Category Archives: Technology

TOURISE จับมือ Globant เผยรายงาน “Agentic Tourism” ปักหมุดมาตรฐานใหม่ของนวัตกรรมการท่องเที่ยวขับเคลื่อนด้วย AI

Logo

กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย–(BUSINESS WIRE)–03 พฤศจิกายน 2025

ลองจินตนาการถึงวันที่การท่องเที่ยวของคุณสามารถจัดการตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเส้นทางหลบฝน การแจ้งเตือนให้ร้านกาแฟเพิ่มพนักงานก่อนช่วงเที่ยง หรือการแนะนำหอศิลป์ที่เงียบสงบในเวลาที่สถานที่ท่องเที่ยวแออัด นี่คือ “Agentic Tourism” หรือโมเดลการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ได้นำเสนอในรายงานการศึกษา (Whitepaper) ที่จัดทำโดย TOURISE และ Globant บริษัทดิจิทัลเนทีฟ (Digital Native) ระดับโลกที่ช่วยองค์กรให้เติบโตในยุคดิจิทัลและ AI โดยได้รับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์จาก Kearney รายงานนี้มีชื่อว่า “Tourism’s AI Takeover: Reinventing Travel through Agentic Tourism” นำเสนอกรอบแนวทางปฏิบัติที่สามารถปรับเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเที่ยวให้เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ฉลาดล้ำ และเชื่อมโยงทางอารมณ์มากขึ้น 

TOURISE and Globant Unveil Game-Changing Report on Agentic Tourism that Sets New Standards for AI-Driven Destination Innovation

TOURISE จับมือ Globant เผยรายงาน “Agentic Tourism” ปักหมุดมาตรฐานใหม่ของนวัตกรรมการท่องเที่ยวขับเคลื่อนด้วย AI

ในปี 2024 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 10.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 10% ของ GDP โลก และคาดว่าจะเติบโตถึง 16.5 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2035 ตลาด AI สำหรับภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะเพิ่มจาก 3.4 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 เป็น 13.9 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 ดังนั้นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวต่างๆ จึงมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจจึงชัดเจน ว่าจะพัฒนาอย่างสอดประสานด้วย AI หรือไม่ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อความไม่เป็นเอกภาพ ประสิทธิภาพที่ลดลง และความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่ถดถอย 

รายงานฉบับนี้มีกำหนดเผยแพร่ล่วงหน้าก่อนการประชุม TOURISE Summit ครั้งแรก ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงริยาด ระหว่างวันที่ 11–13 พฤศจิกายน 2025 โดยมุ่งเสนอแนวทางให้ผู้นำภาครัฐและเอกชนนำ AI ไปประยุกต์ใช้ใน 5 มิติสำคัญ ได้แก่ ประสบการณ์ (Experience), การดำเนินงาน (Operations), ความยั่งยืน (Sustainability), สุขภาวะ (Wellbeing) และ โอกาสทางเศรษฐกิจ (Economic Opportunity) เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนในระบบนิเวศการท่องเที่ยวสามารถลงมือได้ทันที เติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ และยังคงยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง 

โมเดลที่สอดประสานเพื่ออนาคตของการเดินทาง 

“Agentic Tourism” เป็นระบบของตัวแทน AI อัตโนมัติ (Autonomous AI Agents) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมนุษย์และมาตรฐานที่กำหนดไว้ ตัวแทนเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่วัดได้ เช่น ลดเวลาการรอ เพิ่มคะแนนความพึงพอใจ ส่งเสริมการจองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ โดยโมเดลนี้ประกอบด้วยตัวแทนหลัก 5 ประเภท ได้แก่ 

  • Experience Maximizer เป็นดูแลและปรับแผนการเดินทางแบบเรียลไทม์ เพื่อจัดการความเปลี่ยนแปลงและเพิ่มระดับความเป็นส่วนตัว 
  • Operations Optimizer ช่วยจัดสมดุลระหว่างบุคลากร ทรัพยากร และบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดจุดติดขัด 
  • Regeneration Guardian ทำหน้าที่วิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ 
  • Wellness Agent ใช้ข้อมูลเชิงบริบทเพื่อสนับสนุนสุขภาพ ความสบาย และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว 
  • Opportunity Connector เชื่อมโยงความสนใจของผู้มาเยือนกับเครือข่ายท้องถิ่น กิจกรรม และพันธมิตร เพื่อสร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจใหม่ 

รายงานฉบับนี้ทำหน้าที่เป็นคู่มือเชิงกลยุทธ์ ช่วยให้จุดหมายปลายทาง หน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการ แพลตฟอร์ม และชุมชน นำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ได้จริง โดยไม่สูญเสีย “ความเป็นมนุษย์” ซึ่งเป็นหัวใจของการเดินทางที่มีความหมาย 

“Agentic Tourism ไม่ใช่แค่โมเดล แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และผู้ที่นำมาใช้ก่อนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางของการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของภาคการท่องเที่ยว” ฯพณฯ อาหมัด อัลคาตีบ (Ahmed Al-Khateeb) ัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว และประธานคณะกรรมการ TOURISE กล่าว  “AI ช่วยให้ทุกประเทศสามารถก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการยกระดับ ไม่ว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงหรือจุดหมายปลายทางเกิดใหม่เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ส่วนการเร่งนวัตกรรมในภาคการท่องเที่ยวและภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่องนั้น TOURISE จะยังคงร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมในการจัดทำเอกสารการศึกษาต่างๆ ที่นำเสนอข้อมูลเชิงปฏิบัติและงานวิจัยที่มีผลกระทบสูง เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่สุดของภาคการท่องเที่ยวในปัจจุบัน” 

“บทต่อไปของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเป็นของจุดหมายปลายทางที่จัดสรรเทคโนโลยีรอบตัวมนุษย์ ไม่ใช่ให้มนุษย์หมุนรอบเทคโนโลยี” มาร์ติน มิโกยา (Martín Migoya) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO)และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท (Co-Founder) Globant กล่าว “Agentic Tourism มอบพิมพ์เขียวสำหรับการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลแบบครบวงจร เพื่อให้ผู้ให้บริการ เจ้าบ้าน และจุดหมายปลายทางสามารถเปลี่ยนนวัตกรรมที่แยกส่วนให้กลายเป็นระบบที่เชื่อมโยง ยืดหยุ่น และมีความหมายในทุกการเดินทาง” 

ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มและขอรับคำเชิญเข้าร่วมการประชุม TOURISE Summit ได้ที่ TOURISE.com 

เกี่ยวกับ TOURISE 

TOURISE คือแพลตฟอร์มระดับโลกที่กำลังสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ให้กับการท่องเที่ยว โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการท่องเที่ยว ประเทศซาอุดีอาระเบีย งานประชุมสุดยอด TOURISE ครั้งแรกจะจัดขึ้น ณ กรุงริยาดห์ ระหว่างวันที่ 11–13 พฤศจิกายน 2568 โดย TOURISE จะเป็นเวทีรวมผู้นำจากรัฐบาล ธุรกิจ การลงทุน การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี เพื่อผลักดันโครงการที่มีผลกระทบสูงและข้อตกลงเปลี่ยนแปลงวงการ สู่การสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เท่าเทียม และมุ่งสู่อนาคต  

  

TOURISE จะจัดขึ้นแบบ Exclusive Onsite และ Inclusive Online เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกมีส่วนร่วมได้ พร้อมทั้งเปิดโอกาสเจาะลึกสำหรับผู้กำหนดอนาคตของการท่องเที่ยวโลก หลังจากงานประชุม TOURISE จะดำเนินต่อไปในฐานะแพลตฟอร์มตลอดทั้งปี ที่เปลี่ยนแนวคิดใหม่ ๆ ให้กลายเป็นโซลูชันจริง  

  

นี่คือที่ที่การท่องเที่ยวในอีก 50 ปีข้างหน้าจะถูกกำหนดขึ้น และเราจะก้าวไปด้วยกันอย่างไม่หยุดยั้ง  

ข้อมูลเพิ่มเติม: www.Tourise.com  

 สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: 

เกี่ยวกับ Globant 

ที่ Globant เราช่วยองค์กรต่าง ๆ เติบโตและประสบความสำเร็จในอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) โซลูชันที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมของเรา ผสานเทคโนโลยีเข้ากับความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงขององค์กรและออกแบบประสบการณ์ที่ลูกค้าหลงรัก ผ่านการปฏิรูประบบดิจิทัล การใช้บริการ AI Pods แบบสมัครสมาชิก และแพลตฟอร์ม Globant Enterprise AI เราเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดได้ และทำให้ “คำมั่นเรื่องการประหยัดต้นทุน” กลายเป็น “ผลลัพธ์จริง” 

  • ปัจจุบันเรามีพนักงานมากกว่า 30,000 คน และมีสำนักงานในกว่า 35 ประเทศทั่ว 5 ทวีป ให้บริการองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น Google, Electronic Arts, และ Santander 
  • เราถูกจัดอันดับให้เป็น ผู้นำระดับโลกด้านบริการ AI (ปี 2023) และ ผู้นำระดับโลกด้านที่ปรึกษา สื่อสาร การบูรณาการ และการดำเนินงานระบบคลาวด์สำหรับธุรกิจ (ปี 2024) จากรายงานของ IDC MarketScape 
  • ตามการจัดอันดับของ Brand Finance ในปี 2024 เราเป็น แบรนด์ IT ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และ แบรนด์ IT ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 5 ของโลก 
  • ผลงานของเราได้รับการนำไปใช้เป็นกรณีศึกษาทางธุรกิจในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ Harvard, MIT, และ Stanford 
  • เรายังเป็นสมาชิกที่มีบทบาทของ The Green Software Foundation (GSF) และ Cybersecurity Tech Accord 
  • นอกจากนี้ เรายังเป็นพันธมิตรระดับโลกกับ OpenAI, NVIDIA, AWS, และ Unity เพื่อผสานเทคโนโลยีระดับโลกเข้าด้วยกัน เร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกอุตสาหกรรม 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.globant.com หรือสมัครรับข่าวสารและอัปเดตก่อนใครได้ทางเว็บไซต์ 

ติดต่อ: pr@globant.com 

NuScale Power ภูมิใจที่ได้สนับสนุนข้อตกลงมูลค่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐของ ENTRA1 Energy ในการติดตั้งสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานขนาดใหญ่ทั่วสหรัฐอเมริกา

Logo

นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับพลังงานนิวเคลียร์ขั้นสูงในสหรัฐอเมริกา เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และเร่งการผลิตพลังงานสะอาดที่สามารถสั่งการได้

ครงการขับเคลื่อน AI และการเติบโตของอุตสาหกรรมด้วยฐานโหลดคาร์บอนต่ำที่เชื่อถือได้ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนงานและชุมชนชาวอเมริกันต่างๆ

คอร์แวลลิส, ออริกอน–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2025

NuScale Power Corporation (NYSE: SMR) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีนิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็กขั้นสูงที่เป็นกรรมสิทธิ์และเป็นนวัตกรรมชั้นนำในอุตสาหกรรม ขอแสดงความยินดีกับ ENTRA1 Energy ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลกแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนสูงสุด 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใต้ข้อตกลงกรอบความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่งลงนามไป

ข้อตกลงกรอบความร่วมมือทวิภาคี ซึ่งประกาศโดยทำเนียบขาวภายหลังการประชุมระหว่างประธานาธิบดี Donald J. Trump และนายกรัฐมนตรี Sanae Takaichi ที่โตเกียวในสัปดาห์นี้ จะระดมเงินลงทุนจากภาครัฐและเอกชนสูงสุด 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญ และเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มนี้ ENTRA1 Energy จะพัฒนาโรงไฟฟ้าหลายโรงโดยใช้แหล่งพลังงานพื้นฐาน โดยโครงการนี้จะรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากศูนย์ข้อมูล AI การผลิต และการป้องกันประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างงานคุณภาพสูงหลายพันตำแหน่งให้กับชาวอเมริกัน และเสริมสร้างความเป็นอิสระด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกา

“เราภูมิใจที่ได้สนับสนุน ENTRA1 Energy ในการมีส่วนร่วมในข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น” John Hopkins ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ NuScale Power กล่าว “ความร่วมมือนี้ช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของพลังงานนิวเคลียร์ขั้นสูงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เสริมสร้างพันธมิตร และจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้ซึ่งจำเป็นสำหรับ AI, การผลิต และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ”

ประกาศดังกล่าวสืบเนื่องจากข้อตกลงสำคัญที่ ENTRA1 เพิ่งประกาศกับหน่วยงาน Tennessee Valley Authority (TVA) เพื่อพัฒนาพลังงานสะอาดพื้นฐานใหม่สูงสุด 6 กิกะวัตต์ โดยใช้เทคโนโลยี SMR ของ NuScale โดยความร่วมมือเหล่านี้ได้ตอกย้ำถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของพลังงานนิวเคลียร์ขั้นสูงในการสนับสนุนการฟื้นฟูอุตสาหกรรม ความมั่นคงทางพลังงาน และการลดคาร์บอนของสหรัฐอเมริกา

Hopkins กล่าวเสริมว่า “กรอบความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นเครื่องยืนยันถึงแบบจำลองที่เราสร้างขึ้นด้วย ENTRA1 โดยผสานเทคโนโลยี SMR ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วและได้รับการรับรองจาก NRC เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและการจัดการสินทรัพย์ระดับโลก เรากำลังเร่งการใช้งานพลังงานพื้นฐานที่สะอาดในวงกว้างและรวดเร็วตามที่โลกต้องการอย่างเร่งด่วน”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูประกาศของทำเนียบขาว: whitehouse.gov/fact-sheets/2025/10/28

เกี่ยวกับ NuScale Power

NuScale Power Corporation (NYSE: SMR) ก่อตั้งขึ้นในปี 2007 เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (SMR) ขั้นสูงที่เป็นกรรมสิทธิ์และเป็นนวัตกรรมใหม่ในอุตสาหกรรม โดยมีพันธกิจในการช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานทั่วโลกด้วยการส่งมอบพลังงานที่ปลอดภัย ปรับขนาดได้ และเชื่อถือได้ ปราศจากคาร์บอน โดย NuScale Power Module™ เป็นเทคโนโลยี SMR อันล้ำสมัยของบริษัท เป็นเครื่องปฏิกรณ์น้ำแรงดันขนาดเล็กที่ปลอดภัย สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 77 เมกะวัตต์ (MWe) หรือ 250 เมกะวัตต์ (ความร้อนรวม) และสามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายรูปแบบ โดยมีการกำหนดค่าที่ยืดหยุ่นได้สูงสุดถึง 924 เมกะวัตต์ (12 โมดูล)

เนื่องจากเป็น SMR รายแรกและรายเดียวที่ได้รับการรับรองการออกแบบจากคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา NuScale จึงมีความพร้อมที่จะให้บริการลูกค้าที่หลากหลายทั่วโลก โดยจัดหาพลังงานนิวเคลียร์สำหรับการผลิตไฟฟ้า ศูนย์ข้อมูล ระบบทำความร้อนในเขตพื้นที่ การแยกเกลือออกจากน้ำ การผลิตไฮโดรเจนในเชิงพาณิชย์ และการใช้งานความร้อนในกระบวนการอื่นๆ

NuScale และ ENTRA1 Energy มีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระดับโลก และ ENTRA1 Energy เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลกแต่เพียงผู้เดียวของ NuScale สำหรับการจำหน่ายและพัฒนาระบบ SMR ของ NuScale โดย ENTRA1 Energy คือศูนย์รวมและศูนย์กลางเดียวสำหรับการติดตั้ง การจัดหาเงินทุน การลงทุน การพัฒนา การดำเนินการ และ/หรือการจัดการ ENTRA1 Energy Plants™ ที่มีระบบ SMR ของ NuScale อยู่ภายใน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ NuScale Power หรือติดตามเราได้ทาง LinkedIn, Facebook, Instagram, X และ YouTube

เกี่ยวกับ ENTRA1 Energy

ENTRA1 Energy เป็นแพลตฟอร์มการผลิตพลังงานระดับโลกอิสระของอเมริกา ซึ่งมุ่งมั่นเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานด้วยการจัดหาพลังงานพื้นฐานที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ โดย ENTRA1 Energy บริหารงานโดยทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูงในภาคพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และการเงิน ซึ่งสั่งสมประสบการณ์อันยาวนานในการลงทุน พัฒนา และดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญทั่วโลก ซึ่งทาง ENTRA1 Energy นั้นมุ่งเน้นไปที่การผลิตและจำหน่ายพลังงานโดยการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์และก๊าซธรรมชาติของอเมริกามาใช้ในเชิงพาณิชย์และปรับใช้ในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของบริษัท

ENTRA1 Energy เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลกแต่เพียงผู้เดียวของ NuScale และทั้งสองบริษัทมีบริษัทร่วมทุน 50/50 อยู่แล้ว คือ ENTRA1 NuScale LLC โดย ENTRA1 Energy ถือสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวทั่วโลกในการจำหน่าย จัดจำหน่าย และนำผลิตภัณฑ์และบริการของ NuScale ไปใช้ ENTRA1 Energy คือศูนย์รวมและศูนย์กลางเดียวสำหรับการนำ ENTRA1 Energy Plants™ ไปใช้ จัดหาเงินทุน ลงทุน พัฒนา ดำเนินการ และ/หรือบริหารจัดการภายใน ENTRA1 Energy Plants™ ที่มี NuScale SMR อยู่ภายใน

ข้อความที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อาจมีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงข้อความที่ประกอบด้วยคำต่างๆ เช่น “จะ” “เชื่อว่า” “คาดหวัง” “คาดการณ์ล่วงหน้า” “วางแผน” หรือสำนวนอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน) ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้รวมถึงข้อความที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยี SMR ของเราไปใช้ในเชิงพาณิชย์

ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างกันอย่างมากอันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ สภาพคล่องและความสามารถของบริษัทในการระดมทุน ความสามารถของบริษัทในการได้รับสัญญาใหม่ ความเสี่ยงที่อาจเกิดค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ ความล่าช้าของโครงการ หรือปัญหาอื่นๆ ที่เกิดจากกิจกรรมการดำเนินโครงการ ความสามารถของเราในการได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบที่จำเป็น และความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอื่นๆ ที่อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ต้องใช้ความระมัดระวังในการอ้างอิงข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้และข้อความอื่นๆ เนื่องจากความเสี่ยงที่ทราบและไม่ทราบ ผลประกอบการของบริษัทอาจแตกต่างอย่างมากจากที่คาดหวังและประมาณการไว้

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยเหล่านี้และปัจจัยอื่นๆ สามารถดูได้จากเอกสารที่บริษัทยื่นต่อสาธารณะเป็นระยะๆ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งรวมถึงภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไป ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆ ที่ระบุไว้ในหัวข้อ “ข้อควรระวังเกี่ยวกับข้อความที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า” และ “สรุปปัจจัยเสี่ยง” ในรายงานประจำปีของบริษัทในแบบฟอร์ม 10-K สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2024 และในเอกสารที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. ฉบับต่อๆ ไป เอกสารที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. อ้างอิงนี้เผยแพร่ต่อสาธารณะหรือเมื่อได้รับการร้องขอจากฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของ NuScale ที่ ir@nuscalepower.comบริษัทขอปฏิเสธเจตนาหรือภาระผูกพันใดๆ นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดในการอัปเดตข้อความที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Chuck Goodnight รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ NuScale Power
media@nuscalepower.com

ผู้ติดต่อสำหรับนักลงทุน
Rodney McMahan ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ NuScale Power
ir@nuscalepower.com

ที่มา: NuScale Power

Bending Spoons ระดมทุน 710 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการลงทุนและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

Logo

มิลาน–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2025

Bending Spoons หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของยุโรป ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้ระดมทุน 710 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าก่อนการระดมทุน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การระดมทุนครั้งนี้นำโดย T. Rowe Price Investment Management, Inc. ร่วมกับ Baillie Gifford, Cox Enterprises, Durable Capital Partners, Fidelity Management & Research Company, Foxhaven Asset Management และ Radcliff รวมถึงบริษัทอื่นๆ โดย Goldman Sachs International ทำหน้าที่เป็นตัวแทนจัดหาเงินทุนแต่เพียงผู้เดียว และ Clifford Chance ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายในการทำธุรกรรมนี้ ส่วน ZNR Notai ให้บริการให้คำปรึกษาด้านการรับรองเอกสาร

“ช่วงเวลานี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความพยายามตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของเราที่ Bending Spoons จนถึงปัจจุบัน เรายังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของเส้นทางธุรกิจ และมีแผนการลงทุนและการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่มุ่งมั่น” Luca Ferrari ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Bending Spoons กล่าว “เราภูมิใจที่ได้นำนักลงทุนระดับโลกที่เชื่อมั่นในแนวทางการสร้างมูลค่าและการสร้างโอกาสในอนาคตของเรามาร่วมงาน”

การระดมทุนรอบนี้ประกอบด้วยเงินทุนหลัก 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินทุนรอง 440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อไม่นานมานี้ Bending Spoons ยังได้รับเงินกู้จากธนาคารชั้นนำระดับโลกอีก 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทวางแผนที่จะนำทรัพยากรเหล่านี้ไปพัฒนาเทคโนโลยีและศักยภาพด้าน AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท และเดินหน้าเข้าซื้อกิจการใหม่ๆ เพื่อขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ดิจิทัลสำหรับผู้บริโภคและองค์กร ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา Bending Spoons ได้บรรลุข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการ AOL และ Vimeo โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขการปิดบัญชีตามปกติและการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งรวมถึงในกรณีของ Vimeo ที่ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น

เกี่ยวกับ Bending Spoons

Bending Spoons เข้าซื้อกิจการและพลิกโฉมธุรกิจดิจิทัล บริษัทเป็นเจ้าของ Brightcove, Evernote, komoot, Meetup, Remini, StreamYard, WeTransfer และอื่นๆ อีกมากมาย ผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้บริการผู้คนมากกว่าพันล้านคน มีผู้ใช้งานรายเดือนมากกว่า 300 ล้านคน และลูกค้าที่ชำระเงินกว่า 10 ล้านคน ซึ่งรวมถึงบริษัทส่วนใหญ่ใน Fortune 500

Bending Spoons มุ่งมั่นที่จะรักษาธุรกิจนี้ไว้ตลอดไป และไม่เคยขายกิจการที่ซื้อมา หลังจากการซื้อกิจการ บริษัทมักจะลงทุนอย่างมุ่งมั่นเพื่อยกเครื่องเทคโนโลยี ออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ใหม่ เร่งการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและการสร้างรายได้ และออกแบบโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อประสิทธิภาพในระยะยาวที่ดีขึ้น

แก่นแท้ของบริษัทคือการมุ่งเน้นอย่างไม่ลดละในด้านความหนาแน่นของบุคลากรและความเป็นเลิศในสถานที่ทำงาน Bending Spoons ได้รับใบสมัครงานมากกว่า 600,000 ใบในปี 2025 เพียงปีเดียว โดยมีอัตราการเสนอหางานเพียง 0.04% และได้รับรางวัลชนะเลิศจากรางวัล Great Place to Work มากมาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ bendingspoons.com
โลโก้และรูปภาพของ Bending Spoons: https://we.tl/t-NXGPsC6Gtn

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

การสอบถามจากสื่อ: press@bendingspoons.com

ที่มา: Bending Spoons

Bending Spoons เตรียมเข้าซื้อกิจการ AOL หลังระดมทุน 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

Logo

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยยกระดับแบรนด์ให้ก้าวสู่การเติบโตขั้นต่อไป

มิลาน–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2025

บริษัทเทคโนโลยี Bending Spoons ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการซื้อกิจการ AOL ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเว็บพอร์ทัลและอีเมลจาก Yahoo โดยคาดว่าการเข้าซื้อกิจการจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการปิดกิจการตามปกติและการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

“AOL เป็นธุรกิจที่โดดเด่นและเป็นที่รัก มีสุขภาพแข็งแรง ยืนหยัดผ่านกาลเวลา และเราเชื่อว่ามีศักยภาพที่ไม่อาจปฏิเสธได้” Luca Ferrari ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Bending Spoons กล่าว “จากการประเมินของเรา AOL เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการอีเมลที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกสิบอันดับแรก โดยมีฐานลูกค้าที่คงอยู่ประมาณ 8 ล้านคนต่อวัน และผู้ใช้งานจริง 30 ล้านคนต่อเดือน เราตั้งใจที่จะลงทุนเป็นอย่างมากเพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์และธุรกิจเติบโต Bending Spoons ไม่เคยขายธุรกิจที่ซื้อมา เรามั่นใจว่าเราคือผู้ดูแล AOL ที่เหมาะสมในระยะยาว และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ให้บริการฐานลูกค้าที่ภักดีจำนวนมากของเราต่อไปอีกหลายปี”

“AOL และ Yahoo มีประวัติศาสตร์ร่วมกันอย่างยิ่งใหญ่ และทีมงานชุดใหม่ของเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำ AOL กลับมาเติบโตอีกครั้ง” Jim Lanzone ซีอีโอของ Yahoo, Inc. กล่าว “ธุรกรรมครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถมุ่งเน้นไปที่แผนงานเชิงรุกที่เราได้วางแผนไว้สำหรับผลิตภัณฑ์หลักของ Yahoo ที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ว่า AOL จะยังคงเติบโตต่อไปภายใต้เจ้าของใหม่”

Reed Rayman ประธานคณะกรรมการบริหารของ Yahoo และหุ้นส่วนของ Apollo กล่าว “นับตั้งแต่ Apollo Funds เข้าซื้อกิจการ Yahoo ในปี 2021 เราได้ช่วยบริษัทผลักดันการลงทุนซ้ำในสินทรัพย์สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภค ซึ่งสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งในทุกผลิตภัณฑ์ของ Yahoo เราเชื่อว่าธุรกรรมนี้จะช่วยให้ AOL ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงในระยะต่อไป ขณะที่ Yahoo กำลังเร่งการลงทุนในผลิตภัณฑ์หลักและประสบการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI”

AOL จะเป็นแบรนด์ระดับโลกรายล่าสุดที่เข้าร่วมกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Bending Spoons เมื่อเดือนที่แล้ว Bending Spoons ได้ประกาศข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการซื้อกิจการ Vimeo ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่สี่ของปี 2025 โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการปิดและการอนุมัติตามปกติ รวมถึงการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ Vimeo และการได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบที่จำเป็น

การจัดหาเงินทุนจากหนี้

เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการซื้อกิจการ AOL รวมถึงการควบรวมและซื้อกิจการในอนาคต Bending Spoons ได้ประกาศความสำเร็จในการระดมทุนจากหนี้มูลค่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยวงเงินกู้ระยะยาว A และวงเงินกู้ระยะยาว B ที่มีภาระผูกพัน ควบคู่ไปกับวงเงินกู้หมุนเวียนเพิ่มเติม ซึ่งจัดหาโดยธนาคารชั้นนำ ได้แก่ Banco BPM, BNP Paribas, Crédit Agricole CIB, Goldman Sachs, HSBC, Intesa Sanpaolo, J.P. Morgan, Mitsubishi UFJ Financial Group, Mizuho, ​​Société Générale, UniCredit และ Wells Fargo วงเงินกู้ระยะยาว B ที่จะนำโดย J.P. Morgan Chase Bank N.A. ในสหรัฐอเมริกา และ BNP Paribas, Crédit Agricole CIB, J.P. Morgan SE และ UniCredit ในยุโรป

“เราขอขอบคุณธนาคารชั้นนำระดับโลกหลายแห่งที่ให้การสนับสนุน ซึ่งเรามองว่าเป็นการยืนยันกลยุทธ์ของเรา และเป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันที่เราได้สร้างไว้กับสถาบันเหล่านี้หลายแห่งตลอดระยะเวลาความร่วมมือหลายปี” Ferrari กล่าวเสริม “การจัดหาเงินทุนครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถของเราในการเข้าซื้อกิจการและพลิกโฉมธุรกิจดิจิทัลทั่วโลกในระยะยาว”

ที่ปรึกษา
Greenhill ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Mizuho และ Wells Fargo ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ Bending Spoons ในการเข้าซื้อกิจการ Willkie Farr & Gallagher LLP ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมาย และ EY Advisory SpA และ EY SLT ให้บริการตรวจสอบสถานะทางการเงินและภาษี Yahoo ได้รับคำแนะนำจาก J.P. Morgan Securities LLC และ Allen & Company LLC เกี่ยวกับเรื่องการเงิน โดยมี Latham & Watkins LLP และ Paul, Weiss, Rifkind, Wharton & Garrison LLP เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย

เกี่ยวกับ Bending Spoons

Bending Spoons เข้าซื้อกิจการและพลิกโฉมธุรกิจดิจิทัล บริษัทเป็นเจ้าของ Brightcove, Evernote, komoot, Meetup, Remini, StreamYard, WeTransfer และอื่นๆ อีกมากมาย ผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้บริการผู้คนมากกว่าพันล้านคน มีผู้ใช้งานรายเดือนมากกว่า 300 ล้านคน และลูกค้าที่ชำระเงินกว่า 10 ล้านคน ซึ่งรวมถึงบริษัทส่วนใหญ่ใน Fortune 500

Bending Spoons มุ่งมั่นที่จะรักษาธุรกิจนี้ไว้ตลอดไป และไม่เคยขายกิจการที่ซื้อมา หลังจากการซื้อกิจการ บริษัทมักจะลงทุนอย่างมุ่งมั่นเพื่อยกเครื่องเทคโนโลยี ออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ใหม่ เร่งการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและการสร้างรายได้ และออกแบบโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อประสิทธิภาพในระยะยาวที่ดีขึ้น

แก่นแท้ของบริษัทคือการมุ่งเน้นอย่างไม่ลดละในด้านความหนาแน่นของบุคลากรและความเป็นเลิศในสถานที่ทำงาน Bending Spoons ได้รับใบสมัครงานมากกว่า 600,000 ใบในปี 2025 เพียงปีเดียว โดยมีอัตราการเสนอหางานเพียง 0.04% และได้รับรางวัลชนะเลิศจากรางวัล Great Place to Work มากมาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ bendingspoons.com

โลโก้และรูปภาพของ Bending Spoons: https://we.tl/t-NXGPsC6Gtn

เกี่ยวกับ Yahoo
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา Yahoo ได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางที่เชื่อถือได้สำหรับผู้คนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ช่วยให้ผู้คนบรรลุเป้าหมายทั้งเล็กและใหญ่ทางออนไลน์ผ่านผลิตภัณฑ์อันโดดเด่นของเรา สำหรับผู้ลงโฆษณา ทาง Yahoo ได้นำเสนอโซลูชันแบบ Omnichannel และข้อมูลอันทรงพลังเพื่อเชื่อมต่อกับแบรนด์ของเราและส่งมอบผลลัพธ์ต่างๆ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

การสอบถามจากสื่อ:
press@bendingspoons.com
press@yahooinc.com

ที่มา: Bending Spoons

Toshiba เปิดตัวอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานแบบสองช่องสัญญาณ ที่ช่วยให้การส่งข้อมูลแบบแยกสัญญาณในอุปกรณ์อุตสาหกรรมมีความเร็วสูงและเสถียรยิ่งขึ้น

Logo

คาวาซากิ ญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2025

บริษัท Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) เปิดตัวอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานความเร็วสูงชนิดสองช่องสัญญาณจำนวน 4 รุ่นสำหรับใช้ในอุปกรณ์อุตสาหกรรม โดยผลิตภัณฑ์ซีรีส์ใหม่ “DCL52xx00 Series” นี้ มาพร้อมความเสถียรในการทำงานด้วยค่า CMTI ที่สูงถึง 100kV/μs (โดยเฉลี่ย)[1]และความเร็วในการส่งข้อมูลถึง 150Mbps (สูงสุด)[2]เริ่มจัดส่งได้ตั้งแต่วันนี้

Toshiba: DCL52xx00 Series dual-channel digital isolators for industrial equipment.

Toshiba: ซีรีส์ DCL52xx00 อุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลสองช่องสัญญาณสำหรับอุปกรณ์อุตสาหกรรม

ช่องสัญญาณของ “DCL520C00 ” กับ “ DCL520D00” มีช่องสัญญาณส่งข้อมูลไปจำนวนสองช่อง ในขณะที่ “DCL521C00 ” กับ “ DCL521D00” มีช่องสัญญาณส่งข้อมูลไปและส่งข้อมูลกลับอย่างละหนึ่งช่อง ผลิตภัณฑ์ชนิดสองช่องสัญญาณเหล่านี้ เข้ามาเสริมทัพผลิตภัณฑ์ชนิดสี่ช่องสัญญาณใน “ซีรีส์ DCL54xx01” ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในฐานะอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อุตสาหกรรม การเพิ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำให้ Toshiba มีตัวเลือกทั้งหมด 14 รุ่น ครอบคลุมการกำหนดค่าช่องสัญญาณที่หลากหลาย และช่วยให้การออกแบบมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์ใหม่ในซีรีส์ DCL52xx00 ใช้วิธีการส่งสัญญาณแบบแยกสัญญาณด้วยการเชื่อมต่อแม่เหล็ก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Toshiba ทำให้ได้ค่า CMTI สูงถึง 100kV/μs (โดยเฉลี่ย) เทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ DCL54xx01 ซึ่งทำให้การส่งสัญญาณแบบแยกสัญญาณระหว่างขาเข้า (Input) และขาออก (Output) มีความต้านทานต่อสัญญาณรบกวนไฟฟ้าสูง จึงช่วยให้การส่งสัญญาณควบคุมมีความเสถียร และช่วยให้การทำงานของอุปกรณ์มั่นคงยิ่งขึ้น

อีกทั้งยังมีการบิดเบือนความกว้างพัลส์ต่ำที่ 0.8ns (โดยเฉลี่ย)[3]และความเร็วในการส่งข้อมูลถึง 150Mbps (สูงสุด) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงเหมาะกับการใช้งานสื่อสารความเร็วสูงหลายช่องทาง เช่น I/O interfaces ที่ใช้ UART[4]และ 2 C[5]การสื่อสาร

Toshiba เริ่มการผลิตอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อุตสาหกรรมและยานยนต์แล้ว ในอนาคต บริษัทจะเพิ่มตัวเลือกแพ็กเกจและจำนวนช่องสัญญาณในทั้งสองอุตสาหกรรม บริษัทจะให้บริการอุปกรณ์แยกสัญญาณและโฟโตคัปเปลอร์คุณภาพสูงที่มั่นใจได้ในความน่าเชื่อถือ และการส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับอุปกรณ์อุตสาหกรรมและยานยนต์ต่อไป

หมายเหตุ:

[1]

เงื่อนไขการทดสอบ: VI =VDDI หรือ 0V, VCM =1500V, Ta =25°C (VDDI คือ VDD1 หรือ VDD2ของฝั่งอินพุต)

[2]

เงื่อนไขการทดสอบ: VDD1 =VDD2 =2.25 ถึง 5.5V, Ta =-40 ถึง 125°C

[3]

เงื่อนไขการทดสอบ: VDD1 =VDD2 =5V, Ta =25°C

[4]

UART (Universal Asynchronous Receiver Transmitter) การสื่อสารอนุกรมแบบอะซิงโครนัส เป็นวิธีส่งและรับข้อมูลโดยไม่ต้องมีสัญญาณนาฬิกา

[5]

 I2 C (Inter-Integrated Circuit), การสื่อสารอนุกรมแบบซิงโครนัส ส่งและรับข้อมูลโดยใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวซิงโครไนซ์

การนำไปใช้งาน

  • ระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม (อุปกรณ์ควบคุมเครื่องจักร, I/O interfaces ฯลฯ)
  • การควบคุมมอเตอร์
  • อินเวอร์เตอร์

คุณสมบัติ

  • ชนิดสองช่องสัญญาณ:
    ช่องสัญญาณส่งข้อมูลไปจำนวนสองช่อง;
    ช่องสัญญาณส่งข้อมูลไปและส่งข้อมูลกลับอย่างละหนึ่งช่อง
  • ความต้านทานต่อสัญญาณรบกวน: CMTI=100kV/μs (โดยเฉลี่ย)
  • ความเร็วในการส่งข้อมูล: t_bps=150Mbps (สูงสุด)

ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์

หมายเลขผลิตภัณฑ์

DCL520C00

DCL520D00

DCL521C00

DCL521D00

จำนวนช่องสัญญาณ
(ช่องสัญญาณส่งข้อมูลไป : ช่องสัญญาณส่งข้อมูลกลับ)

2
(2:0)

2
(2:0)

2
(1:1)

2
(1:1)

ลอจิกเอาต์พุตเริ่มต้น

ต่ำ

สูง

ต่ำ

สูง

แพ็กเก็จ

SOIC8-N

ค่าจำกัด
 สูงสุด
สัมบูรณ์

อุณหภูมิในการทำงาน Topr (°C)

-40 ถึง 125

อุณหภูมิในการเก็บรักษา Tstg (°C)

-65 ถึง 150

แรงดันไฟฟ้าแยกสูงสุด

ที่ทนได้ (60s)

BVS (Vrms)

Ta=25°C

สูงสุด

3000

สภาวะ
การทำงาน
ที่แนะนำ

แรงดันไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟ

VDD1, VDD2 (V)

Topr=-40 ถึง 125°C

2.25 ถึง 5.5

คุณสมบัติ
ทางไฟฟ้า

ความต้านทาน

ต่อสัญญาณรบกวน

CMTI (kV/μs)

VI=VDDI or 0V,

VCM=1500V,

Ta=25°C

โดยเฉลี่ย

100

อัตราการส่งข้อมูล

t_bps (Mbps)

VDD1=VDD2=2.25 ถึง 5.5V,

Ta=-40 ถึง 125°C

สูงสุด

150

การบิดเบือนความกว้างพัลส์

PWD (ns)

VDD1=VDD2=5V,

Ta=25°C

โดยเฉลี่ย

0.8

ระยะเวลาในการส่งสัญญาณ

tPHL, tPLH (ns)

โดยเฉลี่ย

10.9

ดูตัวอย่างและตรวจสอบความพร้อมของผลิตภัณฑ์

สั่งซื้อออน์ไลน์

สั่งซื้อออนไลน์

สั่งซื้อออนไลน์

สั่งซื้อออน์ไลน์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง

DCL520C00
DCL520D00
DCL521C00
DCL521D00

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานของ Toshiba ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
อุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐาน

หากต้องการตรวจสอบความพร้อมของสินค้าใหม่ที่จำหน่ายทางออนไลน์ สามารถเข้าไปดูได้ที่:
DCL520C00
สั่งซื้อออนไลน์
DCL520D00
สั่งซื้อออนไลน์
DCL521C00
สั่งซื้อออนไลน์
DCL521D00
สั่งซื้อออนไลน์

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจถือเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้น ๆ
*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาสินค้าและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ประกาศ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง ใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมมากกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

พนักงานทั่วโลกจำนวน 17,000 คน มีปณิธานที่จะเพิ่มคุณค่าสูงสุดให้กับทุกผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการทำงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างคุณค่าและตลาดใหม่ร่วมกัน บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนทั่วโลก

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/20251027436284/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ช่องทางการติดต่อสำหรับลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์ออปโตอิเล็กทรอนิกส์
โทร: +81-44-548-2218
ติดต่อเรา

ช่องทางการติดต่อสำหรับสื่อ:
C. Nagasawa
แผนกสื่อสารและวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด
บริษัท Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp 

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Carbon Measures และหอการค้าระหว่างประเทศเปิดตัวคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคด้านบัญชีคาร์บอน

Logo

นิวยอร์กและปารีส–(BUSINESS WIRE)–27 ตุลาคม 2025

Carbon Measures และหอการค้านานาชาติ (ICC) ได้ประกาศในวันนี้เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอิสระ เพื่อพัฒนาแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการเพื่อจัดทำระบบบัญชีการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกตามหลักการบัญชีทางการเงิน

คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคด้านบัญชีคาร์บอนจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงวิชาการ บัญชีการเงิน อุตสาหกรรม และภาคประชาสังคม ซึ่งมาจากหลากหลายมุมมองและหลากหลายภูมิศาสตร์ พวกเขาจะร่วมกันกำหนดหลักการ ขอบเขต และการประยุกต์ใช้ระบบบัญชีการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่จำลองตามหลักการบัญชีการเงิน ระบบดังกล่าวจะให้ข้อมูลระดับบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และทันเวลา เพื่อให้มั่นใจว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนทุกตันจะถูกนับเพียงครั้งเดียวและระบุแหล่งที่มาอย่างถูกต้องในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า

คณะกรรมการจะมีประธานร่วมคือ Amy Brachio ซีอีโอของ Carbon Measures และ Karthik Ramanna ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจและนโยบายสาธารณะ และผู้อำนวยการโครงการ Transformational Leadership Fellowship แห่ง Blavatnik School of Government มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้านักวิจัยของ E-ledgers Institute S&P Global Commodity Insights ผู้ให้บริการอิสระชั้นนำด้านข้อมูล การวิเคราะห์ ซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานตลาดคาร์บอน และราคาอ้างอิงสำหรับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งของ S&P Global (NYSE: SPGI) จะทำหน้าที่เป็นพันธมิตรด้านความรู้อิสระของคณะกรรมการ โดยในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ICC จะเปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าเป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษา และพันธมิตรด้านความรู้

“คณะกรรมการชุดนี้จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคส่วนบัญชีการเงิน วิศวกรรมเคมี ธุรกิจ และวิชาการ เพื่อพัฒนาหลักการและเส้นทางการนำไปปฏิบัติ เพื่อทำให้กรอบการบัญชีคาร์บอนทั่วโลกเป็นจริง” กล่าวโดย Amy Brachio ซีอีโอของ Carbon Measures “นี่เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยพัฒนาและปรับปรุงระบบปัจจุบัน เพื่อปลดปล่อยพลังตลาดที่เพิ่มความโปร่งใส และสามารถนำมาใช้โดยผู้กำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนกฎระเบียบที่สอดคล้องกับแรงจูงใจ ปลดล็อกเงินทุน และท้ายที่สุดก็ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คณะผู้เชี่ยวชาญจะช่วยออกแบบระบบที่จำเป็นเพื่อให้ข้อมูลที่ทันท่วงทีและแม่นยำ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการติดตามและระบุแหล่งที่มาของคาร์บอนอย่างถูกต้อง เพราะเราไม่สามารถจัดการสิ่งที่วัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“ICC มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจทั่วโลก” Andrew Wilson รองเลขาธิการ ICC กล่าว “เกือบ 100 ปีแล้วที่เราได้รวมกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อกำหนดมาตรฐานที่ธุรกิจต่างๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั่วโลก ด้วยเครือข่ายธุรกิจ 45 ล้านแห่งใน 170 ประเทศ เราจึงตระหนักดีถึงความต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำของตลาดในการติดตามคาร์บอน และช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตนได้”

“ประมาณ 90 ปีที่แล้ว กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มเล็กๆ จากภาคธุรกิจและสถาบันการศึกษาได้รวมตัวกันเพื่อประโยชน์สาธารณะในวงกว้าง เพื่อสร้างหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป (GAAP) สำหรับบัญชีการเงิน นวัตกรรมของพวกเขาช่วยให้ตลาดทุนขยายตัวได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” กล่าวโดย Karthik Ramanna ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจและนโยบายสาธารณะ และผู้อำนวยการโครงการ Transformational Leadership Fellowship แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด “ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องใช้หลักการบัญชีที่เข้มงวด ไม่จำกัดเทคโนโลยี และเป็นกลางด้านนโยบายชุดเดียวกันนี้ สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน หากดำเนินการอย่างถูกต้อง หลักการเหล่านี้จะสามารถดึงพลังอำนาจของระบบทุนนิยมออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อเร่งกระบวนการลดคาร์บอน พร้อมกับขับเคลื่อนความอุดมสมบูรณ์ของพลังงาน”

“S&P Global Commodity Insights รู้สึกยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรด้านความรู้อิสระสำหรับโครงการริเริ่มที่สำคัญนี้ ซึ่งมุ่งเน้นการประสานการวัดปริมาณการปล่อยมลพิษ การรายงาน และการบัญชีในระดับผลิตภัณฑ์” กล่าวโดย Dave Ernsberger ประธานร่วมของ S&P Global Commodity Insights “ความเชี่ยวชาญที่ลึกซึ้ง ยาวนาน และครอบคลุมของเราในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงข้อมูล การวิเคราะห์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความยั่งยืนและการวัดปริมาณการปล่อยมลพิษ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพันธมิตรในขณะที่กำลังดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย”

คณะกรรมการจะ:

  • จัดทำบัญชีแนวทางที่มีอยู่สำหรับการคำนวณการปล่อยก๊าซคาร์บอน พร้อมทั้งจุดแข็ง ความท้าทาย และโอกาสต่างๆ เพื่อสร้างแนวทางที่สอดคล้องกัน
  • พัฒนาหลักเกณฑ์การชี้นำสำหรับกรอบการทำงานการบัญชีการปล่อยคาร์บอนซึ่งสร้างขึ้นจากคุณลักษณะเชิงบวกของแนวทางการบัญชีการปล่อยคาร์บอนที่มีอยู่ จัดการกับความท้าทายต่อแนวทางปฏิบัติปัจจุบัน และเปิดใช้งานการจัดแนวระดับโลก หลักเกณฑ์การชี้นำจะพิจารณาการเรียนรู้จากเคมี แนวทางปฏิบัติทางการบัญชีทางการเงิน และความสำเร็จในการกำหนดมาตรฐานระดับผลิตภัณฑ์ด้วย
  • นำหลักการไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาข้อเสนอเพื่อสนับสนุนการนำไปใช้โดยผู้กำหนดมาตรฐานและผู้กำหนดนโยบาย
  • พัฒนาแผนงานการใช้งานในระดับผลิตภัณฑ์โดยละเอียดเพื่อส่งเสริมการนำไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง
  • แนะนำวิธีการปรับปรุงคุณภาพข้อมูล วิธีการ และการกำกับดูแลเพื่อการจัดแนวระดับโลก และสร้างฉันทามติระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  • กำหนดแผนงานสำหรับการดำเนินการ รวมถึงผู้กำหนดมาตรฐานที่เสนอสำหรับการนำไปใช้ และเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีเพื่อสนับสนุนการนำไปใช้อย่างประสบความสำเร็จในระดับกว้าง เช่น องค์กรที่ดำเนินการ มาตรฐานการรับรอง ข้อกำหนดการบังคับใช้ การให้ความรู้และการกำกับดูแล และ
  • เผยแพร่และรับรองรายงานและสิ่งพิมพ์ที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Carbon Measures โปรดไปที่ carbonmeasures.org ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหอการค้าระหว่างประเทศสามารถดูได้ที่ iccwbo.org สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ S&P Global Commodity Insights โปรดไปที่ www.spglobal.com/commodity-insights

เกี่ยวกับ Carbon Measures

Carbon Measures คือกลุ่มพันธมิตรระดับโลกของธุรกิจชั้นนำที่มุ่งมั่นพัฒนากรอบการบัญชีคาร์บอนที่อิงตามบัญชีแยกประเภท ซึ่งให้ข้อมูลระดับบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่แม่นยำ ตรวจสอบได้ และทันเวลา นอกจากนี้ Carbon Measures ยังเรียกร้องให้มีนโยบายใหม่ที่ปลดล็อกนวัตกรรม การแข่งขัน และแนวทางแก้ไขปัญหาตามกลไกตลาดเพื่อลดการปล่อยมลพิษอีกด้วย

เกี่ยวกับหอการค้าระหว่างประเทศ (ICC)

หอการค้าระหว่างประเทศ (ICC) เป็นตัวแทนสถาบันของบริษัทมากกว่า 45 ล้านแห่งในกว่า 170 ประเทศ พันธกิจของ ICC คือการทำให้ธุรกิจดำเนินไปเพื่อทุกคน ทุกวัน และทุกที่ ด้วยการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ระหว่างการสนับสนุน การแก้ปัญหา และการกำหนดมาตรฐาน เราส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และแนวทางการกำกับดูแลที่เป็นสากล นอกเหนือจากการให้บริการระงับข้อพิพาทระดับแนวหน้าของตลาด สมาชิกของเราประกอบด้วยบริษัทชั้นนำของโลก ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สมาคมธุรกิจ และหอการค้าท้องถิ่นมากมาย

เกี่ยวกับ S&P Global Commodity Insights

ที่ S&P Global Commodity Insights มุมมองที่ครอบคลุมของเราเกี่ยวกับตลาดพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก จะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว S&P Global Commodity Insights เป็นส่วนหนึ่งของ S&P Global (NYSE: SPGI) S&P Global คือผู้ให้บริการอันดับเครดิต เกณฑ์มาตรฐาน การวิเคราะห์ และโซลูชันเวิร์กโฟลว์ชั้นนำของโลกในตลาดทุน สินค้าโภคภัณฑ์ และยานยนต์ ด้วยบริการทั้งหมดของเรา เราช่วยเหลือองค์กรชั้นนำของโลกหลายแห่งในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อให้พวกเขาสามารถวางแผนสำหรับอนาคตได้ตั้งแต่วันนี้

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251027348594/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

รายชื่อผู้ติดต่อสื่อ
media@carbonmeasures.org
Randa.ELTAHAWY@iccwbo.org
kathleen.tanzy@spglobal.com / melissa.tan@spglobal.com

ที่มา: Carbon Measures

Hytera เปิดตัว PDC690 วิทยุ Dual-Mode บนระบบ Android เสริมศักยภาพการสื่อสารภารกิจสำคัญ

Logo

เซินเจิ้น ประเทศจีน –(BUSINESS WIRE)–21 ตุลาคม 2025

Hytera คือผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชันการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลก วันนี้ทางบริษัทได้ทำการเปิดตัว PDC690 วิทยุแบบ Dual-Mode ที่ทนทานซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของมืออาชีพระดับแนวหน้า โดย PDC690 ผสานความสามารถของสมาร์ทโฟนเข้ากับความเชื่อมั่นของวิทยุสื่อสารสองทางที่เป็นเสมือน lifeline ของผู้ปฏิบัติงาน โดยรวมการสื่อสารทั้งเสียงและข้อมูลภารกิจไว้ในอุปกรณ์เดียว ช่วยให้ทีมสามารถเชื่อมต่อ รับข้อมูล และพร้อมปฏิบัติภารกิจภาคสนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Hytera Dual-Mode Rugged Radio PDC690

วิทยุ PDC690 ที่ทนทานแบบ Dual-mode ของ Hytera

เจ้าหน้าที่ด่านหน้าต้องการการสื่อสารที่ไว้ใจได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอุปกรณ์หรือเครือข่าย” กล่าวโดย Chris Ma ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ Hytera Smart Terminal BU “PDC690 มาพร้อมการเชื่อมต่อหลายโหมดที่เสถียร เสียงคมชัด การระบุตำแหน่งที่แม่นยำ การชาร์จผ่าน USB Type-C และระบบบริหารจัดการอุปกรณ์ที่เรียบง่าย ช่วยให้ทีมสามารถโฟกัสกับการปฏิบัติงานและการช่วยชีวิตได้เต็มที่

การเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันที่ยืดหยุ่น

PDC690 สามารถใช้งานร่วมกับ Narrowband Trunking, WLAN และ เครือข่าย LTE สาธารณะและส่วนตัว โดยวิทยุจะเลือกเครือข่ายที่เหมาะสมที่สุดอย่างชาญฉลาดโดยพิจารณาจากความแรงของสัญญาณและบริบทในการทำงาน ตัววิทยุสามารถรักษาการเชื่อมต่อเสียงและมัลติมีเดียแบบเรียลไทม์ได้แม้ในสภาวะที่สัญญาณอ่อนแรง โดยการใช้โซลูชั่นที่รวดเร็วของ Hytera ซึ่งประกอบไปด้วยเครือข่ายเฉพาะกิจ ณ จุดเกิดเหตุและการทำงานแบบ Direct-Mode นอกจากนี้อุปกรณ์ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบของบุคคลที่สามได้ ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการดำเนินงานร่วมกันระหว่างระบบที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งคงไว้ซึ่งความคุ้มค่าของการลงทุนเดิมของสถาบัน

การรับรู้สถานการณ์และมัลติมีเดีย

PDC690 สร้างขึ้นเพื่อเวิร์กโฟลว์ฉุกเฉินสมัยใหม่ โดยการ​ผสานระบบเสียงที่สำคัญต่อภารกิจเข้ากับการบันทึกภาพและวิดีโอบนอุปกรณ์ เพื่อการรายงานสถานการณ์และการรวบรวมหลักฐานอย่างทันที อุปกรณ์รองรับการระบุตำแหน่งภายนอกอาคารด้วยระบบ GNSS ระบบนำทางด้วยดาวเทียมจากหลายประเทศ (GPS, Galileo, GLONASS, QZSS, BDS และ A-GPS) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการติดตามตำแหน่งในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ในขณะที่การระบุตำแหน่งภายในอาคารใช้งานผ่าน LBS และ WLAN ซึ่งให้ข้อมูลตำแหน่งที่รวดเร็วและแม่นยำเพื่อปรับปรุงการประสานงานและความปลอดภัย

การออกแบบที่ทนทานและเสียงที่ยอดเยี่ยม

PDC690 สร้างขึ้นเพื่อรองรับสำหรับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ตรงตามมาตรฐาน MIL-STD-810G สำหรับการป้องกันการตกกระแทกและแรงกระแทก และระดับ IP68 สำหรับการป้องกันฝุ่นและน้ำ โดยตัวอุปกรณ์มาพร้อมกับน้ำหนักเบาที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ หน้าจอสัมผัสที่ตอบสนองฉับไว การชาร์จเร็วด้วย USB Type-C และรองรับการใช้งานกับพาวเวอร์แบงค์สำหรับภารกิจที่ยาวนาน ในขณะที่ประสิทธิภาพของเสียงนั้นได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ด้วยระบบตัดเสียงรบกวนโดย AI, ระบบป้องกันลม และฟีเจอร์ป้องกันเสียงหอนใกล้สนามในระยะ 30 เซนติเมตร ซึ่งช่วยลดเสียงสะท้อนเมื่อผู้ใช้พูดในระยะใกล้ได้

ระบบนิเวศแอนดรอยด์และการจัดการที่คล่องตัว

PDC690 ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เต็มรูปแบบ รองรับทั้งแอปพลิเคชันของ Hytera และแอปพลิเคชันจากภายนอก ทำให้สามารถรองรับการดำเนินงานภายในระบบ เช่น การสั่งการ (dispatch) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) การจัดการเหตุการณ์ (incident management) และกระบวนการทำงานอื่น ๆ ที่สามารถปรับแต่งได้ ระบบนิเวศของอุปกรณ์เสริมที่ครอบคลุม ได้แก่ PTT ไร้สาย, ไมโครโฟนลำโพงระยะไกล และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าการผสานรวมจะมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้ระบบ MDM Pro ของ Hytera จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการยานพาหนะ ด้วยการตั้งค่าและควบคุมระยะไกล, การอัปเดตเฟิร์มแวร์ OTA, การจัดการสิทธิ์, การตรวจสอบสถานะอุปกรณ์ และการแจ้งเตือนข้อผิดพลาด ที่จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มระยะเวลาการทำงานให้สูงสุดได้

เกี่ยวกับ Hytera

Hytera Communications Corporation Limited (SZSE: 002583) คือผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชันการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลก โดย Hytera ให้บริการผู้ใช้ทั่วโลกมากว่าสามทศวรรษด้วยนวัตกรรมวิทยุสื่อสารสองทาง ระบบสื่อสารแบบผสมผสาน PMR และ LTE ระบบสื่อสารแบบติดตั้งรวดเร็ว กล้องติดตัว ห้องควบคุม และอื่นๆ อีกมากมาย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.hytera.com/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251020574181/en

Contacts

lele.yao@hytera.com

ที่มา: Hytera Communications Corporation Limited

Altimetrik เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ SLK Software ที่ผสานจุดแข็งเพื่อปลดล็อกคุณค่าผ่าน AI-First และ Digital Enablement

Logo

ดีทรอยต์และเบงกาลูรู อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–24 ตุลาคม 2025

Altimetrik ในวันนี้ประกาศความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ SLK Software ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างศูนย์กลางทางวิศวกรรมดิจิทัลของบริษัท โดยส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ SLK Software ดำเนินงานภายใต้ชื่อใหม่ว่า “SLK บริษัทในเครือ Altimetrik”

การควบรวมนี้จะผสานรวมศักยภาพด้านนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI ของ Altimetrik เข้ากับจุดแข็งของ SLK ในด้านองค์กรอัจฉริยะ การดำเนินงานดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ รวมถึงวิศวกรรมคุณภาพ ซึ่งครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าด้านดิจิทัลทั้งหมด ตั้งแต่กลยุทธ์และการออกแบบ ไปจนถึงวิศวกรรมและการบริการจัดการ ด้วยแนวทางที่ขับเคลื่อนโดยผู้ปฏิบัติงาน องค์กรที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวนี้จะผสานรวมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ากับแพลตฟอร์มที่ทันสมัยและรูปแบบการดำเนินงานแบบดิจิทัล เพื่อส่งมอบการดำเนินงานที่กระชับและมุ่งเน้นผลลัพธ์ ที่จะช่วยเร่งระยะเวลาในการสร้างมูลค่า

“ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ต้อนรับทีมงาน SLK อย่างเป็นทางการสู่ Altimetrik ซึ่งเป็นการรวมตัวของสององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย นวัตกรรม และความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละในการช่วยให้ลูกค้าของเราเป็นผู้นำด้วยความมั่นใจในยุคธุรกิจอัจฉริยะ” กล่าวโดย Raj Sundaresan ซีอีโอของ Altimetrik “การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ไม่ใช่แค่เรื่องของการขยายขนาดเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบในโลกที่ให้ความสำคัญกับ AI เป็นหลัก โดยปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อสร้างผลกระทบที่วัดผลได้จริง”

Altimetrik และ SLK รวบรวมทีมงานระดับโลกกว่า 10,000 คน จาก 17 ประเทศ ดำเนินงานศูนย์วิศวกรรมมากกว่า 20 แห่ง บริษัทที่ควบรวมกันนี้ได้ให้บริการลูกค้าองค์กรกว่า 150 ราย รวมถึงผู้นำใน Fortune 500 โดยนำเสนอบริการที่ครบวงจรสำหรับ AI-first ที่ครอบคลุมทั้งข้อมูล วิศวกรรม การดำเนินงานอัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติ โดยจะเสริมศักยภาพองค์กรให้ก้าวข้ามผ่านการทดลองไปสู่การนำไปใช้จริงและสร้างมูลค่าอย่างต่อเนื่อง

“การร่วมมือกันระหว่าง Altimetrik และ SLK ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของเทคโนโลยีองค์กร” กล่าวโดย Puneet Bhatia หุ้นส่วนและประธานบริหารประจำอินเดียของ TPG Capital Asia และสมาชิกคณะกรรมการของ Altimetrik “บริษัทที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันนี้พร้อมที่จะเร่งการดำเนินการปรับปรุงองค์กรให้ทันสมัยและปลดล็อกผลลัพธ์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นการเดินทางที่ TPG รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้ร่วมสนับสนุน”

“นี่คือก้าวสำคัญในเส้นทางการลงทุนของเรา ในช่วงเวลาที่ AI ยังคงทำหน้าที่เป็นแหล่งเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงาน การแข่งขัน และการเติบโตของบริษัทต่างๆ” กล่าวโดย Vivek Mohan หุ้นส่วนหน่วยธุรกิจที่ TPG Capital Asia และสมาชิกคณะกรรมการที่ Altimetrik “ด้วยการผสมผสานด้านขนาด ความเชี่ยวชาญด้าน AI และความเป็นเลิศในการจัดส่ง Altimetrik และ SLK จะสามารถขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่รวดเร็วยิ่งขึ้น สร้างผลกระทบที่มากขึ้นสำหรับลูกค้า และปลดล็อกการสร้างมูลค่าที่สำคัญได้”

ด้วยการสร้างขึ้นจากแนวทาง AI First ของ Altimetrik, การเปิดตัว ALTI AI Adoption Lab™ และ DomainForge.ai ทำให้ Altimetrik และ SLK จะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยนำเสนอความสามารถที่ครอบคลุมทั้งด้านข้อมูล, AI, วิศวกรรมผลิตภัณฑ์และประสบการณ์, การปรับปรุงแพลตฟอร์ม, การวิเคราะห์, DevSecOps, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ และการดำเนินงานบนคลาวด์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากความร่วมมือทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง องค์กรที่ควบรวมกันนี้ยังได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นของพันธมิตรทางเทคโนโลยี เช่น OpenAI, Amazon Web Services, Snowflake และ Databricks

Avendus Capital จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ SLK Software ขณะที่ EY ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ Altimetrik และ TPG

เกี่ยวกับ Altimetrik

Altimetrik เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลและวิศวกรรมดิจิทัลด้าน AI เป็นหลัก โดยช่วยให้องค์กรต่างๆ เร่งการเติบโตผ่านแนวทางที่เน้นผลิตภัณฑ์เป็นหลักและค่อยเป็นค่อยไป ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านบริการ OpenAI ALTI AI Adoption Lab™ และ DomainForge.ai ของเรา ทำให้สามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ สร้างและปรับขนาดโซลูชัน AI ระดับองค์กรได้

ด้วยผู้ปฏิบัติงานมากกว่า 6,000 รายทั่วโลกและวิศวกรรม DNA เชิงลึก เราช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ทั่ว BFSI, การผลิต,, การค้าปลีกและ CPG ยานยนต์, การดูแลสุขภาพ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพปรับปรุงเทคโนโลยี เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ และขยายการนำ AI มาใช้ โดยขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การดำเนินการดิจิทัลอัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติ

Altimetrik ได้รับการยกย่องในรายชื่อ Constellation Research ShortList™ ประจำปี 2025 สาขาบริการ AI ระดับโลก และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันหลักใน PEAK Matrix® ของ Everest Group สาขาวิศวกรรมดิจิทัล BFSI และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ นอกจากนี้ Altimetrik ยังติดอันดับบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ดีที่สุดของ Glassdoor ในปี 2025 ด้วยประสิทธิภาพ การมองเห็น และการเติบโตที่ราบรื่นในยุค AI เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ altimetrik.com

เกี่ยวกับ SLK บริษัทในเครือ Altimetrik

SLK บริษัทในเครือ Altimetrik คือผู้ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลกที่มุ่งเน้นการนำ AI ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ และการวิเคราะห์มารวมกัน เพื่อสร้างสรรค์โซลูชันเทคโนโลยีล้ำสมัย ผ่านวัฒนธรรมแห่งความร่วมมือและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลังจากการควบรวมกิจการโดย Altimetrik องค์กรที่รวมเป็นหนึ่งเดียวนี้ได้ขยายระบบนิเวศนวัตกรรมและการเข้าถึงทั่วโลก โดยการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะผสานความเชี่ยวชาญของ SLK ในด้านองค์กรอัจฉริยะ การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน ระบบอัตโนมัติและวิศวกรรมคุณภาพ การดำเนินงานดิจิทัล และโซลูชันที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรม เข้ากับความเชี่ยวชาญของ Altimetrik ในด้านข้อมูลและ AI การส่งเสริมธุรกิจดิจิทัล วิศวกรรมผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์ม คลาวด์และการปรับปรุงให้ทันสมัย ​​รวมถึงการดำเนินการสู่ตลาดและการเติบโต ซึ่งทั้งสององค์กรพร้อมที่จะปลดล็อกคุณค่า เร่งการปรับปรุงให้ทันสมัย ​​และขับเคลื่อนนวัตกรรม AI-first ที่วัดผลได้ในวงกว้าง

ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา องค์กรได้ช่วยให้องค์กรต่างๆ ครอบคลุมธุรกิจประกันภัย บริการทางการเงิน การจัดการการลงทุน และการผลิต สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจและตอบสนองความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ การผสานรวมนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจการดูแลสุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์ และค้าปลีก เสริมสร้างความสามารถในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่มีความหมาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์กรได้รับการยอมรับจาก Great Place To Work®, Brandon Hall, Mercer | Mettl-HRedge Awards และ SHRM ในด้านแนวปฏิบัติด้านบุคลากรและวัฒนธรรมแห่งความเป็นเลิศ โดยองค์กรยังคงท้าทายสถานะเดิมอย่างสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเทคโนโลยีที่พลิกโฉม นวัตกรรมที่ประยุกต์ใช้ และระบบอัตโนมัติที่มุ่งเน้นเป้าหมาย

ค้นหาว่า SLK จะช่วยให้องค์กรชั้นนำปรับปรุงธุรกิจของตนได้อย่างไรที่ www.slksoftware.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สื่อ

Altimetrik & SLK
Gurvinder Singh Sahni
GSahni@altimetrik.com

Matt McLoughlin
Gregory FCA
altimetrik@GregoryFCA.com

+1 610-228-2123

ที่มา: Altimetrik

Bidgely เปิดตัว UtilityAI Pro ที่มอบแพลตฟอร์ม AI แนวตั้งตัวแรกให้กับผู้ให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงานทั่วโลกที่แปลงข้อมูลต่างๆ เป็นข้อมูลเชิงลึกในด้านกลยุทธ์

Logo

แพลตฟอร์ม AI ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะจะดึงข้อมูลอัจฉริยะจากคลาวด์ยูทิลิตี้เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

ลอสอัลโตส แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–23 ตุลาคม 2025

Bidgelyวันนี้ได้เปิดตัว UtilityAI Pro™แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) แนวตั้งแพลตฟอร์มแรกและครอบคลุมที่สุด ออกแบบมาเพื่อบริษัทสาธารณูปโภค ผู้ให้บริการพลังงาน และ DISCOM ทั่วโลกโดยเฉพาะ โดย UtilityAI Pro จะช่วยให้ผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลสามารถนำโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ขั้นสูงของ Bidgely ไปปรับใช้ในสภาพแวดล้อมข้อมูลที่ต้องการ เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานในการวัดมิเตอร์ขั้นสูง (AMI), ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลโครงข่ายไฟฟ้า โซลูชันนี้จะวิเคราะห์ข้อมูลนี้ได้อย่างละเอียดมากขึ้นถึง 10 เท่า มอบข้อมูลเชิงลึกเบื้องหลังมิเตอร์เกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า การใช้พลังงานในระดับเครื่องใช้ไฟฟ้า และประสิทธิภาพของโครงข่ายไฟฟ้า

Bidgely introduces UtilityAI Pro™, the first and most comprehensive vertical AI platform designed specifically for utilities.

Bidgely ขอแนะนำ UtilityAI Pro™ แพลตฟอร์ม AI แนวตั้งตัวแรกและครอบคลุมที่สุดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับสาธารณูปโภค

Bidgely คือผู้นำที่ได้รับการยอมรับในด้านการวิเคราะห์สาธารณูปโภค ด้วยความเชี่ยวชาญด้าน ML และ AI ที่มุ่งเน้นสาธารณูปโภคมากว่าทศวรรษ Bidgely ได้รับการสนับสนุนจากสิทธิบัตร 19 ฉบับ และการอ่านมิเตอร์หลายพันล้านครั้ง และมีการประมวลผลข้อมูลการใช้พลังงานมากกว่าหนึ่งเทราไบต์จากลูกค้าทั่วโลกทุกวัน

ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี AI เฉพาะด้านสาธารณูปโภคมายาวนาน เรามักได้ยินจากหัวหน้าฝ่ายดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI (CAIO) และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล (CDO) ถึงความลังเลใจในการแบ่งปันข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญนอกระบบคลาวด์เดิมของพวกเขาอยู่เสมอ เราได้พัฒนา UtilityAI Pro ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่มาพร้อมโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่งเฉพาะด้านสาธารณูปโภคที่จดสิทธิบัตรแล้ว ซึ่งออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนที่มีอยู่แล้วในพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนกลาง, AI เชิงสร้างสรรค์, และเอเจนติก AI บนคลาวด์ยูทิลิตี้ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้ผู้นำด้านเทคโนโลยีสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งสาธารณูปโภคได้” Abhay Gupta ซีอีโอของ Bidgely กล่าว “ด้วยการร่วมมือกับผู้เล่นชั้นนำในระบบนิเวศคลาวด์ หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน CAIO และ CDO สามารถปรับใช้ UtilityAI Pro บนแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ตนเลือกเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างปลอดภัยและครอบคลุมได้”

AI แนวตั้งที่ครอบคลุมรายแรกของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค

อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่ขับเคลื่อนโดยการใช้พลังงานไฟฟ้า ความกังวลเรื่องราคา และแรงผลักดันในการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย ​​หัวหน้าฝ่ายการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล CAIO และ CDO กำลังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง โดยลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลที่จำเป็นต่อการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์สำหรับผู้ให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงานในการแปลงข้อมูลปริมาณมหาศาลจากการลงทุนใน AMI และระบบสารสนเทศให้เป็นมูลค่าที่แท้จริง

จากการสำรวจ IFS Global Utility Survey ประจำปี 2024 พบว่ามีเพียงร้อยละ 20 ของบริษัทสาธารณูปโภคเท่านั้นที่เสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล แม้ว่าผู้บริหารร้อยละ 82 จะตระหนักว่า AI มีความจำเป็นต่อกลยุทธ์ของตน และร้อยละ 84 จะตระหนักว่าการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นมีความสำคัญก็ตาม

“UtilityAI Pro ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญในวิทยาศาสตร์ข้อมูลสาธารณูปโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความสามารถในการผสานรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคที่มีอยู่” Hunter Horgan กรรมการผู้จัดการของ Renown Capital Partners และนักลงทุนของ Bidgely กล่าว “ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้ Bidgely สามารถเพิ่มประสิทธิภาพแอปพลิเคชันสาธารณูปโภคทั้งหมดด้วยข้อมูลเชิงลึกแบบละเอียดเบื้องหลังมิเตอร์ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ให้สูงสุดจากการลงทุนในข้อมูลที่มีอยู่”

ประโยชน์ของแพลตฟอร์มสำหรับหัวหน้าฝ่ายการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล CAIO และ CDO

UtilityAI Pro ช่วยยกระดับความเกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานจากการลงทุนด้าน AI ในเอเจนต์และโคไพลอตจากผู้ให้บริการทุกราย ด้วยการโต้ตอบเชิงสนทนากับข้อมูลเชิงลึกอันทรงพลังที่ดึงมาจากโครงข่ายสาธารณูปโภคและลูกค้า แนวทางนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการดำเนินงานสาธารณูปโภคได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยปลดล็อก

  •  การสร้างโปรไฟล์ลูกค้าเชิงลึก: รับข้อมูลแบบละเอียดเบื้องหลังมิเตอร์เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้า ประสิทธิภาพการทำงาน และพฤติกรรมการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป
  •  การมีส่วนร่วมของลูกค้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI: ขับเคลื่อนการสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล เพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์บริการสายด่วน และเพิ่มการลงทะเบียนโปรแกรม
  •  การกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำ: ระบุผู้ใช้ที่เหมาะสมสำหรับอัตราและโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างแม่นยำโดยอิงจากการเป็นเจ้าของอุปกรณ์จริงและการสร้างโมเดลแนวโน้มที่เชื่อถือได้
  •  การปรับปรุงโครงข่ายอัจฉริยะ: รับการมองเห็นเชิงคาดการณ์จากล่างขึ้นบนเพื่อวินิจฉัยจุดที่มีความเครียดในเครือข่ายไฟฟ้าและปรับให้การลงทุนเพื่อความยืดหยุ่นมีความเหมาะสมที่สุด
  •  การจัดการทรัพยากรพลังงานแบบกระจาย (DER): คาดการณ์และจัดการผลกระทบของพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บ และยานยนต์ไฟฟ้าต่อโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบ
  •  นวัตกรรมที่เร่งขึ้น: สร้างต้นแบบและปรับใช้แอปพลิเคชัน AI ที่กำหนดเองได้อย่างรวดเร็ว โดยผสานรวมในสแต็กเทคโนโลยีของยูทิลิตี้อย่างปลอดภัย
  •  ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน: กระจายข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้ลูกค้า เครือข่ายไฟฟ้า และฟังก์ชันหลังบ้านเพื่อขับเคลื่อนการจัดการที่มีประสิทธิผลและลดต้นทุน

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ UtilityAI Pro โปรดไปที่ bidgely.com/utilityai-pro

เกี่ยวกับ Bidgely

Bidgely คือบริษัท SaaS ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งกำลังเร่งสร้างอนาคตพลังงานสะอาด ด้วยการช่วยให้บริษัทพลังงานและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับพลังงานโดยอาศัยข้อมูล แพลตฟอร์ม UtilityAI™ ของ Bidgely ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของเรา แปลงข้อมูลลูกค้าหลายมิติ เช่น การใช้พลังงาน ข้อมูลประชากร และปฏิสัมพันธ์ ให้เป็นข้อมูลเชิงลึกด้านพลังงานของผู้บริโภคที่แม่นยำและนำไปใช้ได้จริง เราใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อมอบคำแนะนำเฉพาะบุคคลให้กับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งปรับให้เหมาะกับบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ คุณลักษณะการใช้งาน รูปแบบพฤติกรรม แนวโน้มการซื้อ และอื่นๆ Bidgely กำลังพัฒนานวัตกรรมมิเตอร์อัจฉริยะด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับโซลาร์เซลล์ (PV) การตรวจจับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การปรับเปลี่ยนโหลดและการจัดการการชาร์จตามพฤติกรรมของรถยนต์ไฟฟ้า การขโมยพลังงาน การคาดการณ์โหลดระยะสั้น การวิเคราะห์โครงข่ายไฟฟ้า และการออกแบบอัตราการใช้งาน (TOU) ระบบวิเคราะห์พลังงาน UtilityAI™ ของ Bidgely มอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการผลิตและการบริโภค เพื่อการวางแผนและกำหนดรูปแบบการใช้พลังงานสูงสุด (Peak Load) ที่ดีขึ้น พร้อมให้คำแนะนำที่ตรงจุดสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม Bidgely มีรากฐานในซิลิคอนแวลลีย์ มีสิทธิบัตรด้านพลังงานมากกว่า 16 ฉบับ เงินทุนมากกว่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลมากกว่า 30 คน และนำความหลงใหลใน AI มาสู่สาธารณูปโภคที่ให้บริการลูกค้าทั้งที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.bidgely.com หรือบล็อกของ Bidgely ที่ bidgely.com/blog

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: www.businesswire.com/news/home/20251023698381/en

Contacts

Christine Bennett
Bidgely
press@bidgely.com

ที่มา: Bidgely

INNIO ได้รับคำสั่งซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทจาก VoltaGrid เพื่อส่งมอบพลังงานไฟฟ้าให้กับศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

Logo

  • INNIO จะจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน 2.3 กิกะวัตต์ (GW) ประกอบด้วยชุดพลังงาน 92 ชุด ชุดละ 25 เมกะวัตต์ (MW)
  • ความร่วมมือกับ VoltaGrid ได้ขับเคลื่อนการขยายศูนย์ข้อมูล AI ผ่านโซลูชันพลังงานที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น และยั่งยืน
  • ความร่วมมือนี้ช่วยให้ VoltaGrid สามารถผสานหน่วยจ่ายไฟเข้ากับพลังงานของศูนย์ข้อมูลพกพาขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยหน่วยของ INNIO ได้อย่างราบรื่น

เจนบัค ออสเตรีย และ ฮูสตัน สหรัฐอเมริกา–(BUSINESS WIRE)–21 ตุลาคม 2025

ในวันนี้ INNIO Group ได้ประกาศคำสั่งซื้อพลังงานไฟฟ้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท นั่นคือโครงการโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฟฟ้าขนาด 2.3 กิกะวัตต์ ซึ่งประกอบด้วยชุดจ่ายไฟ 92 ชุด แต่ละชุดให้กำลังผลิต 25 เมกะวัตต์ โดยความร่วมมือกับ VoltaGrid จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของ INNIO ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานหลักสำหรับภาคศูนย์ข้อมูลของสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

INNIO Secures Largest Order in Company History (c) INNIO

INNIO ได้รับคำสั่งซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท (c) INNIO

“คำสั่งซื้อครั้งสำคัญนี้ช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีของ INNIO และความสามารถของเราในการขับเคลื่อนการปฏิวัติ AI ด้วยโซลูชันพลังงานอัจฉริยะประสิทธิภาพสูง” กล่าวโดย ดร. Olaf Berlien ประธานและซีอีโอของ INNIO Group “เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ VoltaGrid ในการกำหนดทิศทางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานแห่งอนาคต”

“นี่คือก้าวสำคัญสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสำหรับยุค AI” Nathan Ough ซีอีโอของ VoltaGrid กล่าวเสริม “การร่วมมือกับ INNIO ช่วยให้เรานำเสนอโซลูชันที่ปรับขนาดได้ ซึ่งผสานประสิทธิภาพระดับกริดเข้ากับการตอบสนองที่รวดเร็วเป็นพิเศษ การพึ่งพาแบตเตอรี่เป็นศูนย์ และการปล่อยมลพิษทางอากาศที่เกือบเป็นศูนย์ ความร่วมมือของเราจะช่วยมอบความเร็ว ความน่าเชื่อถือ และความยั่งยืนที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลแห่งอนาคต”

โซลูชันพลังงานขั้นสูงของ INNIO พัฒนาขึ้นร่วมกับ VoltaGrid เพื่อเร่งการใช้งานศูนย์ข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพ GPU ให้สูงสุดสำหรับการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Jenbacher ของ INNIO ที่ทำให้ระบบนี้สามารถให้พลังงานหลัก พลังงานสำรอง และพลังงานสูงสุดภายในแพลตฟอร์มแบบบูรณาการเดียว รวมทั้งมอบความยืดหยุ่นในการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมได้

โดยโซลูชันจะรักษาพลังงานและประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่แม้ในอุณหภูมิแวดล้อมสูงถึง 122°F (50°C) และมอบประสิทธิภาพการทำงานชั่วคราวที่เหนือกว่า สามารถรองรับความผันผวนของโหลดที่ผันผวนสูงได้ เราประเมินว่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีทางเลือกอื่น โซลูชันนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าถึง 10 จุดเปอร์เซ็นต์ ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากกำลังการผลิตติดตั้ง 2.3 กิกะวัตต์

เกี่ยวกับ INNIO Group

INNIO Group คือผู้ให้บริการโซลูชันและบริการด้านพลังงานชั้นนำที่ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและชุมชนให้สามารถดำเนินงานด้านพลังงานอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน ด้วยแบรนด์ผลิตภัณฑ์ Jenbacher และ Waukesha และแพลตฟอร์มดิจิทัล myplant ที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดย INNIO Group ได้นำเสนอโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานของศูนย์ข้อมูล การผลิตไฟฟ้าแบบกระจาย และแอปพลิเคชันการบีบอัด ด้วยโซลูชันและบริการด้านพลังงานที่ยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ และยืดหยุ่น ทำให้ INNIO Group ช่วยให้ลูกค้าสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าด้านพลังงาน และรับประกันการจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้แม้ในที่ที่ไม่มีโครงข่ายไฟฟ้า

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ INNIO Group ที่ innio.com ติดตาม INNIO Group ได้ที่ X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ VoltaGrid

VoltaGrid คือผู้บุกเบิกด้านพลังงานสะอาดในสหรัฐอเมริกา นำเสนอโซลูชันพลังงานก๊าซธรรมชาติที่ตอบสนองฉับไวและปล่อยมลพิษต่ำสำหรับศูนย์ข้อมูล การดำเนินงานภาคอุตสาหกรรม และความยืดหยุ่นของระบบโครงข่ายไฟฟ้า แพลตฟอร์มที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทได้ผสานรวมประสิทธิภาพชั้นนำของอุตสาหกรรมเข้ากับการใช้งานแบบแยกส่วนที่ปรับขนาดได้ ทำให้ VoltaGrid เป็นพันธมิตรที่ได้รับการยอมรับสำหรับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานแห่งอนาคต

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251021503080/en

Contacts

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
Susanne Reichelt
INNIO Group
+43 664 80833 2382
susanne.reichelt@innio.com

ที่มา: INNIO Group