Category Archives: Technology

Toshiba เปิดตัวอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานแบบสองช่องสัญญาณ ที่ช่วยให้การส่งข้อมูลแบบแยกสัญญาณในอุปกรณ์อุตสาหกรรมมีความเร็วสูงและเสถียรยิ่งขึ้น

Logo

คาวาซากิ ญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2025

บริษัท Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) เปิดตัวอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานความเร็วสูงชนิดสองช่องสัญญาณจำนวน 4 รุ่นสำหรับใช้ในอุปกรณ์อุตสาหกรรม โดยผลิตภัณฑ์ซีรีส์ใหม่ “DCL52xx00 Series” นี้ มาพร้อมความเสถียรในการทำงานด้วยค่า CMTI ที่สูงถึง 100kV/μs (โดยเฉลี่ย)[1]และความเร็วในการส่งข้อมูลถึง 150Mbps (สูงสุด)[2]เริ่มจัดส่งได้ตั้งแต่วันนี้

Toshiba: DCL52xx00 Series dual-channel digital isolators for industrial equipment.

Toshiba: ซีรีส์ DCL52xx00 อุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลสองช่องสัญญาณสำหรับอุปกรณ์อุตสาหกรรม

ช่องสัญญาณของ “DCL520C00 ” กับ “ DCL520D00” มีช่องสัญญาณส่งข้อมูลไปจำนวนสองช่อง ในขณะที่ “DCL521C00 ” กับ “ DCL521D00” มีช่องสัญญาณส่งข้อมูลไปและส่งข้อมูลกลับอย่างละหนึ่งช่อง ผลิตภัณฑ์ชนิดสองช่องสัญญาณเหล่านี้ เข้ามาเสริมทัพผลิตภัณฑ์ชนิดสี่ช่องสัญญาณใน “ซีรีส์ DCL54xx01” ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในฐานะอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อุตสาหกรรม การเพิ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำให้ Toshiba มีตัวเลือกทั้งหมด 14 รุ่น ครอบคลุมการกำหนดค่าช่องสัญญาณที่หลากหลาย และช่วยให้การออกแบบมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์ใหม่ในซีรีส์ DCL52xx00 ใช้วิธีการส่งสัญญาณแบบแยกสัญญาณด้วยการเชื่อมต่อแม่เหล็ก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Toshiba ทำให้ได้ค่า CMTI สูงถึง 100kV/μs (โดยเฉลี่ย) เทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ DCL54xx01 ซึ่งทำให้การส่งสัญญาณแบบแยกสัญญาณระหว่างขาเข้า (Input) และขาออก (Output) มีความต้านทานต่อสัญญาณรบกวนไฟฟ้าสูง จึงช่วยให้การส่งสัญญาณควบคุมมีความเสถียร และช่วยให้การทำงานของอุปกรณ์มั่นคงยิ่งขึ้น

อีกทั้งยังมีการบิดเบือนความกว้างพัลส์ต่ำที่ 0.8ns (โดยเฉลี่ย)[3]และความเร็วในการส่งข้อมูลถึง 150Mbps (สูงสุด) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงเหมาะกับการใช้งานสื่อสารความเร็วสูงหลายช่องทาง เช่น I/O interfaces ที่ใช้ UART[4]และ 2 C[5]การสื่อสาร

Toshiba เริ่มการผลิตอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อุตสาหกรรมและยานยนต์แล้ว ในอนาคต บริษัทจะเพิ่มตัวเลือกแพ็กเกจและจำนวนช่องสัญญาณในทั้งสองอุตสาหกรรม บริษัทจะให้บริการอุปกรณ์แยกสัญญาณและโฟโตคัปเปลอร์คุณภาพสูงที่มั่นใจได้ในความน่าเชื่อถือ และการส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับอุปกรณ์อุตสาหกรรมและยานยนต์ต่อไป

หมายเหตุ:

[1]

เงื่อนไขการทดสอบ: VI =VDDI หรือ 0V, VCM =1500V, Ta =25°C (VDDI คือ VDD1 หรือ VDD2ของฝั่งอินพุต)

[2]

เงื่อนไขการทดสอบ: VDD1 =VDD2 =2.25 ถึง 5.5V, Ta =-40 ถึง 125°C

[3]

เงื่อนไขการทดสอบ: VDD1 =VDD2 =5V, Ta =25°C

[4]

UART (Universal Asynchronous Receiver Transmitter) การสื่อสารอนุกรมแบบอะซิงโครนัส เป็นวิธีส่งและรับข้อมูลโดยไม่ต้องมีสัญญาณนาฬิกา

[5]

 I2 C (Inter-Integrated Circuit), การสื่อสารอนุกรมแบบซิงโครนัส ส่งและรับข้อมูลโดยใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวซิงโครไนซ์

การนำไปใช้งาน

  • ระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม (อุปกรณ์ควบคุมเครื่องจักร, I/O interfaces ฯลฯ)
  • การควบคุมมอเตอร์
  • อินเวอร์เตอร์

คุณสมบัติ

  • ชนิดสองช่องสัญญาณ:
    ช่องสัญญาณส่งข้อมูลไปจำนวนสองช่อง;
    ช่องสัญญาณส่งข้อมูลไปและส่งข้อมูลกลับอย่างละหนึ่งช่อง
  • ความต้านทานต่อสัญญาณรบกวน: CMTI=100kV/μs (โดยเฉลี่ย)
  • ความเร็วในการส่งข้อมูล: t_bps=150Mbps (สูงสุด)

ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์

หมายเลขผลิตภัณฑ์

DCL520C00

DCL520D00

DCL521C00

DCL521D00

จำนวนช่องสัญญาณ
(ช่องสัญญาณส่งข้อมูลไป : ช่องสัญญาณส่งข้อมูลกลับ)

2
(2:0)

2
(2:0)

2
(1:1)

2
(1:1)

ลอจิกเอาต์พุตเริ่มต้น

ต่ำ

สูง

ต่ำ

สูง

แพ็กเก็จ

SOIC8-N

ค่าจำกัด
 สูงสุด
สัมบูรณ์

อุณหภูมิในการทำงาน Topr (°C)

-40 ถึง 125

อุณหภูมิในการเก็บรักษา Tstg (°C)

-65 ถึง 150

แรงดันไฟฟ้าแยกสูงสุด

ที่ทนได้ (60s)

BVS (Vrms)

Ta=25°C

สูงสุด

3000

สภาวะ
การทำงาน
ที่แนะนำ

แรงดันไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟ

VDD1, VDD2 (V)

Topr=-40 ถึง 125°C

2.25 ถึง 5.5

คุณสมบัติ
ทางไฟฟ้า

ความต้านทาน

ต่อสัญญาณรบกวน

CMTI (kV/μs)

VI=VDDI or 0V,

VCM=1500V,

Ta=25°C

โดยเฉลี่ย

100

อัตราการส่งข้อมูล

t_bps (Mbps)

VDD1=VDD2=2.25 ถึง 5.5V,

Ta=-40 ถึง 125°C

สูงสุด

150

การบิดเบือนความกว้างพัลส์

PWD (ns)

VDD1=VDD2=5V,

Ta=25°C

โดยเฉลี่ย

0.8

ระยะเวลาในการส่งสัญญาณ

tPHL, tPLH (ns)

โดยเฉลี่ย

10.9

ดูตัวอย่างและตรวจสอบความพร้อมของผลิตภัณฑ์

สั่งซื้อออน์ไลน์

สั่งซื้อออนไลน์

สั่งซื้อออนไลน์

สั่งซื้อออน์ไลน์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง

DCL520C00
DCL520D00
DCL521C00
DCL521D00

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐานของ Toshiba ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
อุปกรณ์แยกสัญญาณดิจิทัลมาตรฐาน

หากต้องการตรวจสอบความพร้อมของสินค้าใหม่ที่จำหน่ายทางออนไลน์ สามารถเข้าไปดูได้ที่:
DCL520C00
สั่งซื้อออนไลน์
DCL520D00
สั่งซื้อออนไลน์
DCL521C00
สั่งซื้อออนไลน์
DCL521D00
สั่งซื้อออนไลน์

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจถือเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้น ๆ
*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาสินค้าและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ประกาศ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง ใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมมากกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

พนักงานทั่วโลกจำนวน 17,000 คน มีปณิธานที่จะเพิ่มคุณค่าสูงสุดให้กับทุกผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการทำงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างคุณค่าและตลาดใหม่ร่วมกัน บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนทั่วโลก

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/20251027436284/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ช่องทางการติดต่อสำหรับลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์ออปโตอิเล็กทรอนิกส์
โทร: +81-44-548-2218
ติดต่อเรา

ช่องทางการติดต่อสำหรับสื่อ:
C. Nagasawa
แผนกสื่อสารและวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด
บริษัท Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp 

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Carbon Measures และหอการค้าระหว่างประเทศเปิดตัวคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคด้านบัญชีคาร์บอน

Logo

นิวยอร์กและปารีส–(BUSINESS WIRE)–27 ตุลาคม 2025

Carbon Measures และหอการค้านานาชาติ (ICC) ได้ประกาศในวันนี้เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอิสระ เพื่อพัฒนาแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการเพื่อจัดทำระบบบัญชีการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกตามหลักการบัญชีทางการเงิน

คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคด้านบัญชีคาร์บอนจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงวิชาการ บัญชีการเงิน อุตสาหกรรม และภาคประชาสังคม ซึ่งมาจากหลากหลายมุมมองและหลากหลายภูมิศาสตร์ พวกเขาจะร่วมกันกำหนดหลักการ ขอบเขต และการประยุกต์ใช้ระบบบัญชีการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่จำลองตามหลักการบัญชีการเงิน ระบบดังกล่าวจะให้ข้อมูลระดับบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และทันเวลา เพื่อให้มั่นใจว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนทุกตันจะถูกนับเพียงครั้งเดียวและระบุแหล่งที่มาอย่างถูกต้องในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า

คณะกรรมการจะมีประธานร่วมคือ Amy Brachio ซีอีโอของ Carbon Measures และ Karthik Ramanna ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจและนโยบายสาธารณะ และผู้อำนวยการโครงการ Transformational Leadership Fellowship แห่ง Blavatnik School of Government มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้านักวิจัยของ E-ledgers Institute S&P Global Commodity Insights ผู้ให้บริการอิสระชั้นนำด้านข้อมูล การวิเคราะห์ ซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานตลาดคาร์บอน และราคาอ้างอิงสำหรับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งของ S&P Global (NYSE: SPGI) จะทำหน้าที่เป็นพันธมิตรด้านความรู้อิสระของคณะกรรมการ โดยในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ICC จะเปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าเป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษา และพันธมิตรด้านความรู้

“คณะกรรมการชุดนี้จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคส่วนบัญชีการเงิน วิศวกรรมเคมี ธุรกิจ และวิชาการ เพื่อพัฒนาหลักการและเส้นทางการนำไปปฏิบัติ เพื่อทำให้กรอบการบัญชีคาร์บอนทั่วโลกเป็นจริง” กล่าวโดย Amy Brachio ซีอีโอของ Carbon Measures “นี่เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยพัฒนาและปรับปรุงระบบปัจจุบัน เพื่อปลดปล่อยพลังตลาดที่เพิ่มความโปร่งใส และสามารถนำมาใช้โดยผู้กำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนกฎระเบียบที่สอดคล้องกับแรงจูงใจ ปลดล็อกเงินทุน และท้ายที่สุดก็ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คณะผู้เชี่ยวชาญจะช่วยออกแบบระบบที่จำเป็นเพื่อให้ข้อมูลที่ทันท่วงทีและแม่นยำ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการติดตามและระบุแหล่งที่มาของคาร์บอนอย่างถูกต้อง เพราะเราไม่สามารถจัดการสิ่งที่วัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“ICC มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจทั่วโลก” Andrew Wilson รองเลขาธิการ ICC กล่าว “เกือบ 100 ปีแล้วที่เราได้รวมกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อกำหนดมาตรฐานที่ธุรกิจต่างๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั่วโลก ด้วยเครือข่ายธุรกิจ 45 ล้านแห่งใน 170 ประเทศ เราจึงตระหนักดีถึงความต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำของตลาดในการติดตามคาร์บอน และช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตนได้”

“ประมาณ 90 ปีที่แล้ว กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มเล็กๆ จากภาคธุรกิจและสถาบันการศึกษาได้รวมตัวกันเพื่อประโยชน์สาธารณะในวงกว้าง เพื่อสร้างหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป (GAAP) สำหรับบัญชีการเงิน นวัตกรรมของพวกเขาช่วยให้ตลาดทุนขยายตัวได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” กล่าวโดย Karthik Ramanna ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจและนโยบายสาธารณะ และผู้อำนวยการโครงการ Transformational Leadership Fellowship แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด “ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องใช้หลักการบัญชีที่เข้มงวด ไม่จำกัดเทคโนโลยี และเป็นกลางด้านนโยบายชุดเดียวกันนี้ สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน หากดำเนินการอย่างถูกต้อง หลักการเหล่านี้จะสามารถดึงพลังอำนาจของระบบทุนนิยมออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อเร่งกระบวนการลดคาร์บอน พร้อมกับขับเคลื่อนความอุดมสมบูรณ์ของพลังงาน”

“S&P Global Commodity Insights รู้สึกยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรด้านความรู้อิสระสำหรับโครงการริเริ่มที่สำคัญนี้ ซึ่งมุ่งเน้นการประสานการวัดปริมาณการปล่อยมลพิษ การรายงาน และการบัญชีในระดับผลิตภัณฑ์” กล่าวโดย Dave Ernsberger ประธานร่วมของ S&P Global Commodity Insights “ความเชี่ยวชาญที่ลึกซึ้ง ยาวนาน และครอบคลุมของเราในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงข้อมูล การวิเคราะห์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความยั่งยืนและการวัดปริมาณการปล่อยมลพิษ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพันธมิตรในขณะที่กำลังดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย”

คณะกรรมการจะ:

  • จัดทำบัญชีแนวทางที่มีอยู่สำหรับการคำนวณการปล่อยก๊าซคาร์บอน พร้อมทั้งจุดแข็ง ความท้าทาย และโอกาสต่างๆ เพื่อสร้างแนวทางที่สอดคล้องกัน
  • พัฒนาหลักเกณฑ์การชี้นำสำหรับกรอบการทำงานการบัญชีการปล่อยคาร์บอนซึ่งสร้างขึ้นจากคุณลักษณะเชิงบวกของแนวทางการบัญชีการปล่อยคาร์บอนที่มีอยู่ จัดการกับความท้าทายต่อแนวทางปฏิบัติปัจจุบัน และเปิดใช้งานการจัดแนวระดับโลก หลักเกณฑ์การชี้นำจะพิจารณาการเรียนรู้จากเคมี แนวทางปฏิบัติทางการบัญชีทางการเงิน และความสำเร็จในการกำหนดมาตรฐานระดับผลิตภัณฑ์ด้วย
  • นำหลักการไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาข้อเสนอเพื่อสนับสนุนการนำไปใช้โดยผู้กำหนดมาตรฐานและผู้กำหนดนโยบาย
  • พัฒนาแผนงานการใช้งานในระดับผลิตภัณฑ์โดยละเอียดเพื่อส่งเสริมการนำไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง
  • แนะนำวิธีการปรับปรุงคุณภาพข้อมูล วิธีการ และการกำกับดูแลเพื่อการจัดแนวระดับโลก และสร้างฉันทามติระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  • กำหนดแผนงานสำหรับการดำเนินการ รวมถึงผู้กำหนดมาตรฐานที่เสนอสำหรับการนำไปใช้ และเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีเพื่อสนับสนุนการนำไปใช้อย่างประสบความสำเร็จในระดับกว้าง เช่น องค์กรที่ดำเนินการ มาตรฐานการรับรอง ข้อกำหนดการบังคับใช้ การให้ความรู้และการกำกับดูแล และ
  • เผยแพร่และรับรองรายงานและสิ่งพิมพ์ที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Carbon Measures โปรดไปที่ carbonmeasures.org ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหอการค้าระหว่างประเทศสามารถดูได้ที่ iccwbo.org สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ S&P Global Commodity Insights โปรดไปที่ www.spglobal.com/commodity-insights

เกี่ยวกับ Carbon Measures

Carbon Measures คือกลุ่มพันธมิตรระดับโลกของธุรกิจชั้นนำที่มุ่งมั่นพัฒนากรอบการบัญชีคาร์บอนที่อิงตามบัญชีแยกประเภท ซึ่งให้ข้อมูลระดับบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่แม่นยำ ตรวจสอบได้ และทันเวลา นอกจากนี้ Carbon Measures ยังเรียกร้องให้มีนโยบายใหม่ที่ปลดล็อกนวัตกรรม การแข่งขัน และแนวทางแก้ไขปัญหาตามกลไกตลาดเพื่อลดการปล่อยมลพิษอีกด้วย

เกี่ยวกับหอการค้าระหว่างประเทศ (ICC)

หอการค้าระหว่างประเทศ (ICC) เป็นตัวแทนสถาบันของบริษัทมากกว่า 45 ล้านแห่งในกว่า 170 ประเทศ พันธกิจของ ICC คือการทำให้ธุรกิจดำเนินไปเพื่อทุกคน ทุกวัน และทุกที่ ด้วยการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ระหว่างการสนับสนุน การแก้ปัญหา และการกำหนดมาตรฐาน เราส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และแนวทางการกำกับดูแลที่เป็นสากล นอกเหนือจากการให้บริการระงับข้อพิพาทระดับแนวหน้าของตลาด สมาชิกของเราประกอบด้วยบริษัทชั้นนำของโลก ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สมาคมธุรกิจ และหอการค้าท้องถิ่นมากมาย

เกี่ยวกับ S&P Global Commodity Insights

ที่ S&P Global Commodity Insights มุมมองที่ครอบคลุมของเราเกี่ยวกับตลาดพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก จะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว S&P Global Commodity Insights เป็นส่วนหนึ่งของ S&P Global (NYSE: SPGI) S&P Global คือผู้ให้บริการอันดับเครดิต เกณฑ์มาตรฐาน การวิเคราะห์ และโซลูชันเวิร์กโฟลว์ชั้นนำของโลกในตลาดทุน สินค้าโภคภัณฑ์ และยานยนต์ ด้วยบริการทั้งหมดของเรา เราช่วยเหลือองค์กรชั้นนำของโลกหลายแห่งในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อให้พวกเขาสามารถวางแผนสำหรับอนาคตได้ตั้งแต่วันนี้

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251027348594/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

รายชื่อผู้ติดต่อสื่อ
media@carbonmeasures.org
Randa.ELTAHAWY@iccwbo.org
kathleen.tanzy@spglobal.com / melissa.tan@spglobal.com

ที่มา: Carbon Measures

Hytera เปิดตัว PDC690 วิทยุ Dual-Mode บนระบบ Android เสริมศักยภาพการสื่อสารภารกิจสำคัญ

Logo

เซินเจิ้น ประเทศจีน –(BUSINESS WIRE)–21 ตุลาคม 2025

Hytera คือผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชันการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลก วันนี้ทางบริษัทได้ทำการเปิดตัว PDC690 วิทยุแบบ Dual-Mode ที่ทนทานซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของมืออาชีพระดับแนวหน้า โดย PDC690 ผสานความสามารถของสมาร์ทโฟนเข้ากับความเชื่อมั่นของวิทยุสื่อสารสองทางที่เป็นเสมือน lifeline ของผู้ปฏิบัติงาน โดยรวมการสื่อสารทั้งเสียงและข้อมูลภารกิจไว้ในอุปกรณ์เดียว ช่วยให้ทีมสามารถเชื่อมต่อ รับข้อมูล และพร้อมปฏิบัติภารกิจภาคสนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Hytera Dual-Mode Rugged Radio PDC690

วิทยุ PDC690 ที่ทนทานแบบ Dual-mode ของ Hytera

เจ้าหน้าที่ด่านหน้าต้องการการสื่อสารที่ไว้ใจได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอุปกรณ์หรือเครือข่าย” กล่าวโดย Chris Ma ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ Hytera Smart Terminal BU “PDC690 มาพร้อมการเชื่อมต่อหลายโหมดที่เสถียร เสียงคมชัด การระบุตำแหน่งที่แม่นยำ การชาร์จผ่าน USB Type-C และระบบบริหารจัดการอุปกรณ์ที่เรียบง่าย ช่วยให้ทีมสามารถโฟกัสกับการปฏิบัติงานและการช่วยชีวิตได้เต็มที่

การเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันที่ยืดหยุ่น

PDC690 สามารถใช้งานร่วมกับ Narrowband Trunking, WLAN และ เครือข่าย LTE สาธารณะและส่วนตัว โดยวิทยุจะเลือกเครือข่ายที่เหมาะสมที่สุดอย่างชาญฉลาดโดยพิจารณาจากความแรงของสัญญาณและบริบทในการทำงาน ตัววิทยุสามารถรักษาการเชื่อมต่อเสียงและมัลติมีเดียแบบเรียลไทม์ได้แม้ในสภาวะที่สัญญาณอ่อนแรง โดยการใช้โซลูชั่นที่รวดเร็วของ Hytera ซึ่งประกอบไปด้วยเครือข่ายเฉพาะกิจ ณ จุดเกิดเหตุและการทำงานแบบ Direct-Mode นอกจากนี้อุปกรณ์ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบของบุคคลที่สามได้ ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการดำเนินงานร่วมกันระหว่างระบบที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งคงไว้ซึ่งความคุ้มค่าของการลงทุนเดิมของสถาบัน

การรับรู้สถานการณ์และมัลติมีเดีย

PDC690 สร้างขึ้นเพื่อเวิร์กโฟลว์ฉุกเฉินสมัยใหม่ โดยการ​ผสานระบบเสียงที่สำคัญต่อภารกิจเข้ากับการบันทึกภาพและวิดีโอบนอุปกรณ์ เพื่อการรายงานสถานการณ์และการรวบรวมหลักฐานอย่างทันที อุปกรณ์รองรับการระบุตำแหน่งภายนอกอาคารด้วยระบบ GNSS ระบบนำทางด้วยดาวเทียมจากหลายประเทศ (GPS, Galileo, GLONASS, QZSS, BDS และ A-GPS) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการติดตามตำแหน่งในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ในขณะที่การระบุตำแหน่งภายในอาคารใช้งานผ่าน LBS และ WLAN ซึ่งให้ข้อมูลตำแหน่งที่รวดเร็วและแม่นยำเพื่อปรับปรุงการประสานงานและความปลอดภัย

การออกแบบที่ทนทานและเสียงที่ยอดเยี่ยม

PDC690 สร้างขึ้นเพื่อรองรับสำหรับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ตรงตามมาตรฐาน MIL-STD-810G สำหรับการป้องกันการตกกระแทกและแรงกระแทก และระดับ IP68 สำหรับการป้องกันฝุ่นและน้ำ โดยตัวอุปกรณ์มาพร้อมกับน้ำหนักเบาที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ หน้าจอสัมผัสที่ตอบสนองฉับไว การชาร์จเร็วด้วย USB Type-C และรองรับการใช้งานกับพาวเวอร์แบงค์สำหรับภารกิจที่ยาวนาน ในขณะที่ประสิทธิภาพของเสียงนั้นได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ด้วยระบบตัดเสียงรบกวนโดย AI, ระบบป้องกันลม และฟีเจอร์ป้องกันเสียงหอนใกล้สนามในระยะ 30 เซนติเมตร ซึ่งช่วยลดเสียงสะท้อนเมื่อผู้ใช้พูดในระยะใกล้ได้

ระบบนิเวศแอนดรอยด์และการจัดการที่คล่องตัว

PDC690 ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เต็มรูปแบบ รองรับทั้งแอปพลิเคชันของ Hytera และแอปพลิเคชันจากภายนอก ทำให้สามารถรองรับการดำเนินงานภายในระบบ เช่น การสั่งการ (dispatch) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) การจัดการเหตุการณ์ (incident management) และกระบวนการทำงานอื่น ๆ ที่สามารถปรับแต่งได้ ระบบนิเวศของอุปกรณ์เสริมที่ครอบคลุม ได้แก่ PTT ไร้สาย, ไมโครโฟนลำโพงระยะไกล และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าการผสานรวมจะมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้ระบบ MDM Pro ของ Hytera จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการยานพาหนะ ด้วยการตั้งค่าและควบคุมระยะไกล, การอัปเดตเฟิร์มแวร์ OTA, การจัดการสิทธิ์, การตรวจสอบสถานะอุปกรณ์ และการแจ้งเตือนข้อผิดพลาด ที่จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มระยะเวลาการทำงานให้สูงสุดได้

เกี่ยวกับ Hytera

Hytera Communications Corporation Limited (SZSE: 002583) คือผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชันการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลก โดย Hytera ให้บริการผู้ใช้ทั่วโลกมากว่าสามทศวรรษด้วยนวัตกรรมวิทยุสื่อสารสองทาง ระบบสื่อสารแบบผสมผสาน PMR และ LTE ระบบสื่อสารแบบติดตั้งรวดเร็ว กล้องติดตัว ห้องควบคุม และอื่นๆ อีกมากมาย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.hytera.com/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251020574181/en

Contacts

lele.yao@hytera.com

ที่มา: Hytera Communications Corporation Limited

Altimetrik เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ SLK Software ที่ผสานจุดแข็งเพื่อปลดล็อกคุณค่าผ่าน AI-First และ Digital Enablement

Logo

ดีทรอยต์และเบงกาลูรู อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–24 ตุลาคม 2025

Altimetrik ในวันนี้ประกาศความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ SLK Software ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างศูนย์กลางทางวิศวกรรมดิจิทัลของบริษัท โดยส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ SLK Software ดำเนินงานภายใต้ชื่อใหม่ว่า “SLK บริษัทในเครือ Altimetrik”

การควบรวมนี้จะผสานรวมศักยภาพด้านนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI ของ Altimetrik เข้ากับจุดแข็งของ SLK ในด้านองค์กรอัจฉริยะ การดำเนินงานดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ รวมถึงวิศวกรรมคุณภาพ ซึ่งครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าด้านดิจิทัลทั้งหมด ตั้งแต่กลยุทธ์และการออกแบบ ไปจนถึงวิศวกรรมและการบริการจัดการ ด้วยแนวทางที่ขับเคลื่อนโดยผู้ปฏิบัติงาน องค์กรที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวนี้จะผสานรวมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ากับแพลตฟอร์มที่ทันสมัยและรูปแบบการดำเนินงานแบบดิจิทัล เพื่อส่งมอบการดำเนินงานที่กระชับและมุ่งเน้นผลลัพธ์ ที่จะช่วยเร่งระยะเวลาในการสร้างมูลค่า

“ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ต้อนรับทีมงาน SLK อย่างเป็นทางการสู่ Altimetrik ซึ่งเป็นการรวมตัวของสององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย นวัตกรรม และความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละในการช่วยให้ลูกค้าของเราเป็นผู้นำด้วยความมั่นใจในยุคธุรกิจอัจฉริยะ” กล่าวโดย Raj Sundaresan ซีอีโอของ Altimetrik “การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ไม่ใช่แค่เรื่องของการขยายขนาดเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบในโลกที่ให้ความสำคัญกับ AI เป็นหลัก โดยปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อสร้างผลกระทบที่วัดผลได้จริง”

Altimetrik และ SLK รวบรวมทีมงานระดับโลกกว่า 10,000 คน จาก 17 ประเทศ ดำเนินงานศูนย์วิศวกรรมมากกว่า 20 แห่ง บริษัทที่ควบรวมกันนี้ได้ให้บริการลูกค้าองค์กรกว่า 150 ราย รวมถึงผู้นำใน Fortune 500 โดยนำเสนอบริการที่ครบวงจรสำหรับ AI-first ที่ครอบคลุมทั้งข้อมูล วิศวกรรม การดำเนินงานอัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติ โดยจะเสริมศักยภาพองค์กรให้ก้าวข้ามผ่านการทดลองไปสู่การนำไปใช้จริงและสร้างมูลค่าอย่างต่อเนื่อง

“การร่วมมือกันระหว่าง Altimetrik และ SLK ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของเทคโนโลยีองค์กร” กล่าวโดย Puneet Bhatia หุ้นส่วนและประธานบริหารประจำอินเดียของ TPG Capital Asia และสมาชิกคณะกรรมการของ Altimetrik “บริษัทที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันนี้พร้อมที่จะเร่งการดำเนินการปรับปรุงองค์กรให้ทันสมัยและปลดล็อกผลลัพธ์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นการเดินทางที่ TPG รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้ร่วมสนับสนุน”

“นี่คือก้าวสำคัญในเส้นทางการลงทุนของเรา ในช่วงเวลาที่ AI ยังคงทำหน้าที่เป็นแหล่งเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงาน การแข่งขัน และการเติบโตของบริษัทต่างๆ” กล่าวโดย Vivek Mohan หุ้นส่วนหน่วยธุรกิจที่ TPG Capital Asia และสมาชิกคณะกรรมการที่ Altimetrik “ด้วยการผสมผสานด้านขนาด ความเชี่ยวชาญด้าน AI และความเป็นเลิศในการจัดส่ง Altimetrik และ SLK จะสามารถขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่รวดเร็วยิ่งขึ้น สร้างผลกระทบที่มากขึ้นสำหรับลูกค้า และปลดล็อกการสร้างมูลค่าที่สำคัญได้”

ด้วยการสร้างขึ้นจากแนวทาง AI First ของ Altimetrik, การเปิดตัว ALTI AI Adoption Lab™ และ DomainForge.ai ทำให้ Altimetrik และ SLK จะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยนำเสนอความสามารถที่ครอบคลุมทั้งด้านข้อมูล, AI, วิศวกรรมผลิตภัณฑ์และประสบการณ์, การปรับปรุงแพลตฟอร์ม, การวิเคราะห์, DevSecOps, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ และการดำเนินงานบนคลาวด์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากความร่วมมือทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง องค์กรที่ควบรวมกันนี้ยังได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นของพันธมิตรทางเทคโนโลยี เช่น OpenAI, Amazon Web Services, Snowflake และ Databricks

Avendus Capital จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ SLK Software ขณะที่ EY ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ Altimetrik และ TPG

เกี่ยวกับ Altimetrik

Altimetrik เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลและวิศวกรรมดิจิทัลด้าน AI เป็นหลัก โดยช่วยให้องค์กรต่างๆ เร่งการเติบโตผ่านแนวทางที่เน้นผลิตภัณฑ์เป็นหลักและค่อยเป็นค่อยไป ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านบริการ OpenAI ALTI AI Adoption Lab™ และ DomainForge.ai ของเรา ทำให้สามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ สร้างและปรับขนาดโซลูชัน AI ระดับองค์กรได้

ด้วยผู้ปฏิบัติงานมากกว่า 6,000 รายทั่วโลกและวิศวกรรม DNA เชิงลึก เราช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ทั่ว BFSI, การผลิต,, การค้าปลีกและ CPG ยานยนต์, การดูแลสุขภาพ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพปรับปรุงเทคโนโลยี เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ และขยายการนำ AI มาใช้ โดยขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การดำเนินการดิจิทัลอัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติ

Altimetrik ได้รับการยกย่องในรายชื่อ Constellation Research ShortList™ ประจำปี 2025 สาขาบริการ AI ระดับโลก และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันหลักใน PEAK Matrix® ของ Everest Group สาขาวิศวกรรมดิจิทัล BFSI และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ นอกจากนี้ Altimetrik ยังติดอันดับบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ดีที่สุดของ Glassdoor ในปี 2025 ด้วยประสิทธิภาพ การมองเห็น และการเติบโตที่ราบรื่นในยุค AI เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ altimetrik.com

เกี่ยวกับ SLK บริษัทในเครือ Altimetrik

SLK บริษัทในเครือ Altimetrik คือผู้ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลกที่มุ่งเน้นการนำ AI ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ และการวิเคราะห์มารวมกัน เพื่อสร้างสรรค์โซลูชันเทคโนโลยีล้ำสมัย ผ่านวัฒนธรรมแห่งความร่วมมือและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลังจากการควบรวมกิจการโดย Altimetrik องค์กรที่รวมเป็นหนึ่งเดียวนี้ได้ขยายระบบนิเวศนวัตกรรมและการเข้าถึงทั่วโลก โดยการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะผสานความเชี่ยวชาญของ SLK ในด้านองค์กรอัจฉริยะ การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน ระบบอัตโนมัติและวิศวกรรมคุณภาพ การดำเนินงานดิจิทัล และโซลูชันที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรม เข้ากับความเชี่ยวชาญของ Altimetrik ในด้านข้อมูลและ AI การส่งเสริมธุรกิจดิจิทัล วิศวกรรมผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์ม คลาวด์และการปรับปรุงให้ทันสมัย ​​รวมถึงการดำเนินการสู่ตลาดและการเติบโต ซึ่งทั้งสององค์กรพร้อมที่จะปลดล็อกคุณค่า เร่งการปรับปรุงให้ทันสมัย ​​และขับเคลื่อนนวัตกรรม AI-first ที่วัดผลได้ในวงกว้าง

ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา องค์กรได้ช่วยให้องค์กรต่างๆ ครอบคลุมธุรกิจประกันภัย บริการทางการเงิน การจัดการการลงทุน และการผลิต สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจและตอบสนองความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ การผสานรวมนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจการดูแลสุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์ และค้าปลีก เสริมสร้างความสามารถในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่มีความหมาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์กรได้รับการยอมรับจาก Great Place To Work®, Brandon Hall, Mercer | Mettl-HRedge Awards และ SHRM ในด้านแนวปฏิบัติด้านบุคลากรและวัฒนธรรมแห่งความเป็นเลิศ โดยองค์กรยังคงท้าทายสถานะเดิมอย่างสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเทคโนโลยีที่พลิกโฉม นวัตกรรมที่ประยุกต์ใช้ และระบบอัตโนมัติที่มุ่งเน้นเป้าหมาย

ค้นหาว่า SLK จะช่วยให้องค์กรชั้นนำปรับปรุงธุรกิจของตนได้อย่างไรที่ www.slksoftware.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สื่อ

Altimetrik & SLK
Gurvinder Singh Sahni
GSahni@altimetrik.com

Matt McLoughlin
Gregory FCA
altimetrik@GregoryFCA.com

+1 610-228-2123

ที่มา: Altimetrik

Bidgely เปิดตัว UtilityAI Pro ที่มอบแพลตฟอร์ม AI แนวตั้งตัวแรกให้กับผู้ให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงานทั่วโลกที่แปลงข้อมูลต่างๆ เป็นข้อมูลเชิงลึกในด้านกลยุทธ์

Logo

แพลตฟอร์ม AI ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะจะดึงข้อมูลอัจฉริยะจากคลาวด์ยูทิลิตี้เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

ลอสอัลโตส แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–23 ตุลาคม 2025

Bidgelyวันนี้ได้เปิดตัว UtilityAI Pro™แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) แนวตั้งแพลตฟอร์มแรกและครอบคลุมที่สุด ออกแบบมาเพื่อบริษัทสาธารณูปโภค ผู้ให้บริการพลังงาน และ DISCOM ทั่วโลกโดยเฉพาะ โดย UtilityAI Pro จะช่วยให้ผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลสามารถนำโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ขั้นสูงของ Bidgely ไปปรับใช้ในสภาพแวดล้อมข้อมูลที่ต้องการ เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานในการวัดมิเตอร์ขั้นสูง (AMI), ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลโครงข่ายไฟฟ้า โซลูชันนี้จะวิเคราะห์ข้อมูลนี้ได้อย่างละเอียดมากขึ้นถึง 10 เท่า มอบข้อมูลเชิงลึกเบื้องหลังมิเตอร์เกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า การใช้พลังงานในระดับเครื่องใช้ไฟฟ้า และประสิทธิภาพของโครงข่ายไฟฟ้า

Bidgely introduces UtilityAI Pro™, the first and most comprehensive vertical AI platform designed specifically for utilities.

Bidgely ขอแนะนำ UtilityAI Pro™ แพลตฟอร์ม AI แนวตั้งตัวแรกและครอบคลุมที่สุดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับสาธารณูปโภค

Bidgely คือผู้นำที่ได้รับการยอมรับในด้านการวิเคราะห์สาธารณูปโภค ด้วยความเชี่ยวชาญด้าน ML และ AI ที่มุ่งเน้นสาธารณูปโภคมากว่าทศวรรษ Bidgely ได้รับการสนับสนุนจากสิทธิบัตร 19 ฉบับ และการอ่านมิเตอร์หลายพันล้านครั้ง และมีการประมวลผลข้อมูลการใช้พลังงานมากกว่าหนึ่งเทราไบต์จากลูกค้าทั่วโลกทุกวัน

ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี AI เฉพาะด้านสาธารณูปโภคมายาวนาน เรามักได้ยินจากหัวหน้าฝ่ายดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI (CAIO) และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล (CDO) ถึงความลังเลใจในการแบ่งปันข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญนอกระบบคลาวด์เดิมของพวกเขาอยู่เสมอ เราได้พัฒนา UtilityAI Pro ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่มาพร้อมโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่งเฉพาะด้านสาธารณูปโภคที่จดสิทธิบัตรแล้ว ซึ่งออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนที่มีอยู่แล้วในพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนกลาง, AI เชิงสร้างสรรค์, และเอเจนติก AI บนคลาวด์ยูทิลิตี้ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้ผู้นำด้านเทคโนโลยีสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งสาธารณูปโภคได้” Abhay Gupta ซีอีโอของ Bidgely กล่าว “ด้วยการร่วมมือกับผู้เล่นชั้นนำในระบบนิเวศคลาวด์ หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน CAIO และ CDO สามารถปรับใช้ UtilityAI Pro บนแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ตนเลือกเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างปลอดภัยและครอบคลุมได้”

AI แนวตั้งที่ครอบคลุมรายแรกของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค

อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่ขับเคลื่อนโดยการใช้พลังงานไฟฟ้า ความกังวลเรื่องราคา และแรงผลักดันในการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย ​​หัวหน้าฝ่ายการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล CAIO และ CDO กำลังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง โดยลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลที่จำเป็นต่อการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์สำหรับผู้ให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงานในการแปลงข้อมูลปริมาณมหาศาลจากการลงทุนใน AMI และระบบสารสนเทศให้เป็นมูลค่าที่แท้จริง

จากการสำรวจ IFS Global Utility Survey ประจำปี 2024 พบว่ามีเพียงร้อยละ 20 ของบริษัทสาธารณูปโภคเท่านั้นที่เสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล แม้ว่าผู้บริหารร้อยละ 82 จะตระหนักว่า AI มีความจำเป็นต่อกลยุทธ์ของตน และร้อยละ 84 จะตระหนักว่าการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นมีความสำคัญก็ตาม

“UtilityAI Pro ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญในวิทยาศาสตร์ข้อมูลสาธารณูปโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความสามารถในการผสานรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคที่มีอยู่” Hunter Horgan กรรมการผู้จัดการของ Renown Capital Partners และนักลงทุนของ Bidgely กล่าว “ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้ Bidgely สามารถเพิ่มประสิทธิภาพแอปพลิเคชันสาธารณูปโภคทั้งหมดด้วยข้อมูลเชิงลึกแบบละเอียดเบื้องหลังมิเตอร์ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ให้สูงสุดจากการลงทุนในข้อมูลที่มีอยู่”

ประโยชน์ของแพลตฟอร์มสำหรับหัวหน้าฝ่ายการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล CAIO และ CDO

UtilityAI Pro ช่วยยกระดับความเกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานจากการลงทุนด้าน AI ในเอเจนต์และโคไพลอตจากผู้ให้บริการทุกราย ด้วยการโต้ตอบเชิงสนทนากับข้อมูลเชิงลึกอันทรงพลังที่ดึงมาจากโครงข่ายสาธารณูปโภคและลูกค้า แนวทางนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการดำเนินงานสาธารณูปโภคได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยปลดล็อก

  •  การสร้างโปรไฟล์ลูกค้าเชิงลึก: รับข้อมูลแบบละเอียดเบื้องหลังมิเตอร์เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้า ประสิทธิภาพการทำงาน และพฤติกรรมการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป
  •  การมีส่วนร่วมของลูกค้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI: ขับเคลื่อนการสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล เพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์บริการสายด่วน และเพิ่มการลงทะเบียนโปรแกรม
  •  การกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำ: ระบุผู้ใช้ที่เหมาะสมสำหรับอัตราและโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างแม่นยำโดยอิงจากการเป็นเจ้าของอุปกรณ์จริงและการสร้างโมเดลแนวโน้มที่เชื่อถือได้
  •  การปรับปรุงโครงข่ายอัจฉริยะ: รับการมองเห็นเชิงคาดการณ์จากล่างขึ้นบนเพื่อวินิจฉัยจุดที่มีความเครียดในเครือข่ายไฟฟ้าและปรับให้การลงทุนเพื่อความยืดหยุ่นมีความเหมาะสมที่สุด
  •  การจัดการทรัพยากรพลังงานแบบกระจาย (DER): คาดการณ์และจัดการผลกระทบของพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บ และยานยนต์ไฟฟ้าต่อโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบ
  •  นวัตกรรมที่เร่งขึ้น: สร้างต้นแบบและปรับใช้แอปพลิเคชัน AI ที่กำหนดเองได้อย่างรวดเร็ว โดยผสานรวมในสแต็กเทคโนโลยีของยูทิลิตี้อย่างปลอดภัย
  •  ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน: กระจายข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้ลูกค้า เครือข่ายไฟฟ้า และฟังก์ชันหลังบ้านเพื่อขับเคลื่อนการจัดการที่มีประสิทธิผลและลดต้นทุน

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ UtilityAI Pro โปรดไปที่ bidgely.com/utilityai-pro

เกี่ยวกับ Bidgely

Bidgely คือบริษัท SaaS ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งกำลังเร่งสร้างอนาคตพลังงานสะอาด ด้วยการช่วยให้บริษัทพลังงานและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับพลังงานโดยอาศัยข้อมูล แพลตฟอร์ม UtilityAI™ ของ Bidgely ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของเรา แปลงข้อมูลลูกค้าหลายมิติ เช่น การใช้พลังงาน ข้อมูลประชากร และปฏิสัมพันธ์ ให้เป็นข้อมูลเชิงลึกด้านพลังงานของผู้บริโภคที่แม่นยำและนำไปใช้ได้จริง เราใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อมอบคำแนะนำเฉพาะบุคคลให้กับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งปรับให้เหมาะกับบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ คุณลักษณะการใช้งาน รูปแบบพฤติกรรม แนวโน้มการซื้อ และอื่นๆ Bidgely กำลังพัฒนานวัตกรรมมิเตอร์อัจฉริยะด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับโซลาร์เซลล์ (PV) การตรวจจับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การปรับเปลี่ยนโหลดและการจัดการการชาร์จตามพฤติกรรมของรถยนต์ไฟฟ้า การขโมยพลังงาน การคาดการณ์โหลดระยะสั้น การวิเคราะห์โครงข่ายไฟฟ้า และการออกแบบอัตราการใช้งาน (TOU) ระบบวิเคราะห์พลังงาน UtilityAI™ ของ Bidgely มอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการผลิตและการบริโภค เพื่อการวางแผนและกำหนดรูปแบบการใช้พลังงานสูงสุด (Peak Load) ที่ดีขึ้น พร้อมให้คำแนะนำที่ตรงจุดสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม Bidgely มีรากฐานในซิลิคอนแวลลีย์ มีสิทธิบัตรด้านพลังงานมากกว่า 16 ฉบับ เงินทุนมากกว่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลมากกว่า 30 คน และนำความหลงใหลใน AI มาสู่สาธารณูปโภคที่ให้บริการลูกค้าทั้งที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.bidgely.com หรือบล็อกของ Bidgely ที่ bidgely.com/blog

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: www.businesswire.com/news/home/20251023698381/en

Contacts

Christine Bennett
Bidgely
press@bidgely.com

ที่มา: Bidgely

INNIO ได้รับคำสั่งซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทจาก VoltaGrid เพื่อส่งมอบพลังงานไฟฟ้าให้กับศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

Logo

  • INNIO จะจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน 2.3 กิกะวัตต์ (GW) ประกอบด้วยชุดพลังงาน 92 ชุด ชุดละ 25 เมกะวัตต์ (MW)
  • ความร่วมมือกับ VoltaGrid ได้ขับเคลื่อนการขยายศูนย์ข้อมูล AI ผ่านโซลูชันพลังงานที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น และยั่งยืน
  • ความร่วมมือนี้ช่วยให้ VoltaGrid สามารถผสานหน่วยจ่ายไฟเข้ากับพลังงานของศูนย์ข้อมูลพกพาขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยหน่วยของ INNIO ได้อย่างราบรื่น

เจนบัค ออสเตรีย และ ฮูสตัน สหรัฐอเมริกา–(BUSINESS WIRE)–21 ตุลาคม 2025

ในวันนี้ INNIO Group ได้ประกาศคำสั่งซื้อพลังงานไฟฟ้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท นั่นคือโครงการโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฟฟ้าขนาด 2.3 กิกะวัตต์ ซึ่งประกอบด้วยชุดจ่ายไฟ 92 ชุด แต่ละชุดให้กำลังผลิต 25 เมกะวัตต์ โดยความร่วมมือกับ VoltaGrid จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของ INNIO ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานหลักสำหรับภาคศูนย์ข้อมูลของสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

INNIO Secures Largest Order in Company History (c) INNIO

INNIO ได้รับคำสั่งซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท (c) INNIO

“คำสั่งซื้อครั้งสำคัญนี้ช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีของ INNIO และความสามารถของเราในการขับเคลื่อนการปฏิวัติ AI ด้วยโซลูชันพลังงานอัจฉริยะประสิทธิภาพสูง” กล่าวโดย ดร. Olaf Berlien ประธานและซีอีโอของ INNIO Group “เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ VoltaGrid ในการกำหนดทิศทางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานแห่งอนาคต”

“นี่คือก้าวสำคัญสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสำหรับยุค AI” Nathan Ough ซีอีโอของ VoltaGrid กล่าวเสริม “การร่วมมือกับ INNIO ช่วยให้เรานำเสนอโซลูชันที่ปรับขนาดได้ ซึ่งผสานประสิทธิภาพระดับกริดเข้ากับการตอบสนองที่รวดเร็วเป็นพิเศษ การพึ่งพาแบตเตอรี่เป็นศูนย์ และการปล่อยมลพิษทางอากาศที่เกือบเป็นศูนย์ ความร่วมมือของเราจะช่วยมอบความเร็ว ความน่าเชื่อถือ และความยั่งยืนที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลแห่งอนาคต”

โซลูชันพลังงานขั้นสูงของ INNIO พัฒนาขึ้นร่วมกับ VoltaGrid เพื่อเร่งการใช้งานศูนย์ข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพ GPU ให้สูงสุดสำหรับการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Jenbacher ของ INNIO ที่ทำให้ระบบนี้สามารถให้พลังงานหลัก พลังงานสำรอง และพลังงานสูงสุดภายในแพลตฟอร์มแบบบูรณาการเดียว รวมทั้งมอบความยืดหยุ่นในการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมได้

โดยโซลูชันจะรักษาพลังงานและประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่แม้ในอุณหภูมิแวดล้อมสูงถึง 122°F (50°C) และมอบประสิทธิภาพการทำงานชั่วคราวที่เหนือกว่า สามารถรองรับความผันผวนของโหลดที่ผันผวนสูงได้ เราประเมินว่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีทางเลือกอื่น โซลูชันนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าถึง 10 จุดเปอร์เซ็นต์ ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากกำลังการผลิตติดตั้ง 2.3 กิกะวัตต์

เกี่ยวกับ INNIO Group

INNIO Group คือผู้ให้บริการโซลูชันและบริการด้านพลังงานชั้นนำที่ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและชุมชนให้สามารถดำเนินงานด้านพลังงานอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน ด้วยแบรนด์ผลิตภัณฑ์ Jenbacher และ Waukesha และแพลตฟอร์มดิจิทัล myplant ที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดย INNIO Group ได้นำเสนอโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานของศูนย์ข้อมูล การผลิตไฟฟ้าแบบกระจาย และแอปพลิเคชันการบีบอัด ด้วยโซลูชันและบริการด้านพลังงานที่ยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ และยืดหยุ่น ทำให้ INNIO Group ช่วยให้ลูกค้าสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าด้านพลังงาน และรับประกันการจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้แม้ในที่ที่ไม่มีโครงข่ายไฟฟ้า

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ INNIO Group ที่ innio.com ติดตาม INNIO Group ได้ที่ X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ VoltaGrid

VoltaGrid คือผู้บุกเบิกด้านพลังงานสะอาดในสหรัฐอเมริกา นำเสนอโซลูชันพลังงานก๊าซธรรมชาติที่ตอบสนองฉับไวและปล่อยมลพิษต่ำสำหรับศูนย์ข้อมูล การดำเนินงานภาคอุตสาหกรรม และความยืดหยุ่นของระบบโครงข่ายไฟฟ้า แพลตฟอร์มที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทได้ผสานรวมประสิทธิภาพชั้นนำของอุตสาหกรรมเข้ากับการใช้งานแบบแยกส่วนที่ปรับขนาดได้ ทำให้ VoltaGrid เป็นพันธมิตรที่ได้รับการยอมรับสำหรับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานแห่งอนาคต

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251021503080/en

Contacts

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
Susanne Reichelt
INNIO Group
+43 664 80833 2382
susanne.reichelt@innio.com

ที่มา: INNIO Group

NIPPON KINZOKU ขยายยอดขาย “NK-305 Series” ในฐานะผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Logo

ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดแรงแม่เหล็กตกค้างหลังการแปรรูปได้อย่างมีนัยสำคัญ และขยายความเป็นไปได้ในการขึ้นรูปเชิงลึกได้เป็นอย่างดี

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–21 ตุลาคม 2025

NIPPON KINZOKU CO., LTD. (TOKYO: 5491) (สำนักงานใหญ่: เขตมินาโตะ โตเกียว) กำลังเสริมยอดขายสเตนเลสสตีล “NK-305 Series” ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งการซึมผ่านต่ำ (ไม่เป็นแม่เหล็ก) และ ความสามารถในการขึ้นรูปเชิงลึกสูง นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่หกในกลุ่ม “ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
ผลิตภัณฑ์นี้ช่วยตอบสนองต่อความต้องการของตลาด อาทิ การปรับปรุงความน่าเชื่อถือของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และรองรับความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้นของชิ้นส่วนยานยนต์ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตของผลิตภัณฑ์ของลูกค้า

Our proprietary equipment, designed with accumulated cold rolling expertise, and the industry-leading proprietary technologies developed by it, meet all your needs.

อุปกรณ์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ซึ่งออกแบบด้วยความเชี่ยวชาญด้านการรีดเย็นที่สั่งสมมา และเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมที่พัฒนาขึ้น จะช่วยตอบสนองทุกความต้องการของคุณ

ภูมิหลังการพัฒนา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยขนาดที่เล็กลงและความหนาแน่นที่สูงขึ้นของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงน้ำหนักที่เบาลงของรถยนต์ ทำให้วัสดุโลหะที่ใช้มีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ทั้งคุณสมบัติการซึมผ่านต่ำที่ต้านทานการเกิดแม่เหล็กแม้หลังจากผ่านกระบวนการ และความสามารถในการขึ้นรูปเชิงลึกที่จะช่วยให้สามารถสร้างรูปทรงที่ซับซ้อนได้ อย่างไรก็ตาม การบรรลุคุณสมบัติทั้งสองนี้พร้อมกันถือเป็นความท้าทายที่ยากลำบากสำหรับสเตนเลสสตีลทั่วไป
เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดเหล่านี้ บริษัทของเราได้พัฒนา “NK-305 Series” โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา เรามีเหล็กสองเกรดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการใช้งานเฉพาะด้าน

คุณสมบัติและประโยชน์ของ NK-305 Series

1. NK-305S: มีค่าการซึมผ่านต่ำมาก เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
โดยจะช่วยลดการเกิดแม่เหล็กได้อย่างมีนัยสำคัญ ในระหว่างการแปรรูปหนัก ทำให้ได้คุณสมบัติที่เหนือกว่า SUS316 ซึ่งเป็นสเตนเลสสตีลที่มีค่าการซึมผ่านต่ำ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับโมดูลกล้องและส่วนประกอบเซนเซอร์ต่างๆ ที่ต้องการลดการรบกวนจากแม่เหล็กให้น้อยที่สุด ช่วยป้องกันการทำงานผิดปกติของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังสามารถลดต้นทุนได้ โดยการแทนที่ SUS316 ด้วย NK-305S

(ตัวอย่างการใช้งาน: ส่วนประกอบกล้อง ส่วนประกอบอุปกรณ์มือถือ ฯลฯ)

2. NK-305Y: คุณสมบัติการขึ้นรูปเชิงลึกที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสำหรับชิ้นส่วนที่มีรูปร่างซับซ้อน
นุ่มเป็นพิเศษพร้อมการยืดตัวที่ดีเยี่ยม รองรับกระบวนการขึ้นรูปเชิงลึกที่มีความต้องการสูง อำนวยความสะดวกในการขึ้นรูปชิ้นส่วนยานยนต์ที่ซับซ้อนและรูปทรงอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้ผลิตได้ยาก ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการดำเนินการและผลผลิตในการผลิตของลูกค้าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

(ตัวอย่างการใช้งาน: ชิ้นส่วนยานยนต์, กล่องหุ้มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ)

คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.nipponkinzoku.co.jp/assets/images/2025/10/Newly-Expanding-Sales-of-the-NK-305-Series.pdf

ภาพรวมผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็ก
https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/corporate-profile/business/cold-rolled-stainless-steel-strip

เกี่ยวกับ NIPPON KINZOKU Group
มีการนำผลิตภัณฑ์ของเราไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูงไปจนถึงอุตสาหกรรมก่อสร้าง https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251020824470/en

Contacts

NIPPON KINZOKU CO., LTD. ฝ่ายกระบวนการผลิตและสนับสนุน
โทร.: +81-3-5765-8113
https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/inquiry

ที่มา: NIPPON KINZOKU CO., LTD.

ธุรกิจชั้นนำระดับโลกผนึกกำลังเปิดตัว Carbon Measures

Logo

กลุ่มพันธมิตรใหม่ในพัฒนากรอบการบัญชีคาร์บอนระดับโลกและผลักดันโซลูชันตามกลไกตลาดที่ขับเคลื่อนการลดการปล่อยมลพิษ

Amy Brachio อดีตรองประธานบริษัท Ernst & Young และหัวหน้าฝ่ายความยั่งยืน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอของ

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–20 ตุลาคม 2025

Carbon Measures ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรระดับโลกใหม่ที่ประกอบด้วยธุรกิจขนาดใหญ่จากหลากหลายอุตสาหกรรมและภูมิศาสตร์ ได้เปิดตัวในวันนี้เพื่อสร้างกรอบการบัญชีคาร์บอนที่แม่นยำยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนโซลูชันตามกลไกตลาดเพื่อลดการปล่อยมลพิษด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด

งานของกลุ่มพันธมิตรจะใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือและหลักการบัญชีการเงิน เพื่อช่วยสร้างกรอบการบัญชีคาร์บอนแบบบัญชีแยกประเภทที่มีความแม่นยำมากขึ้น ขจัดการนับซ้ำ และแก้ไขช่องว่างของข้อมูลในปัจจุบัน กรอบการทำงานใหม่นี้จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตน และช่วยให้รัฐบาลสามารถตัดสินใจเชิงนโยบายได้อย่างรอบรู้มากขึ้น ด้วยการติดตามการปล่อยมลพิษผ่านเศรษฐกิจโลกได้ดีขึ้น

Carbon Measures กำลังเรียกร้องให้มีนโยบายใหม่ที่จะช่วยปลดล็อกนวัตกรรม การแข่งขัน และอำนาจของตลาด การปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นและจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีการนำนโยบายที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และปฏิบัติได้จริงมาใช้ มาตรฐานความเข้มข้นของคาร์บอนในระดับผลิตภัณฑ์ซึ่งอิงจากข้อมูลที่ตรวจสอบได้ซึ่งได้รับจากกรอบการบัญชีการปล่อยมลพิษที่ได้รับการปรับปรุงสามารถสร้างตลาดที่ธุรกิจได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในการผลิตคาร์บอนต่ำได้

Carbon Measures จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนากรอบการบัญชีคาร์บอน นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดผลกระทบสูงสุด กลุ่มพันธมิตรจะให้ความสำคัญกับการออกแบบมาตรฐานความเข้มข้นของคาร์บอนสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลักๆ เช่น ไฟฟ้า เชื้อเพลิง เหล็ก คอนกรีต และเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่ และร่วมกันคิดคำนวณการปล่อยมลพิษส่วนใหญ่ทั่วโลก

Amy Brachio เข้ารับตำแหน่งซีอีโอของ Carbon Measures หลังจากทำงานที่บริษัท Ernst & Young LLP (“EY”) มาเกือบสามทศวรรษ โดยตำแหน่งล่าสุดของเธอคือรองประธานฝ่ายความยั่งยืนทั่วโลก ที่ EY เธอได้ให้คำแนะนำแก่ลูกค้าหลายพันรายเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน เป็นผู้นำในการลดการปล่อยมลพิษของบริษัทลง 40% และช่วยผลักดันให้ EY เป็นผู้นำระดับโลกด้านบริการด้านความยั่งยืน โดย Brachio เป็นอดีตผู้นำฝ่ายให้คำปรึกษาธุรกิจและบริหารความเสี่ยงของ EY มีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในด้านการจัดการความเสี่ยง การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความยั่งยืน

“ข้อมูลที่ดีนำไปสู่การตัดสินใจที่ดี แต่ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ข้อมูลที่แม่นยำและเปรียบเทียบได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามการปล่อยมลพิษ ฉันเคยได้นั่งแถวหน้าช่วยธุรกิจต่างๆ ต่อสู้กับระบบที่พึ่งพาการประมาณการมากเกินไป พึ่งพาความมุ่งมั่นโดยสมัครใจ และความตั้งใจดีในการขับเคลื่อนตลาด ซึ่งนั่นไม่เพียงพออีกต่อไป” Brachio กล่าว “Carbon Measures ต้องการสร้างระบบที่จะปลดปล่อยตลาดและการแข่งขัน ปลดล็อกการลงทุน และเร่งความเร็วในการลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนอย่างที่โลกต้องการ”

บริษัทสมาชิกเริ่มต้นของกลุ่มพันธมิตร ได้แก่ ADNOC, Air Liquide, Banco Santander, BASF, Bayer, CF Industries, EQT Corporation, ExxonMobil, EY, Global Infrastructure Partners ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ BlackRock, Honeywell, Linde, Mitsubishi Heavy Industries, Mitsui & Co., Mitsui O.S.K. Lines, Ltd., NextEra Energy, Nucor, ท่าเรือ Rotterdam และ Vale ส่วนบริษัทอื่นๆ เพิ่มเติมจะประกาศให้ทราบในภายหลัง

โดยผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทสมาชิกของ Carbon Measures ได้แสดงการสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรและวัตถุประสงค์ของกลุ่ม ดังนี้

“เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการร่วมกันไปสู่อีกระดับอย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องมีมาตรฐานความเข้มข้นของคาร์บอนในระดับผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้อง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบัญชีคาร์บอนที่แม่นยำ เพื่อตอบแทนโซลูชันคาร์บอนต่ำและควบคุมพลังของตลาด ความร่วมมือทางธุรกิจกับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ภาคประชาสังคม และผู้กำหนดนโยบาย คือหัวใจสำคัญของโครงการ Carbon Measures การทำงานร่วมกันจะช่วยให้เราสามารถลดการปล่อยมลพิษและตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของสังคมได้” กล่าวโดย François Jackow ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Air Liquide Group

“การคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน ณ แหล่งกำเนิดที่แม่นยำและโปร่งใสเป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่เป็นรูปธรรม โครงการริเริ่มนี้มุ่งหวังที่จะสร้างวิธีการคำนวณความเข้มข้นของคาร์บอนที่น่าเชื่อถือและเปรียบเทียบได้ทั่วโลกอย่างครอบคลุมในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า เพื่อสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์และเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านให้เร็วขึ้น ด้วยการร่วมมือกันเพื่อสร้างโซลูชันที่ขับเคลื่อนโดยตลาดเพื่อรับมือกับความท้าทายที่สำคัญนี้ เรากำลังวางรากฐานสำหรับผลกระทบที่แท้จริงและขยายขนาดได้ โดยต่อยอดจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของเราในการลดการปล่อยมลพิษ เรายินดีกับความร่วมมือนี้ในทุกภูมิภาคและทุกอุตสาหกรรม และเราขอเชิญชวนให้ผู้อื่นร่วมมือกับเราในการกำหนดเส้นทางที่เป็นหนึ่งเดียวสู่การวัดปริมาณคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ” กล่าวโดย Ana Botín ประธานบริหารของ Banco Santander

“หากคุณวัดผลไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถจัดการได้ ขั้นตอนแรกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกคือการรู้ว่ามันมาจากไหน และในปัจจุบัน เรายังไม่มีระบบที่แม่นยำในการทำเช่นนี้ วิธีการทำบัญชีการปล่อยก๊าซคาร์บอนมาตรฐานเป็นรากฐานที่จำเป็นสำหรับกรอบการทำงานที่จะช่วยส่งเสริมการแข่งขัน ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละบริษัท และระดมพลังตลาดเพื่อรับมือกับความท้าทายของความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการลดการปล่อยมลพิษ” กล่าวโดย Darren Woods ประธานและซีอีโอของ ExxonMobil

“Nucor ภูมิใจที่ได้เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร Carbon Measures ระดับโลก เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการวัดและจัดการรอยเท้าคาร์บอนของเรา การกำหนดกรอบการบัญชีคาร์บอนที่สอดคล้องกันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดเพื่อให้มั่นใจถึงความสามารถในการเปรียบเทียบระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ ขับเคลื่อนความก้าวหน้าที่น่าเชื่อถือในการลดการปล่อยมลพิษ และสนับสนุนนโยบายที่เชื่อมโยงความพยายามของภาคอุตสาหกรรมเข้ากับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่กว้างขึ้น” กล่าวโดย Leon Topalian ประธาน กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nucor Corporation

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Carbon Measures ได้ที่ carbonmeasures.org

เกี่ยวกับ Carbon Measures

Carbon Measures คือกลุ่มพันธมิตรระดับโลกของธุรกิจชั้นนำที่มุ่งมั่นพัฒนากรอบการบัญชีคาร์บอนที่อิงตามบัญชีแยกประเภท ซึ่งให้ข้อมูลระดับบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่แม่นยำ ตรวจสอบได้ และทันเวลา นอกจากนี้ Carbon Measures ยังเรียกร้องให้มีนโยบายใหม่ที่ปลดล็อกนวัตกรรม การแข่งขัน และแนวทางแก้ไขปัญหาตามกลไกตลาดเพื่อลดการปล่อยมลพิษอีกด้วย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

รายชื่อผู้ติดต่อสื่อ
media@carbonmeasures.org

ที่มา: Carbon Measures

InterSystems และ Google Cloud ผสานรวม InterSystems HealthShare เข้ากับ Healthcare API ของ Google Cloud

Logo

ความร่วมมือที่ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการทำงานร่วมกัน และช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ร่วมกับฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้

ลาสเวกัส –(BUSINESS WIRE)–20 ตุลาคม 2025

InterSystems ผู้ให้บริการเทคโนโลยีข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ที่บริหารจัดการข้อมูลสุขภาพกว่าหนึ่งพันล้านรายการทั่วโลก ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่ที่ผสานรวม InterSystems HealthShare กับ Google Cloud ในวันนี้ ความร่วมมือนี้ได้ประกาศในงาน HLTH โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบฐานข้อมูลที่ปรับขนาดได้แบบเรียลไทม์และสอดคล้องกันสำหรับแอปพลิเคชัน AI เชิงสร้างสรรค์และเชิงตัวแทน

โดยความร่วมมือนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่สุดอย่างหนึ่งในระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ นั่นคือข้อมูลที่กระจัดกระจายและไม่สอดคล้องกัน ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญของ InterSystems ด้านการประสานข้อมูล การแก้ไขข้อมูลประจำตัว และการทำงานร่วมกัน เข้ากับชุดข้อมูลวิเคราะห์และค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่หลากหลายของ Google Cloud และโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย โดยองค์กรด้านการดูแลสุขภาพสามารถปลดล็อกศักยภาพของ AI ได้อย่างเต็มที่ด้วยข้อมูลที่สะอาด เป็นหนึ่งเดียว และนำไปปฏิบัติได้จริงบนแพลตฟอร์มคลาวด์ระดับองค์กรที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว

“AI กำลังพลิกโฉมวงการสาธารณสุข แต่จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้และนำไปปฏิบัติได้จริง” กล่าวโดย Don Woodlock หัวหน้าฝ่ายโซลูชันการดูแลสุขภาพระดับโลกของ InterSystems “การผสานรวม HealthShare เข้ากับระบบนิเวศข้อมูลสุขภาพและ AI ที่ครอบคลุมของ Google Cloud ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าข้อมูลของพวกเขาสามารถทำงานร่วมกันได้และมีการจัดการอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งหมายความว่าผู้ให้บริการสามารถมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงขั้นตอนการทำงานและมอบการดูแลที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นได้”

InterSystems HealthShare นำเสนอการรวมข้อมูล การทำให้เป็นมาตรฐาน การลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อน การระบุตัวตนผู้ป่วย การจับคู่คำศัพท์ และตัวเร่งความเร็วเฉพาะ EHR ในแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ความสามารถเหล่านี้จะผสานรวมเข้ากับ Healthcare API ของ Google Cloud ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำสิ่งต่อไปนี้ได้

สร้างฐานข้อมูลที่ปรับขนาดได้: สร้างฐานข้อมูลที่สอดคล้องและพร้อมสำหรับ FHIR สำหรับการวิจัย การดำเนินงาน และการตัดสินใจทางคลินิก โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับให้เหมาะสมกับ AI ของ Google Cloud และ BigQuery เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

ใช้ประโยชน์จาก AI ขั้นสูง: ใช้ประโยชน์จากโมเดล AI เชิงสร้างสรรค์และเชิงตัวแทนชั้นนำ รวมถึงโมเดลตระกูล Gemini บนแพลตฟอร์ม Vertex AI ของ Google Cloud เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบอัตโนมัติในการบริหารจัดการ และโครงการด้านสุขภาพประชากร

ปรับปรุงการทำงานร่วมกันและความปลอดภัย: ปรับปรุงการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบและมาตรฐานที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างสอดประสานกัน ทั้งหมดนี้พร้อมรับประโยชน์จากกรอบการทำงานด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดชั้นนำของอุตสาหกรรมของ Google Cloud

“องค์กรด้านการดูแลสุขภาพต้องการนำโซลูชัน AI ที่ปลอดภัย มีความรับผิดชอบ และมีประโยชน์ทันทีมาใช้” กล่าวโดย Aashima Gupta ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพทั่วโลกของ Google Cloud “InterSystems นำเสนอแพลตฟอร์มที่ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดเตรียมข้อมูล และช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถปลดล็อกคุณค่าของข้อมูลได้อย่างเต็มที่ ด้วยการผสานรวมการจัดการข้อมูลอันเป็นเอกลักษณ์ของ HealthShare เข้ากับความสามารถในการประมวลผลข้อมูลขั้นสูงและ AI/ML ของ Google Cloud”

ข้อเสนอนี้พร้อมให้บริการทันทีผ่านรูปแบบการนำสิทธิ์การใช้งานมาเอง (BYOL) โดย Google Cloud Marketplace คาดว่าจะเปิดให้บริการในอเมริกาเหนือในไตรมาสที่ 1 ปี 2026 และจะเปิดให้บริการทั่วโลกตามมา ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์พาร์ทเนอร์ของเรา

เกี่ยวกับ InterSystems

InterSystems ผู้ให้บริการเทคโนโลยีข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ มอบรากฐานที่เป็นหนึ่งเดียวสำหรับแอปพลิเคชันยุคใหม่สำหรับลูกค้าด้านการดูแลสุขภาพ การเงิน การผลิต และซัพพลายเชนในกว่า 80 ประเทศ แพลตฟอร์มข้อมูลของเราช่วยแก้ปัญหาด้านความสามารถในการทำงานร่วมกัน ความเร็ว และความสามารถในการปรับขนาดสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก เพื่อปลดล็อกพลังของข้อมูลและเปิดโอกาสให้ผู้คนรับรู้ข้อมูลในรูปแบบที่สร้างสรรค์ โดย InterSystems ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้วยการสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมงในทุกๆ วัน InterSystems เป็นบริษัทเอกชนและมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ มีสำนักงาน 38 แห่งใน 28 ประเทศทั่วโลก ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ InterSystems.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ผู้ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ InterSystems:
Zach Keating
pr@intersystems.com
617.551.5158

ที่มา: InterSystems

CyberArk ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้นำในรายงาน Gartner® Magic Quadrant™ ประจำปี 2025 สำหรับการจัดการการเข้าถึงที่มีสิทธิพิเศษ

Logo

  • CyberArk ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำเป็นครั้งที่เจ็ดติดต่อกัน
  • CyberArk มองว่าการยอมรับดังกล่าวเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์และนวัตกรรมของบริษัทในตลาด PAM
  • แพลตฟอร์ม CyberArk Identity Security จะช่วยรักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวทั้งหมดด้วยระบบควบคุมสิทธิ์ที่ทันสมัย

นิวตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และเพทาช ติกวา ประเทศอิสราเอล–(BUSINESS WIRE)–16 ตุลาคม 2025

CyberArk (NASDAQ: CYBR) ผู้นำระดับโลกด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในรายงาน Gartner® Magic Quadrant™ ประจำปี 2025 สำหรับการจัดการการเข้าถึงที่มีสิทธิพิเศษ1 โดย CyberArk ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำเป็นครั้งที่เจ็ดติดต่อกัน และอยู่ในอันดับสูงสุดในด้านวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุม ซึ่งจากมุมมองของบริษัท สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ CyberArk ในการกำหนดอนาคตของการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงแบบมีสิทธิพิเศษ (PAM) ที่ทุกข้อมูลประจำตัวจะได้รับการปกป้องด้วยการเข้าถึงที่ยืดหยุ่นตามความต้องการ การควบคุมสิทธิ์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ทั้งบนคลาวด์และระบบภายในองค์กร

รายงานนี้จะประเมินเครื่องมือที่จัดการสิทธิ์การเข้าถึงแบบมีสิทธิพิเศษสำหรับทั้งมนุษย์และเครื่องจักร โดยแพลตฟอร์ม CyberArk Identity Securityจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลประจำตัวทั้งหมด ทั้งมนุษย์ เครื่องจักร และ AI ด้วยการควบคุมสิทธิ์ในระดับที่เหมาะสมจากแพลตฟอร์มเดียวที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มนี้ โซลูชัน Privileged Access Managementของ CyberArk จะช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถรักษาความปลอดภัยของข้อมูลประจำตัว ความลับ และสิทธิ์การเข้าถึงที่มีเอกสิทธิ์ได้ในทุกสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ภายในองค์กรไปจนถึงคลาวด์ ช่วยให้สามารถรักษาสิทธิ์การใช้งานแบบ Zero Standing Privileges ช่วยป้องกันการละเมิด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อีกด้วย

“เราเชื่อว่าการที่ CyberArk ได้รับการยอมรับจาก Gartner ในฐานะผู้นำด้านการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงแบบมีเอกสิทธิ์ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรกของเราในการปกป้องข้อมูลประจำตัวทั้งหมด ทั้งมนุษย์ เครื่องจักร และ AI” กล่าวโดย Matt Cohen ซีอีโอของ CyberArk “CyberArk ยังคงกำหนดอนาคตของการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงแบบมีเอกสิทธิ์ ผ่านนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา และการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากข้อมูลประจำตัวในองค์กรจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้รับสิทธิ์การเข้าถึงแบบมีเอกสิทธิ์ องค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องรักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวทั้งหมดในระดับที่สูงขึ้นด้วยระบบควบคุมสิทธิ์อัจฉริยะ แพลตฟอร์มความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวที่ครอบคลุมและขับเคลื่อนด้วย AI ของ CyberArk ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ช่วยให้สามารถรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวที่สำคัญที่สุด และก้าวล้ำนำหน้าภัยคุกคามใหม่ๆ”

ด้วยแพลตฟอร์ม Identity Security ที่ได้รับรางวัล CyberArk จึงมอบความสามารถและบริการชั้นนำของตลาด:

  • ความครอบคลุมของแพลตฟอร์ม – แพลตฟอร์มที่ครอบคลุมของ CyberArk สร้างขึ้นเพื่อองค์กรยุคใหม่ พร้อมให้บริการทั้งแบบติดตั้งภายในองค์กรและแบบ SaaS ที่จะช่วยรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลประจำตัวทุกรูปแบบจากทุกสภาพแวดล้อม โดย CyberArk ได้รับการจัดอันดับความเป็นเลิศในด้านการจัดการสิทธิ์และการมอบหมายสิทธิ์ (PEDM), การจัดการสิทธิ์การเข้าถึงระยะไกล (RPAM), PAM สำหรับเครื่องจักร รวมถึงการจัดการบัญชีและเซสชันที่มีสิทธิพิเศษ (PASM)
  • นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง – CyberArk พัฒนานวัตกรรมที่นำออกสู่ตลาดเป็นรายแรก เพื่อรับมือกับภัยคุกคามของเอเจนต์ AI การปกป้องเวิร์กโหลด ความสามารถในการค้นพบ และความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยแพลตฟอร์ม CyberArk ถูกสร้างขึ้นมา โดย CyberArk CORA AIจะช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลอย่างรอบรู้ และเร่งการรักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวทั่วทั้งองค์กรด้วยการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามต่อข้อมูลประจำตัวได้อย่างรวดเร็ว
  • แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ทั่วโลก – องค์กรกว่า 10,000 แห่งทั่วโลก รวมถึงกว่า 55% ของบริษัทใน Fortune 500 ต่างไว้วางใจโซลูชันของ CyberArk ในการปกป้องทรัพย์สินอันทรงคุณค่าที่สุด และตอบสนองข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและความปลอดภัยที่สำคัญ โดย CyberArk ได้นำเสนอการดำเนินงานที่หลากหลายทางภูมิศาสตร์ พร้อมบริการจัดส่งเฉพาะพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาค
  • ประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม – ด้วยคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (CSAT) มากกว่า 95% และคะแนนการสนับสนุนที่สูงอย่างต่อเนื่องใน Peer Insights ทำให้ CyberArk มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ลูกค้าในระดับสูงสุด
  • ผลตอบแทนจากการลงทุนที่พิสูจน์แล้ว – จากการศึกษาอิสระพบว่า ลูกค้าของ CyberArk ได้รับผลประโยชน์เฉลี่ยต่อปี 3.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อองค์กร และผลตอบแทนจากการลงทุนสามปีอยู่ที่ 309% ด้วยการใช้แนวทางการรักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวแบบคลาวด์เนทีฟที่ผสานรวม องค์กรต่างๆ สามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานด้านไอทีและนักพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยได้ถึง 275,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อแอปพลิเคชันธุรกิจที่ได้รับการปกป้องทุกๆ 10 แอปพลิเคชันที่ CyberArk ช่วยปกป้อง

หากต้องการดาวน์โหลดสำเนาฟรีของ Gartner Magic Quadrant for Privileged Access Management ปี 2025 โปรดไปที่ https://lp.cyberark.com/gartner-mq-pam-2025.html

1 Gartner® Magic Quadrant™ สำหรับการจัดการการเข้าถึงที่มีสิทธิพิเศษ โดย Abhyuday Data, Paul Mezzera, Shubham Gera, Tarun Rohilla, Michael Kelley, 13 ตุลาคม 2025

ข้อสงวนสิทธิ์ของ Gartner
GARTNER เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและเครื่องหมายบริการ และ MAGIC QUADRANT เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Gartner, Inc. และ/หรือบริษัทในเครือในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ และได้นำมาใช้ในที่นี้โดยได้รับอนุญาต สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

Gartner ไม่รับรองผู้จำหน่าย ผลิตภัณฑ์ หรือบริการใดๆ ที่ปรากฏในเอกสารเผยแพร่งานวิจัย และไม่แนะนำให้ผู้ใช้เทคโนโลยีเลือกเฉพาะผู้จำหน่ายที่ได้รับคะแนนสูงสุดหรือได้รับเครื่องหมายอื่นใด เอกสารเผยแพร่งานวิจัยของ Gartner ประกอบด้วยความคิดเห็นขององค์กรวิจัยของ Gartner และไม่ควรตีความว่าเป็นข้อเท็จจริง Gartner ขอปฏิเสธการรับประกันทั้งหมด ไม่ว่าโดยชัดแจ้งหรือโดยนัย เกี่ยวกับงานวิจัยนี้ รวมถึงการรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความสามารถในการขายหรือความเหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ

เกี่ยวกับ CyberArk
CyberArk (NASDAQ: CYBR) คือผู้นำระดับโลกด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัว ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกให้รักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวทั้งของมนุษย์และเครื่องจักรในองค์กรยุคใหม่ แพลตฟอร์มด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ CyberArk จะนำระบบควบคุมสิทธิ์อัจฉริยะมาใช้กับสำหรับทุกข้อมูลประจำตัว พร้อมการป้องกัน การตรวจจับ และการตอบสนองภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องตลอดวงจรชีวิตของการระบุตัวตน CyberArk จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถลดความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและความปลอดภัย ด้วยการเปิดใช้งานระบบ Zero Trust และสิทธิ์การใช้งานน้อยที่สุด พร้อมความสามารถในการมองเห็นข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์ ช่วยให้ผู้ใช้และข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงบุคลากร ฝ่ายไอที นักพัฒนา และเครื่องจักร สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยจากทุกที่ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ cyberark.com

ลิขสิทธิ์ © 2025 CyberArk Software สงวนลิขสิทธิ์ ชื่อแบรนด์ ชื่อผลิตภัณฑ์ หรือเครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

นักลงทุนสัมพันธ์:
Kelsey Turcotte
CyberArk
617-558-2132
ir@cyberark.com

สื่อ:
Rachel Gardner
CyberArk
603-531-7229
press@cyberark.com

ที่มา: CyberArk