Category Archives: Energy

Cargill แบ่งปันผลลัพธ์ของการเดินทางครั้งแรกของ เรือเดินสมุทรพลังงานลมลําแรกของโลก

Logo

ผลการวิจัยเผยให้เห็นการประหยัดเชื้อเพลิงอย่างมีนัยสําคัญ โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการขับเคลื่อนด้วยลม เพื่อสนับสนุนความพยายามในการลดคาร์บอนของอุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือ

เจนีวา–(BUSINESS WIRE)–13 มีนาคม 2024

วันนี้ Cargill เปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้นของการทดสอบ Pyxis Ocean ในระยะเวลา 6 เดือน โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพของเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยลมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน เรือ MC Shipping Kamsarmax ที่ได้ปรับปรุงใหม่ด้วยการติดตั้ง WindWings® สองใบ – ใบเรือลมแข็งขนาดใหญ่ที่พัฒนาโดย BAR Technologies – – ได้รับประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเทียบเท่ากับเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย 3 ตันต่อวัน

Pyxis Ocean sailing through the English Channel from Spain to Amsterdam, March 2024 (Photo: Business Wire)

เรือบรรทุกสินค้า Pyxis Ocean เดินเรือจากสเปนไปยังอัมสเตอร์ดัมผ่านช่องแคบอังกฤษ เดือนมีนาคม 2024

“เราได้รับกำลังใจจากผลลัพธ์ที่ได้ และได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับการนำระบบขับเคลื่อนที่ใช้แรงลม มาใช้กับเรือสินค้าเทกองแห้ง” Jan Dieleman ประธานธุรกิจการขนส่งทางทะเลของ Cargill กล่าว “เราไม่สามารถทําสิ่งนี้ได้โดยลําพัง – BAR Technologies และ MC Shipping เป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมในการทําให้ Pyxis Ocean เป็นจริง เช่นเดียวกับกัปตันและลูกเรือ เราเป็นผู้นําของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือ และเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ควบคุมพลังงานลมอาจเป็นวิธีที่สําคัญและคุ้มค่า ในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนในระยะสั้น กลาง และระยะยาว”

Pyxis Ocean เข้าสู่น่านน้ำเปิดในเดือนสิงหาคมปี 2023 และในช่วงหกเดือนแรกของการทดสอบ ได้แล่นไปในมหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลนติกเหนือและใต้ และผ่านแหลมฮอร์นและแหลมกู๊ดโฮป เรือได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยการติดตั้ง WindWings® สองใบ ซึ่งมีความสูง 37.5 เมตรและมีลักษณะคล้ายปีกเครื่องบินขนาดใหญ่ ปีกถูกติดตั้งในแนวตั้งเพื่อรับลมและขับเคลื่อนเรือไปข้างหน้า ทําให้เครื่องยนต์ของเรือดับลง เพื่อให้เรือสามารถเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับเรือทั่วไปโดยใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่า ปีกถูกควบคุมโดยแผงสัมผัสบนสะพาน ระบบสัญญาณไฟจราจรแบบเรียบง่ายจะบอกลูกเรือว่าเมื่อใดควรยกหรือลดใบเรือ เมื่อยกขึ้นแล้วการทํางานจะเป็นไปโดยอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์: เซ็นเซอร์บนเรือจะตรวจวัดลมอย่างต่อเนื่อง และใบเรือจะปรับตัวเองเพื่อให้ได้การกําหนดค่าที่เหมาะสมที่สุด

การขับเคลื่อนด้วยแรงลมมีศักยภาพที่จะเป็นวิธีที่ประหยัดต้นทุนในการสนับสนุนกลยุทธ์ลดก๊าซเรือนกระจกใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) หนึ่งในเป้าหมายของ IMO 2030 คือการมีพลังงานที่มาจากแหล่งคาร์บอนที่ต่ำมากให้ได้ 5 เปอร์เซ็นต์ โดยมุ่งมั่นให้ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030: การขับเคลื่อนด้วยลมอาจเป็นวิธีสําคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้

การเดินทางในช่วงแรกได้ให้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่าแค่การใช้ใบเรือบนเรือเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงความท้าทายด้านลอจิสติกส์ที่กว้างขึ้นในระบบการเดินเรือทั่วโลก เนื่องจากท่าเรือ ท่าเทียบเรือ และท่าเทียบเรือทุกแห่งมีความแตกต่างกัน การมีส่วนร่วมของท่าเรือเหล่านี้จึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการบูรณาการเทคโนโลยี Wind Assisted Propulsion (WAP) เข้ากับระบบการเดินเรือทั่วโลกในวงกว้าง

John Cooper ซีอีโอของ BAR Technologies กล่าวเสริมว่า “ผลลัพธ์ของการเดินทางครั้งแรกของ Pyxis Ocean ที่ติดตั้ง WindWings® แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการขับเคลื่อนด้วยลมสามารถประหยัดเชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในสภาวะการเดินเรือที่เหมาะสมที่สุด ในระหว่างการเดินทางในทะเลเปิด Pyxis Ocean สามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้ 11 ตันต่อวัน และในขณะที่ Pyxis Ocean มี WindWings® สองอันเราคาดว่าเรือ Kamsarmax ส่วนใหญ่จะมีปีกสามปีก ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษได้ถึง 1.5 เท่า ด้วย Cargill ตอนนี้เราสามารถตรวจสอบการคาดการณ์ประสิทธิภาพ และการสร้างแบบจําลองในสภาพการใช้งานจริงได้ ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นเมื่อเราเปิดตัวการผลิต WindWings® ทั่วโลก”

” Cargill กําลังสร้างแนวทางสําหรับเรือ WAP ทั้งหมด ไม่ใช่แค่ Pyxis Ocean เท่านั้น เพื่อปฎิบัติการบนเส้นทางการค้าโลก” Dieleman กล่าว “จนถึงตอนนี้ เราได้ร่วมมือกับท่าเรือมากกว่า 250 แห่ง เพื่อค้นหาวิธีในการทําให้เรือที่มี WAP ขนาดใหญ่เข้าเทียบท่าได้ ความซับซ้อนนี้เป็นจุดที่ Cargill มีความเป็นเลิศอย่างแท้จริง และวิธีที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากบทบาทเฉพาะของเราในอุตสาหกรรมการเดินเรือได้ เราไม่กลัวที่จะเป็นพันธมิตรด้านการพัฒนาและลงทุน แบ่งปันความเสี่ยงกับพันธมิตร และสร้างความแตกต่างในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม”

คาร์กิลล์จะดําเนินการทดสอบและทดลองด้านปฏิบัติงาน ด้านเทคนิค และเชิงพาณิชย์ของ Pyxis Ocean ต่อไป เพื่อรวมการเรียนรู้จํานวนสูงสุดเข้ากับการออกแบบศักยภาพของสถานที่ปฎิบัติงานในอนาคตก่อนที่จะขยายขนาด

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ:

[1]

  • BAR Technolgies และ Cargill ประมาณการว่าจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้โดยเฉลี่ยต่อปีที่ 3 ตันต่อวัน (ซึ่งเท่ากับ 11,2/ตัน/วัน CO2e การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่การผลิตจนจบกระบวนการ ซึ่งเท่ากับประหยัดประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์สําหรับ Pyxis Ocean
  • ประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยที่วัดได้จนถึงขณะนี้อยู่ภายใน 10% ของการคาดการณ์ โดยใช้การจําลองพลศาสตร์ของไหลเชิงคํานวณ (CFD) โดย BAR Technologies เพื่อประเมินว่าแรงขับเคลื่อนด้วยลมจะทํางานได้ดีเพียงใดบนเส้นทางของ Cargill
  • ในช่วงสภาวะการเดินเรือที่เหมาะสม Pyxis Ocean สามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า 11 ตัน/วัน ซึ่งแปลว่าปล่อย CO2e น้อยลงถึง 41 ตัน/วัน ตั้งแต่การผลิตจนจบกระบวนการ หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 37%
  • ค่าเฉลี่ย CO2e ที่11.2 ตัน/วัน ข้างต้นอยู่ที่ประมาณ 2650CO2e/ปี (11.2 ตัน x 237 วันเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อปี = 2650 ตัน ตั้งแต่การผลิตจนจบกระบวนการ) ซึ่งเทียบเท่ากับการนํารถยนต์ 480 คันออกจากถนน (อ้างอิง: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากรถยนต์โดยสารทั่วไป | EPA ของสหรัฐอเมริกา)
  • Cargill และ MC Shipping ได้ว่าจ้าง DNV ในฐานะบุคคลที่สามที่เป็นอิสระ เพื่อทบทวนผล และทวนสอบผลการคํานวณการประหยัดเชื้อเพลิง

เกี่ยวกับ WindWings

  • Cargill เป็นคนแรกที่ติดตั้ง “WindWings” ใบเรือปีกแข็งขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเปอร์เซ็นต์เป็นตัวเลขสองหลัก
  • การทํางานร่วมกับพันธมิตร BAR Technologies Cargill ได้ติดตั้ง WindWings บนเรือ Kamsarmax Pyxis Ocean ซึ่งเราเช่าเหมาลําจาก MC Shipping
  • การติดตั้งเสร็จสิ้นที่ COSCO ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนในปี 2023
  • ปัจจุบัน Pyxis Ocean เป็น Kamsarmax ที่ประหยัดพลังงานมากที่สุดในกองเรือเช่าเหมาลําของ Cargill
  • Pyxis Ocean จะถูกนำมาใช้เพื่อแจ้งถึงศักยภาพในการขยายขนาดการติดตามยานพาหนะและอุตสาหกรรม Cargill วางแผนที่จะเรียนรู้วิธีการปรับปรุงการออกแบบ การปฎิบัติงาน และประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
  • โครงการ WindWing เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ได้รับเงินทุนจากโครงการวิจัยและนวัตกรรม Horizon 2020 ของสหภาพยุโรปภายใต้ข้อตกลงการให้ทุนหมายเลข 955286

เกี่ยวกับ Cargill Ocean Transportation

Cargill Ocean Transportation เป็นองค์กรการค้าการขนส่งสินค้าชั้นนําที่เช่าเหมาลําเรือประมาณ 650 ลําทั่วโลกในคราวเดียว ก่อตั้งขึ้นในปี 1956 ในเจนีวา เราได้รับประโยชน์จากมรดกอันยาวนานและความสามารถของผู้เชี่ยวชาญในการดําเนินงานทั่วโลกของคาร์กิลล์ ในด้านการค้าอาหาร การเกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ ลูกค้าของเรารวมถึงบริษัทอื่น ๆ ตลอดจนธุรกิจภายในของ Cargill ถือเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เราทํา เราให้บริการที่ผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัลล่าสุดเข้ากับโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อทำให้การขนส่งปลอดภัยและยั่งยืนยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับ Cargill

Cargill มุ่งมั่นที่จะจัดหาอาหาร ส่วนผสม โซลูชั่นทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อหล่อเลี้ยงโลกด้วยวิธีที่ปลอดภัย มีความรับผิดชอบ และยั่งยืน ในฐานะหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน เราร่วมมือกับเกษตรกรและลูกค้าในการจัดหา ผลิต และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีความสําคัญต่อการดํารงชีวิต

สมาชิกในทีม 160,000 คนของเราสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยมอบสิ่งจําเป็นในชีวิตให้กับลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโต ชุมชนเจริญรุ่งเรือง และผู้บริโภคมีชีวิตที่ดี ด้วยประสบการณ์ 159 ปีในฐานะบริษัทครอบครัว เรามองไปข้างหน้าในขณะที่ยังคงยึดมั่นในค่านิยมของเรา เราให้ความสําคัญกับผู้คนเป็นอันดับแรก เราไปถึงที่สูงขึ้น เราทําในสิ่งที่ถูกต้อง—ในวันนี้และสําหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ Cargill.com และศูนย์ข่าวของเรา

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53907921/en

Contacts

Nicole Marlor
media@cargill.com

ที่มา: Cargill




MidOcean Energy ของ EIG เข้าซื้อหุ้น 20% ของ SK Earthon ใน Peru LNG

Logo

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–8 กุมภาพันธ์ 2024

MidOcean Energy (“MidOcean”) บริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนําในภาคพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ประกาศในวันนี้ว่าได้ลงนามในสัญญาหลักกับ SK Earthon (“SK”) เพื่อซื้อหุ้น 20% ของ SK ใน Peru LNG (“PLNG”)

PLNG เป็นเจ้าของและดําเนินการโรงงานส่งออก LNG แห่งแรกในอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ใน Pampa Melchorita ห่างจากกรุงลิมา ประเทศเปรู ไปทางใต้ 170 กม. สินทรัพย์ของ PLNG ประกอบด้วยโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวที่มีกําลังการผลิต 4.45 mmtpa ท่อส่งยาว 408 กม. ที่มีความจุ 1,290 mmcf/d ถังเก็บ 130,000 ม.3 สองถัง สถานีขนส่งทางทะเลยาว 1.4 กม. และโรงขนถ่ายรถบรรทุกที่มีความจุสูงสุด 19.2 mmcf/d PLNG ดําเนินการโดย Hunt Oil Company และเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต LNG เพียงสองแห่งในละตินอเมริกา

เราเชื่อว่า PLNG เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ระดับสูงสําหรับภาคก๊าซธรรมชาติของเปรู โดยเป็นเส้นทางสําคัญในการสร้างรายได้จากทรัพยากรก๊าซธรรมชาติผ่านการส่งออก นอกจากนี้ยังมีบทบาทสําคัญในการจัดหา LNG ให้กับลูกค้าที่อยู่อาศัย และอุตสาหกรรม ตลอดจนยานพาหนะที่ใช้ CNG ในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ภาคก๊าซธรรมชาติได้กลายเป็นส่วนที่สําคัญมากขึ้นของการผสมผสานพลังงานของเปรู ซึ่งสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าสําหรับภาคอุตสาหกรรมตลอดจนการใช้งานต่างๆ ในภาคที่อยู่อาศัย

De la Rey Venter ซีอีโอ ของ MidOcean Energy กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นกับการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอีกก้าวที่โดดเด่นในกลยุทธ์ของ MidOcean ในการสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลก ที่หลากหลาย และมีความยืดหยุ่น PLNG เป็นสินทรัพย์ที่เรารู้จักและชื่นชม โดยมีพื้นฐานระยะยาวที่ดี ทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง และการดําเนินงานที่เชื่อถือได้ เราหวังว่าจะได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ PLNG และมีส่วนร่วมในความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาวของการร่วมทุนดังกล่าว และการทํางานเพื่อก้าวไปสู่บทบาทเชิงบวกในตลาดพลังงานของเปรู”

นอกจากนี้ MidOcean ยังอยู่ในระหว่างการเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการของ Tokyo Gas ในโครงการ LNG ของออสเตรเลีย 4 โครงการ มูลค่า 2.15 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งตั้งเป้าที่จะปิดในปลายเดือนกุมภาพันธ์

ธุรกรรม PLNG อยู่ภายใต้เงื่อนไขการปิดตามธรรมเนียม

Morgan Stanley ทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ MidOcean ในการทําธุรกรรม

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนําในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยมีการจัดการภายใต้การบริหาร 22.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2023 EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 41 ปี EIG ได้ทุ่มเงินกว่า 47.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทกว่า 405 แห่งใน 42 ประเทศใน 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยแผนบํานาญชั้นนํา บริษัท ประกันภัย กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสํานักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีสํานักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ ริโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ MidOcean Energy

MidOcean Energy ซึ่งเป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารโดย EIG มุ่งมั่นที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น ราคา และคาร์บอนที่สามารถแข่งขันได้ โดยสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สําคัญในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน และความสําคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะแหล่งพลังงานเชิงกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นําโดย De la Rey Venter ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมมา 26 ปี ซึ่งดํารงตําแหน่งผู้บริหารระดับสูงหลายตําแหน่ง รวมถึง Global Head of LNG ของ Shell Plc. สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ EIGที่  www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ EIG ติดต่อ
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ที่มา: EIG

Gradiant’s H+E ได้รับเลือกให้ลงนามในสัญญาการสร้างโรงงานบำบัดน้ำในโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมัน

Logo

สัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ผ่านร่างกฎหมาย European Chips Act เมื่อเดือนกันยายน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและความยืดหยุ่นในอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์

BOSTON–(BUSINESS WIRE)–6 กุมภาพันธ์ 2024

Gradiant ผู้ให้บริการโซลูชันระดับโลกสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียขั้นสูง ประกาศในวันนี้ว่า H+E Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่เพิ่งมีการเข้าซื้อกิจการได้รับเลือกให้ลงนามในสัญญาใหม่เพื่อออกแบบและสร้างโรงงานน้ำบริสุทธิ์พิเศษ (UPW) สำหรับหนึ่งในผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยโปรเจ็กนี้เป็นส่วนสำคัญของโปรเจ็กที่ยังคงค้างอยู่ของ H+E ซึ่งมีมูลค่าราว 120 ล้านเหรียญสหรัฐที่มีการลงนามแล้ว และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเป้าหมายการปรับเปลี่ยน European Chips Act เพื่อสนับสนุนความยืดหยุ่นและขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนด้านดิจิทัลและโลกสีเขียว

Gradiant’s H+E Wins Contract in Germany to Build Water Treatment Facility for One of the Largest Semiconductor Fabs (Photo: Business Wire)

Gradiant’s H+E ได้รับเลือกให้ลงนามในสัญญาการสร้างโรงงานบำบัดน้ำสำหรับหนึ่งในโรงงานเซมิคอนดัคเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันี (ภาพถ่าย: Business Wire)

โรงงานแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ในประเทศเยอรมันซึ่งเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการบูรณาการให้เข้ากับภาคส่วนการผลิตขั้นสูงและอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างจุดยืนสำหรับสหภาพยุโรปในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก คณะกรรมาธิการยุโรปได้ระบุเป้าหมายที่จะเข้าถึงส่วนแบ่งการตลาดถึง 20 เปอร์เซนต์ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในระดับภูมิภาคในปี 2030 European Chips Act เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่าง H+E และลูกค้าเซมิคอนดักเตอร์

โรงงานแห่งใหม่นี้จะเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ทันสมัยและยั่งยืนที่สุดในยุโรปและรองรับตลาดพลังงานหมุนเวียน ศูนย์ข้อมูล และรถยนต์ไฟฟ้า UPW ที่ผลิตโดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตชิปเซมิคอนดัคเตอร์เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ

“เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น นโยบายการสนับสนุนและการลงทุนภาคเอกชนซึ่งผลักดันการเติบโตของเซมิคอนดัคเตอร์ในสหภาพยุโรปและทั่วโลก ผู้ผลิตชิปชั้นนำจึงมีความเห็นว่านวัตกรรมน้ำเป็นหนึ่งในหนทางการสร้างความยืดหยุ่นให้กับการดำเนินงานในระยะยาวและบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน” Prakash Govindan, COO ของ Gradiant กล่าว “สัญญานี้แสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงของ H+E ด้านความเป็นเลิศในการบำบัดน้ำและจุดเด่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชั้นนำของ Gradiant ในการนำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมแก่ลูกค้าของเรา ความร่วมมือของเรากับ H+E จะช่วยเสริมผลลัพธ์เชิงบวกสำหรับความมุ่งมั่นครั้งสำคัญในยุโรปครั้งนี้

“ความร่วมมือระหว่างลูกค้าของเรากับ H+E ได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ Gradiant ซึ่งตอกย้ำความทุ่มเทของเราด้านความยั่งยืนและนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ” Philipp Sausele กรรมการผู้จัดการของ H+E Group กล่าว “โรงงาน UPW แห่งใหม่ของเราจะตอบสนองความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติงานและมาตรฐานประสิทธิภาพที่ลูกค้าต้องการเพื่อเพิ่มผลผลิตสูงสุด ในขณะที่ความคืบหน้าด้านอุตสาหกรรม นวัตกรรมใน UPW การรีไซเคิลน้ำ และการบำบัดน้ำเสียจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ลูกค้าของเราได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อร่วมมือกับ Gradiant เราจะมีจุดยืนในฐานะผู้นำในการให้บริการโซลูชันน้ำชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ในยุโรป”

สัญญานี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับ H+E, Gradiant, และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปคาดว่าจะเริ่มโปรเจ็กนี้ได้ในทันทีและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2025

เกี่ยวกับ Gradiant

Gradiant เป็นบริษัทผลิตน้ำที่แตกต่างจากบริษัทอื่นๆ ด้วยโซลูชันเต็มรูปแบบที่มีความแตกต่างและเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียขั้นสูงซึ่งขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำชั้นนำ บริษัทให้บริการด้านการดำเนินงานที่มีความสำคัญต่อภารกิจสำหรับลูกค้าในอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลก รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ เภสัชกรรม อาหารและเครื่องดื่ม ลิเธียมและแร่ธาตุสำคัญและพลังงานทดแทน โซลูชันที่เป็นนวัตกรรมของ Gradiant ช่วยลดการใช้น้ำและน้ำเสียที่ระบายออก เรียกคืนทรัพยากรอันมีค่าและเปลี่ยนน้ำเสียให้เป็นน้ำจืด บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บอสตัน ก่อตั้งขึ้นที่ MIT และมีพนักงานมากกว่า 1,000 คนทั่วโลก ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ gradiant.com

เกี่ยวกับ H+E Group

H+E Group มีฐานที่ตั้งอยู่ในเมือง Stuttgart ประเทศเยอรมันมากว่า 100 ปี เป็นผู้นำระดับโลกในด้านการบำบัดน้ำ      จากอุตสาหกรรม การบำบัดน้ำเสียและการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ H+E Group มีการส่งมอบโครงการน้ำสำหรับอุตสาหกรรมเป็นจำนวน 30,000 โครงการและได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายสำนักงานทั่วโลกทั่วยุโรปและเอเชีย บริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั่วโลกไว้วางใจ H+E สำหรับโซลูชันน้ำที่สำคัญของพวกเขา ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ he-water.group

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53881865/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้นและควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Felix Wang
Gradiant, VP of Marketing
fwang@gradiant.com

แหล่งข้อมูล: Gradiant

การอภิปรายการค้าอย่างยั่งยืนแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมเพื่อมอบโซลูชันด้านการค้าในการประชุม COP28

Logo

– งานอภิปราย Sustainable Trade Forum จัดขึ้นโดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของ UAE โดยเป็นพันธมิตรกับ Capital.com และ Vinfast

– งานจัดขึ้นพร้อมกันกับงาน Trade Day ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในการประชุม COP28

– การชุมนุมธุรกิจระดับโลกและผู้นำด้านการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ สาธารณูปโภค และอาหาร

อาบูดาบี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ –(BUSINESS WIRE)–5 ธันวาคม 2023

ด้วยการเป็นพันธมิตรกันระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมกับบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินระดับโลกอย่าง Capital.com และ VinFast ซึ่งเป็นผู้นำการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าของเวียดนาม ได้ร่วมกันจัดการอภิปราย Sustainable Trade Forum ที่การประชุม COP28 ใน Expo City ในดูไบ โดยองค์ประกอบหลักของ Trade Day ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกในการประชุมของพันธมิตรนี้ ได้มีการรวมบริษัทระดับโลกและผู้นำด้านการลงทุนมาไว้ด้วยกันเพื่อร่วมแสดงทัศนคติของภาคเอกชนต่อการค้าระดับโลกและบทบาทในการวางแนวทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสภาพอากาศมากขึ้น

HE Dr. Thani bin Ahmed Al Zeyoudi, UAE Minister of State for Foreign Trade (Photo: AETOSWire)

คุณ HE Dr. Thani bin Ahmed Al Zeyoudi รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ (รูปภาพ: AETOSWire)

คุณ HE Dr Thani bin Ahmed Al Zeyoudi รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้เปิดงานอภิปรายนี้ ได้เน้นในการสนทนาถึงความสำคัญของการค้าต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก และบทบาทของภาคเอกชนในการมอบโซลูชันที่สามารถสร้างผลกระทบที่สำคัญในระยะยาวได้ ในการอภิปรายยังกล่าวถึงหัวข้อ ‘การเสริมความแข็งแกร่งให้กับความสามารถของกลุ่มบุคคลผู้มีส่วนในระบบห่วงโซ่อุปทาน โดยติดตามเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก’ และ ‘การสนับสนุนธุรกิจสีเขียว: การส่งเสริมระบบนิเวศธุรกิจรายใหม่ที่มุ่งเน้นความยั่งยืน และยังมีกล่าวถึงข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรมการขนส่ง ยานยนต์ สาธารณูปโภค และอาหาร  

คุณ HE Al Zeyoudi กล่าวว่า “แม้ผู้วางนโยบายและนักการเมืองจะสามารถวางโครงร่างได้ แต่เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการต้องนำโซลูชันที่มีขนาดเหมาะสมและเป็นจริงได้มาสู่ตลาด โดยการเชื่อมประสานระหว่างผู้วางนโยบายและผู้นำภาคเอกชน ในการอภิปราย Sustainability Trade Forum มุ่งเน้นอย่างชัดเจนไปที่ก้าวอันสำคัญสู่ระบบการค้าที่สะอาด อัจฉริยะ รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม และสามารถเคลื่อนพวกเราให้เข้าใกล้เป้าหมายของ Paris Accords ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด”

ท่านรัฐมนตรียังกล่าวเสริมอีกว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์พัฒนาสู่ World Trade Organization’s 13th Ministerial Conference (MC13) ซึ่งจะจัดขึ้นในอาบูดาบี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่ง Sustainable Trade Forum เป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญสำหรับความคิดเห็นของกลุ่มคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับวิธีการวางแนวทางระบบการค้าระดับโลกที่ทันสมัยที่เปิดกว้าง ครอบคลุม และเท่าเทียม ทั้งยังเป็นวิธีการให้ประเทศสามารถเดินทางไปสู่เป้าหมายการจัดการด้านสภาพอากาศได้อีกด้วย

ทั้งนี้ในระหว่างการอภิปราย คุณ Le Thi Thu Thuy ซีอีโอระดับโลกของ Vinfast ยังได้เน้นย้ำถึงการมีบทบาทชั้นนำของยานยนต์ไฟฟ้าในการสร้างห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน โดยกล่าวว่า “แน่นอนว่า การแทนที่ยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม ด้วยรถยนต์ EV จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ และยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดและการใช้แหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หากเรามองไปในอนาคตข้างหน้า การผสานรวมของรถยนต์ EV กับห่วงโซ่คุณค่าของโลกจะทำให้มีกลยุทธ์อันทรงพลังในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นขึ้น”

ในส่วนนี้ Kypros Zoumidou, กลุ่มซีอีโอของ Capital.com ได้กล่าวว่า “การมุ่งมุ่นในโครงร่างธุรกิจใหม่ที่นำไปสู่ความยั่งยืนขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ประกอบการในการที่จะเริ่มดำเนินการโครงการโดยเร็วตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่ความเร็วและความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสนับสนุนจากนักลงทุนและระบบนิเวศที่เข้มแข็ง ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมธุรกิจ เรายอมรับว่าการร่วมเป็นพันธมิตรที่ชาญฉลาดระหว่างรัฐบาลและภาคธุรกิจสามารถที่จะผลักดันความก้าวหน้านี้ได้จริง”

นอกเหนือจากซีอีโอของ Vinfast และ Capital.com แล้วในการอภิปรายยังได้มีการปราศรัยจากผู้แทนรัฐบาลสกอต ได้แก่ NYU Abu Dhabi, Ducab Group, Uber, Al Dahra Group, IBM Consulting, ADNOC, General Electric, Princeville Capital, Orbillion Bio, Inc., Wamda Group และ Change Foods

ที่มาAETOSWire

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/53866727/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Elisha Dessurne
edessurne@apcoworldwide.com

ที่มา: ระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

H2SITE ตั้งค่าให้ระบบสลายแอมโมเนียออนบอร์ดเครื่องแรกสร้างไฮโดรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงควบคู่กับเซลล์เชื้อเพลิง PEM

Logo

  • การขนส่งทางทะเลคิดเป็น 2% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก แอมโมเนียและเมทานอลเป็นตัวนำพาที่มีแนวโน้มสูงที่สุดในการลดการปล่อยคาร์บอน
  • H2SITE มีการผลิตไฮโดรเจนบริสุทธิ์จากแอมโมเนียออนบอร์ด ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การสลายแอมโมเนีย” โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนในตัว เมื่อเชื่อมต่อกับเซลล์เชื้อเพลิง PEM ไฮโดรเจนจะถูกใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าระบบเสริมสำหรับเรือ
  • หลังการพิสูจน์เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนบูรณาการสำหรับการใช้งานทั้งออนบอร์ดและบนบก H2SITE ยังคงขยายขอบเขตครอบคลุมเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มระดับประสิทธิภาพที่สูงยิ่งขึ้น

BILBAO,Spain–(BUSINESS WIRE)–6 ธันวาคม 2023

H2SITE ประสบความสำเร็จในการตรวจสอบเครื่องสลายแอมโมเนียเครื่องแรกในการผลิตไฮโดรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงสำหรับการผลิตไฟฟ้าบนเรือ โดยใช้เซลล์เชื้อเพลิง PEM เครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนบูรณาการได้รับการติดตั้งและใช้งานบนเรือขนส่งสินค้า BERTHA B ซึ่งแล่นไปตามชายฝั่งอ่าวบิสเคย์

H2SITE HAS COMMISSIONED THE FIRST ON-BOARD AMMONIA CRACKING SYSTEM GENERATING HIGH-PURITY HYDROGEN COUPLED WITH PEM FUEL CELL.

H2SITE ตั้งค่าให้ระบบสลายแอมโมเนียออนบอร์ดเครื่องแรกสร้างไฮโดรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงควบคู่กับเซลล์เชื้อเพลิง PEM

การขนส่งทางทะเลมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 2% ของโลก จึงมีการนำเสนอศักยภาพที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการเปลี่ยนจากไฮโดรคาร์บอนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสีเขียว เช่น

การสลายแอมโมเนียกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งในฐานะตัวนำพาไฮโดรเจนที่มีศักยภาพสำหรับการใช้งานออนบอร์ด โดยสามารถใช้งานกับเครื่องยนต์ได้โดยตรง หรือสามารถสลายเป็นไฮโดรเจนและใช้ในเซลล์เชื้อเพลิง ก่อนที่จะใช้งานไฮโดรเจน จะต้องทำไฮโดรเจนให้บริสุทธิ์เสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีแอมโมเนียหลงเหลือ

เครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนของ H2SITE จะช่วยตรวจสอบให้แน่ใจว่า มีการเปลี่ยนรูปแอมโมเนียทั้งหมด ในขณะเดียวกัน ก็มีการถ่ายส่งไฮโดรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงไปยังเซลล์เชื้อเพลิงในขั้นตอนกระบวนการเดียว ในระหว่างการเดินเรือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ H2OCEAN เครื่องสลายของ H2SITE สามารถให้พลังงานขับเคลื่อนบริการเสริมของเรือได้เป็นที่สำเร็จ ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือกันของผู้ดำเนินการหลักที่มีส่วนในการลดระดับคาร์บอนทางทะเล เช่น Zumaia Offshore, Erhardt Offshore, Ajusa, และ TECNALIA พร้อมกับความร่วมมือกับ Enagas และ ABS

เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนที่เป็นนวัตกรรมของเราไม่เพียงแต่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเท่านั้น แต่ยังลดพื้นที่ในการติดตั้งอีกด้วย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการใช้งานภายในพื้นที่จำกัด เช่น บนเรือ . to Jose Medrano ผู้อำนวยการด้านเทคนิคของ H2SITE กล่าว “เรามุ่งเน้นในการออกแบบเพื่อลดการใช้แอมโมเนียลงให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญหลักที่จะช่วยให้สามารถป้อนพลังงานเข้าแหล่งจ่ายพลังงานได้สูงขึ้นอย่างเพียงพอ

โครงการนี้นับเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับ H2SITE ในการลดการปล่อยคาร์บอนของการขนส่งทางทะเล

เกี่ยวกับ H2SITE:

H2SITE ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 และมีการพัฒนาเทคโนโลยีพิเศษเฉพาะสำหรับเครื่องปฏิกรณ์และเครื่องแยก โดยอำนวยความสะดวกในการแปลงวัตถุดิบตั้งต้นต่างๆ ให้กลายเป็นไฮโดรเจน รวมถึงแอมโมเนีย เมทานอล หรือก๊าซสังเคราะห์ ตลอดจนการแยกไฮโดรเจนออกจากส่วนผสมของก๊าซที่มีความเข้มข้นต่ำสำหรับการใช้งานในถ้ำเกลือหรือแหล่งไฮโดรเจนทางธรณีวิทยา

ติดต่อ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม:
Andrés Galnares, CEO de H2SITE: andres.galnares@h2site.eu

แหล่งข้อมูล: H2SITE

Abdulaziz Al-Gudaimi ผู้มากประสบการณ์จาก Aramco จะเข้าร่วม EIG ในตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาและประธานหน่วยปฏิบัติงานของ MENA

Logo

WASHINGTON–(BUSINESS WIRE)–1 ธันวาคม 2023

วันนี้ EIG สถาบันการลงทุนชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ประกาศว่า Abdulaziz Al-Gudaimi ได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาและประธานหน่วยปฏิบัติงาน Middle East & North Africa (หรือ “MENA”) ของ EIG โดย Al-Gudaimi อดีตรองประธานกรรมการบริหารของฝ่ายพัฒนาบรรษัทของ Saudi Aramco (หรือ “Aramco”) ผู้มีประสบการณ์กว่า 38 ปี ในตลาดพลังงาน จะมาเป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์แก่ EIG ในกิจกรรมภาคการลงทุนและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค

(Photo: Business Wire)

(ภาพ: Business Wire)

“เราตื่นเต้นที่จะได้ต้อนรับ Abdulaziz สู่บริษัทของเรา” R. Blair Thomas ประธานและซีอีโอของ EIG กล่าว “ความเชี่ยวชาญที่ลึกซึ้งและประสบการณ์ที่สั่งสมมานานใน MENA จะเป็นหลักสำคัญที่จะช่วย EIG ในการหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติมทั่วทั้งภาคพลังงานสำคัญและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน และเป็นประโยชน์ต่อพอร์ตการลงทุนบริษัทของเราที่อยู่ท่ามกลางความท้าทายอันซับซ้อนของการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตที่ใช้คาร์บอนต่ำ”

“ผมได้รู้จักกับ Blair และทีม EIG จากความร่วมมือกับ Aramco และผมพร้อมมากที่จะสร้างผลงานสานต่อจากความสำเร็จของพวกเขาในภูมิภาค” Al-Gudaimi กล่าว “ขณะที่การเปลี่ยนผ่านพลังงานทวีความสำคัญอย่างต่อเนื่องและแผ้วถางเส้นทางสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า EIG จัดวางตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองอย่างดีในการหาโอกาสยกระดับความเชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติงาน และสนับสนุนการงดใช้คาร์บอนของภาคพลังงานในภูมิภาค ผมเตรียมที่จะช่วยสร้างมูลค่าด้านในพอร์ตการลงทุนให้กับทั้งบริษัทและผู้ลงทุนด้วย”

Al-Gudaimi เคยดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารฝ่ายพัฒนาบรรษัทที่ Aramco ก่อนจะเกษียณจากตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2022 ครั้งยังดำรงตำแหน่งนี้ เขาได้ช่วย Aramco ให้เข้าถึงโอกาสครั้งใหญ่ในตลาดที่กำลังเติบโตและเทคโนโลยีด้วยการสร้างพอร์ตการลงทุนที่ดีและการจัดวางกลยุทธ์ ก่อนหน้านี้ Al-Gudaimi ผ่านการดำรงตำแหน่งในบทบาทผู้นำที่ Aramco มามากมาย ทั้งรองประธานอาวุโสของ Downstream และรองประธานของ Power Systems ปัจจุบัน Al-Gudaimi ทำงานในฐานะฝ่ายบริหารของ Vision Invest Holding และ Saudi Alfransi Bank รวมถึงเคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ Enterprises LLC, Arlanxeo, Saudi Aramco Total Refining และ Petrochemical Company, Aramco Trading Company รวมถึง Petro Rabigh ด้วย เขาสำเร็จการศึกษาด้วยวุฒิวิทยาศาสตรบัณฑิตในสาขาวิศวกรรมปิโตรเลียม และมหาบัณฑิตการจัดการด้านธุรกิจ

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นสถาบันการลงทุนชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่ดูแลจัดการทุนมูลค่ากว่า 23 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 30 กันยายน 2023 EIG มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการลงทุนภาคเอกชนในพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ตลอดประวัติของบริษัท 41 ปี EIG ได้ลงทุนไปกว่า 45.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในภาคพลังงานผ่านโครงการมากกว่า 400 โครงการ หรือ บริษัทใน 42 ประเทศในหกภูมิภาค ลูกค้าของ EIG มีทั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกัน กองทุนการกุศล และมูลนิธิชั้นนำมากมาย รวมถึงกองทุนความมั่งคั่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ใน Washington, D.C. รวมถึงสำนักงานอื่นที่ Houston, London, Sydney, Rio de Janeiro, Hong Kong และ Seoul

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

แหล่งข้อมูล: EIG

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53864962/en

ผู้นำอุตสาหกรรมสีเขียวระดับโลกมารวมตัวกันที่งาน Eco Expo Asia 2023

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–3 ตุลาคม 2023

Eco Expo Asia 2023 จัดโดยองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกงและบริษัท Messe Frankfurt (HK) Ltd ร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยาของรัฐบาลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จะเปิดตัวระหว่างวันที่ 26 – 29 ตุลาคม ในงาน AsiaWorld-Expo ในฮ่องกง พร้อมบริการการจับคู่ธุรกิจออนไลน์ “Click2Match” ที่เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม ถึง 6 พฤศจิกายน

Global Green Industry Leaders Unite at Eco Expo Asia 2023 (Photo: Business Wire)

ผู้นำอุตสาหกรรมสีเขียวระดับโลกมารวมตัวกันที่งาน Eco Expo Asia 2023 (รูปภาพ: Business Wire)

งานแสดงนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “ก้าวกระโดดสู่ความเป็นกลางคาร์บอน” มีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมบุคคลสำคัญจากจีนแผ่นดินใหญ่และอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อมทั่วโลก เพื่อส่งเสริมแนวคิดต่างๆ เช่น การลดคาร์บอน เศรษฐกิจหมุนเวียน และพลังงานใหม่ โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการเปลี่ยนฮ่องกงให้เป็นศูนย์กลางระดับนานาชาติสำหรับเทคโนโลยีสีเขียวและการเงิน นอกเหนือจากกลุ่มบริษัทจัดแสดงนิทรรศการที่กลับมาจากแคนาดาและญี่ปุ่นแล้ว ยังมีกลุ่มบริษัทใหม่หลายกลุ่มจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่จะเข้าร่วมเป็นครั้งแรกด้วย

Eco Expo Asia ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area) โดยมีส่วนจัดแสดงใหม่ของเขตบริหารพิเศษมาเก๊าและเมืองจงซาน รวมถึงส่วนจัดแสดงไฮโดรเจนที่ประกอบด้วยบริษัทฮ่องกงต่างๆ เข้าร่วมด้วย ตลอดจนการกลับมาของส่วนจัดแสดงกว่างโจวและเสินเจิ้น งานจัดแสดงสินค้าครั้งนี้จะช่วยฟื้นคืนบทบาทของฮ่องกงในการเร่งความร่วมมือระหว่างกันภายในมหานครที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ ส่วนจัดแสดงใหม่อื่นๆ จากจีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ ส่วนจัดแสดงจากมณฑลเจียงซูและหูหนาน รวมถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีนักลงทุนชั้นนำในด้านพลังงานหมุนเวียน ไฮโดรเจน การเงินสีเขียว และอื่นๆ งานจัดแสดงสินค้าในปีนี้ยังดึงดูดนักลงทุนชั้นนำในอุตสาหกรรมสีเขียวจากทั่วโลก ที่มีการยืนยันการเข้าร่วมจาก 11 ประเทศและภูมิภาคด้วย

การประชุมประจำปี Eco Asia Conference  เป็นส่วนที่ไม่ควรพลาด วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจะมาแบ่งปันมุมมองและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญต่างๆ รวมถึง “กรอบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับสิ่งแวดล้อมที่สร้างขึ้น”, “แนวโน้มแนวคิดการพัฒนายั่งยืน (ESG) ที่เปลี่ยนแปลงและอนาคตของการเงินที่ยั่งยืน” และเทคโนโลยีดิจิทัลแบบหมุนเวียน ไฮไลท์อื่นๆ ได้แก่ การสัมมนา “C40 Climate Action (ภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย) เซสชันที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลฮ่องกง และพิธีเปิดตัว “การสร้างพื้นที่อ่าวขยะเป็นศูนย์” ซึ่งเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (GBA) ในเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน

งานจัดแสดงสินค้านี้จะเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมในวันสุดท้ายเพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตสีเขียว ผู้เข้าชมสามารถเข้าร่วมเวิร์กช็อปด้านสิ่งแวดล้อม การสัมมนา ตลาดสีเขียว และศูนย์หางาน ESG ใหม่ล่าสุดได้

ลงทะเบียนตอนนี้เพื่อรับ e-Badge ฟรี- https://tinyurl.com/2p8942h8

เว็บไซต์www.ecoexpoasia.com

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53569098/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

โปรดติดต่อแผนกนิทรรศการของ HKTDC:
Jojo Li/Joanne Ma
โทรศัพท์: (852)22404136/22404602
อีเมล: jojo.ty.li@hktdc.org /joanne .ts.ma@hktdc.org

ที่มา: องค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง

JAIMA: ข้อมูลการประชุมสัมมนาหัวข้อ “สังคมคาร์บอนเป็นกลางและพลังงานชีวมวล” (ที่จัดขึ้นในประเทศไทย)

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–26 กันยายน 2023

Japan Analytical Instruments Manufacturers' Association (JAIMA ที่อยู่: 2-5-16 Kanda Nishiki-cho, Chiyoda-ku, Tokyo 101-0054 ประธาน: Masayuki Adachi/ประธานบริษัท Horiba, Ltd.) จะจัดการประชุมสัมมนาหัวข้อ “สังคมคาร์บอนเป็นกลางและพลังงานชีวมวล'' ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย

สังคมยุคใหม่กำลังเผชิญกับราคาพลังงานที่สูงขึ้นและการขาดแคลนแหล่งพลังงานที่ถือเป็นความท้าทายสำคัญ จึงได้ทำงานอย่างแข็งขันเพื่อให้บรรลุสังคมคาร์บอนเป็นกลางรวมถึงรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ในขณะเดียวกัน ดังนั้น JAIMA จึงได้ตัดสินใจจัดการประชุมสัมมนาในหัวข้อนี้โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิจัย รัฐบาล และบริษัทที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่นและไทย

หัวข้อเรื่อง: “สังคมคาร์บอนเป็นกลางและพลังงานชีวมวล”
วันที่และเวลา: 20 ตุลาคม 2023 (วันศุกร์) 9.00-17.00 น. ตามเวลาประเทศไทยและ 11.00-19.00 น. ตามเวลาญี่ปุ่น
สถานที่: โรงแรม Best Western Nada DonMueang Airport (สถานที่จัดงานในกรุงเทพฯ ประเทศไทย)
(https://bwnadadonmueang.com)
วิธีการจัดงาน: ห้องประชุมที่โรงแรม Best Western Nada Don Mueang Airport และเชื่อมต่อผ่าน ZOOM
ภาษา: อังกฤษ
ค่าธรรมเนียมการเข้าร่วม: ฟรี (มีอาหารกลางวันและกาแฟ/เครื่องดื่มให้บริการ)
การสมัครเข้าร่วม: โปรดสมัครเข้าร่วมจาก URL ด้านล่างนี้
https://www.jaima.or.jp/en/event/apply_cnbs/

ความร่วมมือ: JASTIP Japan-ASEAN Science, Technology and Innovation Platform/NEDO New Energy and Industrial Technology Surgery Research Organization/สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC)/สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)/สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประเทศญี่ปุ่น (JST)/METI-KANSAI Bureau of Economy, Trade and Industry/JEMIMA Japan Electric Measuring Instruments Manufacturer’s Association/สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย/สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี TPA (ไทย-ญี่ปุ่น)/สมาคมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ญี่ปุ่น-ไทย (JTECS)/มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์/สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC)

โปรแกรม:

กล่าวต้อนรับ:

JAIMA สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (TPA)

การบรรยายสำคัญ:

นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนและพลังงานชีวมวลในประเทศไทยและญี่ปุ่น โดย สวทช./ENTEC และ NEDO

กรณีศึกษา:

ความพยายามในการใช้พลังงานชีวมวล – โดย ENTEC/สวทช.

“การปรับปรุงกระบวนการแปรสภาพเป็นแก๊สและก๊าซชีวภาพด้วยกระบวนการแปรสภาพเป็นแก๊สสามขั้นตอนและก๊าซชีวภาพสองขั้นตอน” โดย วว.

“ไพโรไลซิส เทคโนโลยีทางเลือกในการกลั่นชีวภาพและกิจกรรมหน่วยวิจัยด้านพลังงานชีวภาพและการเร่งปฏิกิริยา (BCRU) แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“การแปลงขยะลิกโนเซลลูโลสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพลังงานชีวภาพ: ควบคุมการย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจนด้วยจุลินทรีย์เขตร้อน” โดย VISTEC

ประสบการณ์ด้านพลังงานชีวมวลของญี่ปุ่นโดย Maniwa Biomass Power Plant และ J&T Environment Company

การนำเสนอทางเทคนิคโดย JAIMA และ JEMIMA และบริษัทที่เกี่ยวข้อง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

ข้อมูลการติดต่อ
JAIMA Dr. Naoki Hamada
อีเมล: hamada@jaima.or.jp  โทร: +81-3-3292-0642

ที่มา: Japan Analytical Instrument Manufacturers Association

แอสตร้าเซนเนก้าเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานสะอาดและความร้อนของสหราชอาณาจักรด้วยเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์

Logo

ทำข้อตกลงระยะเวลา 15 ปีกับ Future Biogas เพื่อจัดหาก๊าซสีเขียว (ไบโอมีเทน) 100 GWh ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับความต้องการความร้อนของบ้านกว่า 8,000 ครัวเรือน

โครงการนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนให้กับโครงข่ายก๊าซแห่งชาติ และนับเป็นระบบไบโอมีเทนเชิงพาณิชย์แห่งแรกในสหราชอาณาจักร

ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่โรงงานผลิตยาที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักรในเมืองแมคเคิลฟิลด์ ผ่านการติดตั้งระบบผลิตความร้อนและไฟฟ้าร่วม

แคมบริดจ์, สหราชอาณาจักร–(BUSINESS WIRE)–23 กันยายน 2023

แอสตร้าเซนเนก้าเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยการร่วมมือกับ Future Biogas เป็นเวลา 15 ปี เพื่อจัดหาก๊าซไบโอมีเทนเชิงอุตสาหกรรมแห่งแรกในสหราชอาณาจักรที่ไม่ต้องอาศัยเงินอุดหนุน และลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการดำเนินงานของบริษัท รวมเป็นเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์

A Future Biogas biomethane plant (Photo: Business Wire)

Future Biogas โรงงานก๊าซชีวภาพไบโอมีเทนแห่งอนาคต (รูปภาพ: Business Wire)

พลังงานจากโรงงานผลิตไบโอมีเทนจะจัดหาก๊าซไบโอมีเทน 100 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ต่อปีให้กับโรงงานของแอสตร้าเซนเนก้าในเมืองแมคเคิลฟิลด์ แคมบริดจ์ ลูตัน และสเปก ซึ่งเทียบเท่ากับความต้องการพลังงานความร้อนของบ้านกว่า 8,000 ครัวเรือน เมื่อโครงการนี้เริ่มดำเนินการในต้นปี 2025 จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 20,000 ตัน CO เทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2e) และเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนให้กับโครงข่ายก๊าซแห่งชาติ

โรงงานย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์และความร่วมมือระยะยาวกับ Future Biogas เป็นต้นแบบสำหรับการนำก๊าซหมุนเวียนมาใช้ในเชิงพาณิชย์ในสหราชอาณาจักร ตลาดไบโอมีเทนที่แข่งขันได้จะมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กลายเป็นศูนย์ii

สำหรับการเปลี่ยนผ่านเพื่อนำไปสู่การใช้ความร้อนสะอาดในสหราชอาณาจักร จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่วิทยาเขตแมคเคิลฟิลด์ของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นสถานที่พัฒนาและผลิตยาที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร รวมถึงการปรับปรุงครั้งใหญ่ของโรงไฟฟ้าผลิตความร้อนและไฟฟ้าร่วม (CHP) ของไซต์ ซึ่งจะประหยัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2e) เพิ่มเติมได้ 16,000 ตันต่อปี นอกเหนือจากการปรับปรุงอาคารและปรับปรุงพื้นที่สำหรับการผลิตและบรรจุยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพเหล่านี้จะสนับสนุนการดำเนินงานที่ยั่งยืนในระยะยาวของวิทยาเขตแมคเคิลฟิลด์ที่ส่งมอบยามากกว่า 90 ล้านแพ็คไปสู่กว่า 130 ประเทศ

การก้าวสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน 100% เป็นพันธกิจสำคัญในโครงการ Ambition Zero Carbon ที่ผลักดันเป้าหมายของแอสตร้าเซนเนก้ามุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในวงโคจรทั้งหมดของบริษัท (ขอบเขต 1 ถึง 3) ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ตามหลักวิทยาศาสตร์ภายในปี 2045 อย่างช้าที่สุด แอสตร้าเซนเนก้ากำลังดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากการดำเนินงานทั่วโลก (ขอบเขต 1 และ 2) ลง 98% ภายในปี 2026

จูเลียต ไวท์ รองประธานฝ่ายความยั่งยืน ความปลอดภัย สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมระดับโลกของแอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นจากการทุ่มงบประมาณ 100 ล้านปอนด์แสดงให้เห็นว่าเราให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอนในการคิดค้น พัฒนา และผลิตยา และการสานต่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับไซต์งานของเราทั่วทั้งสหราชอาณาจักรและทั่วโลก โดยการเป็นผู้นำในการนำความร้อนสะอาดมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เรากำลังคิดค้นนวัตกรรมเพื่อขยายการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้เป็นส่วนหนึ่งในเศรษฐกิจหมุนเวียน และขับเคลื่อนการดำเนินงานของเราสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์”

ฟิลลิป ลูคัส ซีอีโอของ Future Biogas กล่าวว่า “ความร่วมมือของเราและแอสตร้าเซนเนก้าได้ตอกย้ำสถานะผู้นำระดับโลกในการก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์” ทั้งนี้ประโยชน์ของโครงการนี้ยังนำไปสู่ความมั่นคงอันเกิดจากความร่วมมือทางการเกษตรระยะยาว ยังสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่แนวทางปฏิบัติทางการเกษตรแบบฟื้นฟู ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและการเกษตรที่ส่งเสริมการดูแลรักษาดินของสหราชอาณาจักร เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะกลายเป็นต้นแบบที่องค์กรนวัตกรรมอื่นๆ จะนำไปปรับใช้ในทิศทางเดียวกัน”

ไซต์นี้จะใช้ประโยชน์จากพืชที่ปลูกในท้องถิ่นเป็นวัตถุดิบ และส่งเสริมฟาร์มด้วยแนวทางการจัดการที่ดินแบบยั่งยืน ซึ่งจะเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตรแบบหมุนเวียน การปลูกพืชพลังงานชีวภาพเป็นส่วนหนึ่งของการปลูกพืชหมุนเวียนที่หลากหลายตามแนวทางปฏิบัติทางการเกษตรแบบฟื้นฟู ซึ่งจะช่วยการหมุนเวียนของธาตุและสารอาหาร และปรับปรุงสุขภาพดิน

ใบรับรองการรับประกันแหล่งกำเนิดก๊าซหมุนเวียน (RGGO) จะถูกส่งไปยังแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อรับรองว่าจะไม่มีการนับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซ้ำซ้อน

โรงงานแห่งใหม่นี้มีประสิทธิภาพในการดักจับและกักเก็บคาร์บอนพลังงานชีวภาพ (BECCS) ซึ่งอำนวยความสะดวกการดำเนินงานที่เป็นคาร์บอนลบของโรงงานแอสตร้าเซนเนก้า มีเป้าหมายที่จะแยกคาร์บอนผ่านโครงการ “Northern Lights” ในนอร์เวย์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนอร์เวย์

ความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในสหราชอาณาจักรล่าสุดในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากความร่วมมือด้านนวัตกรรมอื่นๆ ที่ประกาศไปเมื่อต้นปีนี้ ในสหรัฐอเมริกา แอสตร้าเซนเนก้ากำลังร่วมมือกับ Vanguard Renewables เพื่อเริ่มใช้งานการจัดส่งไบโอมีเทนไปยังไซต์งานทั้งหมดในสหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2026 นอกจากนี้บริษัทยังได้ลงนามในข้อตกลงกับ Statkraft ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดของยุโรป เพื่อเพิ่มการจัดหาไฟฟ้าหมุนเวียนในสวีเดน

หมายเหตุ

ก๊าซชีวภาพและไบโอมีเทนiii

ก๊าซชีวภาพผลิตโดยการหมักอินทรียวัตถุในถังย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจน ไบโอมีเทนเป็นก๊าซชีวภาพที่นำผลพลอยได้ของคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ส่งผลให้ไบโอมีเทนมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติ และช่วยให้สามารถฉีดเข้าสู่โครงข่ายก๊าซแห่งชาติได้ ในโรงงานของ Future Biogas วัตถุดิบตั้งต้นจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์หรือเป็นลบ และหมายความว่าไบโอมีเทนเป็นพลังงานหมุนเวียน 100% ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก

พืชพลังงานที่ปลูกสำหรับ Future Biogas จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากชั้นบรรยากาศในระหว่างการเจริญเติบโต เมื่อเก็บเกี่ยวและจัดเก็บแล้ว พืชพลังงานจะถูกป้อนเข้าไปในถังย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งแบคทีเรียจะสลายอินทรียวัตถุโดยปราศจากออกซิเจน และปล่อยก๊าซชีวภาพออกมา กากที่เหลือเป็นปุ๋ยอินทรีย์ (ย่อย) ซึ่งร่วมกับการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนการทำฟาร์มช่วยเร่งการดักจับคาร์บอนในดิน

พลังงานชีวภาพที่มีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (BECCS)iv

พลังงานชีวภาพที่มีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (BECCS) เป็นเทคนิคการกำจัดคาร์บอนเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ ชีวมวล (วัสดุอินทรีย์) จะถูกแปลงเป็นความร้อน ไฟฟ้า ของเหลวหรือเชื้อเพลิงก๊าซ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการแปลงพลังงานชีวภาพนี้จะถูกดักจับและเก็บไว้ในรูปแบบทางธรณีวิทยาหรือฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่อยู่ได้นาน จะไม่ใช้ CO2 ที่ฉีดเข้าไปเพื่อการนำน้ำมันกลับมาใช้ใหม่

เกี่ยวกับ Future Biogas

Future Biogas คือบริษัทอุตสาหกรรมระดับแนวหน้าในการย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจน (AD) บริษัทเป็นผู้พัฒนาและผู้ดำเนินการโรงงาน AD ที่มีประสบการณ์สูงทั่วสหราชอาณาจักร และให้บริการการพัฒนา การก่อสร้าง การดำเนินงาน การปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างต่อเนื่อง และการจัดการสินทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ ให้กับโครงการที่เป็นเจ้าของและแก่บุคคลที่สาม โรงงาน Future Biogas แห่งอนาคตจะเปลี่ยนวัตถุดิบตั้งต้นหลายประเภทให้กลายเป็นพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด ผ่านกระบวนการย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจนซึ่งผลิตก๊าซชีวภาพให้สามารถนำมาใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าสีเขียวหรืออัปเกรดเป็นไบโอมีเทนและฉีดเข้าไปในเครือข่ายก๊าซแห่งชาติของสหราชอาณาจักร

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.futurebiogas.com.*

เกี่ยวกับ Northern Lights

Northern Lights กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิดและยืดหยุ่นในการขนส่ง CO2 จากผู้ปล่อยก๊าซอุตสาหกรรมทางเรือไปยังสถานีรับทางตะวันตกของนอร์เวย์เพื่อจัดเก็บระดับกลาง ก่อนที่จะขนส่งทางท่อเพื่อจัดเก็บถาวรในอ่างเก็บน้ำทางธรณีวิทยาที่ลึก 2,600 เมตรใต้ก้นทะเล โดยการดำเนินการมีกำหนดจะเริ่มในปี 2024 สิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าวอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะช่วยให้ Northern Lights สามารถให้บริการขนส่งพร้อมการจัดเก็บที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้แก่ผู้ปล่อยก๊าซอุตสาหกรรมจากทั่วยุโรป ซึ่งให้ความสนใจเพิ่มขึ้นจากภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ ความสามารถในการขนส่งและการจัดเก็บเพิ่มเติมจะได้รับการพัฒนาตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://northernlightsccs.com/.*

เกี่ยวกับ AstraZeneca

แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จากแอสตร้าเซนเนก้า

ด้วยมรดกอันน่าภาคภูมิใจที่มีมายาวนานกว่า 100 ปีในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของสหราชอาณาจักร ปัจจุบันแอสตร้าเซนเนก้าคือบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำของสหราชอาณาจักร แอสตร้าเซนเนก้ามีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในห้าแห่งทั่วประเทศ โดยมีสำนักงานใหญ่ระดับโลกตั้งอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ ในสหราชอาณาจักร พนักงานประมาณ 8,700 คนทำงานในด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต การจัดหา การขาย และการตลาด เราจัดหายาเพื่อการรักษาโรคชนิดต่างๆ ประมาณ 35 รายการให้กับ NHS

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาไปยังเว็บไซต์ www.astrazeneca.co.uk และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZenecaUK

อ้างอิง

ข่าวประชาสัมพันธ์

1:

ค่าการบริโภคภายในประเทศโดยทั่วไปของ Ofgem (TDCV) อยู่ที่ 12,000 kWh สำหรับอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง

2:

การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน – การทบทวนพลังงานชีวภาพ (2023) รายงานพลังงานชีวภาพของ IEA ปี 2023

ดูได้ที่: https://www.ieabioenergyreview.org/transitioning-towards-sustainability/ [เข้าถึงล่าสุด: 06 กันยายน 2023]

3:

IEA (มีนาคม 2020) ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับก๊าซชีวภาพและไบโอมีเทน ออนไลน์: https://www.iea.org/reports/outlook-for-biogas-and-biomethane-prospects-for-organic-growth/an-introduction-to-biogas-and-biomethane [เข้าถึงล่าสุด: 07 กันยายน 2023 ]

4:

IEA (2023) พลังงานชีวภาพที่มีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน – ระบบพลังงาน, IEA ดูได้ที่: https://www.iea.org/energy-system/carbon-capture-utilisation-and-storage/bioenergy-with-carbon-capture-and-storage [เข้าถึงล่าสุด: 07 กันยายน 2023]

_________________________________

*บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ที่เป็นผลหรือสืบเนื่องจากการที่ผู้ใช้บริการเข้าใช้เว็บไซต์นี้หรือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์นี้

รายชื่อติดต่อ

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการติดต่อทีมนักลงทุนสัมพันธ์ กรุณาคลิก ที่นี่ สำหรับการติดต่อสื่อ คลิก ที่นี่

ที่มา: AstraZeneca

การเร่งการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตที่มีคาร์บอนต่ำของ Black & Veatch

Logo

เปิดตัว eBook เล่มใหม่ล่วงหน้าก่อนงาน Gastech 2023 เนื่องจากในภาวะการแข่งขันที่สูงทั่วโลกของการรักษาอุปทานของ LNG

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE )–14 กันยายน 2023

ความต้องการเร่งด่วนในการเพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และปรับปรุงความปลอดภัยของอุปทานจะเป็นประเด็นสำคัญในการประชุม Gastech 2023 ที่สิงคโปร์ เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและความท้าทายในการจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้และมีความยั่งยืน

ใน eBook ใหม่ LNG: Fueling the Future นี้ Black & Veatch จะเจาะลึกบทบาทของ LNG ในอนาคตของพลังงานทั่วโลก โดยให้รายละเอียดว่าอุตสาหกรรมจะต้องขยายขนาดเกินกำลังการผลิตในปัจจุบันอย่างไร เพื่อรักษาสมดุลของระดับพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการพิจารณาโซลูชันพลังงานสะอาดทางเลือกในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงไฮโดรเจน นิวเคลียร์ การจัดเก็บพลังงาน และการดักจับคาร์บอน

“เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบคาร์บอนมาเป็นเศรษฐกิจแบบใช้อิเล็กตรอนและโมเลกุล การค้นหาส่วนผสมพลังงานที่เหมาะสมสำหรับความต้องการในระยะสั้นและการเปลี่ยนแปลงระยะยาวถือเป็นสิ่งสำคัญ” Mario Azar ประธานและซีอีโอของ Black & Veatch กล่าว

“ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนโลกไปสู่อนาคตที่มีคาร์บอนต่ำอย่างรวดเร็วด้วยการรักษาเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้าและเพิ่มความยืดหยุ่น” Narsingh Chaudhary ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าวเสริม

ในประเทศติดทะเล รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิก ความต้องการ LNG กำลังเพิ่มขึ้นในฐานะแหล่งพลังงานสำหรับการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซขนาดใหญ่ LNG เป็นพลังงานพื้นฐานที่สามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างการเลิกใช้พลังงานถ่านหิน ความเร็วของการใช้พลังงานหมุนเวียน และการเกิดขึ้นของโซลูชันพลังงานสะอาดทางเลือกใหม่

การขยายขนาดการผลิต ความรวดเร็วในการออกสู่ตลาด และการรักษาราคาที่แข่งขันได้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมในการตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น แนวทางที่เป็นนวัตกรรมในด้านเทคโนโลยีและการดำเนินการ เช่น LNG แบบลอยตัว (FLNG) และการทำให้เป็นโมดูล กำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปข้างหน้าและปลดล็อกก๊าซที่ติดอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมกับโรงงานขนาดใหญ่แบบดั้งเดิม

Black & Veatch เป็นผู้บุกเบิกในการนำเสนอโซลูชัน FLNG ที่ประสบความสำเร็จ บริษัทมีส่วนร่วมใน 5 โครงการจาก 10 โครงการ FLNG ที่กำลังดำเนินการหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้างทั่วโลก โดยรวมถึงการแปลงเรือ MOSS ลำแรกเป็นโรงงาน FLNG นั่นคือเรือ Golar Hilli Episeyo FLNG ซึ่งสร้างเสร็จในสิงคโปร์

เทคโนโลยี FLNG นำเสนอโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและทรงประสิทธิภาพในตลาดอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างรายได้จากแหล่งสำรองก๊าซนอกชายฝั่ง และความสามารถในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้ชายฝั่งเพื่อส่งออกก๊าซทางท่อ แนวทางดังกล่าวยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการก่อสร้าง ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงด้วยการออกแบบแบบแยกส่วนและการก่อสร้างในอู่ต่อเรือ นอกจากนี้ เทคโนโลยี FLNG ยังมีการออกแบบที่กะทัดรัดซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกบนบก

ความเป็นผู้นำของ Black & Veatch ในการพัฒนาและสร้างโรงงาน FLNG ได้รับการสนับสนุนโดยเทคโนโลยี PRICO® ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการทำให้เป็นของเหลวที่ได้รับการพิสูจน์แล้วซึ่งเหมาะสำหรับการผลิต LNG ที่สามารถใช้กับยานพาหนะที่มีการลดค่ากำลังไฟฟ้าสูงสุด ยานพาหนะขนาดกลางและหนัก การเติมเชื้อเพลิงทางอุตสาหกรรม กำลังไฟฟ้าพื้นฐาน และการใช้งานนอกชายฝั่ง การดำเนินงานที่เรียบง่ายและการกำหนดค่าที่ยืดหยุ่นของ PRICO® ทำให้สามารถปรับขนาดสำหรับการใช้งานในโรงงานขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ และใช้งานโซลูชันโครงการที่เป็นนวัตกรรมสำหรับโรงงาน LNG บนบก นอกชายฝั่ง และใกล้ชายฝั่ง

ที่ Gastech 2023 Azar จะแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลกในการสนับสนุนการพัฒนา การใช้งาน และการขยายขนาดของเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะนำอุตสาหกรรมไปสู่การลดคาร์บอนและอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น Chaudhary จะหารือเกี่ยวกับแนวโน้มของเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้นี้

ติดต่อ Black & Veatch เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

หมายเหตุบรรณาธิการ:

  • ดาวน์โหลดสำเนาฟรีของ eBook LNG: Fueling the Future ที่นี่
  • Black & Veatch สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน LNG มานานกว่า 50 ปี โดยผสมผสานเทคโนโลยีและความรู้ความชำนาญในการผลิต LNG การจัดเก็บ การแปลงสภาพเป็นก๊าซ และส่งออกสิ่งอำนวยความสะดวกด้วยโซลูชันที่ราบรื่นสำหรับการออกแบบ การจัดซื้อ การแปรรูป และการก่อสร้าง
  • ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของ Black & Veatch เป็นส่วนสำคัญในโครงการ FLNG หลายโครงการ รวมถึง Tango FLNG ของ Eni (เดิมชื่อ Exmar) และเรือ FLNG สามลำที่พัฒนาโดย Golar LNG ในโครงการเหล่านี้ Black & Veatch ให้บริการด้านวิศวกรรมและการจัดซื้อจัดจ้างระดับสูง

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่มีพนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในด้านนวัตกรรมในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยลูกค้าของเราปรับปรุงชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยจัดการกับความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา รายได้ของเราในปี 2022 อยู่ที่ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดตามเราบน www.bv.com และบนโซเชียลมีเดีย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com
อีเมลสำหรับสื่อ 24 ชั่วโมง | Media@bv.com

ที่มา: Black & Veatch