคชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญของ Bidgely วิทยากรหลักของ EmPOWER AI ในปีนี้ คือ Arvind Jain ผู้มีวิสัยทัศน์ด้าน AI ในสถานที่ทำงานและซีอีโอของ Glean ซึ่งจะมาพูดคุยถึงแนวทางที่บริษัทสาธารณูปโภคสามารถกำหนดทิศทางของ AI ในอนาคต

“EmPOWER AI มอบพื้นที่พิเศษที่ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกอุตสาหกรรมมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับนวัตกรรม และเรียนรู้จากประสบการณ์ AI ของกันและกัน” Shawn Grant ผู้อำนวยการฝ่ายโซลูชันลูกค้าของ PacifiCorp กล่าว “นี่คือการแลกเปลี่ยนแบบเปิดที่เร่งให้เราทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ตั้งแต่ขอบเครือข่ายไปจนถึงศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลง”

การสนทนาในระดับโลกกับ Local Insight

กิจกรรม EmPOWER AI ‘Insights Tour’ ใหม่ ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2025 จะสิ้นสุดลงที่เมืองนาปา โดยรวบรวมบทสนทนาและข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน ณ สถานที่ต่างๆ ในแคนาดาและยุโรป กิจกรรมระดับภูมิภาคทั้งสองแห่งนี้ได้รวมตัวผู้ให้บริการสาธารณูปโภคและผู้บริหารเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำลายกำแพงกั้นระหว่างลูกค้าและการวางแผนโครงข่ายไฟฟ้า โดยใช้กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โครงสร้างพื้นฐานการวัดขั้นสูง (AMI) 2.0 และ AI เชิงสร้างสรรค์ (GenAI) เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของโครงข่ายไฟฟ้าและการมีส่วนร่วมของลูกค้า

“ผมคิดว่า EmPOWER AI เป็นกิจกรรมที่โดดเด่น พวกเขาเชิญผู้คนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันและมีปัญหาคล้ายกันในอุตสาหกรรมของตนเองจากทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น” Sumit Verma รองประธานฝ่ายประสบการณ์ลูกค้าของ TAQA Distribution ในอาบูดาบี กล่าว “ปัญหาของบริษัทหนึ่งอาจเป็นทางออกของอีกบริษัทหนึ่งก็ได้”

การสร้างเครือข่ายผู้บริหารและการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา

การประชุม EmPOWER AI ของ Bidgely เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสโซลูชันล่าสุดสำหรับความท้าทายที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค การประชุมนี้ผสมผสานวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลเข้ากับการประยุกต์ใช้งานจริงที่ภาคสาธารณูปโภคกำลังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ตลอดงานจะมีการแบ่งปันมุมมองจากองค์กรต่างๆ เช่น Ameren Illinois, APS, OG&E, SMUD, NV Energy, Avista, Itron, AWS, Infosys และองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมอื่นๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าด้านพลังงาน

หัวข้อของเซสชันประกอบด้วย

  •  การย้ายลูกค้าจากขอบเครือข่ายไปสู่ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรม
  •  เปลี่ยนโครงข่ายไฟฟ้าคงที่ของคุณให้เป็นระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ AI
  •  เร่งความสำเร็จของโครงการ EV ด้วย AI
  •  โหลดที่ชาญฉลาดขึ้น ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดขึ้น: พลิกโฉมการออกแบบ TOU และอัตราค่าบริการ
  •  จาก AMI สู่ AI: การออกแบบเพื่ออนาคตด้วยปัญญาประดิษฐ์แบบกระจาย
  •  การพัฒนาความเสมอภาคและความสามารถในการซื้อโดยใช้ข้อมูล
  •  การคาดการณ์และเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตของโครงข่ายไฟฟ้า 10 เท่า

เปิดลงทะเบียน EmPOWER AI 2025 แล้ว ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bidgely.com/empower-ai/

เกี่ยวกับ Bidgely

Bidgely คือบริษัท SaaS ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งกำลังเร่งสร้างอนาคตพลังงานสะอาด ด้วยการช่วยให้บริษัทพลังงานและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับพลังงานโดยอาศัยข้อมูล โดยแพลตฟอร์ม UtilityAI™ ของ Bidgely นั้นขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของเราที่ได้รับการจดสิทธิบัตรที่จะแปลงข้อมูลของลูกค้าในหลากหลายมิติ เช่น การใช้พลังงาน ข้อมูลประชากร และปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ให้เป็นข้อมูลเชิงลึกด้านพลังงานของผู้บริโภคที่แม่นยำและสามารถนำไปใช้ได้จริง เราใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อมอบคำแนะนำเฉพาะบุคคลให้กับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการส่วนบุคคลและไลฟ์สไตล์ คุณลักษณะการใช้งาน รูปแบบพฤติกรรม แนวโน้มการซื้อ และอื่นๆ โดย Bidgely กำลังพัฒนานวัตกรรมมิเตอร์อัจฉริยะด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับโซลาร์เซลล์ (PV) การตรวจจับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การปรับเปลี่ยนโหลดและการจัดการการชาร์จตามพฤติกรรมของรถยนต์ไฟฟ้า การขโมยพลังงาน การคาดการณ์โหลดระยะสั้น การวิเคราะห์โครงข่ายไฟฟ้า และการออกแบบอัตราการใช้งาน (TOU) โดยระบบวิเคราะห์พลังงาน UtilityAI™ ของ Bidgely นั้นสามารถมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการผลิตและการบริโภค เพื่อการวางแผนและกำหนดรูปแบบการใช้พลังงานสูงสุด (Peak Load) ที่ดีขึ้น พร้อมให้คำแนะนำที่ตรงจุดสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม Bidgely ตั้งอยู่ที่ซิลิคอนแวลลีย์ มีสิทธิบัตรด้านพลังงานมากกว่า 16 ฉบับ เงินทุนกว่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลมากกว่า 30 คน และนำความหลงใหลใน AI มาสู่สาธารณูปโภค โดยให้บริการลูกค้าทั้งที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ทั่วโลก ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bidgely.com หรือบล็อกของ Bidgely ที่ bidgely.com/blog

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250904069383/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Christine Bennett
Bidgely
press@bidgely.com

ที่มา: Bidgely

จาก EHR ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สู่การแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ InterSystems Asia Healthcare Summit 2025 ชูอินโดนีเซียในฐานะผู้นำด้านสุขภาพดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

ผู้นำระดับโลกและระดับท้องถิ่นรวมตัวกันที่จาการ์ตาเพื่อนำเสนอความก้าวหน้าที่กำลังพลิกโฉมการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทั่วทั้งภูมิภาค

จาการ์ตา, อินโดนีเซีย–(BUSINESS WIRE)–04 กันยายน 2025

InterSystems เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ที่บริหารจัดการข้อมูลสุขภาพมากกว่าหนึ่งพันล้านรายการทั่วโลก ได้จัดงาน Asia Healthcare Summit 2025 เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีผู้นำจากภาครัฐ ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ และภาคเทคโนโลยีสารสนเทศมากกว่า 200 ราย ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นมาร่วมประชุม โดยได้ยกย่องอินโดนีเซียในฐานะสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมของการดูแลสุขภาพในเอเชีย ด้วยนโยบายที่ก้าวหน้า การลงทุนจากภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น และระบบนิเวศความร่วมมือที่เชื่อมโยงความเชี่ยวชาญระดับโลกเข้ากับนวัตกรรมในท้องถิ่น อินโดนีเซียกำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสุขภาพดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจุดประกายความก้าวหน้าด้านการดูแลผู้ป่วยที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

ระบบการดูแลสุขภาพของอินโดนีเซียกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านความพร้อมทางดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยแผนงานการเปลี่ยนแปลงของกระทรวงสาธารณสุข และความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับข้อมูลที่เชื่อถือได้และทำงานร่วมกันได้ และระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI Terry Ragon, ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ InterSystems กล่าวว่า “เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการประมวลผลในขณะที่เราเข้าสู่ยุค AI โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม และในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ลูกค้าของเราได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังส่งมอบการดูแลระดับโลกให้กับภูมิภาคนี้ด้วยเทคโนโลยีของเราอย่างไร”

แม้จะมีแรงผลักดันที่แข็งแกร่ง แต่ภาคการดูแลสุขภาพของเอเชียยังคงเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมาย รวมถึงระบบเดิมที่กระจัดกระจาย ความรู้ด้านดิจิทัลที่ไม่สม่ำเสมอ และความกังวลของสาธารณชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล Luciano Brustia, กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ InterSystems กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงด้านการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องของอินโดนีเซียไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสำเร็จในระดับชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย ภาวะผู้นำที่มองการณ์ไกล ความร่วมมือในอุตสาหกรรม และความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและปรับขนาดได้มาใช้ กำลังจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้เกิดขึ้น”

โซลูชันในโลกแห่งความเป็นจริง ผลกระทบที่พิสูจน์แล้ว

InterSystems ได้สาธิตวิธีการที่แพลตฟอร์มข้อมูล InterSystems IRIS for Health™ ของบริษัท รวบรวมข้อมูลจากหลายระบบแบบเรียลไทม์เพื่อ “สื่อสารในภาษาเดียวกัน” ที่พร้อมสำหรับ AI และการวิเคราะห์โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเดิม แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้โรงพยาบาลต่างๆ พัฒนาระบบให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดการหยุดชะงัก ระบบบันทึกข้อมูลทางการแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ InterSystems TrakCare® ซึ่งใช้งานโดยโรงพยาบาลและห้องปฏิบัติการชั้นนำหลายแห่งในอินโดนีเซีย ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มข้อมูลนี้ โซลูชันเหล่านี้ใช้มาตรฐานข้อมูลระดับโลก เช่น HL7® FHIR® ควบคู่ไปกับการสนับสนุนโครงการริเริ่มระดับชาติ เช่น SATUSEHAT

ในอินโดนีเซีย เทคโนโลยีของ InterSystems ได้ให้การสนับสนุนผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพชั้นนำมากมาย อาทิ Prodia, EMC Healthcare, Tzu Chi Hospital, EKA Hospital, Pondok Indah Group, Asia One Healthcare และ Bali International Hospital ความร่วมมือเหล่านี้ครอบคลุมเครือข่ายห้องปฏิบัติการระดับชาติและโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกระทรวงสาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางและเชื่อมโยงถึงกัน

หนึ่งในไฮไลท์ของงานคือ EMC Healthcare ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชียที่นำ InterSystems Intellicare™ ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่มาใช้ โดยเป็นระบบ EHR แบบบูรณาการที่ขับเคลื่อนด้วย AI และสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มข้อมูลที่เชื่อถือได้ของ InterSystems เช่นกัน “IntelliCare ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้แพทย์ของเรามีเวลามากขึ้นในการให้ความสำคัญกับผู้ป่วย ในขณะที่ข้อมูลผู้ป่วยจะไหลอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว เพื่อการตัดสินใจที่รอบด้าน” กล่าวโดย Jusup Halimi, ซีอีโอของ EMC Healthcare

Don Woodlock, หัวหน้าฝ่ายโซลูชันการดูแลสุขภาพระดับโลกของ InterSystems ได้กล่าวถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของ InterSystems เพื่อตอบโจทย์การไหลเวียนข้อมูลอย่างราบรื่นในระบบการดูแลสุขภาพ ซึ่งรวมถึงโซลูชัน Unified Care Record ที่ได้รับรางวัล Best in KLAS ประจำปี 2025 ในยุโรป สาขา Shared Care Records/HIE โดยได้นำเสนอตัวอย่างความสามารถใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นของ AI เชิงตัวแทนที่กำลังจะเปิดตัวใน InterSystems IntelliCare ที่จะช่วยให้ผู้ให้บริการดูแลสุขภาพมีผู้ช่วยที่สามารถช่วยวางแผนและดำเนินงานต่างๆ เพื่อประหยัดเวลาและช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น

ปฏิวัติวงการการดูแลสุขภาพในอินโดนีเซีย

อีกหนึ่งไฮไลท์ของงาน ดร. Noel Yeo, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และปฏิบัติการที่ Bali International Hospital ซึ่งเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2025 ใจกลางเขตเศรษฐกิจพิเศษซานูร์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ของบาหลีสำหรับการดูแลสุขภาพ ดร. Yeo ได้พูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่โรงพยาบาลกำลังปฏิวัติการให้บริการดูแลสุขภาพในอินโดนีเซีย และบทบาทของ TrakCare ในการช่วยผลักดันขอบเขตใหม่ๆ ในการให้บริการดูแลสุขภาพ

การประชุมสุดยอดครั้งนี้มีการสาธิตผลิตภัณฑ์สดจาก InterSystems รวมถึงการให้คำปรึกษาด้วย AI และข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วย อวาตาร์ AI เพื่อสนับสนุนแพทย์ในการทำงานทั่วไป และการแบ่งปันข้อมูลที่ราบรื่นระหว่างภาคส่วนต่างๆ ของระบบนิเวศด้านสุขภาพและการดูแล ซึ่งช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างวิสัยทัศน์ด้านนโยบายและความเป็นจริงทางคลินิก โดยพันธมิตรด้านโซลูชันและบริการของ InterSystems จำนวน 10 รายได้ร่วมจัดแสดงใน Partner Pavilion รวมถึงกลุ่ม ST Engineering ซึ่งเป็นกลุ่มเทคโนโลยีระดับโลก การป้องกันประเทศ และวิศวกรรมที่เป็นพันธมิตรด้านการใช้งานและโซลูชันรายใหม่ล่าสุดของ InterSystems ในภูมิภาคอาเซียน

Tan Bin Ru, ประธานฝ่าย Enterprise Digital ของ ST Engineering กล่าวว่า “การผสานรวมระบบอัจฉริยะของเราเข้ากับแพลตฟอร์มข้อมูลด้านการดูแลสุขภาพของ InterSystems ทำให้ศูนย์บัญชาการ AGIL® Care ของเราช่วยเสริมสร้างความสามารถในการทำงานร่วมกันของโรงพยาบาล ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความยืดหยุ่นในการจัดการวิกฤตและการระบาดใหญ่”

InterSystems สรุปงานโดยแสดงความยินดีกับลูกค้าในเอเชียที่สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านสุขภาพดิจิทัลด้วยการบรรลุการตรวจสอบขั้นที่ 6 หรือ 7 จาก HIMSS Electronic Medical Record Adoption Model (EMRAM) โดย Pondok Indah Hospital Group เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในอินโดนีเซียที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน EMRAM ขั้นที่ 6 โดยในขณะนี้ได้บรรลุมาตรฐานขั้นที่ 7 แล้วสำหรับโรงพยาบาลทั้งสามแห่งในเครือ และ EMC Grha Kedoya เพิ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน HIMSS EMRAM ขั้นที่ 6 รวมถึงสถาบันหัวใจแห่งชาติมาเลเซียที่ได้กลายเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในมาเลเซียที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน HIMSS EMRAM ขั้นที่ 6

โดยตัวแทนเห็นพ้องกันว่าการผสานรวมรข้อมูลที่ปลอดภัยและการนำระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้จะช่วยลดภาระงาน เร่งการวินิจฉัย และปรับปรุงการมีส่วนร่วมและผลลัพธ์ของผู้ป่วย โซลูชันเหล่านี้สนับสนุนวิสัยทัศน์ของรัฐบาลอินโดนีเซียโดยตรงในการสร้างระบบนิเวศสุขภาพดิจิทัลที่ปลอดภัย ครอบคลุม และให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง

วิทยากรเน้นย้ำว่าเส้นทางข้างหน้าจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างความทะเยอทะยานทางเทคโนโลยีกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีจริยธรรม การกำกับดูแลที่โปร่งใส ความปลอดภัยของข้อมูลที่แข็งแกร่ง และการดูแลที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ความพร้อมของอินโดนีเซียในการเป็นผู้นำนั้นเกิดจากการผสมผสานวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ศักยภาพของภาคเอกชน และการเปิดกว้างต่อความร่วมมือระดับโลก

เกี่ยวกับ InterSystems

InterSystems เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ มอบรากฐานแบบครบวงจรสำหรับแอปพลิเคชันยุคใหม่สำหรับลูกค้าด้านการดูแลสุขภาพ การเงิน การผลิต และซัพพลายเชนในกว่า 80 ประเทศ แพลตฟอร์มข้อมูลของเราช่วยแก้ปัญหาด้านความสามารถในการทำงานร่วมกัน ความเร็ว และความสามารถในการปรับขนาดสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก เพื่อปลดล็อกพลังของข้อมูลและช่วยให้ผู้คนรับรู้ข้อมูลได้อย่างสร้างสรรค์ โดย InterSystems นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 1978 มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้วยการสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน InterSystems เป็นบริษัทเอกชนและมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ มีสำนักงาน 38 แห่งใน 28 ประเทศทั่วโลก ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.intersystems.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

รายชื่อผู้ติดต่อสื่อ
Lindsay Kiley
PR@intersystems.com

ที่มา: InterSystems

Toshiba เปิดตัว SiC MOSFETs รุ่นที่ 3 ขนาด 650V ในแพ็กเกจ TOLL

Logo

– 3 อุปกรณ์ใหม่ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพ และความหนาแน่นพลังงานของอุปกรณ์อุตสาหกรรม –

คาวาซิกิ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–28 สิงหาคม 2025

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) เปิดตัว SiC MOSFETs ขนาด 650V จำนวน 3 ตัวที่มาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุด[1] ชิป SiC MOSFET รุ่นที่ 3ในแพ็กเกจ TOLL แบบติดตั้งบนพื้นผิว อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่เหมาะกับเครื่องจักรอุตสาหกรรม เช่น แหล่งจ่ายไฟแบบสวิตช์และตัวปรับกำลังไฟสำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดส่ง MOSFETs, “ TW027U65C,” “ TW048U65C,” และ “ TW083U65C,” เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้

Toshiba: 650V 3rd generation SiC MOSFETs in TOLL package.

Toshiba: SiC MOSFETs รุ่นที่ 3 ขนาด 650V ในแพ็กเกจ TOLL

ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้คือ SiC MOSFETs รุ่นที่ 3 ของ Toshiba ในแพ็กเกจ TOLL แบบติดตั้งบนพื้นผิวสำหรับการใช้งานทั่วไป ช่วยลดขนาดของอุปกรณ์ได้มากกว่า 80% เมื่อเทียบกับแพ็กเกจแบบทะลุผ่านรู อย่าง TO-247 และ TO-247-4L(X) พร้อมเพิ่มความหนาแน่นพลังงานของอุปกรณ์อีกด้วย

นอกจากนี้ แพ็กเกจ TOLL มีค่าความต้านทานปรสิต[2]ต่ำกว่าแพ็กเกจแบบทะลุผ่านรู ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานขณะสลับสวิชต์เปิดปิด และเนื่องจากเป็นแพ็กเกจแบบ 4 [3]ขั้วจึงสามารถใช้การเชื่อมต่อแบบเคลวินเป็นขั้วต่อแหล่งสัญญาณสำหรับวงจรขับเกตได้ วิธีนี้ช่วยลดผลกระทบการเหนี่ยวนำจากสายไฟต้นทางภายในแพ็กเกจ ส่งผลให้การสลับสวิตช์มีประสิทธิภาพและความเร็วสูง อย่างในกรณีของ TW048U65C การสูญเสียพลังงานขณะเปิดและปิดลดลงประมาณ 55% และ 25% [4]ตามลำดับ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ของ Toshiba ในปัจจุบัน[5]ซึ่งส่งผลให้การสูญเสียพลังงานของอุปกรณ์ลดลง

Toshiba จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อไป เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพของอุปกรณ์และเพิ่มความสามารถในการจ่ายพลังงาน

กลุ่มผลิตภัณฑ์แพ็กเกจ SiC MOSFET รุ่นที่ 3

ประเภท

แพ็กเกจ

แบบทะลุผ่านรู

 TO-247

 TO-247-4L(X)

แบบติดตั้งบนพื้นผิว

 DFN8×8

 TOLL

หมายเหตุ:
[1] ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2025
[2] ความต้านทาน ความเหนี่ยวนำ และอื่นๆ
[3] ผลิตภัณฑ์ที่ขั้วสัญญาณต้นทางเชื่อมต่อใกล้ชิป FET
[4] ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2025 วัดค่าโดย Toshiba สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากรูปที่ 1 ในข่าวประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ Toshiba.
[5] SiC MOSFET รุ่นที่ 3 ขนาด 650V กับแรงดันเทียบเท่าและความต้านทานขณะเปิดที่ใช้แพ็กเกจ TO-247 โดยไม่มีการเชื่อมต่อแบบเคลวิน

การใช้งาน

  • แหล่งจ่ายไฟแบบสวิตช์โหมดในเซิร์ฟเวอร์ ศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์สื่อสาร ฯลฯ
  • สถานีชาร์จรถไฟฟ้า
  • ตัวแปลงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
  • แหล่งจ่ายไฟสำรอง

คุณสมบัติ

  • แพ็กเกจ TOLL แบบติดตั้งบนพื้นผิว: ช่วยลดขนาดของเครื่องจักร รองรับการประกอบอัตโนมัติ และลดการสูญเสียพลังงานขณะสลับสวิชต์
  • SiC MOSFETs รุ่นที่ 3 ของ Toshiba:
     – ปรับอัตราส่วนระหว่างความต้านทานดริฟต์และความต้านทานช่องสัญญาณ ทำให้ความต้านทานขณะเปิดระหว่างขั้วเดรนและขั้วซอร์สมีความคงที่ตามอุณหภูมิ
     – ค่าความต้านทานขณะเปิดระหว่างเดรน-ซอร์ส x ประจุเกตและเดรนต่ำ
     – แรงดันตกคร่อมของไดโอดต่ำ: VDSF =-1.35V(typ.) (VGS =-5V)

 รายละเอียดสำคัญ

 (เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น, Ta =25 องศาเซลเซียส)

หมายเลขผลิตภัณฑ์

 TW027U65C

 TW048U65C

 TW083U65C

แพ็กเกจ

ชื่อ

TOLL

ขนาด (มิลลิเมตร)

ประเภท

9.9×11.68×2.3

 ค่า
สูงสุด
สัมบูรณ์

แรงดันระหว่างเดรน-ซอร์ส VDSS (โวลต์)

650

แรงดันระหว่างเกต-ซอร์ส VGSS (โวลต์)

-10 ถึง 25

กระแสเดรน (DC) ID (แอมแปร)

 Tc =25°C

57

39

28

 คุณลักษณะทางไฟฟ้า

ความต้านทานขณะเปิดระหว่างเดรน-ซอร์ส RDS(ON) (mΩ)

 VGS =18V

ประเภท

27

48

83

แรงดันเกต Vth (V)

 VDS =10V

3.0 ถึง 5.0

 ประจุเกตรวม Qg (nC)

 VGS =18V

Typ.

65

41

28

ประจุเกต-เดรน Qgd (nC)

 VGS =18V

Typ.

10

6.2

3.9

ความจุอินพุต Ciss (pF)

 VDS =400V

Typ.

2288

1362

873

แรงดันตกคร่อมของไดโอด VDSF (V)

 VGS =-5V

Typ.

-1.35

ดูตัวอย่างและความพร้อมของสินค้า

 สั่งซื้อออนไลน์

 สั่งซื้อออนไลน์

 สั่งซื้อออนไลน์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
TW027U65C
TW048U65C
TW083U65C

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์พลังงาน SiC ของ Toshiba ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
SiC Power Devices

ตรวจสอบความพร้อมของผลิตภัณฑ์ที่ตัวแทนจำหน่ายออนไลน์ได้ที่:
TW027U65C
สั่งซื้อออนไลน์

TW048U65C
สั่งซื้อออนไลน์

TW083U65C
สั่งซื้อออนไลน์

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นๆ
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ บริการด้านเนื้อหา และข้อมูลติดต่อ เป็นข้อมูล ณ วันที่ประกาศ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง ใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมมากกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

โดยมีพนักงานกว่า 19,400 คนทั่วโลกที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในการสร้างมูลค่าและตลาดใหม่ๆ ร่วมกัน บริษัทมุ่งหวังที่จะสร้างและมีส่วนสนับสนุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนโดยทั่วไป

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250827523831/en

Contacts

ช่องทางการติดต่อสอบถามสำหรับลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์พลังงานและสัญญาณขนาดเล็ก
โทร: +81-44-548-2216
ติดต่อสอบถาม

ช่องทางการติดต่อสอบถามสำหรับสื่อ:
C. Nagasawa
ฝ่ายสื่อสารและวิเคราะห์ตลาด
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toyoda Gosei ได้พัฒนาเทคโนโลยีการพ่นสี “METEOCOAT” ที่ช่วยให้ยานยนต์ออฟโรดมีรูปลักษณ์อันทรงพลัง

Logo

คิโยสุ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–26 สิงหาคม 2025

Toyoda Gosei Co., Ltd. (TOKYO:7282) ได้พัฒนา “METEOCOAT” ที่ช่วยเพิ่มพื้นผิวที่ไม่เรียบให้กับพื้นผิวสีของชิ้นส่วนภายนอกที่เป็นพลาสติกเพื่อใช้เป็นลวดลายตกแต่งเพื่อตอบสนองต่อรสนิยมที่หลากหลายของผู้ใช้รถยนต์

Racing vehicle to which METEOCOAT has been applied (Used on bumpers and fenders)

รถแข่งที่ใช้ METEOCOAT (ใช้กับกันชนและบังโคลน)

METEOCOAT โดดเด่นด้วยพื้นผิวขรุขระที่มีลวดลายจางๆ เหมาะสำหรับรถออฟโรด โดยเฉพาะรถที่ขับขี่บนถนนลูกรังบ่อยครั้ง พื้นผิวที่ยื่นออกมาเป็นเอกลักษณ์ของ METEOCOAT โดยเกิดจากการปรับความหนืดของสี นอกจากนี้ยังมีขนาดและสีของส่วนที่ยื่นออกมาให้เลือกในหลากหลายแบบ

บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายยอดขาย METEOCOAT ให้เป็นสินค้าสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของรถยนต์ได้ในทันทีที่ซื้อ โดยเทคโนโลยี METEOCOAT จะถูกนำไปใช้กับรถยนต์จาก Toyota Customizing & Development Asia ที่เข้าร่วมการแข่งขัน Asia Cross Country Rally (AXCR) 2025 ที่ประเทศไทย ในเดือนสิงหาคม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250825076790/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Toyoda Gosei Co., Ltd.
ติดต่อ: ฝ่ายประชาสัมพันธ์
inquiry@mlist.toyoda-gosei.co.jp

ที่มา: Toyoda Gosei Co., Ltd.


มหาวิทยาลัยฮามัด บิน คาลิฟา เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเรื่องจริยธรรม AI

Logo

ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI ที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ นักจริยธรรม รวมถึงผู้กำหนดนโยบายจะเข้าร่วมงานนี้สองวันในโดฮา

โดฮา กาตาร์–(BUSINESS WIRE)–25 สิงหาคม 2025

มหาวิทยาลัยฮามัด บิน คาลิฟา (HBKU) จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งสำคัญ ณ กรุงโดฮาในหัวข้อจริยธรรม AI: การบรรจบกันของเทคโนโลยีและประเพณีทางศีลธรรมที่หลากหลาย ระหว่างวันที่ 28–29 กันยายน 2025

Hamad Bin Khalifa University to Host Conference on AI Ethics (Infographic: AETOSWire)

มหาวิทยาลัยฮามัด บิน คาลิฟา เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเรื่องจริยธรรม AI (อินโฟกราฟิก: AETOSWire)

งานสำคัญครั้งนี้จะเป็นจุดบรรจบที่สำคัญสำหรับนักวิชาการชั้นนำ ผู้กำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี นักจริยธรรม และบุคคลอื่นๆ เพื่อสำรวจว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างไร และระบบคุณค่าที่หลากหลายทั่วโลกควรกำหนดกรอบการพัฒนาและการนำ AI ไปใช้อย่างมีความรับผิดชอบอย่างไร เทคโนโลยีที่ก่อกวนสังคมกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่ากรอบการกำกับดูแลทั่วโลก จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการระดับนานาชาติที่เป็นรูปธรรมเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมเพื่อปกป้องบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและมนุษย์

การประชุมจะเน้นย้ำถึงความจำเป็นของความร่วมมือข้ามภาคส่วนเพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาและมาตรฐานด้าน AI ถูกต้องตามจริยธรรมในหกหัวข้อหลัก ได้แก่ การดูแลสุขภาพ การออกแบบเมือง ความปลอดภัย การศึกษา การเงิน รวมถึงอนาคตของสถานที่ทำงาน

โดยการประชุมนี้มุ่งพัฒนาไปที่มาตรฐานสากลที่เชื่อมโยงกัน เพื่อลดความเสี่ยงที่สถาบันอาจเผชิญความรับผิด และปกป้องบุคคลรวมถึงชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากการพัฒนาที่รวดเร็วเหล่านี้ ความจำเป็นในการพิจารณาความรับผิดชอบร่วมกันและความร่วมมือแบบข้ามสาขาวิชานั้นชัดเจนยิ่งกว่าที่เคย การประชุมครั้งนี้จะนำเสนอกรอบการทำงานเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างมีสติและร่วมมือกัน โดยยึดถือค่านิยมและความต้องการที่หลากหลายของสังคมโลกของเราเป็นแนวทาง

สถานที่: ศูนย์การประชุมแห่งชาติกาตาร์ (QNCC), โดฮา, กาตาร์

ภารกิจ: เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบทางจริยธรรมของ AI อย่างมีวิจารณญาณ และส่งเสริมการสนทนาข้ามวัฒนธรรมและสาขาวิชาเพื่อให้แน่ใจว่าความก้าวหน้าของ AI นั้นสอดคล้องกับกรอบคุณธรรมระดับโลก

วิทยากรหลัก: Ibtihal Aboussad อดีตพนักงานของ Microsoft; Amr Awadallah จาก Vectara; Daniel González-Bootello จาก Smart City Cluster; Mark Coeckelbergh จากมหาวิทยาลัยเวียนนา; Yali Cong จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง; Munther Dahleh จาก MIT; Corey Gray จาก Smart Cities Council; David Gunkel จากมหาวิทยาลัยนอร์เทิร์นอิลลินอยส์; Jeroen van den Hoven จากสถาบัน Delft Design for Values; Nancy Jecker จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน; David Leslie จากสถาบัน Alan Turing; Yuan Luo จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น; Beth McGinty จากวิทยาลัยการแพทย์ Weill Cornell

การเข้าถึงของสื่อ: นักข่าวที่ได้รับการรับรองจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมฟังเซสชันสำคัญ รับฟังการอภิปรายจากผู้เชี่ยวชาญ และสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ โดยสามารถดูรายชื่อวิทยากรและวาระการประชุมโดยละเอียดได้ที่นี่

ข้อสงวนสิทธิ์ : การเข้าร่วมงานประชุมของแขกผู้มีเกียรติอาจมีการเปลี่ยนแปลงและอาจมีการอัปเดต

*แหล่งที่มา: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250825570906/en

Contacts

สำหรับการสอบถามสำหรับสื่อหรือเพื่อขอการรับรอง โปรดติดต่อ:
Ms. Taiba Saoud Al-Rodaini
media@hbku.edu.qa
โทร.: +974 44540934

ที่มา: Hamad Bin Khalifa University

Thoma Bravo เข้าซื้อกิจการ Verint เพื่อผนึกกำลังกับ Calabrio ในการสร้างพลังแห่งประสบการณ์ลูกค้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI

Logo

มินนิอาโปลิสและซานฟรานซิสโก–(BUSINESS WIRE)–25 สิงหาคม 2025

Thoma Bravo เป็นบริษัทลงทุนด้านซอฟต์แวร์ชั้นนำ ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการเข้าซื้อกิจการ Verint Systems, Inc. (Nasdaq: VRNT) (“Verint”) ด้วยเงินสดทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ากิจการ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ธุรกรรมนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการปิดบัญชีตามปกติ รวมถึงการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล และคาดว่าจะเสร็จสิ้นก่อนสิ้นปีงบประมาณปัจจุบันของ Verint ในช่วงต้นปี 2026 โดยท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกรรมนี้ได้ที่หน้านักลงทุนสัมพันธ์ของ Verint และในเอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล

หลังจากธุรกรรมเสร็จสิ้น Calabrio และ Verint จะถูกรวมเข้าเป็นบริษัทเดียว และจะเป็นผู้ให้บริการโซลูชันระบบอัตโนมัติสำหรับประสบการณ์ของลูกค้า (CX) ชั้นนำในตลาดที่มีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่พวกเขาให้บริการ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ทั้งสองบริษัทจะนำเสนอพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมเพื่อยกระดับความสำคัญขององค์กรที่ให้บริการด้าน CX ในทุกขนาดและทุกความซับซ้อน การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะสร้างโอกาสที่มากขึ้นสำหรับบริษัทต่างๆ ในการบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างรวดเร็วในการติดต่อกับลูกค้า โดย Calabrio มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการรักษาและลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่รองรับระบบที่มีการติดตั้งแล้วรวมถึงเวิร์กโฟลว์ของลูกค้า

“การร่วมมือกันระหว่าง Calabrio และ Verint จะนำเสนอชุดผลิตภัณฑ์อันทรงพลังเพื่อเร่งวิสัยทัศน์ร่วมกัน นั่นคือการส่งมอบแพลตฟอร์ม CX แบบเปิดที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้กับลูกค้าที่มุ่งเน้นการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในการดำเนินงาน ในฐานะบริษัทที่ควบรวมกันแล้ว เรามีความพร้อมที่จะนำพาอุตสาหกรรมไปข้างหน้า” กล่าวโดย Dave Rhodes ซีอีโอของ Calabrio

Mike Hoffmann หุ้นส่วนของ Thoma Bravo กล่าวเสริมว่า “เราดำเนินธุรกิจด้าน CX มาอย่างยาวนานหลายปี และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำทั้งสองบริษัทมาควบรวมกันเพื่อนำนวัตกรรมและการเติบโตมาสู่ตลาดมากขึ้น โดย Calabrio และ Verint ต่างก็มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทรงพลังและกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดที่ครอบคลุมต่อความต้องการของตลาดในวงกว้าง เมื่อรวมกันแล้ว บริษัทที่ควบรวมกันนี้จะมีแพลตฟอร์ม CX ที่ครอบคลุมที่สุดในอุตสาหกรรม ช่วยให้แบรนด์ทุกขนาดสามารถขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและยังขับเคลื่อนด้วย AI อีกด้วย”

เกี่ยวกับ Thoma Bravo

Thoma Bravo เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่มุ่งเน้นธุรกิจซอฟต์แวร์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 184,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2025 โดยบริษัทลงทุนในบริษัทที่มุ่งเน้นการเติบโตและมีนวัตกรรม ที่มีการดำเนินธุรกิจในภาคซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีผ่านกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นเอกชน การลงทุนในหุ้นเติบโต และกลยุทธ์สินเชื่อ ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญเชิงลึกในภาคส่วน รวมถึงความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์และการดำเนินงานของ Thoma Bravo โดยบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทในพอร์ตโฟลิโอเพื่อนำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการดำเนินงานมาใช้และผลักดันการริเริ่มในการเติบโต ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าซื้อกิจการหรือลงทุนในบริษัทประมาณ 535 แห่ง คิดเป็นมูลค่าองค์กรประมาณ 275,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมถึงการลงทุนที่ควบคุมและการลงทุนที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุม) บริษัทมีสำนักงานอยู่ในชิคาโก ดัลลัส ลอนดอน ไมอามี นิวยอร์ก และซานฟรานซิสโก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Thoma Bravo ที่ thomabravo.com

เกี่ยวกับ Calabrio

Calabrio เป็นพันธมิตรที่แบรนด์ชั้นนำไว้วางใจ โดยชุดโปรแกรม Calabrio ONE Workforce Performance Suite นั้นเป็นรากฐานดิจิทัลของศูนย์ติดต่อที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ช่วยเสริมสร้างและทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มอบผลลัพธ์ทางธุรกิจด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าทุกครั้ง เราเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้สูงสุดเหนือความคาดหมายของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานด้วยข้อมูลที่เชื่อมต่อกัน การวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การจัดการพนักงานแบบอัตโนมัติ และการฝึกสอนเฉพาะบุคคล โดยมีเพียง Calabrio ONE เท่านั้นที่ผสานรวมโซลูชันการเพิ่มประสิทธิภาพพนักงาน (WFO) การมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ และ Business Intelligence เข้าไว้ด้วยกันในชุดโปรแกรมที่ผสานรวมอย่างสมบูรณ์แบบบนคลาวด์เนทีฟ ซึ่งปรับให้เข้ากับธุรกิจของคุณ โดย Calabrio, Calabrio ONE และโลโก้ Calabrio เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนหรือเครื่องหมายการค้าของ Calabrio, Inc. เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดที่กล่าวถึงในเอกสารนี้เป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ Calabrio ดำเนินงานในประเทศแคนาดาภายใต้บริษัท Calabrio Canada, Ltd. ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐบริติชโคลัมเบีย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ ดังนี้

สำหรับ Thoma Bravo

Megan Frank
+1.212.731.4778
mfrank@thomabravo.com

หรือ

FGS Global
Liz Micci/Abby Farr
ThomaBravo-US@fgsglobal.com

สำหรับ Calabrio

Dillon Nugent
dillon.nugent@calabrio.com

 หรือ

TouchDown PR
Lauren Curley
+1. 617.529.6463
lauren.curley@touchdownpr.com

ที่มา: Calabrio, Inc.