All posts by Jasmine

แก้ไขและแทนที่: Kioxia สาธิต SSD ที่รองรับ Flexible Data Placement พร้อมฐานข้อมูล RocksDB ในงาน OCP Global Summit 2024

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

บริษัท Kioxia Corporation ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ เตรียมจัดแสดงและสาธิตประสิทธิภาพของ SSD รุ่น KIOXIA XD Series ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Flexible Data Placement (FDP) ซึ่งรองรับฐานข้อมูล RocksDB ในงาน OCP Global Summit 2024 ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2024 ณ เมืองซานโฮเซ่ สหรัฐอเมริกา ฐานข้อมูล RocksDB โดดเด่นด้วยความสามารถในการค้นหาข้อมูลปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและจัดการข้อมูลประวัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในแอปพลิเคชัน AI ช่วยสร้าง (generative AI) และแอปพลิเคชันบนคลาวด์ ฟังก์ชัน FDP ซึ่งถูกกำหนดในข้อเสนอทางเทคนิคของ NVM Express™ TP4146 ช่วยให้สามารถควบคุมการจัดวางข้อมูลภายใน SSD ได้อย่างยืดหยุ่น การจัดการตำแหน่งข้อมูลใน SSD อย่างเหมาะสม โดยปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์โฮสต์และไดรเวอร์อุปกรณ์เพียงเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างมีนัยสำคัญ

SSD ทำงานตามคำสั่งจากซอฟต์แวร์โฮสต์และไดรเวอร์อุปกรณ์ในการจัดเก็บและลบข้อมูล เมื่อกระบวนการนี้เกิดซ้ำ ๆ อาจเกิดการจัดสรรข้อมูลใหม่ภายใน SSD ซึ่งอาจส่งผลให้ความเร็วในการเข้าถึงลดลงและสิ้นเปลืองรอบการเขียนข้อมูลของหน่วยความจำแฟลชโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะเมื่อการจัดสรรข้อมูลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การใช้ FDP ช่วยลดปัญหาการจัดสรรข้อมูลใหม่ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างเต็มที่

การสาธิตในงาน OCP Global Summit จะแสดงให้เห็นถึงการทำงานของฟังก์ชัน FDP ใน SSD สำหรับศูนย์ข้อมูล KIOXIA XD Series NVMe™ พร้อมปลั๊กอินที่พัฒนาโดย Kioxia เพื่อรองรับความสามารถของ FDP ซึ่งได้รับการทดสอบร่วมกับ RocksDB ผลการทดสอบและประเมินอย่างละเอียดพบว่า ระบบที่ใช้ FDP ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของแอปพลิเคชัน RocksDB ได้ประมาณสามเท่า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ประมาณ 1.8 เท่า เมื่อเทียบกับระบบแบบดั้งเดิมที่ใช้ SSD ทั่วไปและระบบไฟล์มาตรฐาน1

ผลลัพธ์เหล่านี้จะถูกนำเสนอผ่านการสาธิตแบบสดที่บูธของ Kioxia (A7) ในงาน OCP Global Summit นอกจากนี้ Kioxia ยังมีแผนที่จะเผยแพร่ปลั๊กอินที่รองรับ RocksDB FDP ในรูปแบบโอเพนซอร์ส Kioxia ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและแบ่งปันเทคโนโลยีเพื่อการใช้งาน SSD และหน่วยความจำแฟลชอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลขั้นสูงและศูนย์ข้อมูลในอนาคต

หมายเหตุ :

1 อ้างอิงจากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการของ Kioxia ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2024

NVM Express และ NVMe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนของ NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

เครื่องหมาย OCP และ Open Compute Project เป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิ Open Compute Project และใช้โดยได้รับอนุญาต

ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่น ๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทอื่น ๆ

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ มุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory ซึ่งเป็นบริษัทต้นกำเนิดของ Kioxia ได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ผู้คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจำ” โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่ให้ทางเลือกแก่ลูกค้าและสร้างคุณค่าจากหน่วยความจำให้แก่สังคม เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D อันเป็นนวัตกรรมของ Kioxia อย่าง BiCS FLASH™ กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่ต้องการความจุสูง เช่น สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

*ข้อมูลในเอกสารนี้ ซึ่งรวมถึงราคาผลิตภัณฑ์และข้อมูลจำเพาะ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อ ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สำหรับคำถามจากสื่อ :

บริษัท Kioxia Corporation

แผนกวางแผนกลยุทธ์การขาย

Satoshi Shindo

โทร : +81-3-6478-2404

แหล่งที่มา : บริษัท Kioxia Corporation

Veea ร่วมมือกับ ICT มอบการเชื่อมต่อไร้สายขั้นสูงและการติดตามทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงเพื่อพลิกโฉมการดำเนินงานเหมืองแร่

Logo

การติดตั้งระบบไร้สายใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพย์สิน ความปลอดภัยของพนักงาน และการติดตามสภาพแวดล้อมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ห่างไกล

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

Veea (NASDAQ : VEEA) ผู้นำรายแรกในตลาดด้านเครือข่ายมัลติแอคเซสที่รวมการทำงานหลายส่วนเข้าด้วยกันพร้อมการรักษาความปลอดภัยด้วย AI ได้ประกาศความร่วมมือกับ Inti Cakrawala Teknologi (ICT) ผู้ให้บริการโซลูชั่นการเชื่อมต่อดิจิทัลยุคใหม่ เพื่อนำเสนอการเชื่อมต่อขั้นสูงและการติดตามทรัพย์สินให้กับลูกค้าของ ICT ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงานในอินโดนีเซียและทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การติดตั้งครั้งแรกมีกำหนดเริ่มขึ้นในวันที่ 20 ตุลาคม 2024

ICT ให้บริการแก่เหมืองขนาดใหญ่หลายแห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการเชื่อมต่อเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากระยะทางอันยาวไกลระหว่างเหมืองและคลังเก็บสินค้า ทำให้การจัดการทรัพย์สิน การรักษาความปลอดภัย และการดูแลความปลอดภัยของพนักงานแบบเรียลไทม์เป็นเรื่องยาก หากไม่มีโซลูชั่นไร้สายที่ทันสมัย

“คุณสมบัติที่น่าประทับใจของ Veea hub คือไม่เพียงแค่แก้ปัญหาการเชื่อมต่อ แต่ยังมาพร้อมกับเกตเวย์ IoT หลายตัวที่สนับสนุนการประมวลผลที่ขอบเครือข่าย (Edge Computing) Wi-Fi การเชื่อมต่อแบบ IoT meshing และการเชื่อมต่อกับคลาวด์ได้” Wiwit Ongko ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของ ICT กล่าว “เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ Veea ในการติดตั้งครั้งนี้และสำรวจความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีนี้สามารถนำเสนอในอนาคต”

โซลูชั่นเครือข่ายขอบแบบรวมหลายส่วนของ Veea มอบโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อและ IoT ที่ครอบคลุม ซึ่งช่วยให้บริษัทเหมืองแร่ในภูมิภาคนี้สามารถแก้ไขความท้าทายในการดำเนินงานในพื้นที่ห่างไกลได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามทรัพย์สิน เพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนการดำเนินงาน โซลูชั่นร่วมระหว่าง Veea และ ICT ไม่เพียงตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของบริษัทเหมืองแร่ในปัจจุบัน แต่ยังช่วยให้พวกเขาพร้อมรับการพัฒนาเทคโนโลยีเหมืองแร่ในอนาคต

ICT และ Veea ได้พัฒนาและจะดำเนินการติดตั้งดังต่อไปนี้ :

  • Wi-Fi แบบสองทิศทาง (Bi-Directional Wi-Fi) : มีการติดตั้งระบบเชื่อมต่อไร้สายที่มีความเสถียร ตั้งแต่ทางเข้าของเหมืองตามเส้นทางถนนไปยังพื้นที่จัดเก็บสินค้า เพื่อให้การสื่อสารไม่มีสะดุด
  • เกตเวย์ IoT และเซ็นเซอร์ LoRaWAN : Veea hub แบบมัลติฟังก์ชันที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ LoRaWAN เพื่อใช้ในการติดตามและตรวจสอบสถานีอากาศ การเคลื่อนที่ของพื้นดิน และระดับฝุ่น PM2.5
  • การประมวลผลที่ขอบเครือข่าย : โซลูชั่นของ Veea ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ที่ขอบเครือข่าย ลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
  • การเชื่อมต่อแบบ IoT Meshing และการเชื่อมต่อกับคลาวด์ : ด้วยการเชื่อมต่อแบบ IoT Meshing Veea hub ได้สร้างเครือข่ายที่มีความแข็งแกร่ง สามารถขยายการเชื่อมต่อได้ทั่วพื้นที่เหมือง และยังเชื่อมต่อกับคลาวด์ได้อย่างราบรื่น เพื่อการเก็บข้อมูลระยะยาวและการวิเคราะห์

“ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ของเรา ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไร้สายขั้นสูงและความสามารถในการรันแอปพลิเคชันในท้องถิ่นที่ขอบเครือข่าย ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาช่องว่างด้านการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกลด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า โดยไม่จำเป็นต้องใช้การเชื่อมต่อดาวเทียมที่มีค่าใช้จ่ายสูง พร้อมมอบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการดำเนินงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมเหมืองแร่” Allen Salmasi ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Veea กล่าว “ด้วยการสื่อสารและการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เรามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการเหมืองแร่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุด พร้อมทั้งเพิ่มความปลอดภัยและการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมด้วย Edge AI”

เกี่ยวกับ Veea

Veea® ทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานที่ขอบเครือข่ายง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น Veea ได้รวมการประมวลผลแบบหลายผู้เช่า การสื่อสารแบบมัลติแอคเซสหลายโปรโตคอล การจัดเก็บข้อมูลที่ขอบเครือข่าย และโซลูชั่นด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ไว้ในผลิตภัณฑ์ที่บริหารจัดการทั้งบนคลาวด์และที่ขอบเครือข่ายแบบครบวงจร ผลิตภัณฑ์ Multiaccess Edge Computing (MEC) ของ Veea ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่ต้นในรูปแบบขนาดกะทัดรัด ได้นำฟังก์ชันการทำงานที่โดยปกติจะได้รับจากการรวมกันของเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย (Network Attached Storage หรือ NAS) เราท์เตอร์ ไฟร์วอลล์ จุดเชื่อมต่อ Wi-Fi (Access Points หรือ AP) เกตเวย์ IoT การเข้าถึงไร้สาย 4G หรือ 5G และการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing หรือ CC) มารวมไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวกันที่มีการบูรณาการระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบต่าง ๆ ซึ่ง IT/OT จะต้องดูแลรักษา เมื่อเปรียบเทียบกับโซลูชั่นแบบเดิมแล้ว Veea Edge Platform ให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองแอปพลิเคชันที่สูงขึ้น เพิ่มความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ปกป้องข้อมูล และสร้างการรับรู้ตามบริบท รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งข้อมูลและค่าใช้จ่ายรวมของการเป็นเจ้าของ ทั้งยังติดตั้ง ใช้งาน ตรวจสอบ และบำรุงรักษาเครือข่ายขอบได้อย่างง่ายดาย ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่รันระบบ Linux ซึ่งมีสภาพแวดล้อมซอฟต์แวร์ที่จำลองแบบเสมือนอย่างครบถ้วนสำหรับแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบคลาวด์โดยใช้คอนเทนเนอร์ Docker™ ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง โดยมีการแยกข้อมูลผู้ใช้และแอปพลิเคชันออกจากกันอย่างเข้มงวด รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software Defined Networking หรือ SDN) และการจำลองฟังก์ชันของเครือข่าย (Network Function Virtualization หรือ NFV) ที่ครอบคลุมความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อส่งมอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชันผ่านเครือข่ายเชื่อมต่อและประมวลผล โซลูชั่นครบวงจรที่ติดตั้งได้ง่ายนี้มีการจัดการอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และบริการเสริมต่าง ๆ จากคลาวด์ได้อย่างครบวงจร พร้อมการเข้าถึงเครือข่ายแบบ Zero Trust Network Access (ZTNA) และบริการ Secure Access Service Edge (SASE) ที่ใช้ 5G ซึ่งติดตั้งได้อย่างง่ายดายและเป็นตัวเลือก Veea Edge Platform รองรับการเชื่อมต่อโดยตรงจากเครือข่ายไฟเบอร์ออปติก เครือข่ายเซลลูลาร์ และดาวเทียมสู่เครือข่ายท้องถิ่นที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเครือข่าย VeeaHub ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi และอุปกรณ์ IoT ในลักษณะเดียวกับการจัดการเครือข่ายเซลลูลาร์ ซึ่งเป็นความสามารถที่ได้รับการจดสิทธิบัตรภายใต้ชื่อการแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) นอกจากนี้ Veea Developer Portal และเครื่องมือพัฒนายังช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ขอบเครือข่ายเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมความสามารถในการรองรับ Edge AI เป็นทางเลือกเสริม Veea ได้พัฒนาโซลูชั่นที่คุ้มค่าหลากหลายสำหรับข้อเสนอ B2B และ B2B2C ผ่านผู้ให้บริการ ผู้จัดจำหน่ายพันธมิตร ระบบอินทิเกรเตอร์ พันธมิตรด้านองค์กร และหน่วยงานรัฐบาล สำหรับการใช้งานด้านการค้าปลีกอัจฉริยะ การก่อสร้างอัจฉริยะ โลจิสติกส์และคลังสินค้าอัจฉริยะ การเกษตรอัจฉริยะ อาคารอัจฉริยะ โรงเรียนอัจฉริยะ โรงพยาบาลอัจฉริยะ พิพิธภัณฑ์อัจฉริยะ ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ Veea ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก โดยมีประวัติอันยาวนานในด้านนวัตกรรมเครือข่ายขั้นสูง เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายและการประมวลผล รวมถึงมีสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติกว่า 103 รายการ และกำลังรอการอนุมัติอีก 33 รายการในเทคโนโลยีหลักด้านการประมวลผลขอบแบบมัลติฟังก์ชัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม veea.com และติดตามเราทาง X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ ICT

Inti Cakrawala Teknologi ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 และเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลล้ำสมัยมาใช้ ด้วยความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้งและความเป็นมืออาชีพที่สั่งสมมากว่าสองทศวรรษ Inti Cakrawala Teknologi สามารถนำเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยมอบความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาว Inti Cakrawala Teknologi มุ่งมั่นที่จะให้บริการและช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและแข่งขันได้มากขึ้น ผ่านการบริการหลังการขายที่มีคุณภาพสูงครบวงจร Inti Cakrawala Teknologi ประกอบด้วยทีมงานสนับสนุนด้านเทคนิคที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญสูง พร้อมด้วยทีมงานขาย การตลาด และฝ่ายธุรการที่มุ่งมั่นในการมอบโซลูชั่นที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Inti Cakrawala Teknologi ได้ร่วมมือกับผู้จำหน่ายเทคโนโลยีดิจิทัลชั้นนำของโลก

แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลาง โดยทั่วไปแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตเหล่านี้จะถูกระบุด้วยคำว่า “เชื่อว่า” “คาดการณ์” “คาดว่า” “ประเมิน” “ตั้งใจ” “กลยุทธ์” “อนาคต” “โอกาส” “แผน” “อาจจะ” “ควรจะ” “จะ” “จะเป็น” “จะดำเนินต่อไป” “จะส่งผลให้” และการแสดงออกที่คล้ายกัน

ตัวอย่างของแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง แถลงการณ์เกี่ยวกับการติดตั้งเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นของบริษัทในความร่วมมือกับ ICT และวันเริ่มต้นที่คาดหวัง แถลงการณ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะระบุไว้หรือไม่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ และจากความคาดหวังในปัจจุบันของผู้บริหารของ Veea และ ICT ซึ่งไม่ได้เป็นการทำนายประสิทธิภาพที่แท้จริง แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตเหล่านี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการอธิบายเท่านั้น และไม่ควรใช้เป็นหลักประกัน คำมั่น หรือการทำนายผลลัพธ์ในอนาคตที่แท้จริง หากความเสี่ยงใด ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น หรือสมมติฐานของฝ่ายต่าง ๆ ผิดพลาด ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากที่แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตบ่งชี้ มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เหตุการณ์ในอนาคตแตกต่างอย่างมากจากที่ระบุไว้ในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มเติมที่ Veea หรือ ICT ไม่ทราบในปัจจุบันหรือที่ Veea และ ICT เชื่อว่าไม่มีนัยสำคัญ แต่สามารถทำให้ผลลัพธ์จริงแตกต่างจากที่ระบุไว้ในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ แถลงการณ์เชิงคาดการณ์กล่าวถึงสถานะ ณ วันที่ที่มีการจัดทำเท่านั้น ผู้อ่านควรระมัดระวังไม่ให้เชื่อถือแถลงการณ์เชิงคาดการณ์เหล่านี้เกินไป Veea และ ICT ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับปรุงหรือแก้ไขแถลงการณ์เชิงคาดการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นผลจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรือเหตุผลอื่นใด Veea และ ICT ไม่ให้การรับรองใดๆ ว่า Veea หรือ Plum จะบรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวัง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ
James Christopherson
Sterling Communications สำหรับ Veea Inc.
veea@sterlingpr.com

แหล่งที่มา : Veea

Inkia กำลังก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดในเปรูด้วยแผนขยายการดำเนินงานครั้งใหญ่

Logo

  • กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่กว่า 1 GW จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2025
  • มีโครงการพลังงานที่กำลังพัฒนาอยู่กว่า 3 GW โดยมีโครงการพลังงานลมกว่า 600 MW ที่จะเปิดตัวในปี 2026
  • ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตจากโครงการไฮโดร พลังงานก๊าซธรรมชาติ และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ที่มีอยู่ 2,237 MW ดังนั้น Inkia จะยืนยันตำแหน่งในฐานะบริษัทผลิตไฟฟ้าที่มีความหลากหลายและใหญ่ที่สุดในเปรู

ลิมา ประเทศเปรู–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

Inkia Energy ผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดอย่าง Kallpa ได้รับการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับการขยายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในภาคใต้ของเปรู ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำระดับโลก การอนุมัติครั้งนี้จะทำให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ชื่อ Sunny ขยายจาก 228 MWp เป็น 338 MWp และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 Inkia Energy ซึ่งตั้งอยู่ในเปรูเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ และอยู่ภายใต้การควบคุมของ I Squared Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

นอกเหนือจากโครงการ Sunny แล้ว Inkia ยังได้สนับสนุนการก่อสร้างโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อีก 2 โครงการที่อยู่ใกล้เคียง โดยได้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายพลังงานและใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (I-REC) สำหรับการพัฒนาเหล่านี้ ด้วยโครงการทั้ง 3 นี้ Inkia จะรวมพลังงานจาก “ศูนย์กลางพลังงานแสงอาทิตย์ของเปรู” ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1 Gwp เข้าสู่โครงข่ายพลังงานแห่งชาติในไตรมาสที่ 4 ของปี 2025

นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะเปิดตัวโครงการพลังงานลมอีก 2 โครงการที่มีกำลังการผลิตรวมอย่างน้อย 600 MW ในปี 2026 โครงการพลังงานลม รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และโครงการ BESS อื่นๆ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนของบริษัทให้เป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในปัจจุบันและอนาคตของเปรู โครงการเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างคุณค่าของ Inkia ในการให้บริการลูกค้าด้วยพลังงานที่มีความต่อเนื่องและเชื่อถือได้ ซึ่งผลิตจากการรวมกันของแหล่งพลังงานหมุนเวียนหลายประเภทและก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญในการรองรับการขาดแคลนและความไม่ต่อเนื่องของพลังงานหมุนเวียน

Inkia ยังมีบริการโซลูชันด้านพลังงานที่เชื่อมต่อกันด้านหลังมิเตอร์การไฟฟ้าให้กับลูกค้าผ่านช่องทางขายปลีกของตน นั่นคือ Kondu ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME)

“Inkia เป็นนักพัฒนาโดยธรรมชาติ และเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการ Sunny ถือเป็นการเริ่มต้นของแคมเปญขยาย Inkia 2.0 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการพลังงานของเปรู และยืนยันจุดยืนของ Inkia ในฐานะบริษัทโซลูชันพลังงานชั้นนำของประเทศ” Willem Van Twembeke ซีอีโอของ Inkia Energy กล่าว “เรามั่นใจว่าพอร์ตโฟลิโอที่มีความสมดุลและการจัดอันดับกลุ่มระดับลงทุนของ Inkia ทำให้บริษัทเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับลูกค้าในด้านความน่าเชื่อถือ ทั้งในแง่ของพลังงานและการสนับสนุนทางการเงิน”

เกี่ยวกับ Inkia Energy

Inkia เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในเปรู โดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 2,237 MW ผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดอย่าง Kallpa ซึ่ง Inkia Energy อยู่ภายใต้การควบคุมของ I Squared Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอิสระชั้นนำระดับโลกที่บริหารสินทรัพย์กว่า $40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเปรู Inkia ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแบบผสมผสานที่มีประสิทธิภาพ และเพิ่งเปิดตัวระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ขนาด 34 MW นอกเหนือจากโครงการ Sunny แล้ว Kallpa ยังได้พัฒนาโครงการพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และ BESS หลายโครงการ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงการจัดหาไฟฟ้าที่ต่อเนื่อง เชื่อถือได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับเปรู Inkia ยังเป็นเจ้าของ Kondu ซึ่งเป็นบริษัทโซลูชันด้านพลังงานที่มุ่งเน้นความต้องการของตลาดค้าปลีก และให้บริการโซลูชันด้านพลังงานหลากหลายและพลังงานที่เชื่อมต่อกันด้านหลังมิเตอร์การไฟฟ้าแก่ลูกค้าของ Inkia นอกเปรู Inkia ยังเป็นเจ้าของและดำเนินการสินทรัพย์การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ากว่า 5.5 GW และมีลูกค้ากว่า 2 ล้านรายทั่วละตินอเมริกา

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54133250/en

ข้อมูลติดต่อ

สื่อสัมพันธ์

Pamela Gutierrez
communications@inkiaenergy.com

แหล่งข้อมูล: Inkia Energy


Medidata ประกาศเปิดตัว Rave Lite เพื่อสนับสนุนการเติบโตของการทดลองทางคลินิกระยะต้นและระยะปลาย

Logo

โซลูชันใหม่ใช้ประโยชน์จาก Medidata Rave EDC เพื่อทำให้การเก็บข้อมูลทางคลินิกแบบอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลกเข้าถึงได้ในกลุ่มตลาดที่เคยขาดแคลนเทคโนโลยีล้ำสมัย

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

Medidata แบรนด์ในเครือ Dassault Systèmes และผู้นำด้านการให้บริการโซลูชันการทดลองทางคลินิกในอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ประกาศเปิดตัว Medidata Rave Lite ซึ่งเป็นส่วนขยายของซอฟต์แวร์วิจัยทางคลินิกมาตรฐานระดับทองของบริษัทอย่าง Medidata Rave EDC ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการทดลองระยะที่ I และระยะที่ IV ไม่ว่าจะเป็นขนาดของบริษัท โฟกัสการรักษา หรือสถานะของโครงการ Rave Lite นำเสนอการเก็บข้อมูลทางคลินิกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic clinical data capture หรือ EDC) การจัดการ และการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ พร้อมโมเดลการตั้งราคาที่ปรับให้เหมาะสม

ในขณะที่ EDC เป็นส่วนสำคัญของการทดลองทางคลินิก แต่การแตกแยกของเทคโนโลยีระหว่างเฟสต่าง ๆ นำไปสู่ความท้าทายในการรวมระบบและทำให้เกิดความล่าช้าในการเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ส่งผลกระทบอย่างไม่สมดุลต่อการทดลองระยะต้นและระยะปลาย หลังจากที่ Medidata ได้จัดการกับความท้าทายเหล่านี้มากกว่า 34,000 การทดลอง บริษัทจึงได้เสนอทางเลือกที่เหนือกว่าสำหรับการทดลองระยะที่ I และระยะที่ IV ด้วย Rave Lite

ด้วยการผสานรวมกับ Medidata Designer ผู้สร้างการทดลองสามารถออกแบบการทดลองระยะที่ I และระยะที่ IV ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) อย่างต่อเนื่อง ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการออกแบบการทดลองจะลดลง พร้อมกับรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล Rave Lite จึงมอบประสบการณ์ที่สม่ำเสมอโดยไม่ลดทอนศักยภาพขั้นสูงของ Rave EDC

“Rave Lite ตอบสนองความต้องการที่สำคัญของตลาดสำหรับการทดลองระยะต้นและระยะปลาย ด้วยโซลูชันที่ง่ายและคล่องตัวซึ่งสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Rave EDC ที่เชื่อถือได้ของเรา” Tom Doyle ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Medidata กล่าว “ด้วยการให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ EDC เดียวกันได้ในทุกเฟส ลูกค้าจะได้รับความยืดหยุ่นในการขยายการทดลองในขณะที่ยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดที่เป็นจุดเด่นของโซลูชันของ Medidata มาโดยตลอด”

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Rave EDC ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำโดย Everest Group ในการจัดอันดับ PEAK Matrix® ครั้งแรกสำหรับความมีประสิทธิภาพในการทำให้การทดลองทางคลินิกง่ายขึ้นสำหรับผู้สนับสนุนการทดลองและบริษัทวิจัยตามสัญญา (Contract Research Organizations หรือ CROs) ในขณะที่ยังคงรักษาคุณภาพและความสมบูรณ์ของข้อมูล

Medidata จะนำเสนอ Rave Lite ในงาน NEXT New York ซึ่งเป็นการประชุมการทดลองทางคลินิกชั้นนำ จัดขึ้นที่นครนิวยอร์กในวันที่ 13 และ 14 พฤศจิกายน โซลูชันนี้จะพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าในช่วงต้นปี 2025 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Rave Lite สามารถเป็นประโยชน์ต่อการวิจัย คลิกที่นี่

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata สนับสนุนการรักษาที่ชาญฉลาดขึ้นและผู้คนที่มีสุขภาพดีขึ้นผ่านโซลูชันดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทดลองทางคลินิก ฉลองครบรอบ 25 ปีของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในกว่า 34,000 การทดลองและผู้ป่วย 10 ล้านคน Medidata นำเสนอความเชี่ยวชาญชั้นนำของอุตสาหกรรม ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ และฐานข้อมูลการทดลองทางคลินิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านคนจากลูกค้าประมาณ 2,200 รายที่ไว้วางใจแพลตฟอร์มแบบครบวงจรของ Medidata เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วย เร่งความก้าวหน้าทางการทดลอง และนำการรักษาออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น Medidata เป็นแบรนด์ในเครือ Dassault Systèmes (Euronext Paris : FR0014003TT8, DSY.PA) มีสำนักงานใหญ่ในนครนิวยอร์ก และได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำจาก Everest Group และ IDC สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามได้ที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes เป็นตัวเร่งให้เกิดความก้าวหน้าของมนุษย์ เราให้บริการธุรกิจและผู้คนด้วยสภาพแวดล้อมเสมือนจริงเพื่อจินตนาการถึงนวัตกรรมที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างประสบการณ์คู่แฝดเสมือนของโลกจริงด้วยแพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE และแอปพลิเคชันของเรา ลูกค้าของเราสามารถนิยามกระบวนการสร้างสรรค์ การผลิต และการจัดการวงจรชีวิตของข้อเสนอของตนใหม่ และมีผลกระทบที่มีความหมายในการทำให้โลกยั่งยืนยิ่งขึ้น ความงามของเศรษฐกิจเชิงประสบการณ์คือเป็นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นมนุษย์เพื่อประโยชน์ของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค ผู้ป่วย หรือประชาชน Dassault Systèmes มอบคุณค่าให้กับลูกค้ามากกว่า 350,000 รายในทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรมในกว่า 150 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม www.3ds.com

ลิขสิทธิ์ของ ©Dassault Systèmes 3DEXPERIENCE, โลโก้ 3DS, ไอคอน Compass, IFWE, 3DEXCITE, 3DVIA, BIOVIA, CATIA, CENTRIC PLM, DELMIA, ENOVIA, GEOVIA, MEDIDATA, NETVIBES, OUTSCALE, SIMULIA และ SOLIDWORKS เป็นเครื่องหมายการค้าทางการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes บริษัทในยุโรป (Societas Europaea) ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายฝรั่งเศส และจดทะเบียนกับทะเบียนการค้าและบริษัทแห่งแวร์ซายส์ภายใต้เลขที่ 322 306 440 หรือบริษัทย่อยในสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่น ๆ เครื่องหมายการค้าอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง การใช้เครื่องหมายการค้าของ Dassault Systèmes หรือบริษัทย่อยใด ๆ ขึ้นอยู่กับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากพวกเขา

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Medidata
Medidata.PR@3ds.com

ฝ่ายนักวิเคราะห์สัมพันธ์
medidata.AR@3ds.com

แหล่งที่มา : Medidata

กองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบียประกาศเข้ามามีบทบาทในเซอร์เบียเป็นครั้งแรก โดยให้เงินทุนสนับสนุน 3 โครงการพัฒนา มูลค่ารวม 205 ล้านดอลลาร์

Logo

เบลเกรด เซอร์เบีย –(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

กองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบีย (SFD) ได้ลงนามในข้อตกลงเงินกู้พัฒนา 3 ฉบับกับสาธารณรัฐเซอร์เบีย รวมมูลค่า 205 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนโครงการสำคัญในภาคเกษตรกรรม การศึกษา และพลังงาน ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการเข้ามามีบทบาทครั้งแรกของ SFD ในเซอร์เบีย โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว ข้อตกลงนี้ลงนามโดย H.E. Sultan Al-Marshad ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SFD และ H.E. Siniša Mali รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเซอร์เบีย โดยมี Mr.Ali Aldossary อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เป็นสักขีพยาน

H.E. Sultan Al-Marshad, CEO of the SFD, and H.E. Siniša Mali, Serbia’s Deputy Prime Minister and Minister of Finance (Photo: AETOSWire)

คุณ H.E. Sultan Al-Marshad ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอของ SFD กับคุณ H.E. Siniša Mali รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศเซอร์เบีย (รูป: AETOSWire)

สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงเหล่านี้ ทาง Mr. Mali กล่าวว่า “เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในข้อตกลงสำคัญสามฉบับกับกองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญครั้งแรกหลังจากการลงนามบันทึกความเข้าใจเมื่อปีที่แล้ว เรารู้สึกขอบคุณสำหรับการสนับสนุน โครงการที่เงินทุนนี้จะนำไปใช้นั้นจะช่วยสร้างงานใหม่ เสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของเรา และปรับปรุงสถานะของสาธารณรัฐเซอร์เบียในชุมชนวิทยาศาสตร์ระดับโลก ข้อตกลงเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระยะยาวระหว่างสาธารณรัฐเซอร์เบียและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และช่วยพัฒนาโครงการสำคัญในประเทศของเรา”

ข้อตกลงประกอบด้วยโครงการ 3 โครงการ ได้แก่ การจัดสรรงบประมาณ 75 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการชลประทานในพื้นที่ต่าง ๆ และใช้ 65 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการก่อสร้างวิทยาเขต Bio4 ในกรุงเบลเกรด และอีก 65 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการพัฒนาผู้ดำเนินการระบบส่งไฟฟ้า (ระยะที่ 1)

โครงการแรกจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบชลประทานและปรับปรุงการจัดการน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ โดยการสร้างสถานีสูบน้ำใหม่ ปรับปรุงคลองที่มีอยู่ และสร้างเครือข่ายชลประทานที่ทันสมัยครอบคลุมกว่า 230 กิโลเมตร โครงการนี้มุ่งเน้นในพื้นที่ เช่น Novi Slankamen และ Jasenicke Kapi โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและจัดการการแจกจ่ายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงภัยแล้ง

โครงการที่สองจะจัดสรรเงินทุนสำหรับการก่อสร้างวิทยาเขต Bio4 ในกรุงเบลเกรด ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่บุกเบิกซึ่งเน้นด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วิทยาเขต Bio4 จะประกอบด้วย 6 คณะ 9 สถาบันวิจัย และห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย รวมถึงห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 ที่มหาวิทยาลัยเบลเกรด ศูนย์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและความร่วมมือในสาขาต่างๆ เช่น ชีววิทยา การแพทย์ และการวิจัยน้ำเสีย

โครงการสุดท้ายจะขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของเซอร์เบียด้วยการสร้างสายส่งไฟฟ้า 400 กิโลโวลต์ใหม่ และการปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อยที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเสถียรในการจ่ายพลังงานของเซอร์เบียและเชื่อมโยงประเทศเข้ากับตลาดไฟฟ้ายุโรปผ่านทางเดินส่งไฟฟ้า Trans-Balkan

เพื่อให้เห็นภาพถึงข้อตกลงนี้ ทาง Sultan Al-Marshad ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SFD กล่าว “การสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการให้ทุนเชิงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษานั้นเป็นภารกิจหลักของเรา ความร่วมมือครั้งนี้กับเซอร์เบียสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมนวัตกรรม เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการที่เราให้ทุนจะสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนให้กับประชาชนชาวเซอร์เบียและช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของพวกเขา

SFD มุ่งมั่นในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก ในฐานะหน่วยงานพัฒนาทางการของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย SFD ได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการมากกว่า 800 โครงการในกว่า 100 ประเทศ โดยมีเงินทุนรวม 20 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 SFD ฉลองครบรอบ 50 ปีในการส่งเสริมการพัฒนาระดับโลก โดยล่าสุดได้ขยายไปยัง 11 ประเทศใหม่ รวมถึงเซอร์เบีย

ที่มาAETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54137077/en

ติดต่อ

Randah Al-Hothali
Director General of Corporate Communications
media@sfd.gov.sa

ที่มา: Saudi Fund for Development


ForeverGone ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดและทำลาย PFAS ได้อย่างสมบูรณ์แบบในงานด้านอุตสาหกรรมและการประยุกต์ใช้ในเทศบาล

Logo

Gradiant ประกาศความสามารถในการทดสอบภายในที่โดดเด่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถกำจัด PFAS ได้จนถึงระดับที่ต่ำกว่าข้อกำหนดของ EPA สหรัฐฯ และข้อบังคับของยุโรป

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

Gradiant บริษัทผู้ให้บริการโซลูชันระดับโลกสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียได้ประกาศถึงก้าวสำคัญในความพยายามต่อสู้กับการปนเปื้อนของ PFAS ซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่เสื่อมสภาพ โดยทำงานร่วมกับน้ำที่ปนเปื้อนจากอุตสาหกรรม น้ำเทศบาล และน้ำจากหลุมฝังกลบ ซึ่ง ForeverGone™ ได้รับการพิสูจน์ทางปริมาณแล้ว ผ่านห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจากบุคคลที่สามหลายแห่ง ว่าสามารถลดระดับ PFAS ลงไปถึงระดับที่ต่ำกว่าข้อกำหนดทางกฎหมายและทำลายสาร PFAS ที่เข้มข้นที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์

Gradiant's ForeverGone all-in-one solution and testing data for industrial wastewater (Photo: Business Wire)

โซลูชันแบบครบวงจรของ ForeverGone จาก Gradiant และข้อมูลการทดสอบน้ำเสียจากอุตสาหกรรม (ภาพ: Business Wire)

ก้าวสำคัญในกระบวนการพัฒนานี้เป็นการยืนยันว่า ForeverGone ซึ่งเปิดตัวในปีนี้ เป็นโซลูชันแบบครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถกำจัดและทำลาย PFAS ได้ที่โรงงาน ทำให้ไม่จำเป็นต้องจัดการกับของเสีย การฝังกลบ หรือการเผา ซึ่งแตกต่างจากเทคโนโลยีทั่วไป รวมถึงคาร์บอนที่ใช้งานได้แบบเม็ด (GAC) และการแลกเปลี่ยนไอออน

โซลูชัน ForeverGone ที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์สามารถนำไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วและติดตั้งในสถานที่เพื่อลดระดับ PFAS ให้ลงไปต่ำกว่าระดับสูงสุดที่กำหนดโดย US EPA ที่ 4.0 ppt และข้อกำหนดที่เข้มงวดที่กำหนดโดยกฎระเบียบในยุโรปและออสเตรเลีย

“ผู้ตัดสินใจที่สำคัญต่างชื่นชมข้อเสนอที่โดดเด่นของ ForeverGone ในการกำจัดและทำลาย PFAS จากน้ำที่ปนเปื้อนทุกรูปแบบ” นาย Sankar Natarajan หัวหน้าฝ่ายขายระดับโลกของ Gradiant กล่าว “เรากำลังประสบกับอัตราการขายที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การติดต่อครั้งแรกจนถึงการดำเนินโครงการในระดับเต็มรูปแบบในหลายภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ อาหารและเครื่องดื่ม การทำเหมืองแร่ และบริการสาธารณะใหญ่ๆ ทั้งหมดพยายามที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและปกป้องชุมชนของตน”

“เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ForeverGone เราได้ลงทุนอย่างมากในความสามารถของ Gradiant Labs ในการตรวจจับ PFAS ได้ถึงเพียงหนึ่งส่วนในหนึ่งล้านล้านส่วน ซึ่งช่วยให้เราสามารถเสนอหลักฐานที่ลูกค้าต้องการเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีของเราในน้ำที่ปนเปื้อนได้อย่างรวดเร็ว” นาย Steven Lam หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Gradiant กล่าว

Gradiant ได้นำโซลูชัน ForeverGone ไปใช้งานที่โรงงานของลูกค้าทั่วโลกอย่างจริงจัง โดยมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญในการกำจัดและทำลาย PFAS แบบครบวงจร ตลอดไป

คุณสนใจนำ ForeverGone ไปใช้ที่โรงงานของคุณไหม Gradiant ขอแนะนำโครงการทดสอบที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อสาธิตการใช้ ForeverGone ในการบำบัดน้ำที่ปนเปื้อนหลากหลายประเภท หากสนใจให้ติดต่อ Gradiant ได้ที่ http://www.gradiant.com/contact

เกี่ยวกับ Gradiant
Gradiant คือบริษัทน้ำในรูปแบบที่แตกต่าง ด้วยชุดโซลูชันที่โดดเด่นและเป็นเจ้าของแบบครบวงจรสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียที่ขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดในด้านน้ำ บริษัทให้บริการการดำเนินงานที่สำคัญของลูกค้าในอุตสาหกรรมที่จำเป็นต่อโลก เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยา อาหารและเครื่องดื่ม ลิเธียม และแร่ธาตุที่สำคัญ รวมถึงพลังงานหมุนเวียน โซลูชันที่เป็นนวัตกรรมของ Gradiant ช่วยลดการใช้น้ำและน้ำเสียที่ปล่อยออกมา ฟื้นฟูทรัพยากรที่มีค่า และเปลี่ยนน้ำเสียให้เป็นน้ำสะอาด บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในบอสตันนี้ก่อตั้งขึ้นที่ MIT และมีพนักงานกว่า 1,000 คนทั่วโลก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ gradiant.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: www.businesswire.com/news/home/54132753/en

ติดต่อ

องค์กร
Felix Wang
Gradiant, Global Head of Brand and PR
fwang@gradiant.com

ที่มา: Gradiant

รถแข่ง “MAZDA SPIRIT RACING ROADSTER CNF Concept” ใช้น้ำมันเครื่อง “IDEMITSU IFG Plantech Racing” ลงแข่ง “SUZUKA S Endurance Race” และเข้าถึงเส้นชัยได้สำเร็จ

Logo

“IDEMITSU IFG Plantech Racing” คือน้ำมันเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมสมรรถนะในการแข่งขันและผ่านการรับรองมาตรฐานจาก API โดยใช้วัตถุดิบจากพืช

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–16 ตุลาคม 2024

น้ำมันเครื่องรุ่นใหม่ “IDEMITSU IFG Plantech Racing” ที่พัฒนาโดย Idemitsu Kosan Co., Ltd. (สำนักงานใหญ่: เขตชิโยดะ โตเกียว; ผู้อำนวยการฝ่ายตัวแทน, ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร: คุณ Shunichi Kito; หลังจากนี้จะเรียกว่า “Idemitsu”) ได้ถูกนำมาใช้กับรถแข่ง “MAZDA SPIRIT RACING ROADSTER CNF Concept” เพื่อเข้าร่วมใน ST-Q Class*1 ของการแข่งขัน SUZUKA Super Taikyu (จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-29 กันยายน) โดย IDEMITSU IFG Plantech Racing ได้ถูกนำมาใช้เป็นน้ำมันที่มีสมรรถนะในการแข่งขันและมีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) สำหรับใช้กับรถแข่ง และรถคันนี้เข้าถึงเส้นชัยในการแข่งประเภทเอนดูรานซ์เป็นเวลา 5 ชั่วโมงโดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นเครื่องยืนยันว่าน้ำมันดังกล่าวมีสมรรถนะที่พร้อมสำหรับการแข่งขัน
น้ำมันเครื่องนี้เป็นน้ำมันเครื่องแรก*3 ของโลกสำหรับรถ 4 ล้อที่ใช้วัตถุดิบจากพืช*2 (80% ขึ้นไป) เป็นน้ำมันพื้นฐาน รวมถึงมีสมรรถนะในการแข่งขันและการรับรองตามมาตรฐาน API SP

“IDEMITSU IFG Plantech Racing” used in the MAZDA Roadster (Photo: Business Wire)

“IDEMITSU IFG Plantech Racing” ถูกนำมาใช้ใน MAZDA Roadster (รูปภาพ: Business Wire)

ในการแข่งขัน “Super Taikyu Series” แบบระยะไกลสุดทรหด จำเป็นต้องใช้น้ำมันเครื่องที่ช่วยยกระดับสมรรถนะเครื่องยนต์ให้ถึงขีดสุดได้แบบต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงความทนทานและมีการระเหยต่ำภายใต้สภาวะการขับขี่ที่หนักหน่วง และมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพ เช่น การเร่งเครื่องและการปกป้องเครื่องยนต์
“IDEMITSU IFG Plantech Racing” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ จาก Idemitsu อย่างเต็มที่เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม Idemitsu ใช้เทคโนโลยีการผสมสูตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนอย่าง “เทคโนโลยีโมลิบดีนัม x เอสเทอร์จากพืช”*4 ในการผสมน้ำมันพื้นฐานจากพืชอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้สมรรถนะที่ตรงตามความต้องการในการแข่งขันครั้งนี้

Mazda Motor Corporation (สำนักงานใหญ่: เขตอากิ ฮิโรชิม่า; ผู้อำนวยการฝ่ายตัวแทน ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร: คุณ Masahiro Moro; หลังจากนี้จะเรียกว่า “Mazda”) ที่นำน้ำมันเครื่อง IDEMITSU IFG Plantech Racing มาใช้ ไม่เพียงแต่ตั้งเป้าที่จะทำให้เชื้อเพลิงมีความเป็นการทางคาร์บอน แต่ยังตั้งเป้าหมายสู่การมีคาร์บอนติดลบ (Carbon negativity) อีกด้วย โดยใช้เทคโนโลยีการดักจับ CO₂ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ทั้งนี้ หลักปรัชญาในการทำงานของ Mazda ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่อิงตามหลักแนวคิดในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนนั้นสอดคล้องกับแนวคิดของ IDEMITSU IFG Plantech Racing และเมื่อได้เห็นกำลังเครื่องยนต์สมรรถนะสูงและความน่าเชื่อถือจากการทดสอบด้วย MAZDA SPIRIT RACING ก็ส่งผลให้บริษัทตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์นี้

น้ำมันเครื่องระดับแนวหน้านี้ต่อยอดมาจาก “ซีรีส์ IDEMITSU IFG/IRG” ซึ่งมีวางจำหน่ายใน 13 ประเทศหลัก ๆ ที่มีสำนักงานขายสารหล่อลื่นของ Idemitsu ตั้งอยู่ และมีกำหนดการเปิดตัวในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน 2024

Idemitsu ก่อตั้งขึ้นในปี 1911 และมุ่งเน้นคิดค้นสูตรสารหล่อลื่นแบบเฉพาะตัวที่แม่นยำและพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีมาโดยตลอด Idemitsu จะยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ไม่มีใครทำได้และตอบโจทย์บรรดาผู้ที่ชื่นชอบการขับรถเป็นชีวิตจิตใจ โดยใช้ความสามารถด้านเทคโนโลยีตามแบบฉบับเฉพาะตัวของ Idemitsu

*1

“ENEOS Super Taikyu Series 2024 Empowered by BRIDGESTONE Round 5 SUZUKA S-Tai” คลาส ST-Q

*2

น้ำมันพื้นฐานที่ใช้ใน IDEMITSU IFG Plantech Racing ผลิตขึ้นเป็นพิเศษจากวัตถุดิบจากพืชที่ปลูกทดแทนได้แบบ 100% การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้รับการดูดซับในระหว่างการปลูกวัตถุดิบนั้นมากกว่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตน้ำมันพื้นฐาน ทำให้คาร์บอนติดลบเกิดขึ้นได้จริง

*3

แบบสำรวจตลาดเกี่ยวกับ “น้ำมันเครื่อง” ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 จนถึงกุมภาพันธ์ 2024; น้ำมันเครื่องแรกของโลกสำหรับรถ 4 ล้อ ที่มาพร้อมองค์ประกอบสามอย่าง ได้แก่ การรับรองตามมาตรฐาน API, น้ำมันจากพืช และสมรรถนะในการแข่งขัน
แบบสำรวจโดย Trending Future Research Institute inc. หากต้องการทราบรายละเอียด โปรดดูเอกสารที่เผยแพร่ด้านล่าง
การพัฒนา “IDEMITSU IFG Plantech Racing” น้ำมันเครื่องที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน API แรกของโลกพร้อมสมรรถนะในการแข่งขัน ผลิตจากวัตถุดิบจากพืชมากกว่า 80% (7 สิงหาคม 2024) 

*4

เทคโนโลยีการผสมสูตรแบบเฉพาะตัวของ Idemitsu จะผสมโมลิบดีนัม (ซึ่งลดการเสียกำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะเนื่องจากความต้านทานแรงเสียดทาน) เข้ากับเอสเทอร์จากพืชที่มีความหนืดสูง (ซึ่งจะทำให้ฟิล์มน้ำมันหนาขึ้น และเพิ่มสมรรถนะในการปกป้องเครื่องยนต์) ในน้ำมันพื้นฐานจากพืชที่ผสมยาก 

เกี่ยวกับ “ซีรีส์ IDEMITSU IFG/IRG”
“ซีรีส์ IDEMITSU IFG/IRG” คือ ซีรีส์น้ำมันเครื่องที่มาพร้อมการผสมแบบเฉพาะตัวตามสูตรที่แม่นยำและเหมาะสม เพื่อยกระดับสมรรถนะเครื่องยนต์ให้ถึงขีดสุด หากต้องการทราบรายละเอียด โปรดดูเว็บไซต์อย่างเป็นทางการด้านล่าง
https://www.idemitsu-nano-tailored-oil.com/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/54136139/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อในกรณีที่มีคำถามในเรื่องนี้
ข้อมูลติดต่อในกรณีที่มีคำถามเกี่ยวกับ IDEMITSU IFG Plantech Racing
idemitsu-plantech-racing@idemitsu.com

สำหรับคำถามจากสื่อ โปรดติดต่อ
แผนกประชาสัมพันธ์ ส่วนประชาสัมพันธ์ Idemitsu Kosan Co., Ltd.
https://www.idemitsu.com/jp/contact/newsrelease_flow/index.html

แหล่งที่มา: Idemitsu Kosan Co., Ltd.

.



Xsolla และ IT Park Uzbekistan ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเกมในอุซเบกิสถาน

Logo

ความร่วมมือมุ่งเปิดตัวสถาบันพัฒนาเกมและสร้างงานใหม่ในอุตสาหกรรมภายในปี 2030

ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–15 ตุลาคม 2024

บริษัท Xsolla ซึ่งเป็นบริษัทพาณิชย์วิดีโอเกมระดับโลก และ IT Park Uzbekistan ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเกมในอุซเบกิสถาน บันทึกความเข้าใจนี้เป็นการประสานความร่วมมืออย่างเป็นทางการระหว่างสององค์กร และวางแนวทางสู่การเปิดตัว Xsolla IT Park Academy ในปี 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกอบรมบุคลากรในท้องถิ่นและสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการผลิตและพัฒนาเกมในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของอุซเบกิสถาน

(Graphic: Xsolla)

(กราฟิก: Xsolla)

พิธีลงนามจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ Xsolla ในลอสแอนเจลิส โดยมี Abdulakhad Kuchkarov ผู้อำนวยการบริหารของ IT Park Uzbekistan, Jahongir Kagirov หัวหน้าฝ่ายการส่งออก IT และบริการของ IT Park และ Dmitri Burkovskiy ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Xsolla เข้าร่วม

ความร่วมมือนี้ต่อยอดกลยุทธ์ของ Xsolla ในการนำการศึกษาด้านการพัฒนาเกมสู่ภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลาง ต่อเนื่องจากการเปิดตัว Xsolla Curine Academy ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Xsolla มุ่งมั่นที่จะสร้าง Xsolla Global Academy พร้อมศูนย์การศึกษาในท้องถิ่นสำหรับนักศึกษา นักพัฒนาเกม และดาวรุ่งในวงการ เพื่อเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และพัฒนาแนวคิดด้านเกมของตนโดยตรงในภูมิภาค

บันทึกความเข้าใจนี้ระบุวัตถุประสงค์และแผนงานสำคัญหลายประการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเกมในอุซเบกิสถาน รวมถึงการจัดตั้งโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม ภายในปี 2030 ความร่วมมือนี้มุ่งสร้างงานในภาคเกม และผลักดันให้อุซเบกิสถานเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเกม นอกจากนี้ ยังจะสำรวจโอกาสในการสนับสนุนสตูดิโอทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มของ Xsolla โดยเน้นการเติบโตในภูมิภาคและความร่วมมือระดับนานาชาติ

Chris Hewish ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ Xsolla กล่าวถึงความร่วมมือนี้ว่า “เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกมในอุซเบกิสถาน Xsolla IT Park Academy จะเป็นรากฐานในการบ่มเพาะนักพัฒนาและนวัตกรรุ่นใหม่ เรารอคอยที่จะเห็นว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของภูมิภาคนี้อย่างไร”

Abdulakhad Kuchkarov ผู้อำนวยการบริหารของ IT Park Uzbekistan กล่าวเสริมว่า “บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เป็นก้าวสำคัญในความพยายามของเราที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมเกมในอุซเบกิสถาน ด้วยความเชี่ยวชาญของ Xsolla และความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาศักยภาพ เรามั่นใจว่าความร่วมมือนี้จะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชุมชนเกมทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

ความร่วมมือระหว่าง Xsolla และ IT Park Uzbekistan ถือเป็นบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกมของภูมิภาค IT Park และ Xsolla จะร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรม สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และผลักดันให้อุซเบกิสถานก้าวสู่การเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดเกมระดับโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือนี้ กรุณาเยี่ยมชม: xsolla.blog/uzbekistan

เกี่ยวกับ Xsolla

Xsolla เป็นบริษัทพาณิชย์วิดีโอเกมระดับโลกที่มีเครื่องมือและบริการอันทรงพลัง ออกแบบมาเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมเกม นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2005 Xsolla ได้ช่วยเหลือนักพัฒนาและผู้จัดจำหน่ายเกมนับพันรายในทุกระดับ ทั้งด้านการระดมทุน การตลาด การเปิดตัว และการสร้างรายได้จากเกมทั่วโลกบนหลากหลายแพลตฟอร์ม ในฐานะผู้นำนวัตกรรมด้านการพาณิชย์วิดีโอเกม ภารกิจของ Xsolla คือการแก้ไขความซับซ้อนในการจัดจำหน่าย การตลาด และการสร้างรายได้ในระดับโลก เพื่อช่วยให้พันธมิตรของเราขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มรายได้ และสร้างความสัมพันธ์กับผู้เล่นทั่วโลก สำนักงานใหญ่ของ Xsolla ตั้งอยู่ที่ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย พร้อมสำนักงานในลอนดอน เบอร์ลิน โซล ปักกิ่ง กัวลาลัมเปอร์ ราลีห์ โตเกียว มอนทรีออล และเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก Xsolla ให้การสนับสนุนเกมชั้นนำจากพันธมิตรอย่าง Valve, Twitch, Epic Games, Take-Two, KRAFTON, Nexters, NetEase, Playstudios, Playrix, miHoYo และอื่น ๆ อีกมากมาย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม xsolla.com

เกี่ยวกับ IT Park Uzbekistan

IT Park Uzbekistan เป็นศูนย์นวัตกรรมชั้นนำของอุซเบกิสถาน สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม IT ของประเทศผ่านการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และการบ่มเพาะธุรกิจ ก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีที่เข้มแข็ง IT Park มุ่งเน้นด้านการศึกษา IT การเร่งการเติบโต และการสนับสนุนสตาร์ทอัพ โดยให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การฝึกอบรมไปจนถึงการระดมทุน องค์กรนี้ยังร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มการส่งออก สร้างงาน และพัฒนาทักษะดิจิทัล IT Park มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้อุซเบกิสถานเป็นศูนย์กลาง IT ของภูมิภาค โดยมีเป้าหมายเพิ่มการส่งออกบริการ IT และสร้างงานกว่า 300,000 ตำแหน่งภายในปี 2030

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม IT Park Uzbekistan

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54136158/en

ข้อมูลติดต่อ
ช่องทางการติดต่อสำหรับสื่อ
Derrick Stembridge
ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Xsolla
d.stembridge@xsolla.com

แหล่งที่มา: Xsolla

Lenovo ได้รับแต่งตั้งเป็นพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีของ FIFA อย่างเป็นทางการ

Logo

  • ข้อตกลงครอบคลุมทั้ง FIFA World Cup 2026™ และ FIFA Women’s World Cup 2027™ โดยได้รับการประกาศในงานแสดงนวัตกรรม Tech World ที่ Lenovo จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
  • Lenovo จะเป็นผู้จัดหาเทคโนโลยีให้กับ FIFA ตั้งแต่นวัตกรรม AI (ปัญญาประดิษฐ์) ไปจนถึงอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อมอบประสบการณ์ชั้นยอดให้กับแฟนบอลและรองรับการถ่ายทอดทั่วโลก
  • Lenovo และ FIFA จะใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเกมการแข่งขันในระดับสากล

ซีแอตเทิล–(BUSINESS WIRE)–16 ตุลาคม 2024

ในงานแสดงนวัตกรรม Tech World ที่ Lenovo จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ทาง Lenovo และ FIFA ได้ประกาศชื่อบริษัทข้ามชาติที่ได้รับเลือกเป็นพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีของ FIFA อย่างเป็นทางการ (ประเภทสปอนเซอร์ระดับสูงของ FIFA) โดยข้อตกลงครอบคลุมถึง FIFA World Cup 2026™ ที่มีแคนาดา เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพและ FIFA Women’s World Cup 2027™ ที่มีบราซิลเป็นเจ้าภาพ

Lenovo named Official FIFA Technology Partner to enhance fan experiences and global broadcasts. (Graphic: Business Wire)

Lenovo ได้รับแต่งตั้งเป็นพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีของ FIFA อย่างเป็นทางการ เพื่อมอบประสบการณ์ชั้นยอดให้กับแฟนบอลและรองรับการถ่ายทอดทั่วโลก (กราฟิก: Business Wire)

การแข่งขันทั้งสองทัวร์นาเมนต์นี้เป็นโอกาสอย่างดีให้ Lenovo ได้ยกระดับแบรนด์ในระดับสากลสู่บรรดาแฟน ๆ ของกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และที่สำคัญกว่านั้นคือการได้จัดหาเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและครบวงจรที่จะช่วยให้ฟุตบอลกลายเป็นกีฬาที่ไม่ว่าใครก็เข้าถึงได้และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยขยายฐานแฟนบอลทั่วโลก

ผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชันต่าง ๆ จาก Lenovo รวมถึงชุดนวัตกรรมแบบใหม่ที่ใช้ประโยชน์และยกระดับ AI (ปัญญาประดิษฐ์), แล็ปท็อป ThinkPad สุดไอคอนิก, แท็บเล็ต, โทรศัพท์มือถือ Motorola และเซิร์ฟเวอร์ จะถูกนำมาใช้กับทัวร์นาเมนต์ประจำปี 2026 และ 2027 ดังกล่าว เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยให้แฟนบอลได้ดื่มด่ำไปกับการแข่งขัน ไม่ว่าจะรับชมในสนามการแข่งขันหรือรับชมผ่านการถ่ายทอดทั่วโลก ยกระดับการวิเคราะห์ให้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ทุกประเทศทั่วโลกที่มีการแข่งขันฟุตบอลสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียม

คุณ Yuanqing Yang ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทและซีอีโอของ Lenovo กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำรายหนึ่งของโลก เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลกนี้ โดย Lenovo จะเข้ามาช่วยส่งเสริมงานแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินี้ เพื่อทำให้งานนี้มีผู้รับชมมากขึ้น มีประเทศที่เข้าร่วมมากขึ้น และทำให้การประมวลผลข้อมูลและเทคโนโลยีกลายเป็นที่ต้องการทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“Lenovo ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนวิสัยทัศน์ของ FIFA ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับเกมการแข่งขัน มอบประสบการณ์ชั้นยอดให้กับแฟนบอลทั่วโลก และส่งเสริมนวัตกรรมที่ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน เราตื่นเต้นที่เทคโนโลยีอันล้ำสมัยและนวัตกรรม AI ของเราจะได้ปรากฏสู่สายตาของผู้คนทั่วโลกในการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง ช่วยให้คนทั่วโลกได้เห็นถึงประสิทธิภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่อัจฉริยะกว่าที่เคย”

คุณ Gianni Infantino ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน FIFA กล่าวเสริมว่า “สำหรับ FIFA เรามุ่งมั่นที่จะยกระดับเกมการแข่งขันในระดับสากลและช่วยให้ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่ว่าใครก็เข้าถึงได้ และเราตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้ Lenovo มาร่วมเส้นทางไปกับเรา และได้ร่วมงานกันเพื่อนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และโปรแกรมต่าง ๆ มาใช้เพื่อให้ฟุตบอลเข้าถึงผู้คนในวงกว้างยิ่งขึ้น เมื่อนำข้อมูลมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี ก็จะช่วยให้เรารู้จักแฟนบอลได้ดีขึ้น และเราจะใช้สิ่งนี้เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับและตราตรึงใจให้กับแฟนบอลในการแข่งขัน FIFA World Cup 2026 และ FIFA Women’s World Cup 2027

“เมื่อพูดถึง Lenovo นับว่าเราได้พาร์ทเนอร์ที่จะมาช่วยสนับสนุนเราในช่วงเวลาที่เราต้องการยกระดับเกมการแข่งขันและคิดค้นนวัตกรรมต่าง ๆ โดยลงทุนไปกับเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อคนรุ่นหลัง”

การร่วมงานครั้งสำคัญนี้นับเป็นการเข้าทำข้อตกลงครั้งแรกระหว่าง Lenovo กับ FIFA และเป็นการต่อยอดผลงานที่ผ่าน ๆ มาของ Lenovo ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมงานกีฬาชั้นนำระดับสากลต่าง ๆ มากมายทั้งในอดีตและอนาคต

เกี่ยวกับ FIFA World Cup 2026™ และ FIFA Women’s World Cup 2027™

FIFA World Cup™ จะมีทีมที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 48 ทีม และจัดขึ้นในปี 2026 โดยมีเจ้าภาพรวมสามประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทัวร์นาเมนต์นี้จะกลับมาจัดที่สหรัฐอเมริกาอีกครั้งนับตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งในครั้งนั้นมีทีมเข้าร่วม 24 ปี โดยปี 2026 นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่เม็กซิโกได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับโลกนี้ ส่วนแคนาดาเองนั้นเคยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ในฝั่งของผู้หญิงและเยาวชนให้กับ FIFA มาแล้ว โดยรวมถึง FIFA Women’s World Cup 2015™ แต่ 2026 จะเป็นครั้งแรกที่แคนาดาได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชายรุ่นทั่วไปให้กับ FIFA

FIFA Women’s World Cup 2027 จะเป็นการแข่งขันครั้งที่ 10 และมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 32 ทีมเหมือนกับครั้งที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2023 โดยบราซิลที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้มาทุกครั้งจะได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ FIFA Women’s World Cup™ จัดขึ้นในอเมริกาใต้

เกี่ยวกับ Lenovo

Lenovo คือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับสากล ซึ่งมีรายได้กว่า 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้รับอันดับที่ 248 ใน Fortune Global 500 และให้บริการแก่ลูกค้าหลายล้านรายในแต่ละวันใน 180 ประเทศ Lenovo ต่อยอดความสำเร็จมาจากการเป็นบริษัทจำหน่ายคอมพิวเตอร์พีซีรายใหญ่ที่สุดในโลก มาพร้อมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์แบบเปิดใช้งาน AI (AI-enabled) มี AI พร้อมใช้ (AI-ready) และได้รับการยกระดับด้วย AI (AI-optimized) (พีซี เวิร์กสเตชัน สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต), โครงสร้างพื้นฐาน (เซิร์ฟเวอร์ พื้นที่เก็บข้อมูล จุดเชื่อมโยง การคำนวณประสิทธิภาพสูง และโครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดด้วย), ซอฟต์แวร์, โซลูชัน และบริการต่าง ๆ ภายใต้วิสัยทัศน์อันแน่วแน่ที่จะมอบเทคโนโลยีที่อัจฉริยะยิ่งขึ้นให้กับทุกคน Lenovo ลงทุนไปกับนวัตกรรมที่พลิกโฉมโลกใบนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอนาคตที่เท่าเทียม เชื่อถือได้ และอัจฉริยะยิ่งขึ้นสำหรับทุกคนทั่วทุกมุมโลก ทั้งนี้ Lenovo อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกงภายใต้ชื่อ Lenovo Group Limited (HKSE: 992) (ADR: LNVGY) โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://lenovo.com และอ่านข่าวสารล่าสุดที่ StoryHub ของเรา

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บุคคลติดต่อ

คุณ Charlotte West – cwest@lenovo.com, +44 7825 605720
คุณ Stuart Gill – sgill@lenovo.com, +44 7917 437 532
Zeno Group – lenovowwcorp@zenogroup.com

แหล่งที่มา: Lenovo

.