Category Archives: Technology

ช้อนเกลือไฟฟ้าจาก Kirin เฉิดฉายใน CES Innovation Awards 2025 และคว้าชัยชนะเป็นครั้งแรกในหมวดเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพและเทคโนโลยีเพื่อความสามารถในการเข้าถึงและผู้สูงวัย!

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–25 ธันวาคม 2024

Kirin Holdings Company, Limited (Kirin Holdings) (โตเกียว: 2503) คว้ารางวัลในสองหมวดหมู่ ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพและเทคโนโลยีเพื่อความสามารถในการเข้าถึงและผู้สูงวัยจากงาน CES Innovation Awards® 2025 จากผลิตภัณฑ์ใหม่แห่งนวัตกรรมของบริษัทอย่าง “ช้อนเกลือไฟฟ้า” โดยอุปกรณ์รูปร่างเหมือนช้อนทานอาหารที่มีความโดดเด่นนี้เพิ่มรสเค็มและรสอูมามิให้กับอาหารโซเดียมต่ำ ซึ่งมอบโซลูชันสั่นสะเทือนวงการให้กับการทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น โดยความสำเร็จนี้เป็นรางวัลครั้งแรกที่ Kirin Group ได้รับในงาน CES Innovation Awards นอกจากนี้ Kirin Holdings จะมาแสดงสินค้าเป็นครั้งแรกในงาน CES 2025 ด้วย

The CES Innovation Awards 2025 (Graphic: Business Wire)

งาน CES Innovation Awards 2025 (กราฟิก: Business Wire)

  •  เกี่ยวกับ CES®

CES คืองานกิจกรรมประจำปีที่จัดขึ้นทุกเดือนมกราคมในลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อจัดแสดงอุปกรณ์และบริการอิเล็กทรอนิกส์ล่าสุด ในฐานะงานแสดงสินค้าทางเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก งานนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน โดยจัดขึ้นครั้งแรกนานกว่า 50 ปีที่แล้วในปี 1967 งาน CES Innovation Awards ยกย่องผลิตภัณฑ์และบริการที่มีการออกแบบและเทคโนโลยีโดดเด่น โดยงาน CES Innovation Awards 2025 นี้มีผู้ส่งผลิตภัณฑ์และบริการเข้ามามากกว่า 3,400 รายการ ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

หมายเหตุ: รางวัล CES Innovation Awards พิจารณาจากคำบรรยายที่ส่งให้กรรมการผู้ตัดสิน โดยสมาคมเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภคหรือ CTA ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตลอดจนคำกล่าวอ้างของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ส่งเข้ามา และไม่ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ได้รับรางวัล

  •  เกี่ยวกับหมวดหมู่รางวัลทั้งสอง

 เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพ: หมวดหมู่นี้ไฮไลท์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและสุขภาวะ รวมถึงอุปกรณ์ที่ช่วยในการจัดการและวิเคราะห์สุขภาพ การตรวจพบโรค และประสิทธิภาพของการรักษา

 เทคโนโลยีเพื่อความสามารถในการเข้าถึงและผู้สูงวัย: หมวดหมู่นี้ยกย่องผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับความสามารถในการเข้าถึงสำหรับผู้ทุพพลภาพ รวมถึงฟีเจอร์ที่คิดค้นขึ้นใหม่ที่ส่งเสริมการดำรงชีวิตอย่างอิสระของผู้สูงวัย

  •  เกี่ยวกับช้อนเกลือไฟฟ้า

ช้อนเกลือไฟฟ้าคืออุปกรณ์รูปร่างเหมือนช้อนทานอาหารที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มรสเค็มและรสอูมามิของอาหารโซเดียมต่ำ*1 เช่น ซุปและแกง โดยใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ อุปกรณ์นี้เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2024*2 โดยเป็นการพัฒนาร่วมกับห้องปฏิบัติการมิยาชิตะของศ.โฮเมอิ มิยาชิตะแห่งภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อแนวหน้า คณะวิทยาศาสตร์ทางคณิตศาสตร์แบบสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยเมจิ โดยผลิตภัณฑ์นี้มีเทคโนโลยีรูปแบบคลื่นไฟฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์*4 ซึ่งเพิ่มความเค็มให้กับอาหารโซเดียมต่ำได้ประมาณ 1.5 เท่า*3 จากนี้เป็นต้นไป Kirin Holdings มีแผนที่จะร่วมเป็นหุ้นส่วนกับธุรกิจและรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อขยายการใช้งานและตลาดของผลิตภัณฑ์นี้ รวมถึงสำรวจการนำการใช้งานของผลิตภัณฑ์นี้ไปใช้ในเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารประเภทอื่นๆ และการพัฒนาตัวเลือกอาหารโซเดียมต่ำ

 *1 การประชุม Neurostimulation Interface Research Meeting ครั้งที่ 3 (มีนาคม 2023) “ผลของรูปแบบคลื่นไฟฟ้าควบคุมรสชาติที่เพิ่มความเค็มของอาหารโซเดียมต่ำให้เกิดรสชาติอูมามิ” ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับอาจต่างกันไป และการรับรู้รสอาจต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร
*2 ข่าวประชาสัมพันธ์ของ Kirin Holdings, 20 พฤษภาคม 2024: Kirin Holdings จะเริ่มการจำหน่ายทางออนไลน์ของ “ช้อนเกลือไฟฟ้า” ซึ่งเป็นช้อนที่ใช้กระแสไฟฟ้าในการเพิ่มรสเค็มและรสอูมามิ ในวันที่ 20 พฤษภาคม
 https://www.kirinholdings.com/en/newsroom/release/2024/0520_01.html
*3 การประเมินความระดับความเค็มระหว่างตัวอย่างที่คล้ายอาหารปกติกับตัวอย่างที่ลดเกลือลง 30%
การทดสอบใช้ตะเกียบติดเทคโนโลยีเกลือไฟฟ้า (ช่วงกระแสไฟฟ้า: 0.1-0.5mA) โดยจากการสำรวจผู้ชายและผู้หญิง 31 คนอายุ 40-65 ปีที่เคยลดการบริโภคเกลือหรือกำลังลดการบริโภคเกลือ ผู้เข้าร่วม 29 จาก 31 คนรายงานว่าความเค็มของอาหารที่ทดสอบเพิ่มขึ้น
 *4 ข่าวประชาสัมพันธ์ของ Kirin Holdings, 11 เมษายน 2022: ครั้งแรกของโลก! งานวิจัยยืนยันว่ามีการเปลี่ยนแปลงการรับรู้รสผ่านการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา 'ตะเกียบปรับรสชาติ'
 https://www.kirinholdings.com/en/newsroom/release/2022/0411_01.html

  •  ภาพรวมของบูธ

วันที่: 7-10 มกราคม 2025
*จะมีการจัดแสดงบูธในงาน CES Unveiled Las Vegas ในวันที่ 5 มกราคมด้วย
สถานที่: Las Vegas Convention Center, Eureka Park ของ Venetian Expo
บูธช้อนไฟฟ้า: Tech West, Venetian Expo, โถง A-D — 51320 — เทคโนโลยีอาหาร
เว็บไซต์ทางการของ CES: https://www.ces.tech/

  •  คำกล่าวของผู้ชนะรางวัล: คุณไอ ซาโต้, กลุ่มธุรกิจใหม่, แผนกวิทยาศาสตร์สุขภาพ, Kirin Holdings

“ช้อนเกลือไฟฟ้าพัฒนาขึ้นโดยมีปรัชญาหลักคือ “มื้ออาหารที่อร่อยสำหรับทุกคน” เพื่อหาคำตอบให้กับความท้าทายของสังคมและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการทานอาหารลดโซเดียม การทานโซเดียมมากเกินไปเป็นปัญหาสำคัญด้านสุขภาพทั่วโลก ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่วิสัยทัศน์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังช้อนเกลือไฟฟ้าได้รับการยอมรับ และเรารู้สึกซาบซึ้งใจที่ได้รับรางวัลนี้ ในขณะเดียวกัน ดิฉันมองรางวัลนี้เป็นสัญญาณแห่งความคาดหวังต่ออนาคต เราจะผลักดันธุรกิจของเราให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไป เพื่อมอบคุณค่าของสุขภาพและความสุขผ่านอาหารแก่ลูกค้าทั่วโลก”

Kirin Group ได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการระยาวชื่อว่า Kirin Group Vision 2027 ขึ้นโดยมีเป้าหมายในการกลายเป็นผู้นำระดับโลกด้าน CSV*5 ทั้งในภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มและภาคธุรกิจเภสัชกรรม เพื่อสร้างเสริมสุขภาพของผู้คนผ่านการเติบโตของธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพของบริษัท โดยช้อนเกลือไฟฟ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบพฤติกรรมการทานอาหารที่มีความสุข อร่อย และดีต่อสุขภาพให้กับลูกค้า เพื่อสังคมที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขยิ่งขึ้น

*5 ย่อมาจาก Creating Shared Value หรือการสร้างคุณค่าร่วม โดยสร้างประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสังคมในภาพรวมไปพร้อมๆ กัน

เกี่ยวกับ Kirin Holdings

Kirin Holdings Company, Limited เป็นบริษัทข้ามชาติที่ประกอบธุรกิจในภาคอาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม), ภาคเภสัชกรรม (ธุรกิจเภสัชกรรม) และภาควิทยาศาสตร์สุขภาพ (ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ) ทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก

Kirin Holdings เริ่มต้นมาจาก Japan Brewery ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1885 และจาก Japan Brewery ก็ได้กลายเป็น Kirin Brewery ในปี 1907 นับแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทก็ขยายกิจการออกไปโดยมีการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีหลัก และได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเภสัชกรรมในทศวรรษ 1980 ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นศูนย์กลางของการเติบโตระดับโลกต่อมาเรื่อยๆ ในปี 2007 Kirin Holdings ได้รับการก่อตั้งขึ้นโดยมีลักษณะเป็นบริษัทผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง (Pure Holding Company) และขณะนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความเติบโตให้กับภาควิทยาศาสตร์สุขภาพของบริษัท

ภายใต้ Kirin Group Vision 2027 (KV 2027) ซึ่งเป็นแผนบริหารจัดการระยะยาวที่เริ่มใช้งานในปี 2019 ทาง Kirin Group พุ่งเป้าไปที่การกลายเป็นผู้นำระดับโลกด้าน CSV* เพื่อสร้างคุณค่าทั้งในภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มและภาคธุรกิจเภสัชกรรมของเรา จากนี้เป็นต้นไป Kirin Group จะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตัวเองต่อไปเพื่อสร้างคุณค่าทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านธุรกิจของเรา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำการเติบโตที่ยั่งยืนมาผสานไว้ในค่านิยมขององค์กร

* ย่อมาจาก Creating Shared Value หรือการสร้างคุณค่าร่วม โดยสร้างประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสังคมในภาพรวมไปพร้อมๆ กัน

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:
https://www.businesswire.com/news/home/54170896/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ
แผนกสื่อสารองค์กรของ Kirin Holdings Company, Limited
Nakano Central Park South, 4-10-2 นากาโนะ, เขตนากาโนะ, โตเกียว
https://www.kirinholdings.com/en/
kirin-cc@kirin.co.jp

Source: Kirin Holdings Company, Limited


Perma-Pipe International Holdings, Inc. ประกาศงบการเงินไตรมาสที่ 3

Logo

  •  บริษัทมียอดขายสุทธิอยู่ที่ 41.6 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับไตรมาส และ 113.4 ล้านเหรียญสหรัฐนับจากวันแรกของปีจนถึงวันปัจจุบัน
  •  รายได้ก่อนหักภาษีเงินได้อยู่ที่ 5.1 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับไตรมาส และ 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐนับจากวันแรกของปีจนถึงวันปัจจุบัน
  •  ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้อยู่ที่ 114.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2024 เมื่อเทียบกับ 68.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 มกราคม 2024

สปริง เท็กซัส –(BUSINESS WIRE)–24 ธันวาคม 2024

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (NASDAQ: PPIH) ประกาศงบการเงินในวันนี้สำหรับไตรมาสที่ 2 และรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024

“ยอดขายสุทธิในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 41.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว รายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 29% เมื่อเทียบกับ 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 งวดเก้าเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 ยอดขายสุทธิอยู่ที่ 113.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับงวดเก้าเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2023 รายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 294% เมื่อเทียบกับรายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐงวดเก้าเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2023” David Mansfield ประธานและซีอีโอกล่าว

“ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ในไตรมาสที่ 3 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมากและปัจจุบันอยู่ที่ 114.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้งวดเก้าเดือนเมื่อพิจารณาจากรายได้ในปีก่อนๆ ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องน่ายินดีและทำให้เกิดความหวังในการก้าวเข้าสู่ปีหน้า นอกจากนี้ ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เปลี่ยนจาก MFRI มาเป็น Perma-Pipe ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2017” Mr. Mansfield กล่าวต่อ

“ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 และปีงบการเงิน 2024 ของเราจนถึงปัจจุบันยังคงสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมซึ่งยังคงสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ทั้งนี้ รายได้สุทธิของเราที่เป็นหุ้นสามัญในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 ถือเป็นรายได้สูงสุดนับตั้งแต่เปลี่ยนจาก MFRI มาเป็น Perma-Pipe” Mr. Mansfield กล่าว

“เรารู้สึกยินดีกับระดับกิจกรรมทางธุรกิจที่เราเผชิญมาและยังคงพบเห็นอยู่ โดยได้รับแรงหนุนจาก ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ และราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานในซาอุดีอาระเบีย อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญในการปรับปรุงโดยรวมของเรา ซึ่งความแข็งแกร่งของงบการเงินของเราช่วยให้เราสามารถดำเนินการตามแผนริเริ่มเชิงกลยุทธ์ต่อไปได้” Mr. Mansfield กล่าวสรุป

ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปีงบการเงิน 2024

ยอดขายสุทธิอยู่ที่ 41.6 ล้านเหรียญสหรัฐและ 45.7 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 4.1 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 9% เป็นผลมาจากระยะเวลาในการดำเนินโครงการ

กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 34% ของยอดขายสุทธิ และ 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 29% ของยอดขายสุทธิ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 0.9 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นได้รับแรงหนุนหลักจากอัตรากำไรที่ดีขึ้นเนื่องจากส่วนประสมผลิตภัณฑ์

ค่าใช้จ่ายทั่วไปและการบริหารอยู่ที่ 7.3 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 5.7 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนและค่าธรรมเนียมวิชาชีพที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้

ค่าใช้จ่ายในการขายอยู่ที่ 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 0.3 ล้านเหรียญสหรัฐเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนที่ลดลงในไตรมาสนี้

ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิยังคงที่และอยู่ที่ 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 0.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ที่ 0.1 ล้านเหรียญสหรัฐและ 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 0.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น มีสาเหตุหลักมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในการทำธุรกรรมสกุลเงินต่างประเทศ

ETR ของบริษัทอยู่ที่ 32% และ 31% ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงใน ETR เกิดจากความสามารถในการรับรู้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนในสหรัฐอเมริกาในปีปัจจุบัน ในขณะที่ปีก่อนมีค่าเผื่อการปรับมูลค่าเต็มจำนวน และมีการเปลี่ยนแปลงการผสมผสานระหว่างรายได้และขาดทุนในเขตอำนาจศาลต่างๆ

รายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 0.6 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น สาเหตุหลักมาจากการดำเนินโครงการที่ดีขึ้นในไตรมาสนี้

 ผลประกอบการปีงบการเงิน 2024 จนถึงปัจจุบัน

ยอดขายสุทธิอยู่ที่ 113.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 110.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 3% เป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง

กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 34% ของยอดขายสุทธิ และ 29.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 27% ของยอดขายสุทธิ ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 8.7 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นได้รับแรงหนุนหลักจากอัตรากำไรที่ดีขึ้นเนื่องจากส่วนประสมผลิตภัณฑ์

ค่าใช้จ่ายทั่วไปและการบริหารอยู่ที่ 19.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 16.4 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 3.1 ล้านเหรียญสหรัฐเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนและค่าธรรมเนียมวิชาชีพที่สูงขึ้น

ค่าใช้จ่ายในการขายอยู่ที่ 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 4.2 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 0.4 ล้านเหรียญสหรัฐเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนที่ลดลง

ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิอยู่ที่ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 0.3 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยของหนี้ที่มีอัตราผันแปรบางประเภท

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ที่ 0.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 0.4 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุหลักมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ

ETR ของบริษัทอยู่ที่ 28% และ 49% ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงใน ETR เกิดจากความสามารถในการรับรู้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนในสหรัฐอเมริกาในปีปัจจุบัน ในขณะที่ปีก่อนมีค่าเผื่อการปรับมูลค่าเต็มจำนวน และมีการเปลี่ยนแปลงการผสมผสานระหว่างรายได้และขาดทุนในเขตอำนาจศาลต่างๆ

รายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น สาเหตุหลักมาจากการดำเนินโครงการที่ดีขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

Perma-Pipe International Holdings, Inc.

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (“บริษัท”) เป็นผู้นําระดับโลกในด้านระบบท่อหุ้มฉนวนล่วงหน้าและระบบตรวจจับการรั่วไหลสําหรับการรวบรวมน้ำมันและก๊าซ ระบบทำความร้อนและทำความเย็นในเขตพื้นที่ และการใช้งานอื่นๆ บริษัทใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการประดิษฐ์ที่กว้างขวางเพื่อพัฒนาโซลูชันระบบท่อที่ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวหลายประเภทอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บริษัทมีการดำเนินงานทั้งหมด 14 แห่งใน 6 ประเทศ

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต

ข้อความบางส่วนและข้อมูลอื่น ๆ ที่มีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ซึ่งสามารถระบุได้โดยใช้คำศัพท์ที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์อนาคต ถือเป็น “ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต” ตามความหมายของมาตรา 27A ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 1933 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม และมาตรา 21E ของ พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ปี 1934 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม และอยู่ภายใต้การคุ้มครองความปลอดภัยที่สร้างขึ้น ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ข้อความเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่คาดหวังของบริษัท ข้อความเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาว่ามีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมากมายที่มีอยู่ในการดำเนินงานและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของบริษัท ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าวรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงดังต่อไปนี้: (i) ความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อปริมาณการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทของลูกค้า (ii) ความสามารถของบริษัทในการซื้อวัตถุดิบในราคาที่เอื้ออำนวยและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ของตน (iii) การลดลงของการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท และความท้าทายต่อสภาพคล่องและการเข้าถึงเงินทุนของลูกค้าที่ไม่ใช่ภาครัฐของบริษัท (iv)ความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้และต่ออายุสินเชื่อระหว่างประเทศที่กำลังจะหมดอายุ (v) ความสามารถของบริษัทในการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิผล และบรรลุผลกำไรที่ยั่งยืนและกระแสเงินสดที่เป็นบวก (vi) ความสามารถของบริษัทในการเรียกเก็บเงินลูกหนี้ระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับโครงการในตะวันออกกลาง (vii) ความสามารถของบริษัทในการตีความการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและกฎหมายด้านภาษี(viii) ความสามารถของบริษัทในการใช้ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานยกไป (ix) การกลับรายการรายได้และกำไรที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้อันเป็นผลมาจากการประมาณการที่ไม่ถูกต้องซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้รายได้ “ล่วงเวลา” ของบริษัท (x) ความล้มเหลวของบริษัทในการสร้างและรักษาการควบคุมภายในที่มีประสิทธิผลต่อการรายงานทางการเงิน (xi) ระยะเวลาในการรับคำสั่งซื้อ การดำเนินการ การส่งมอบ และการยอมรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท (xii) ความสามารถของบริษัทในการเจรจาการจัดการการเรียกเก็บเงินความคืบหน้าสำหรับสัญญาขนาดใหญ่ได้สำเร็จ (xiii) การกำหนดราคาเชิงรุกโดยคู่แข่งที่มีอยู่และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ในตลาดที่บริษัทดำเนินการอยู่ (xiv) ความสามารถของบริษัทในการผลิตสินค้าที่ปราศจากข้อบกพร่องที่แฝงอยู่และในการกู้คืนจากซัพพลายเออร์ที่อาจจัดหาวัตถุดิบที่มีข้อบกพร่องให้กับบริษัท (xv) การลดหรือยกเลิกคำสั่งซื้อที่รวมอยู่ในยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ของบริษัท (xvi) ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เฉพาะเจาะจงต่อการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัท (xvii) ความสามารถของบริษัทในการดึงดูดและรักษาผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรสำคัญ (xviii) ความสามารถของบริษัทในการบรรลุผลประโยชน์ที่คาดหวังจากโครงการริเริ่มการเติบโต (xix) ผลกระทบของโรคระบาดและวิกฤตด้านสาธารณสุขอื่น ๆ ที่มีต่อบริษัทและการดำเนินงานของบริษัท และ (xx) ผลกระทบของภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท ผู้ถือหุ้น นักลงทุนที่มีศักยภาพ และผู้อ่านรายอื่นๆ ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการประเมินข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า และเตือนไม่ให้เชื่อถือข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวมากเกินไป ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่ทำขึ้นในที่นี้จัดทำขึ้น ณ วันที่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้เท่านั้น และเราไม่มีข้อผูกมัดในการปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ ต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นๆ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของเราได้ในเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถดูได้ที่ https://www.sec.govและภายใต้หัวข้อศูนย์นักลงทุนของเว็บไซต์ของเรา (http://investors.permapipe.com.)

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลประกอบการทางการเงินของบริษัทสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 รวมถึงการอภิปรายและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหารเกี่ยวกับสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท มีอยู่ในรายงานประจำไตรมาสของบริษัทในแบบฟอร์ม 10-Q สำหรับไตรมาสที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 22024 ซึ่งจะยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในหรือประมาณวันที่ระบุในที่นี้ และจะสามารถเข้าถึงได้ที่ www.sec.govและ www.permapipe.comสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปดูที่เว็บไซต์ของบริษัท

 PERMA-PIPE INTERNATIONAL HOLDINGS, INC. และบริษัทย่อย

 งบการเงินรวมอย่างย่อของการดำเนินงาน

 (เป็นจำนวนพัน ยกเว้นข้อมูลต่อหุ้น)

 (ก่อนตรวจสอบ)

 งวดสามเดือนสิ้นสุด
วันที่ 31 ตุลาคม

 งวดเก้าเดือนสิ้นสุด
 วันที่ 31 ตุลาคม

 2024

 2023

 2024

 2023

ยอดขายสุทธิ

$

41,563

$

45,690

$

113,397

$

110,489

กำไรขั้นต้น

14,086

13,184

38,077

29,424

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวม

8,500

7,145

23,214

20,618

รายได้จากการดำเนินงาน

5,586

6,039

14,863

8,806

ดอกเบี้ยจ่าย

468

640

1,489

1,788

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ

(50

)

(502

)

(156

)

(350

)

รายได้ก่อนหักภาษีเงินได้

5,068

4,897

13,218

6,668

ภาษีเงินได้

1,615

1,533

3,692

3,257

รายได้สุทธิ

$

3,453

$

3,364

$

9,526

$

3,411

หัก: รายได้สุทธิของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม

962

1,429

2,303

1,577

รายได้สุทธิที่เป็นส่วนของหุ้นสามัญ

$

2,491

$

1,935

$

7,223

$

1,834

กำไรต่อหุ้นที่เป็นส่วนของหุ้นสามัญ

ขั้นพื้นฐาน

$

0.31

$

0.24

$

0.91

$

0.23

ปรับลด

$

0.31

$

0.24

$

0.90

$

0.23

 หมายเหตุ: การคำนวณกำไรต่อหุ้นอาจได้รับผลกระทบจากการปัดเศษ

 PERMA-PIPE INTERNATIONAL HOLDINGS, INC. และบริษัทย่อย

 งบดุลรวมอย่างย่อ

 (เป็นจำนวนพัน)

 (ก่อนตรวจสอบ)

 October 31, 2024

 January 31, 2024

 สินทรัพย์

สินทรัพย์หมุนเวียน

$

104,405

$

98,818

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน

56,344

56,893

 สินทรัพย์รวม

$

160,749

$

155,711

 หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

หนี้สินหมุนเวียน

$

53,794

$

57,742

หนี้สินไม่หมุนเวียน

26,792

25,991

 หนี้สินรวม

80,586

83,733

 ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม

8,952

6,266

 ส่วนของผู้ถือหุ้น

71,211

65,712

 หนี้สินและส่วนทุนรวม

$

160,749

$

155,711

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Perma-Pipe International Holdings, Inc.
David Mansfield ประธานและซีอีโอ
นักลงทุนสัมพันธ์ Perma-Pipe
(847) 929-1200
investor@permapipe.com

Source: Perma-Pipe International Holdings, Inc.

ClinChoice ขยายความร่วมมือ 13 ปีกับ Medidata ด้วยการเพิ่ม Clinical Data Studio เพื่อปรับปรุงการจัดการข้อมูลและเสริมศักยภาพการทดลองทางคลินิก

Logo

ข้อตกลงใหม่จะผสานรวมแพลตฟอร์ม Medidata ขจัดขั้นตอนการศึกษาที่ซับซ้อน และเร่งการวิจัยผ่าน AI ระบบอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ขั้นสูง

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–18 ธันวาคม 2024

Medidata ซึ่งเป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes และผู้ให้บริการโซลูชันการทดลองทางคลินิกชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้ขยายความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาวกับ ClinChoice ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยตามสัญญา (CRO) ระดับโลก ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ ClinChoice จะใช้แพลตฟอร์ม Medidata เพื่อปรับปรุงข้อมูลการศึกษาและการจัดการการจัดหา เพิ่มประสิทธิภาพการทดลอง และเร่งการเติบโตในฐานะ CRO แบบครบวงจรในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ClinChoice ยังวางแผนที่จะให้ความสำคัญกับการรับรอง Clinical Data Studio เป็นหลัก โดยการเพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้นผ่านประสบการณ์การจัดการคุณภาพข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI เชิงปฏิรูป

ClinChoice มุ่งมั่นที่จะใช้โซลูชันของ Medidata มานานกว่าทศวรรษ โดยช่วยอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยระหว่างผู้ป่วย สถานที่ และผู้สนับสนุนภายในสภาพแวดล้อมคลาวด์แบบรวมศูนย์ ในฐานะผู้ใช้รายแรกๆ ClinChoice มีบทบาทสำคัญในช่วงการระบาดใหญ่จากการนำโมเดล Direct-to-Patient ของ Rave RTSM มาใช้ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างต่อเนื่องและปรับปรุงสินค้าคงคลังให้เหมาะสมในหลายๆ ภูมิภาคและข้อกำหนดด้านกฎระเบียบต่างๆ การผสานรวมโซลูชันของ Medidata ช่วยให้ ClinChoice เสริมศักยภาพในการดำเนินงานและพร้อมสำหรับการเติบโตในสภาพแวดล้อมการทดลองทางคลินิกที่ซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน

“ตั้งแต่ที่เราเริ่มนำ Medidata Rave EDC มาใช้ครั้งแรกในปี 2011 ความร่วมมือระหว่างเรากับ Medidata ได้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาของเรา โดยเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นที่จีน และในที่สุดก็ขยายไปสู่ระดับโลก” Ling Zhen ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับโลกของ ClinChoice กล่าว “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะขยายความร่วมมือเพื่อนำ Clinical Data Studio ของ Medidata และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ มาใช้เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของเราต่อไป”

“ความมุ่งมั่นของ ClinChoice ในด้านนวัตกรรมและแนวทางที่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นหลักทำให้พวกเขาเป็นพันธมิตรที่ล้ำค่า” Edwin Ng รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Medidata กล่าว “ด้วยความร่วมมือใหม่นี้ เรามุ่งหวังที่จะเสริมศักยภาพให้กับ ClinChoice ด้วยโซลูชันขั้นสูงของ Medidata เพื่อส่งเสริมกระบวนการทดลองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขยายการเข้าถึงทั่วโลก และเร่งการเข้าถึงการรักษาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตสำหรับผู้ป่วยทั่วโลก”

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata ขับเคลื่อนการรักษาที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นและทำให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้นผ่านโซลูชันดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทดลองทางคลินิก Medidata เฉลิมฉลอง 25 ปีของนวัตกรรมเทคโนโลยีสุดล้ำในการทดลองมากกว่า 35,000 ครั้งและผู้ป่วย 10 ล้านราย โดยนำเสนอความเชี่ยวชาญระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ และชุดข้อมูลการทดลองทางคลินิกในอดีตระดับผู้ป่วยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านรายในลูกค้าประมาณ 2,300 รายไว้วางใจในแพลตฟอร์มที่ไร้รอยต่อและครบวงจรของ Medidata ในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วย เร่งการค้นพบทางคลินิก และนำการรักษาออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น Medidata ซึ่งเป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY.PA) มีสำนักงานใหญ่อยู่ในนครนิวยอร์ก และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำโดย Everest Group และ IDC ค้บหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามเราได้ที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับความก้าวหน้าของมนุษย์ ตั้งแต่ปี 1981 บริษัทได้ริเริ่มโลกเสมือนจริงเพื่อพัฒนาชีวิตจริงสำหรับผู้บริโภค ผู้ป่วย และพลเมือง แพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE ของ Dassault Systèmes ช่วยให้ลูกค้า 350,000 รายในอุตสาหกรรมทั้งหมดและทุกขนาดสามารถทำงานร่วมกัน จินตนาการ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยั่งยืนซึ่งส่งผลกระทบที่มีคุณค่าได้ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: www.3ds.com

เกี่ยวกับ ClinChoice

ClinChoice เป็นองค์กรวิจัยตามสัญญา (CRO) ชั้นนำระดับโลกที่มุ่งมั่นจัดหาโซลูชันบริการครบวงจรและฟังก์ชันการทำงานตลอดวงจรชีวิตการพัฒนาสำหรับบริษัทเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ClinChoice ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 และมีพนักงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากกว่า 4,000 คนใน 30 ประเทศทั่วเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ

ClinChoice คือแหล่งข้อมูลโซลูชันไบโอเมตริกที่ครอบคลุมซึ่งออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลการทดลองทางคลินิกของคุณเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพสูงสุด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราสร้างชื่อเสียงในฐานะพันธมิตรที่ลูกค้าทั่วโลกเลือก ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่เหนือกว่าซึ่งช่วยลดความซับซ้อนและเร่งเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ของคุณออกสู่ตลาด ClinChoice ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณเข้าใจระเบียบวิธีล่าสุดในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านกฎระเบียบและวิทยาศาสตร์การพัฒนาทางคลินิกได้อย่างลึกซึ้ง

ในอนาคต ClinChoice จะยังคงสร้างระบบนิเวศทางคลินิกระดับโลกต่อไปโดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั่วโลก

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.clinchoice.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Medidata PR
Medidata.PR@3ds.com

ความสัมพันธ์กับนักวิเคราะห์
medidata.AR@3ds.com

แหล่งข้อมูล: Medidata

MRI-Simmons เข้าร่วมกับ Truthset Data Collective เพื่อตรวจสอบคุณภาพข้อมูลยิ่งขึ้น

Logo

ผู้นำด้านข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อความถูกต้องและความโปร่งใสของข้อมูล

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 ธันวาคม 2024

MRI-Simmons ผู้นำด้านผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวอเมริกันได้ประกาศวันนี้ว่าตนได้เข้าร่วมกลุ่มกับ Truthset Data Collective ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ให้บริการข้อมูลที่รวมตัวกันเพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมการตลาดทำธุรกรรมกับข้อมูลด้วยความแม่นยำและมีคุณภาพในระดับที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การเข้าร่วมกลุ่ม Data Collective ได้แสดงให้เห็นว่าผู้นำด้านข้อมูลเชิงลึกเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในความโปร่งใสและความถูกต้องแม่นยำ ซึ่งเป็นคุณลักษณะ 2 ประการที่บริษัทยึดมั่นมาเป็นเวลากว่า 70 ปี

Truthset Data Collective เปิดตัวในเดือนธันวาคม 2022 โดยก่อตั้งขึ้นเพื่อมอมบริการแบบหลายแหล่งที่มีความแม่นยำและเป็นกลางให้กับอุตสาหกรรมเพื่อสร้างมาตรฐานความแม่นยำถูกต้องตามข้อมูลประชากรให้กับการกำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและการการวัดผลสื่อ ซึ่งกลุ่มนี้ใช้ประโยชน์จากการตรวจสอบที่เป็นอิสระจาก Truthset ในระดับขนาดใหญ่เพื่อแก้ปัญหาความถูกต้องของข้อมูลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้แน่ใจได้ว่าจะมีความแตกต่างและความสามารถในการดำเนินการสำหรับผู้ให้บริการด้านข้อมูลรายต่าง ๆ ที่เข้าร่วม

สำหรับ MRI-Simmons แล้ว การร่วมมือกับ Truthset จะช่วยมอบการตรวจสอบเพิ่มเติมได้ว่าชุดข้อมูลจะมีคุณภาพสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งทั้งอุตสาหกรรมโดยรวมสามารถไว้วางใจได้ การบูรณาการผลิตภัณฑ์สี่รายการของ MRI-Simmons ที่ได้รับการรับรองจากสภาจัดเรทสื่อ (Media Rating Council/MRC) รวมถึงการศึกษาวิจัยผู้บริโภคหลัก 'USA' หรือการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา การเข้าไปเป็นสมาชิกของ Data Collective จึงช่วยเพิ่มระดับความโปร่งใสอีกชั้นหนึ่งให้กับกระบวนการที่ค่อนข้างยากลำบากอยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบประจำปีอย่างเข้มงวดที่บริษัท CPA อิสระเป็นผู้ดำเนินการ

MRI-Simmons ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความโปร่งใสและคุณภาพข้อมูลที่ไม่มีใครเทียบได้ในอุตสาหกรรม”  Lana Busignani หัวหน้าแผนกสื่อระดับโลกของ NIQ ซึ่งเป็นเจ้าของส่วนใหญ่ของ MRI-Simmons กล่าว “การเข้าร่วมกลุ่ม Truthset Data Collective ถือเป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นและส่งสัญญาณไปยังอุตสาหกรรมว่าเราสามารถไว้วางใจข้อมูลคุณภาพสูงของเราในการขับเคลื่อนผลลัพธ์การแปลงข้อมูลเชิงดิจิทัลที่สามารถปรับให้เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น””

Scott McKinley ซีอีโอของ Truthset กล่าวว่า “MRI-Simmons มีประวัติในการส่งมอบข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดที่เชื่อถือได้ให้กับอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน” “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะต้อนรับพวกเขาเข้าสู่กลุ่ม Data Collective และทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับมาตรฐานความถูกต้องแม่นยำของอุตสาหกรรมการตลาด

Truthset ได้เข้าร่วมกลุ่ม Data Collective หลังจากที่ MRI-Simmons ขยายโซลูชันการเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูล ซึ่งช่วยให้นักการตลาดปรับปรุงคุณภาพและประโยชน์ใช้สอยของข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่งได้ ซึ่งความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของชุดข้อมูลของบุคคลที่สามที่ใช้ในการเสริมประสิทธิภาพการตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากนักการตลาดมีหน้าที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพสื่อและผลตอบแทนจากการลงทุนโฆษณาให้มากขึ้น  การเข้าร่วมกลุ่ม Data Collective จึงช่วยให้นักทำการตลาดมั่นใจได้มากขึ้นว่า MRI-Simmons และชุดข้อมูลผู้บริโภคจะมีคุณสมบัติเหมาะสมในการขับเคลื่อนผลลัพธ์การตลาดที่พวกเขาตั้งเป้าเอาไว้ได้

เกี่ยวกับ MRI-Simmons

MRI-Simmons เป็นผู้นำด้านด้านการให้บริการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวอเมริกัน MRI-Simmons ได้ทำให้ข้อมูลผู้บริโภคฉลาดขึ้นและส่งเสริมการดำเนินการจากข้อมูลเชิงลึกด้วยความโปร่งใสและความเข้มงวดเชิงวิธีการ ซึ่งเป็นรากฐานบริษัท MRI-Simmons เป็นผู้นำด้านข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคมาเป็นเวลากว่า 60 ปี โดยมีชุดข้อมูลจากแหล่งเดียวที่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องความเป็นส่วนตัวจำนวนหนึ่ง ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดทำโปรไฟล์ผู้บริโภค การวางแผนสื่อ การปรับแต่งข้อมูลให้เหมาะสม และการแปลงข้อมูล MRI-Simmons ใช้วิธีการสุ่มวัดประชากรจริงในรูปแบบต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ด้วยสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ความน่าจะเป็น ผลลัพธ์จึงมาจากชุดข้อมูลที่มีตัวแทนระดับประเทศและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งช่วยให้มุมมองเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ครอบคลุมและถูกต้องแม่นยำที่สุด

Catalyst ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดข้อมูลเชิงลึกและการแปลงข้อมูลผู้บริโภคของบริษัทจะช่วยทำหน้าที่แจ้งถึงกลยุทธ์การตลาดและปรับปรุงการใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ Catalyst ซึ่งสร้างขึ้นจากชุดข้อมูลจริงของผู้บริโภคที่เป็นตัวแทนระดับประเทศของ MRI-Simmons จะมอบชุดโมดูลต่าง ๆ ให้แก่ผู้ทำการตลาด ตั้งแต่การจัดทำโปรไฟล์ผู้บริโภคไปจนถึงการแปลงข้อมูลเชิงดิจิทัลและปรับแต่งข้อมูลให้เหมาะสมได้ โดยออกแบบมาเพื่อให้มอบประสบการณ์แบบบริการตนเองที่มีความโปร่งใสอย่างสมบูรณ์

MRI-Simmons เปิดตัวในรูปแบบบริษัทร่วมทุนในปี 2019 โดยมี GfK และ SymphonyAI Group ร่วมเป็นเจ้าของ และมีมี GfK เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ GfK ได้รวมตัวกับ NIQ เพื่อรวบรวมผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีการเข้าถึงระดับโลกที่ไม่มีใครเทียบได้สองรายในปี 2023 ดูเพิ่มเติมได้ที่ mrisimmons.com

เกี่ยวกับ Truthset

Truthset เป็นบริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกที่มุ่งเน้นเฉพาะการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลผู้บริโภคเท่านั้น บริษัทนี้ทำหน้าที่ช่วยให้แบรนด์สร้างความเชื่อมั่นในข้อมูล และปรับปรุงประสิทธิภาพในการตัดสินใจด้วยข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น Truthset รวบรวมความน่าจะเป็นของความจริงสำหรับบันทึกแต่ละรายการที่สามารถใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและส่งเสริมการโต้ตอบกับผู้บริโภคที่แม่นยำยิ่งขึ้น Truthset ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดยผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมจาก Nielsen, Salesforce, LiveRamp และ Procter & Gamble ซึ่งปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ในซานฟรานซิสโก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สื่อ:

MRI-Simmons
Matt Cumello รองประธานฝ่ายการตลาด
press.ms@mrisimmons.com

Truthset
Mike Gasbara, Fabric Media
mike@fabricmedia.net

แหล่งข้อมูล: MRI-Simmons

Falcon 3: สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เปิดตัวโมเดล AI ขนาดเล็กที่ทรงพลังที่สุดในโลก ซึ่งสามารถทํางานบนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก เช่น แล็ปท็อปได้ด้วย

Logo

ฟังก์ชันมัลติโมดอลพร้อมโหมดเสียงที่จะตามมาในเดือนมกราคม 2025

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–17 ธันวาคม 2024

สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยี (TII) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยประยุกต์ชั้นนําระดับโลกภายใต้สภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (ATRC) ของอาบูดาบี ได้เปิดตัว Falcon 3 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของซีรีส์โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) แบบโอเพ่นซอร์ส การเปิดตัวครั้งสำคัญนี้กําหนดมาตรฐานประสิทธิภาพใหม่สําหรับ LLM ขนาดเล็ก และทําให้การเข้าถึงปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงเป็นประชาธิปไตย โดยทําให้โมเดลทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก เช่น แล็ปท็อป Falcon 3 นําเสนอการใช้เหตุผลที่เหนือกว่าและความสามารถในการปรับแต่งขั้นสูง ทําให้เป็นโมเดล AI ที่ทรงพลังและใช้งานได้มากขึ้น

Falcon 3: UAE’s Technology Innovation Institute Launches World’s most Powerful Small AI Models that can also be run on Light Infrastructures, including Laptops (Photo: AETOSWire)

Falcon 3: สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เปิดตัวโมเดล AI ขนาดเล็กที่ทรงพลังที่สุดในโลก ซึ่งสามารถทํางานบนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก เช่น แล็ปท็อปได้ด้วย (ภาพ: AETOSWire)

Falcon 3 ได้รับการออกแบบมาเพื่อทําให้การเข้าถึง AI ประสิทธิภาพสูงเป็นประชาธิปไตย โดยนําเสนอโมเดลที่ทั้งทรงพลังและมีประสิทธิภาพ Falcon 3 ซึ่งฝึกด้วยโทเค็น 14 ล้านล้านโทเค็น ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าที่มี 5.5 ล้านล้านโทเค็นถึงสองเท่า แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่าในเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Falcon 3 ติดอันดับหนึ่งในรุ่นชั้นนําของโลกที่สามารถทํางานบน GPU ตัวเดียวได้ เมื่อเปิดตัว Falcon 3 ก็สามารถครองตําแหน่งอันดับหนึ่งในลีดเดอร์บอร์ด LLM ของบุคคลที่สามทั่วโลกของ Hugging Face โดยแซงหน้ารุ่นโอเพ่นซอร์สอื่นๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน รวมถึงรุ่น Llama ของ Meta โดยเฉพาะอย่างยิ่งโมเดล Falcon 3-10B เป็นผู้นําในหมวดหมู่นี้ โดยมีประสิทธิภาพเหนือกว่าทุกโมเดลที่มีพารามิเตอร์ต่ำกว่า 13 พันล้านตัว

ฯพณฯ Faisal Al Bannai เลขาธิการ ATRC และที่ปรึกษาของประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้านการวิจัยเชิงกลยุทธ์และกิจการเทคโนโลยีขั้นสูงกล่าวว่า “พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของ AI นั้นไม่อาจปฏิเสธได้ ในวันนี้ เราได้พัฒนาการมีส่วนร่วมของเราในชุมชน AI โดยเฉพาะภาคโอเพ่นซอร์ส ด้วยการเปิดตัวโมเดลข้อความตระกูล Falcon 3 การเปิดตัวครั้งนี้ต่อยอดจากรากฐานที่เราสร้างขึ้นกับ Falcon 2 ซึ่งถือเป็นก้าวสําคัญสู่โมเดล AI รุ่นใหม่ ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของเราในการทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเครื่องมืออันทรงพลังเหล่านี้ได้ทุกที่ สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทของเราเพื่อความเท่าเทียมระดับโลกและนวัตกรรมที่ครอบคลุม”

ตระกูล Falcon 3

ซีรีส์ Falcon 3 มีสี่ขนาด ได้แก่ Falcon3-1B, -3B, -7B และ -10B เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ๆ จะพบว่ามีการให้ความสำคัญกับการบูรณาการที่ราบรื่นเป็นอย่างมาก โมเดลเหล่านี้เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับ API (Application Programming Interfaces) และไลบรารีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งช่วยลดความพยายามในการบูรณาการได้อย่างมาก และทําให้มั่นใจได้ถึงความสะดวกในการใช้งาน ในที่สุดสิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกโซลูชันที่เหมาะกับความต้องการของตนมากที่สุด ด้วย Falcon 3 ที่มอบประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในด้านการใช้เหตุผล ความเข้าใจภาษา การปฎิบัติตามคําสั่ง การสร้างโค้ด และงานทางคณิตศาสตร์ จึงพร้อมที่จะกําหนดมาตรฐานใหม่ในความสามารถของ AI

Falcon 3 ขนาดเล็กแต่ละโมเดลมี Base และ Instruct ซึ่งแต่ละโมเดลอยู่ในอันดับที่ทรงพลังที่สุดในโลกตามขนาดของมัน โมเดล Base อนุญาตให้ทํางานสร้างเอนกประสงค์ ในขณะที่ Instruct เป็นโมเดลที่ปรับแต่งมาอย่างดีสําหรับแอปพลิเคชันการสนทนา Falcon 3 มีให้บริการในภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และโปรตุเกส โมเดล Falcon 3 ยังมีเวอร์ชันเชิงปริมาณที่ช่วยให้สามารถบูรณาการเข้ากับสถาปัตยกรรมเฉพาะทางได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและมีน้ำหนักเบา จึงสามารถนำไปใช้และอนุมานได้อย่างรวดเร็ว

ดร. Najwa Aaraj ซีอีโอของ TII กล่าวว่า “ความทุ่มเทของเราในการบุกเบิกการวิจัยและดึงดูดผู้มีความสามารถระดับแนวหน้าได้มาถึงจุดสูงสุดในการพัฒนา Falcon 3 ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือโมเดลที่แสดงให้เห็นถึงการแสวงหาความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ โดยนําเสนอประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น และกําหนดเกณฑ์มาตรฐานใหม่ในด้านเทคโนโลยี AI”

Dr. Hakim Hacid หัวหน้านักวิจัยของศูนย์วิจัย AI และวิทยาศาสตร์ดิจิทัล (AIDRC) ของ TII กล่าวว่า “AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้ Falcon 3 ผลักดันขอบเขตของ LLM ขนาดเล็กให้ไกลขึ้น โดยมีส่วนสนับสนุนชุมชนโอเพ่นซอร์สโดยให้การเข้าถึง AI ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น เรามั่นใจว่าการเปิดตัวล่าสุดนี้จะเปิดโอกาสอันไม่จํากัด และจะมีประโยชน์มากมาย ช่วยให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปสามารถใช้ AI ในรูปแบบที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้”

Falcon 3 พร้อมให้ดาวน์โหลดทันทีบน HuggingFace และที่ FalconLLM.TII.ae พร้อมกับรายละเอียดเกี่ยวกับเกณฑ์มาตรฐาน

นอกจากนี้ TII ยังเปิดตัว Falcon Playground ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมการทดสอบสําหรับผู้ใช้ปลายทาง โปรแกรมเมอร์ ผู้เขียนโค้ด และนักวิจัย เพื่อสํารวจ Falcon 3 ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยเปิดโอกาสให้ทดลองและให้ข้อเสนอแนะ

Falcon 3 ได้รับอนุญาตภายใต้ TII Falcon License ซึ่งเป็นใบอนุญาตซอฟต์แวร์แบบ Apache 2.0 ซึ่งรวมถึงนโยบายการใช้งานที่ยอมรับได้ซึ่งส่งเสริมการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ

ต้นเดือนมกราคม 2025 โมเดลตระกูล Falcon 3 จะเปิดตัวสมาชิกใหม่ โดยเน้นที่ฟังก์ชันมัลติโมดอล รวมถึงโหมดข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และเสียง

ที่มา: AETOWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54167979/en

ติดต่อ

Victoria Meven
victoria.meven@edelman.com

ที่มา: สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยี


AI เจเนอเรชันใหม่กำลังรออยู่ GIGABYTE ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับ HPC ในงาน CES 2025

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–11 ธันวาคม 2024

GIGABYTE Technology ขึ้นชื่อในด้านนวัตกรรมล้ำสมัยด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และยังคงเดินหน้าพัฒนาความก้าวหน้าต่างๆ ที่กำหนดนิยามใหม่ให้กับอุตสาหกรรมต่อไป โดยตั้งแต่วันที่ 7 ถึง 10 มกราคม 2025 GIGABYTE จะเข้าร่วมงาน CES เพื่อจัดแสดงความก้าวหน้าล่าสุดในด้านการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและโซลูชันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลต่างๆ

The Next Gen of AI Awaits, GIGABYTE Sets the Benchmark for HPC at CES 2025 (Photo: Business Wire)

AI เจเนอเรชันใหม่กำลังรออยู่ GIGABYTE ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับ HPC ในงาน CES 2025 (ภาพ: Business Wire)

โดยในบูธของ GIGABYTE จะมีการนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยที่หลากหลายภายใต้ธีม “ACCEVOLUTION” ที่มีไฮไลท์ ได้แก่:

โซลูชันการประมวลผลคลัสเตอร์แบบแร็คสเกลสำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่

เซิร์ฟเวอร์ AI ที่รองรับ “ซูเปอร์ชิป” รุ่นถัดไป

เทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและ ประสิทธิภาพการทำงาน

เวิร์กสเตชันที่ออกแบบมาสำหรับเวิร์กโหลดขนาดเล็ก

Mini-PC ระบบฝังตัว และแพลตฟอร์มในรถยนต์ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานปลายทางและการใช้งานเชิงพาณิชย์

ด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ GIGABYTE แสดงให้เห็นว่าพลังการประมวลผลได้ช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าของ AI ซึ่งจะช่วยให้องค์กร สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา และบุคคลทั่วไปบรรลุเป้าหมายใหม่ๆ ในด้านนวัตกรรม AI ในทุกสาขาวิชา และทุกๆ ขนาดได้อย่างไร

ความมุ่งมั่นของ GIGABYTE ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงได้เร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับโลกและนวัตกรรม AI ขั้นสูง ด้วยความร่วมมืออันแข็งแกร่งกับผู้นำในอุตสาหกรรม GIGABYTE จึงสามารถส่งมอบโซลูชันเซิร์ฟเวอร์ AI ล้ำสมัยได้อย่างสม่ำเสมอพร้อมกับการปรับใช้ที่รวดเร็วหลังจากการอัปเกรดในแต่ละรุ่น โดยในงาน CES 2025 GIGABYTE จะเปิดตัว:

• เซิร์ฟเวอร์ AI ซีรีส์ AMD Instinct™ MI300, ตัวเร่งความเร็ว Intel® Gaudi® 3 และ NVIDIA HGX™

• โมดูล NVIDIA GB200 NVL72 ที่ปฏิวัติวงการ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “เซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก” สำหรับการประมวลผลของ AI โดยมอบประสิทธิภาพที่สูงกว่า GPU H100 ถึง 30 เท่า

ด้วยสถาปัตยกรรม “rack-as-a-GPU” ที่เป็นนวัตกรรม โดย NVIDIA GB200 NVL72 ได้กำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการประมวลผล AI ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานจะมีโอกาสได้สัมผัสกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนี้ด้วยตนเองและมีส่วนร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของ GIGABYTE เพื่อกำหนดอนาคตของโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI

การประมวลผลประสิทธิภาพสูงกับความยั่งยืน

เพื่อเร่งวิวัฒนาการของ AI ให้เร็วขึ้น GIGABYTE กำลังกำหนดนิยามประสิทธิภาพการระบายความร้อนใหม่ด้วยโซลูชันการระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง (DLC) แบบครบวงจร ระบบที่ครอบคลุมนี้จะผสานรวมกับเซิร์ฟเวอร์ ชุดระบายความร้อนแบบกำหนดเอง และแร็คที่มีความเข้ากันได้อย่างราบรื่นกับ CDU จากผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น CoolIT และ Motivair ด้วยการจัดการกับข้อจำกัดของการระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิม GIGABYTE จึงรับประกันความหนาแน่นในการคำนวณที่เหมาะสมที่สุด ความเสถียรของระบบที่เพิ่มขึ้น และการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานในศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัย

เซิร์ฟเวอร์ของ GIGABYTE ที่ใช้โปรเซสเซอร์ AMD, Intel และ NVIDIA รุ่นล่าสุด ใช้ประโยชน์จาก DLC เพื่อสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพที่ล้ำสมัยกับการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเปิดใช้งานเอาต์พุตการคำนวณที่สูงขึ้น โซลูชันเหล่านี้จึงตอบสนองกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความยั่งยืนในทั้งสองด้าน

ขับเคลื่อนการนำ AI ไปใช้ในเชิงพาณิชย์และนวัตกรรมแบบฝังตัว

ความเชี่ยวชาญของ GIGABYTE ในการออกแบบเมนบอร์ดทำให้ GIGABYTE กลายเป็นผู้เล่นหลักในการประมวลผลอุตสาหกรรมและการนำ AI ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ด้วยความร่วมมือกับ NVIDIA ช่วยให้ GIGABYTE นำเสนอระบบฝังตัวที่ขับเคลื่อนด้วยโมดูล Jetson Orin™ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ให้บริการด้านระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม การตรวจสอบด้วยแสงอัตโนมัติ (AOI) การตรวจจับข้อบกพร่อง การประมวลผลแบบเอจ และหุ่นยนต์ ในขณะเดียวกัน ซีรีส์ BRIX mini-PC ที่มีโปรเซสเซอร์พร้อมหน่วยประมวลผลนิวรอล (NPU) แบบบูรณาการ จะส่งมอบประสบการณ์ผู้ใช้ AI ขั้นสูงในดีไซนกะทัดรัด

เร่งความเร็วให้กับเทคโนโลยีอัตโนมัติ

การบรรจบกันของพลังการคำนวณและ AI กำลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าในเทคโนโลยีอัตโนมัติ รวมถึงรถยนต์ไร้คนขับ รถโดยสาร และยานยนต์ผิวน้ำไร้คนขับ (USV) โดย GIGABYTE ยังคงเป็นผู้บุกเบิกโซลูชันที่ชาญฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้นในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) และเทเลเมติกส์ ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ที่สำคัญ

การปฏิวัติประสบการณ์พีซีระดับไฮเอนด์

พีซี AI AORUS ของ GIGABYTE กำลังสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับเกมเมอร์และเหล่าบรรดามืออาชีพทั้งหลาย โดยนำเสนอคุณสมบัติต่างๆ เช่น:

AI Boost: การโอเวอร์คล็อกแบบไดนามิกสำหรับเซสชันการเล่นเกมที่เข้มข้น

AI Power Gear: การสลับ GPU อัจฉริยะเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ระหว่างการใช้งานมือถือ

AI Generator: ความสามารถ AI ที่สร้างได้บนอุปกรณ์เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ราบรื่น

ในงาน CES 2025 GIGABYTE ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี กำหนดทิศทางของ AI ในอนาคต และนำเสนอโซลูชันที่ก้าวล้ำสำหรับระบบนิเวศการประมวลผล

เยี่ยมชมหน้ากิจกรรม CES ของ GIGABYTE ได้ที่ https://www.gigabyte.com/Events/CES

ข้อมูลผู้ติดต่อ

ข้อมูลผู้ติดต่อด้านสื่อ: Michael Pao brand@GIGABYTE.com

ที่มา: GIGABYTE Technology

AI เจเนอเรชันใหม่กำลังรออยู่ GIGABYTE ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับ HPC ในงาน CES 2025 (ภาพ: Business Wire)

ไทเป–(BUSINESS WIRE)– GIGABYTE Technology ขึ้นชื่อในด้านนวัตกรรมล้ำสมัยด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และยังคงเดินหน้าพัฒนาความก้าวหน้าต่างๆ ที่กำหนดนิยามใหม่ให้กับอุตสาหกรรมต่อไป โดยตั้งแต่วันที่ 7 ถึง 10 มกราคม 2025 GIGABYTE จะเข้าร่วมงาน CES เพื่อจัดแสดงความก้าวหน้าล่าสุดในด้านการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและโซลูชันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลต่างๆ

โดยในบูธของ GIGABYTE จะมีการนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยที่หลากหลายภายใต้ธีม “ACCEVOLUTION” ที่มีไฮไลท์ ได้แก่:

โซลูชันการประมวลผลคลัสเตอร์แบบแร็คสเกลสำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่

เซิร์ฟเวอร์ AI ที่รองรับ “ซูเปอร์ชิป” รุ่นถัดไป

เทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและ ประสิทธิภาพการทำงาน

เวิร์กสเตชันที่ออกแบบมาสำหรับเวิร์กโหลดขนาดเล็ก

Mini-PC ระบบฝังตัว และแพลตฟอร์มในรถยนต์ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานปลายทางและการใช้งานเชิงพาณิชย์

ด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ GIGABYTE แสดงให้เห็นว่าพลังการประมวลผลได้ช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าของ AI ซึ่งจะช่วยให้องค์กร สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา และบุคคลทั่วไปบรรลุเป้าหมายใหม่ๆ ในด้านนวัตกรรม AI ในทุกสาขาวิชา และทุกๆ ขนาดได้อย่างไร

ความมุ่งมั่นของ GIGABYTE ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงได้เร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับโลกและนวัตกรรม AI ขั้นสูง ด้วยความร่วมมืออันแข็งแกร่งกับผู้นำในอุตสาหกรรม GIGABYTE จึงสามารถส่งมอบโซลูชันเซิร์ฟเวอร์ AI ล้ำสมัยได้อย่างสม่ำเสมอพร้อมกับการปรับใช้ที่รวดเร็วหลังจากการอัปเกรดในแต่ละรุ่น โดยในงาน CES 2025 GIGABYTE จะเปิดตัว:

• เซิร์ฟเวอร์ AI ซีรีส์ AMD Instinct™ MI300, ตัวเร่งความเร็ว Intel® Gaudi® 3 และ NVIDIA HGX™

• โมดูล NVIDIA GB200 NVL72 ที่ปฏิวัติวงการ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “เซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก” สำหรับการประมวลผลของ AI โดยมอบประสิทธิภาพที่สูงกว่า GPU H100 ถึง 30 เท่า

ด้วยสถาปัตยกรรม “rack-as-a-GPU” ที่เป็นนวัตกรรม โดย NVIDIA GB200 NVL72 ได้กำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการประมวลผล AI ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานจะมีโอกาสได้สัมผัสกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนี้ด้วยตนเองและมีส่วนร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของ GIGABYTE เพื่อกำหนดอนาคตของโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI

การประมวลผลประสิทธิภาพสูงกับความยั่งยืน

เพื่อเร่งวิวัฒนาการของ AI ให้เร็วขึ้น GIGABYTE กำลังกำหนดนิยามประสิทธิภาพการระบายความร้อนใหม่ด้วยโซลูชันการระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง (DLC) แบบครบวงจร ระบบที่ครอบคลุมนี้จะผสานรวมกับเซิร์ฟเวอร์ ชุดระบายความร้อนแบบกำหนดเอง และแร็คที่มีความเข้ากันได้อย่างราบรื่นกับ CDU จากผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น CoolIT และ Motivair ด้วยการจัดการกับข้อจำกัดของการระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิม GIGABYTE จึงรับประกันความหนาแน่นในการคำนวณที่เหมาะสมที่สุด ความเสถียรของระบบที่เพิ่มขึ้น และการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานในศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัย

เซิร์ฟเวอร์ของ GIGABYTE ที่ใช้โปรเซสเซอร์ AMD, Intel และ NVIDIA รุ่นล่าสุด ใช้ประโยชน์จาก DLC เพื่อสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพที่ล้ำสมัยกับการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเปิดใช้งานเอาต์พุตการคำนวณที่สูงขึ้น โซลูชันเหล่านี้จึงตอบสนองกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความยั่งยืนในทั้งสองด้าน

ขับเคลื่อนการนำ AI ไปใช้ในเชิงพาณิชย์และนวัตกรรมแบบฝังตัว

ความเชี่ยวชาญของ GIGABYTE ในการออกแบบเมนบอร์ดทำให้ GIGABYTE กลายเป็นผู้เล่นหลักในการประมวลผลอุตสาหกรรมและการนำ AI ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ด้วยความร่วมมือกับ NVIDIA ช่วยให้ GIGABYTE นำเสนอระบบฝังตัวที่ขับเคลื่อนด้วยโมดูล Jetson Orin™ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ให้บริการด้านระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม การตรวจสอบด้วยแสงอัตโนมัติ (AOI) การตรวจจับข้อบกพร่อง การประมวลผลแบบเอจ และหุ่นยนต์ ในขณะเดียวกัน ซีรีส์ BRIX mini-PC ที่มีโปรเซสเซอร์พร้อมหน่วยประมวลผลนิวรอล (NPU) แบบบูรณาการ จะส่งมอบประสบการณ์ผู้ใช้ AI ขั้นสูงในดีไซนกะทัดรัด

เร่งความเร็วให้กับเทคโนโลยีอัตโนมัติ

การบรรจบกันของพลังการคำนวณและ AI กำลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าในเทคโนโลยีอัตโนมัติ รวมถึงรถยนต์ไร้คนขับ รถโดยสาร และยานยนต์ผิวน้ำไร้คนขับ (USV) โดย GIGABYTE ยังคงเป็นผู้บุกเบิกโซลูชันที่ชาญฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้นในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) และเทเลเมติกส์ ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ที่สำคัญ

การปฏิวัติประสบการณ์พีซีระดับไฮเอนด์

พีซี AI AORUS ของ GIGABYTE กำลังสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับเกมเมอร์และเหล่าบรรดามืออาชีพทั้งหลาย โดยนำเสนอคุณสมบัติต่างๆ เช่น:

AI Boost: การโอเวอร์คล็อกแบบไดนามิกสำหรับเซสชันการเล่นเกมที่เข้มข้น

AI Power Gear: การสลับ GPU อัจฉริยะเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ระหว่างการใช้งานมือถือ

AI Generator: ความสามารถ AI ที่สร้างได้บนอุปกรณ์เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ราบรื่น

ในงาน CES 2025 GIGABYTE ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี กำหนดทิศทางของ AI ในอนาคต และนำเสนอโซลูชันที่ก้าวล้ำสำหรับระบบนิเวศการประมวลผล

เยี่ยมชมหน้ากิจกรรม CES ของ GIGABYTE ได้ที่ https://www.gigabyte.com/Events/CES

ข้อมูลผู้ติดต่อ

ข้อมูลผู้ติดต่อด้านสื่อ: Michael Pao brand@GIGABYTE.com

ที่มา: GIGABYTE Technology

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


Descope และ 8×8 ร่วมมือกัน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในประสบการณ์ของลูกค้า

Logo

การผสานรวม CPaaS API 8×8 ใหม่เข้ากับแพลตฟอร์ม การจัดการข้อมูลประจําตัวและการเข้าถึงลูกค้า (CIAM) แบบลากและวางของ Descope ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างและปรับแต่งการเดินทางของผู้ใช้ได้อย่างง่ายดาย พร้อมมอบการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมที่สุด

แคมป์เบลล์ แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–12 ธันวาคม 2024

8×8, Inc. (NASDAQ: EGHT) แพลตฟอร์มสำหรับ CX ที่บูรณาการมากที่สุดในอุตสาหกรรมซึ่งรวม Contact Center, Unified Communication และ CPaaS APIs ประกาศความร่วมมือกับ Descope ในวันนี้ ในฐานะพันธมิตรแต่เพียงผู้เดียวในเอเชียแปซิฟิกของ Descope 8×8® จะผสานรวมแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลประจําตัวและการเข้าถึงลูกค้า (CIAM) แบบลากและวางของ Descope เข้ากับ CPaaS APIs ของ 8×8 ได้อย่างราบรื่น การผสานรวมนี้ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างและปรับแต่งการเดินทางของผู้ใช้ทั้งหมดได้อย่างง่ายดายผ่านเวิร์กโฟลว์ภาพที่ใช้งานง่ายของ Descope

การผสมผสานระหว่างความสามารถ 8×8 และ Descope ช่วยให้องค์กรมีโซลูชันที่สมบูรณ์ซึ่งสามารถมอบกระบวนการตรวจสอบสิทธิ์ที่สม่ำเสมอ ปลอดภัย และไร้ปัญหา เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น ด้วยการเพิ่มโซลูชันเวิร์กโฟลว์ภาพแบบไม่มีโค้ด/โค้ดน้อยที่ผสานรวมของ Descope 8×8 จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับแต่งการเดินทางของผู้ใช้และสร้างประสบการณ์การใช้งานแบบเฉพาะบุคคลได้ ตลอดจนปรับใช้กระบวนการเข้าสู่ระบบที่ทันสมัยได้อย่างง่ายดาย เช่น การเข้าสู่ระบบทางโซเชียล รหัสผ่าน รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) และลิงก์วิเศษ ซึ่งล้วนเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าการเข้าสู่ระบบแบบใช้รหัสผ่านแบบดั้งเดิม ทั้งในแง่ของความปลอดภัยและประสบการณ์ของผู้ใช้

“ความมุ่งมั่นของ 8×8 ต่อประสบการณ์ของลูกค้าและความเป็นเลิศของลูกค้า เป็นหนึ่งในเหตุผลสําคัญที่เราต้องการเป็นพันธมิตรกับพวกเขา” Rishi Bhargava ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของ Descope กล่าว “สําหรับเรา นี่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้เราสามารถผสมผสานการยืนยันตัวตนและการอนุญาตการเข้าถึงกับการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้ โดยมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นและปลอดภัยให้กับธุรกิจ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ 8×8 ในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งธุรกิจต่างๆ พร้อมที่จะยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าไปอีกระดับ”

องค์กรต่างๆ ที่ใช้ Descope ได้ลดจํานวนตั๋วสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการยืนยันตัวตนลง 50% และลดต้นทุนได้อย่างมาก (30-40 เท่า) โดยไม่จําเป็นต้องสร้างระบบการยืนยันตัวตนภายในองค์กร

“การยืนยันตัวตนและการอนุญาตการเข้าถึงที่ปลอดภัยจะต้องเป็นลำดับความสำคัญสูงสุดของของบริษัทอยู่เสมอ แต่ไม่จําเป็นต้องแลกกับประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า” Stephen Hamill ผู้จัดการทั่วไป CPaaS ที่ 8×8, Inc. กล่าว “ความร่วมมือของเรากับ Descope ช่วยให้องค์กรได้รับประสบการณ์ที่ปลอดภัย ราบรื่น และใช้งานได้ดีเยี่ยม ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ  ปลดล็อกศักยภาพของทุกปฏิสัมพันธ์ นอกจากนี้ ความสามารถของ Descope ยังช่วยเสริมและปรับปรุงโซลูชันการสื่อสารที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของเรา ช่วยให้มีส่วนร่วมได้อย่างชาญฉลาดและราบรื่นยิ่งขึ้นตลอดการเดินทางของลูกค้า”

8×8 CPaaS API ขับเคลื่อนฟังก์ชันทางธุรกิจที่สำคัญ เช่น การยืนยันตัวตนและการป้องกันการฉ้อโกง การตลาดและการสื่อสาร การสนับสนุนลูกค้า และการดําเนินงาน ด้วยการส่งข้อความแบบ Omnichannel ซึ่งรวมถึง SMS แอปส่งข้อความ เสียง และการโต้ตอบด้วยวิดีโอ  ทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการสื่อสารทางธุรกิจและประสบการณ์ของลูกค้าในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา เป็นองค์ประกอบหลักของแพลตฟอร์ม 8×8 สําหรับ CX ซึ่งรวมศูนย์ติดต่อ การสื่อสารแบบครบวงจร และ CPaaS APIs เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น เพื่อช่วยให้องค์กรเชื่อมต่อลูกค้าและทีมทั่วโลก เสริมศักยภาพให้กับผู้นำ CX ด้วยประสิทธิภาพและข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อการตัดสินใจที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และขับเคลื่อนผลกระทบทางธุรกิจที่ยั่งยืน

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง 8×8 และ Descope รวมถึงโซลูชันทางธุรกิจแบบบูรณาการโดย:

ข้อควรระวังเกี่ยวกับข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า รวมถึงข้อความที่เกี่ยวข้องกับการเปิดตัวความร่วมมือใหม่กับ Descope และการบูรณาการ Descope กับ API การสื่อสารของ 8×8 ผู้อ่านควรระวังว่าข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนซึ่งอาจทําให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือผลลัพธ์ที่แท้จริงของเราแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญจากที่แสดงไว้ในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าว ผู้อ่านควรอ่านรายงานตามระยะเวลาและรายงานอื่นๆ ของ 8×8 ที่ยื่นต่อสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) เพื่อทราบถึงคําอธิบายเกี่ยวกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าว ความเสี่ยงเหล่านี้อาจลดการเติบโตของธุรกิจ CX และโมเมนตัมของศูนย์ติดต่อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และความสามารถในการทํากําไรของเรา 8×8 ไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ

เกี่ยวกับ 8×8 Inc.

8×8, Inc. (NASDAQ: EGHT) เชื่อมโยงผู้คนและองค์กรต่างๆ ผ่านการสื่อสารที่ราบรื่นบนแพลตฟอร์มที่บูรณาการมากที่สุดในอุตสาหกรรมสําหรับประสบการณ์ลูกค้า โดยรวม Contact Center, Unified Communication และ CPaaS APIs ไว้ด้วยกัน แพลตฟอร์ม 8×8® สําหรับ CX ผสานรวม AI ในทุกระดับเพื่อช่วยให้การเดินทางของลูกค้าเป็นส่วนตัวขับเคลื่อนความเป็นเลิศในการดําเนินงานและข้อมูลเชิงลึก และอํานวยความสะดวกในการทํางานร่วมกันเป็นทีม เราช่วยให้ประสบการณ์ของลูกค้าและผู้นําด้านไอทีกลายเป็นหัวใจสําคัญขององค์กร เสริมศักยภาพให้พวกเขาปลดล็อกศักยภาพของทุกปฏิสัมพันธ์ สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.8×8.com หรือติดตาม 8×8 บน LinkedIn, X และ Facebook

8×8 และโลโก้ที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องหมายการค้าของ 8×8, Inc.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

8×8, Inc. ติดต่อ:

สื่อ:
PR@8×8.com

นักลงทุนสัมพันธ์:
Investor.Relations@8×8.com

ที่มา: 8×8, Inc.

NIQ Research พบทัศนคติที่ซ่อนเร้นของผู้บริโภคที่มีต่อโฆษณาที่สร้างโดย AI

Logo

งานวิจัยใหม่ที่จะนำเสนออย่างเป็นทางการที่งาน Consumer Electronics Show (CES) ปี 2025

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–12 ธันวาคม 2024

ในขณะที่ AI ช่วยสร้างยังคงผลักดันขอบเขตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ NielsenIQ (NIQ) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของโลกด้านข่าวกรองผู้บริโภคได้เปิดเผยงานวิจัยสร้างความฮือฮาใหม่เกี่ยวกับวิธีการที่สมองของผู้บริโภคประมวลผลโฆษณาที่สร้างโดย AI โดยงานวิจัยนี้มีผลกระทบที่สำคัญสำหรับผู้ลงโฆษณาที่ต้องรับมือกับโอกาสและความท้าทายของเทคโนโลยีเกิดใหม่นี้ NIQ จะพูดถึงผลการวิจัยนี้โดยคำนึงถึงกลุ่มวัยต่างๆ ใน CES 2025 เซสชั่นพาแนลที่มีชื่อว่า การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง: การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ในกลยุทธ์การโฆษณา ในวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม เวลา 10:00 น. ตามเวลาแปซิฟิก (PST)

Ramon Melgarejo ประธานฝ่ายการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์และข้อมูลเชิงลึกของ NIQ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานวิจัยนี้ไว้ว่า “แบรนด์และหน่วยงานต่างๆ กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยการใช้ประโยชน์จากเนื้อหาที่สร้างโดย AI ในการโฆษณาของตน แบรนด์และหน่วยงานเหล่านี้ต้องระมัดระวัง เพราะงานวิจัยของเราเปิดเผยว่าผู้บริโภคค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องความเป็นของแท้ของงานโฆษณา ทั้งในระดับโดยนัย (ไม่รู้สึกตัว) และระดับชัดเจน (รู้สึกตัว) แบรนด์จะต้องจัดลำดับความสำคัญกสรประเมินชิ้นงานโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ”

  การวิจัยที่สำคัญเกี่ยวกับโฆษณาที่สร้างโดย AI พบว่า:
  1. อิทธิพลเชิงลบต่อแบรนด์
    ผู้บริโภคสามารถระบุโฆษณาที่สร้างด้วย AI ได้ในทันที โดยมีความเห็นว่าโฆษณาเหล่านี้ไม่ค่อยน่าดึงดูด และให้ความรู้สึกว่า “น่ารำคาญ,” “น่าเบื่อ,” และ “ชวนให้สับสน” มากกว่าโฆษณาแบบดั้งเดิม ความรู้สึกเหล่านี้บ่งบอกว่าโฆษณาที่สร้างโดย AI อาจสร้างอิทธิพลเชิงลบที่อาจทำให้ผู้บริโภคมองทั้งโฆษณาและแบรนด์ในแง่ลบ

     
  2. การกระตุ้นความทรงจำที่อ่อน
    โฆษณาที่สร้างโดย AI แม้กระทั่งโฆษณาที่ถูกมองมี “คุณภาพสูง” ทำให้เกิดการกระตุ้นความทรงจำที่อ่อนในสมองเมื่อเทียบกับโฆษณาแบบดั้งเดิม การตอบสนองนี้บ่งบอกถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างเนื้อหาและโครงสร้างความทรงจำที่มีอยู่ ซึ่งเป็นช่องว่างที่อาจขัดขวางแรงจูงใจในการดำเนินการของผู้บริโภค

     
  3. ข้อดีและข้อเสียในแง่ของการเสริมสร้างแบรนด์
    เดิมด้วยการดึงข้อมูลจากภาพและแนวคิดที่มีอยู่ก่อนแล้ว โฆษณาที่สร้างโดย AI สามารถเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับแบรนด์ที่มีอยู่ได้สำเร็จ แต่เมื่อรวมเข้ากับอิทธิพลเชิงลบต่อแบรนด์ ผลประโยชน์นี้อาจถูกกลบโดยการรับรู้เชิงลบแบบโดยรวม

     
  4. ภาพที่สร้างภาระทางการรับรู้
    งานภาพคุณภาพต่ำในโฆษณาที่สร้างโดย AI เพิ่มความพยายามทางการรับรู้ที่จำเป็นต้องใช้ในการประมวลผลโฆษณาเหล่านั้น ซึ่งเป็นการเบียงเบนความสนใจจากข้อความที่ต้องการสื่อ การดำเนินการคุณภาพสูงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเล่าเรื่องที่มีประสิทธิภาพและการสื่อสารของแบรนด์

แนวโน้มที่เปลี่ยนแปลง

Marta Cyhan-Bowles ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารและหัวหน้าฝ่ายการตลาดทั่วโลกของ NIQ กล่าวว่า “งานในขณะที่ผู้โฆษณาทดลองกับ AI ช่วยสร้างเพื่อปรับปรุงการสร้างโฆษณาและลดค่าใช้จ่าย งานวิจัยนี้จะช่วยให้แนวทางที่สำคัญ” “แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยประสาทวิทยาศาสตร์ของเราเปิดเผยวิธีที่ผู้บริโภคประมวลผลเนื้อหาที่สร้างด้วย AI โดยไม่รู้ตัวและเน้นให้เห็นเส้นแบ่งระหว่างนวัตกรรมและความรู้สึกไม่สบายใจ”

Cyhan-Bowles เตือนว่าถึงแม้ว่า AI จะนำเสนอศักยภาพที่น่าตื่นเต้นสำหรับการสร้างแนวคิดในระยะแรกเริ่มและการทดสอบองค์ประกอบของแบรนด์ เนื้อหา AI ที่ดำเนินการได้ไม่ดีอาจทำลายคุณค่าแบรนด์ของคุณ แม้ว่าเทคโนโลยีเกิดใหม่นี้จะไม่มาแทนที่การสร้างโฆษณาแบบดั้งเดิมในทันที แต่ความสามารถของเทคโลยีนี้ก็ยังคงสามารถยกระดับกระบวนการสร้างสรรค์เมื่อนำไปผสานงานอย่างรอบคอบได้

นอกจากนี้ AI ยังขับเคลื่อนแระสิทธิภาพการตลาดในการพัฒนาสินค้าที่มุ่งเน้นไปที่ผู้บริโภคในระยะยาว โดยจะมอบข้อมูลเชิงลึกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความชอบของลูกค้า AI กำลังอุดช่องว่างระหว่างธุรกิจและลูกค้าด้วยการยกระดับความเข้าใจในเรื่องความชอบของลูกค้า เครื่องมือใหม่ที่สร้างความฮือฮาอย่าง NIQ’s Ad Explorer กำลังช่วยให้นักการตลาดเพิ่มคุณค่าแบรนด์ด้วยการใช้ประโยชน์จากการรับรู้แบบไม่รู้สึกตัวของลูกค้าเพื่อจัดลำดับความสำคัญข้อมูลเชิงลึกความสร้างสรรค์ ทดสอบหลายเวอร์ชันของโฆษณา และทำให้ทันเวลาโดยไม่เสียคุณภาพ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัยโดยละเอียด ที่นี่ และติดตามสถานการณ์ในอนาคตในเรื่องของการโฆษณาที่สร้างโดย AI

เกี่ยวกับ NIQ

NielsenIQ (NIQ) คือบริษัทข่าวกรองผู้บริโภคชั้นนำระดับโลก ซึ่งทำหน้าที่ส่งมอบความเข้าใจที่ครบถ้วนในเรื่องของพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคและเปิดเผยเส้นทางใหม่ในการเติบโต NIQ โตรวมเข้ากับรวมเข้ากับ GfK ในปี 2023 ซึ่งเป็นการนำผู้นำอุตสาหกรรมทั้งสองที่มีการเข้าถึงระดับโลกที่ไม่มีใครเทียบได้มาร่วมมือกัน ในวันนี้ NIQ นี้มีการปฏิบัติงานในกว่า 95 ประเทศ ครอบคลุม 97% ของ GDP ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการค้าปลีกแบบครบวงจรและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ครบถ้วนที่สุด ซึ่งนำเสนอด้วยการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ทันสมัย NIQ ส่งมอบ Full View™

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.niq.com

เกี่ยวกับงานวิจัย NIQ

งานวิจัยมีผู้มีส่วนร่วมมากกว่า 2,000 คนที่ดูโฆษณาที่สร้างโดย AI ตั้งแต่คุณภาพต่ำไปจนถึงคุณภาพสูง โดยมีการวัดกิจกรรมสมองด้วยการใช้อิเล็กโทรเอนซาโลแกรม (EEG) สำหรับผู้มีส่วนร่วมประมาณ 150 คน หลังจากดูโฆษณา ผู้มีส่วนร่วมทุกคนจะถูกขอให้แบ่งปันข้อคิดเห็นอย่างชัดเจนผ่านแบบสำรวจ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Sweta Patra
sweta.patra@nielseniq.com

แหล่งที่มา: NielsenIQ

Nabat บริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีสภาพอากาศแห่งใหม่ในอาบูดาบีจะใช้ AI และหุ่นยนต์เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนและเพิ่มความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศ

Logo

สตาร์ทอัพใหม่จาก VentureOne ของสภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology Research Council/ATRC) จะใช้ AI และหุ่นยนต์อัตโนมัติเพื่ออนุรักษ์ระบบนิเวศธรรมชาติ โดยเริ่มจากป่าชายเลนและขยายไปยังแหล่งที่อยู่อาศัยอื่น ๆ

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–11 ธันวาคม 2024

VentureOne ของสภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology Research Council/ATRC) เปิดตัว Nabat ในงานประชุมการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนนานาชาติที่จัดขึ้นในอาบูดาบี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีสภาพอากาศแห่งใหม่ที่จะอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนและระบบนิเวศอื่น ๆ ทั่วภูมิภาคโดยใช้ AI และหุ่นยนต์

Nabat, New Abu Dhabi Climate Tech Venture, to use AI and Robotics to Restore Mangroves and Boost Climate Resilience (Photo: AETOSWire)

Nabat บริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีสภาพอากาศแห่งใหม่ในอาบูดาบีจะใช้ AI และหุ่นยนต์เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนและเพิ่มความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศ (รูปภาพ: AETOSWire)

Nabat ได้จัดแสดงเทคโนโลยีขั้นสูงของบริษัท ซึ่งรวมถึงโดรนที่ขับเคลื่อนด้วยซอร์ฟแวร์ AI และมาพร้อมกับกลไกเพาะปลูกแบบยืดหยุ่น ซึ่งจะนำไปใช้ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนหลายพันเฮกตาร์ทั่วสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในอีกเจ็ดปีข้างหน้า ป่าชายเลนนั้นจะกักเก็บคาร์บอนมากกว่าต้นไม้ในป่าฝนถึงห้าเท่า ทั้งยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบนิเวศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอีกด้วย

“Nabat ได้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติได้อย่างไร” ฯพณฯ Faisal Al Bannai เลขาธิการสภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (ATRC) กล่าว “เราสามารถขับเคลื่อนความพยายามในการฟื้นฟูระบบนิเวศ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และเสริมสร้างความสามารถในการรับมือสภาพอากาศเพื่อเร่งเส้นทางสู่เป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซในประเทศของเราให้เป็นศูนย์ได้ด้วยการผสานนวัตกรรมเข้ากับวิทยาศาสตร์”

“ผู้คนมักมองว่าเทคโนโลยีกับธรรมชาติเป็นสองสิ่งที่ไม่ลงรอยกัน แต่เมื่อเราผสานเทคโนโลยีเข้ากับการวิจัยตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาสำคัญ ๆ เทคโนโลยีก็สามารถกลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ทรงพลังของธรรมชาติได้” ดร. Najwa Aaraj ซีอีโอของ Technology Innovation Institute ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยประยุกต์ของ ATRC และผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Nabat กล่าว “ระบบของเราช่วยแก้ไขปัญหาในการอนุรักษ์ได้หลายประการ และหนึ่งในประการสำคัญก็คือการเก็บรวบรวมข้อมูล ไม่มีระบบนิเวศใดที่เหมือนกัน ดังนั้น แต่ละระบบนิเวศจึงจำเป็นต้องใช้แนวทางที่ออกแบบให้เหมาะสมกับระบบนิเวศโดยใช้ข้อมูลสนับสนุน

ระบบ AI และหุ่นยนตร์ของ Nabat ช่วยจัดทำแผนที่ หว่านเมล็ดพันธุ์ และช่วยตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ จึงช่วยให้มั่นใจได้ว่าการอนุรักษ์และฟื้นฟูจะได้รับการออกแบบตามความต้องการเฉพาะและความซับซ้อนของระบบนิเวศแต่ละแห่ง โดยระบบของ Nabat จะแตะต้องแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะต่างจากการปลูกป่าชายเลนแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้แรงงานมากและอาจทำอันตรายต่อระบบนิเวศโดยรอบได้

เทคโนโลยีของ Nabat จะช่วยมอบข้อมูลด้านดิน รวมถึงความหนาแน่น ระดับความสูง และอุทกวิทยาของแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติได้เป็นจำนวนมากในระหว่างขั้นตอนการจัดทำแผนที่ โดยกลไกหว่านเมล็ดพันธุ์ของโดรนจะใช้การวางแผนวิถีที่เหมาะสมที่สุดและรูปแบบการหว่านเมล็ดที่ยืดหยุ่นเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ได้อย่างแม่นยำและหว่านเพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น นอกจากนี้ ระบบยังมาพร้อมความสามารถในการช่วยให้แน่ใจว่าต้นไม้ที่ปลูกจะเติบโตอย่างปลอดภัยด้วย

เทคโนโลยีของ Nabat ทำงานได้แม้ในพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงได้ยาก ช่วยให้ความพยายามในการอนุรักษ์และฟื้นฟูสามารถไล่ระดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ช่วยลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุด

Reda Nidhakou รักษาการ CEO ของ VentureOne บริษัทแม่ของ Nabat กล่าวว่า “จิตวิญญาณของ VentureOne คือการเปิดตัวสตาร์ทอัพที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาสู่โลก เพราะเทคโนโลยีที่มีคุณค่าที่สุดไม่เพียงแต่เป็นนวัตกรรม มีประสิทธิภาพ หรือสร้างกำไรเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกที่สามารถวัดผลได้ด้วย ถือเป็นอภิสิทธิ์อย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับทีมงานและระบบนิเวศน์ที่กว้างขึ้นของเราในการมีส่วนสนับสนุนเส้นทางสู่ความยั่งยืนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลักษณะพื้นฐานเช่นนี้”

แม้ว่าในช่วงแรกบริษัทจะเน้นที่ป่าชายเลนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่บริษัทก็มีแผนที่จะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในภูมิภาคและให้บริการระบบนิเวศอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมถึงพื้นที่ทะเลทราย พื้นที่เกษตรกรรม ป่าไม้ และแนวปะการังอีกด้วย

*แหล่งข้อมูล: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54165310/en

ข้อมูลติดต่อ

Audrey Fernandes
Audrey.fernandes@edelman.com

แหล่งข้อมูล: Nabat