นักวิจัยของ NTHU ค้นพบดัชนีชี้วัดทางชีวภาพตัวใหม่สำหรับมะเร็งกระเพาะอาหาร เพื่อการบำบัดที่ปรับแต่งได้

Logo

ซินจู๋  ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–14 พฤศจิกายน 2563

ทีมวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ Wang Wen-ching จากสถาบันชีววิทยาระดับโมเลกุลและเซลล์มหาวิทยาลัย National Tsing Hua (NTHU) ได้ใช้ประโยชน์จากพลังของข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ big data เพื่อระบุตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่สำคัญสองตัวที่มีส่วนในการก่อตัวและการแพร่กระจายของมะเร็งกระเพาะอาหาร ด้วยการใช้ยาที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ทีมได้ทำการบำบัดแบบกำหนดเป้าหมายซึ่งสามารถกำจัดการเติบโตของเนื้องอกและยับยั้งการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปูทางไปสู่การบำบัดแบบใหม่ งานวิจัยของพวกเขาได้รับการตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States.

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201113005183/en/

Professor Wang Wen-ching (left) of the Institute of Molecular and Cellular Biology and Dr. Tseng Linlu researching a new treatment for gastric cancer. (Photo: National Tsing Hua University)

ศาสตราจารย์ Wang Wen-ching (ซ้าย) จากสถาบันชีววิทยาโมเลกุลและเซลล์และ ดร. Tseng Linlu ค้นคว้าวิธีการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารแบบใหม่ (ภาพ: National Tsing Hua University)

ค้นหาวิธีใหม่ในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของโลกและเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองเนื่องจากการรักษาที่ทรหดและยากสำหรับผู้ป่วยจำนวนมาก Wang กล่าวว่า เวลาที่คนจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เซลล์มะเร็งก็มักจะได้แพร่กระจายไปแล้ว

Wang กล่าวว่าจนถึงขณะนี้มียาเป้าหมายเพียงตัวเดียว (Her 2 therapy) ที่สามารถรักษามะเร็งกระเพาะอาหารได้และเหมาะสำหรับผู้ป่วยน้อยกว่า 20% ทั่วโลกเท่านั้น ในไต้หวันตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 8% ทีมงานของ Wang กำลังทำงานเพื่อคลี่คลายกลไกที่เป็นรากฐานของการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและค้นหาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพใหม่โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาการบำบัดแบบใหม่

การเบรกมะเร็งกระเพาะอาหาร

Wang อธิบายว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารแพร่กระจายคือความไร้ประสิทธิผลของโปรตีนฟอสฟาเตสและเทนซินโฮโมโลกัล (PTEN) ซึ่งเป็นโปรตีนยับยั้งเนื้องอกซึ่งทำหน้าที่เหมือนเบรค เมื่อเบรคล้มเหลวแล้ว เซลล์มะเร็งจะแพร่กระจายขยายตัวและเติบโตเป็นเนื้องอกระยะลุกลามที่เป็นอันตราย งานแรกของทีมคือการหาสาเหตุของ “เบรกล้มเหลว” ตัวนี้

ทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่า 300 รายและใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) เพื่อหาเส้นทางทางชีววิทยาที่นำไปสู่การลุกลามของมะเร็งจากยีนมากกว่า 30,000 ยีน พวกเขาค้นพบว่าเอนไซม์ทั้งสองได้แก่ PHF8 และ PKCα มีบทบาทสำคัญในการไขปริศนานี้ เอนไซม์นิวเคลียร์ PHF8 แพร่หลายในเนื้อเยื่อมะเร็งกระเพาะอาหารประมาณ 40% และทำให้ PKCα พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดการสูญเสีย PTEN ทำให้เกิด “เบรกล้มเหลว”

โชคดี ที่กิจกรรมของ PKCα สามารถถูกยับยั้งได้โดยยา midostaurin ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งในการรักษามะเร็งในเลือดที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเมื่อสามปีก่อน ทีมงานใช้แบบจำลองจากปลาม้าหลายและหนูเพื่อพิสูจน์หลักฐานว่าการรักษา midostaurin สามารถลดขนาดเนื้องอกและลดการแพร่กระจายของมะเร็ง

Wang กล่าวว่าความก้าวหน้าในการค้นหาการบำบัดที่แม่นยำนั้นเกิดจากความร่วมมือแบบสหวิทยาการ Tseng Linlu ผู้ซึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากการฝึกอบรมด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลและชีวสถิติที่ NTHU ดร. Yeh Ta-sen ผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาล Chang Gung Memorial ใน Linkou, Dr Yuh Chiou-hwa จากสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติและ  Kung Hsing-jien  จาก Academia Sinica 

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน  businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201113005183/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh

National Tsing Hua University

(886)3-5162006

hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Graforce และ Berlin Hotel เปิดตัวเทคโนโลยีการปล่อยสาร CO2 ติดลบ

Logo

เบอร์ลิน–(บิสิเนสไวร์)–13 พ.ย. 2563

โรงแรม Mercure Hotel MOA Berlin จะกลายเป็นโรงแรมและสถานที่จัดงานแห่งแรกของโลกที่มีค่า CO2 ติดลบเวลาสร้างความร้อน  ด้วยเทคโนโลยีพลาสมาไลซิสของก๊าซมีเทนที่พัฒนาโดย Graforce ทาง MOA เบอร์ลินจะไม่เพียงแต่สร้างความร้อนโดยไม่ปล่อยมลพิษใดๆ แต่ยังสามารถดึง CO2 ออกจากชั้นบรรยากาศในขณะที่ให้ความร้อน  ดังนั้นเทคโนโลยี "MOA-H2eat" จึงเพิ่งได้รับรางวัล German Gas Industry Innovation Prize เนื่องจาก "แนวทางที่ปฏิวัติตลาดเครื่องทำความร้อนและมีส่วนช่วยในการลดคาร์บอนแบบในท้องถิ่น" คณะกรรมการตัดสินกล่าว

Graforce's "MOA-H2eat" solution will revolutionize the heating market (Graphic: Business Wire)

"MOA-H2eat" ของ Graforce จะปฏิวัติตลาดเครื่องทำความร้อน (กราฟฟิค: บิสิเนสไวร์)

MOA Berlin ไม่ได้สร้างความร้อนด้วยก๊าซธรรมชาติอีกต่อไป แต่สร้างจากไฮโดรเจนโดยใช้ก๊าซชีวภาพ  เทคโนโลยีพลาสมาไลซิสของมีเทนแยกก๊าซชีวภาพออกเป็นไฮโดรเจนและคาร์บอนที่เป็นของแข็ง  การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน กระบวนการพลาสมาไลซิสของก๊าซมีเทนนั้นเป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศเช่นเดียวกับกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส แต่ค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าอย่างมาก

สำหรับกระบวนการทำความร้อนแบบปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ MOA Berlin ใช้หม้อไอน้ำกลั่นตัวดัดแปลงที่เติมเชื้อเพลิงจากส่วนผสมของไฮโดรเจนสีเขียวและก๊าซชีวภาพ  อัตราการผสมจะถูกควบคุมโดยพลาสมาไลเซอร์ของมีเทน  การผลิตความร้อนเริ่มต้นด้วยไฮโดรเจนปริมาตร 30% และก๊าซชีวภาพ 70%  ในเดือนต่อๆ ไปส่วนแบ่งของไฮโดรเจนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

คาร์บอนที่เป็นของแข็ง สามารถใช้เป็นวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม ใช้เป็นสีและเซรามิกส์ หรือในกรณีของ MOA Berlin ใช้ผลิตยางมะตอย  ดังนั้น CO2 จึงถูกก่อตัวอย่างถาวร  ด้วยเหตุนี้ Graforce นำเสนอเทคโนโลยีที่พร้อมใช้ในตลาดเป็นครั้งแรกสำหรับการลด COและเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับแทนการจัดเก็บ CCS

เครื่องทำความร้อนก๊าซที่ใช้ใน MOA Berlin ก่อนหน้านี้จะปล่อย CO2 ถึง 800 ตันต่อปี การจะดูดซับปริมาณนี้จากชั้นบรรยากาศจำเป็นต้องมีต้นไม้มากกว่า 65,000 ต้น

"ในการลดภาวะโลกร้อน กระบวนการสร้างความร้อนและน้ำร้อนจำเป็นต้องปราศจาก CO2  อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2593 โดยมีสองวิธีที่จะบรรลุเป้าหมายนี้: เราจะให้ความร้อนด้วยไฟฟ้าหมุนเวียนเท่านั้นหรือเราจะแยกก๊าซธรรมชาติออกด้วยทางเลือกที่ปราศจากคาร์บอนเช่นไฮโดรเจน" ผู้ก่อตั้ง Graforce และ CTO Dr. Jens Hanke อธิบาย

เกี่ยวกับ

บริษัท Graforce ของเยอรมันได้พัฒนาเทคโนโลยีการใช้งานพลาสม่าใหม่สำหรับการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและก๊าซที่มีค่าอื่นๆ ในอุตสาหกรรมในราคาไม่แพงจากวัสดุเหลือใช้ www.graforce.com/EN

รับชมคลังภาพ/มัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52324006/en

ติดต่อ:

Graforce GmbH
Dr. Jens Hanke
โทร: +49 30 – 63 2222-110
presse@graforce.de

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Florasis ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางจากประเทศจีน เปิดตัวบนหน้าจอขนาดใหญ่ MBK ในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงความงดงามของวัฒนธรรมประจำชาติจีน

Logo

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–12 พฤศจิกายน 2563

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การแต่งหน้าแบบจีนและแบรนด์เครื่องสำอางจีนเริ่มเป็นที่นิยมในประเทศไทย ในบรรดาแบรนด์เครื่องสำอางยอดนิยมของประเทศจีน แบรนด์ Florasis มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

(Photo: Business Wire)

(ภาพ: Business Wire)

เมื่อเร็ว ๆ นี้  ผลิตภัณฑ์ล่าสุดของ Florasis  "Chinese Miao Ethnic Minority Silver Limited Collection" เปิดตัวบนจอขนาดใหญ่ MBK ในกรุงเทพฯ  หลังจากนี้  China Beauty ฮอตมาก  ผลิตภัณฑ์ชุดนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Florasis,  Jiaqi Li ซึ่งเป็นผู้ประกาศข่าวแฟชั่นชื่อดังในประเทศจีนและช่างเครื่องเงินแม้วจีน แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการแต่งหน้าแบบจีนและความงดงามของวัฒนธรรมประจำชาติจีน

ผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับแวดวงความงามจะพบแน่นอน   ชุด  "Chinese Miao Ethnic Minority Silver Limited Collection"  ได้จุดประกายการพูดคุยกันบ่อยครั้งบนแพลตฟอร์มโซเชียลเช่น Instagram และ YouTube ตั้งแต่เดือนตุลาคม ชาวเน็ตหลายคนกล่าวว่า "ว้าว! ฉันอยากรู้ว่าจะซื้อได้ที่ไหน"  "ผลิตภัณฑ์ของ Florasis มีคุณภาพสูงเหมือนนำมาจากวังโดยตรง"  พวกเขาแสดงความรักต่อ Florasis โดยไม่ลังเล

แบรนด์เครื่องสำอาง Florasis ก่อตั้งขึ้นในปี 2560  ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีพันธกิจในการสืบทอดและส่งเสริมสุนทรียภาพแบบตะวันออก  ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีน คาดว่ายอดขายทั้งปีในปี 2563 จะเกิน 500 ล้านดอลล่าร์ 

ตามที่เรารู้กันดีว่า  ผลิตภัณฑ์ ชุด "Chinese Miao Ethnic Minority Silver Limited Collection"  ของ Florasis ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มชาวหนึ่งที่เป็นชนกลุ่มน้อย-ชาวแม้ว คนสัญชาติแม้วเป็นคนที่มีความสามารถในการทำเครื่องประดับเงินและงานปัก  เครื่องประดับเงินและงานปักต้องใช้หลายกระบวนการ  และสามารถทำได้ด้วยมือเท่านั้น  ด้วยการพัฒนาในยุคอุตสาหกรรม   ฝีมือเครื่องประดับเงินแม้วก็ยังประสบปัญหาเรื่องมรดก  ดังนั้น Florasis จึงทำเครื่องประดับเงินแม้วบนเครื่องสำอางด้วย เพื่อให้คนอื่น ๆ รู้ว่าประเทศจีนมีเครื่องประดับเงินชาติพันธุ์ที่สวยงามเช่นนี้ 

ดูที่ผลิตภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของ Florasis เราสามารถพบได้อย่างง่ายว่า Florasis ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แต่งหน้ามากมายที่มีลักษณะเฉพาะของประเทศจีน Florasis ได้ทำซ้ำงานฝีมือจีนโบราณจำนวนมาก   แสดงให้เห็นถึงสุนทรียภาพและระดับการผลิตของจีนด้วยเครื่องสำอาง  ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของ  Florasis แตกต่างกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางยอดนิยมในประเทศไทยเป็นอย่างมาก  ทำให้ผู้บริโภคในประเทศไทยสร้างความสดชื่นเกี่ยวกับเครื่องสำอางจีน

ชุด  "Chinese Miao Ethnic Minority Silver Limited Collection"  ของ Florasis ได้เปิดตัวบนหน้าจอขนาดใหญ่ MBK ที่กรุงเทพฯในครั้งนี้  แสดงให้เห็นถึงความงดงามของวัฒนธรรมประจำชาติจีน  ความงามของชาติก็คือความงามของโลก  ในความหลากหลายทางสุนทรียภาพในปัจจุบันนี้ ความสวยงามแห่งชาติสามารถกระตุ้นอารมณ์สะท้อนของผู้คนทั่วโลกได้มากขึ้น ทำให้บุคคลรู้สึกถึงเสน่ห์และอุณหภูมิของผลิตภัณฑ์.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ชิงแท็บเล็ตจากกิจกรรม Diwali Giveaway กับ WorldRemit!

Logo

เปิดให้ร่วมลุ้นระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563

ซิดนีย์–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2563

WorldRemit บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี (Diwali) ปีนี้ด้วยการแจกแท็บเล็ต 100 เครื่องให้กับผู้โชคดีในอินเดีย! ดิวาลี หรือเทศกาลแห่งแสงสว่าง เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ความดีเอาชนะความชั่วร้ายของผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู เชน และซิกข์ทั่วโลก โดยผู้คนจะร่วมเฉลิมฉลองกันในเดือนการ์ติกะ (Kartika) เป็นระยะเวลาห้าวันด้วยการไปสวดมนต์ที่วัด แลกเปลี่ยนของขวัญในครอบครัวและประดับประดาบ้านเรือนด้วยเทียนและโคมไฟ และ WorldRemit ปรารถนาที่จะส่งต่อความรักผ่านการมอบของขวัญครั้งนี้

ลูกค้าในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์สามารถลุ้นเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเพื่อมอบให้กับผู้รับที่ตนเลือกได้ง่าย ๆ เพียงโอนเงินขั้นต่ำ 10 ดอลลาร์ (ในสกุลเงินท้องถิ่น AUD หรือ NZD) ไปยังอินเดียผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของ WorldRemit ระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 และต้องลงทะเบียนร่วมสนุกกับกิจกรรมทางออนไลน์ทางเว็บไซต์ที่ https://www.worldremit.com/en/promotions/india-win-a-tablet โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไข ทั้งนี้ WorldRemit จะทำการสุ่มเลือกผู้ได้รับรางวัลสัปดาห์ละครั้ง ก่อนส่งแท็บเล็ตไปยังผู้ทีได้รับเลือกให้รับรางวัลในประเทศอินเดีย

“เราตระหนักถึงความสำคัญด้านการศึกษาที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้คนได้เสริมสร้างศักยภาพของตน และทราบดีว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่ลูกค้าของเราโอนเงินกลับบ้านก็เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่บนโลก ระบบการศึกษาในประเทศอินเดียได้อ้าแขนรับเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นเนื่องจากการระบาดของโรคที่ลุกลามไปทั่ว ไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้สร้างผลกระทบต่อหลาย ๆ ครอบครัวรวมถึงการเงินของพวกเขา เราจึงต้องการที่จะสร้างความมั่นใจว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นจะสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ทางออนไลน์ การมอบของขวัญด้านการศึกษาครั้งนี้เป็นการอวยพรลูกค้าของเราให้มีความสุขกับการเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี และช่วยให้พวกเขาสามารถดูแลครอบครัวรวมถึงเพื่อนฝูงซึ่งรออยู่ที่บ้านได้” Ruzan Ahamed ผู้อำนวยการระดับประเทศกลุ่มเอเชียใต้ของ WorldRemit กล่าว

เทศกาลดิวาลีเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและภราดรภาพอันแท้จริง จากการสำรวจในกลุ่มลูกค้าของ WorldRemit ในออสเตรเลีย พบว่า:

  • 37% ของผู้ตอบแบบสำรวจมักเดินทางต่างประเทศเพื่อพบปะกับญาติมิตรและเพื่อนฝูงในช่วงเทศกาลดิวาลี แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากข้อกำหนดด้านการเดินทางเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
  • 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาจะโอนเงินให้ครอบครัวและเพื่อนในช่วงเทศกาลดิวาลี
  • 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เทศกาลดิวาลีมีความสำคัญยิ่งขึ้นในปีนี้

WorldRemit ปรารถนาให้เทศกาลที่มีการเฉลิมฉลองทั่วอินเดียนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้นปีนี้! ผู้สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มผ่านลิงก์ด้านล่างหลังจากทำการโอนเงินไปอินเดียระหว่างวันที่ 23 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2563 นี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่:

https://www.worldremit.com/en/promotions/india-win-a-tablet

WorldRemit

WorldRemit เป็นบริษัทที่ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ และพลิกโฉมอุตสาหกรรมที่ก่อนหน้านี้ควบคุมโดยผู้เล่นที่ให้บริการโอนเงินออฟไลน์แบบดั้งเดิมด้วยการนำบริการโอนเงินระหว่างประเทศมาไว้บนโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความปลอดภัยขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีต้นทุนที่น้อยลง ปัจจุบันเราให้บริการโอนเงินจากกว่า 50 ประเทศสู่ 150 ประเทศ มีจุดให้บริการกว่า 6,500 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 1100 คนทั่วโลก

ในฝั่งของผู้โอนเงิน WorldRemit ให้บริการแบบดิจิทัล 100% (ไร้เงินสด) ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกและยกระดับความปลอดภัย สำหรับผู้รับเงิน มีช่องทางรับเงินให้เลือกหลายช่องทาง ซึ่งรวมถึงการโอนเข้าบัญชีธนาคาร การถอนเงินสด การเติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือ และรับผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลบนมือถือ

WorldRemit ซึ่งมีผู้สนับสนุนอย่าง Accel, TCV และ Leapfrog มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และมีสำนักงานอยู่ในทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ www.worldremit.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201110006284/en/

ติดต่อ:

WorldRemit
Kyara Kwan
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
kkwan@worldremit.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mary Kay สานต่อการสนับสนุนนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และการสอนโดยการมอบทุนการศึกษาร่วมกับ IMCAS Academy

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2563

Mary Kay Inc. ผู้บุกเบิกและคิดค้นนวัตกรรมด้านการวิจัยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมากว่าทศวรรษ สนับสนุนเงินทุนให้กับสถาบัน International Master Course on Aging Science (IMCAS) เพื่อจัดสัมมนาออนไลน์ที่ผู้คนตั้งตารอในหัวข้อ “Office Peels and Home Peels” ให้กับศัลยแพทย์ตกแต่ง แพทย์ผิวหนัง ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพด้านความงามที่มีเป้าหมายในการศึกษาต่อและพัฒนาการปฏิบัติงาน

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005239/en/

Dr. Michelle Hines, Director of Global Cosmetic Research & Innovation at Mary Kay Inc. (Photo: Mary Kay Inc.)

ดร. Michelle Hines ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของ Mary Kay Inc. (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

การสัมมนาทางออนไลน์ซึ่งเปิดตัวทั่วโลกต่อผู้เข้าร่วมกว่า 1,200 คนไปก่อนหน้านี้ เป็นเพียงกิจกรรมล่าสุดจากสถาบันซึ่งมีเป้าหมายในการมอบการศึกษาระดับแถวหน้าในหัวข้อด้านศาสตร์แห่งการสูงวัย

การสัมมนาดังกล่าวซึ่งมี ดร. Dominique Du Crest บรรณาธิการบริหารของสถาบัน IMCAS เป็นพิธีกร มีกลุ่มวิทยากรที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากหลากหลายวงการทั่วโลกร่วมบรรยาย โดย ดร. Michelle Hines ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของ Mary Kay เป็นผู้เปิดงานด้วยการบรรยายเกี่ยวกับการลอกผิวด้วยสารเคมี ก่อนที่จะร่วมกับผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ บรรยายในหัวข้อตามกำหนดการ ครอบคลุมการตั้งคำถามเกี่ยวกับการมีอยู่ของ ‘การลอกผิว’ ว่าควรมีหรือไม่ การลอกผิวประเภทต่าง ๆ การลอกผิวในผู้ที่มีผิวคล้ำ การใช้ส่วนประกอบแบบใหม่ที่ทันสมัย และอันตรายจากการลอกผิวสำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนัง โดยผู้บรรยายได้ร่วมแชร์เคล็ดลับดูแลผิวหลังการลอกผิวเพื่อยืดอายุผลลัพธ์ให้นานยิ่งขึ้น ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยช่วงถาม-ตอบซึ่งนำโดย ดร. Uliana Gout (M.D.) ทั้งนี้ นอกจาก ดร. Hines แล้ว ยังมี ดร. Foteini Bageorgou แพทย์ผิวหนัง ดร. Marina Landau แพทย์ผิวหนัง และ ดร. Mukta Sachdev แพทย์ผิวหนัง ร่วมบรรยายด้วย

“ผู้หญิงทุกช่วงวัยจากทุกมุมโลกต่างต้องการผิวที่สวยไร้ที่ติ” ดร. Hines กล่าว “ปัจจุบัน การลอกผิวด้วยสารเคมีกลายมาเป็นวิธีฟื้นฟูผิวและขั้นตอนการผลัดผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การลอกผิวที่ทำโดยผู้เชี่ยวชาญและการลอกผิวเองที่บ้านย่อมให้ประสบการณ์และผลลัพธ์ที่ต่างกัน แต่ด้วยทางเลือกที่มีอย่างหลากหลายในปัจจุบัน การศึกษาและการสร้างการตระหนักรู้จึงสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุด Mary Kay ตื่นเต้นอย่างมากกับการเป็นผู้สนับสนุนทุนเพื่อการศึกษาและการวิจัยในหัวข้อนี้”

“ผมอยากจะเน้นย้ำถึงธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและการเติบโตของชุมชนที่มีความหลากหลายของเรา” ดร. Du Crest กล่าว “เรามีสมาชิกที่เป็นแพทย์มากกว่า 28,000 คน และการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส่งให้ชุมชนของเราขยายใหญ่ขึ้นอย่างมาก “เรามีการจัดสัมมนาออนไลน์ให้กับบุคคลภายนอก บางครั้งสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อสร้างโอกาสให้แพทย์ แพทย์ผิวหนัง และผู้ที่หลงใหลในศาสตร์แห่งความงามจากทั่วโลกได้มารวมตัวกันและแบ่งปันความรู้และความเชี่ยวชาญ รวมถึงตอบข้อซักถามเกี่ยวกับอุตสาหกรรมจากเพื่อน ๆ ของเราโดยที่ไม่ต้องเดินทางหรือออกจากบ้านหรือสำนักงานของพวกเขาเลย บนแพลตฟอร์มการเรียนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ของเรามีเคสทางคลินิกหลายร้อยรายการ บล็อกโพสต์จำนวนมาก การสัมมนาออนไลน์มากกว่า 40 รายการต่อปี และวิดีโอหลายพันรายการสำหรับผู้ที่ประกอบวิชาชีพในอุตสาหกรรมในการเสริมสร้างความรู้ตามต้องการ”

ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอการสัมมนาออนไลน์ย้อนหลังได้ที่ IMCAS Academy Library

เกี่ยวกับ Mary Kay
Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นเมื่อ 57 ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมาย 3 ข้อได้แก่ มอบโอกาสให้กับผู้หญิง ผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และสร้างโลกให้น่าอยู่ ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้าน พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอมมากมาย และยังทุ่มเทกับการช่วยให้ผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขามีพลังด้วยการร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญและสนับสนุนกับการวิจัยด้านมะเร็ง ปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกายและพาเธอสู่ความสำเร็จไปทีละขั้น เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ MaryKay.com

เกี่ยวกับ International Course on Aging Science (IMCAS)
IMCAS ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าศัลยแพทย์ตกแต่งและแพทย์ผู้ชำนาญโรคผิวหนัง นับตั้งแต่ก่อตั้ง IMCAS ได้พยายามเชื่อมรอยต่อความรู้ด้านศัลยกรรมพลาสติกและการตกแต่งและโรคผิวหนังเพื่อสร้างการทำงานร่วมกันและช่วยเชื่อมความรู้ของศาสตร์ทั้งสอง พันธกิจของหน่วยงานนี้คือการช่วยให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านความงามเข้าถึงเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพซึ่งกำลังได้รับความนิยม เมื่อเร็ว ๆ นี้ IMCAS ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มอี-เลิร์นนิงที่ชื่อ IMCAS Academy ซึ่งให้สมาชิกเข้าถึงวิดีโอแนะนำ งานวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ บทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและอื่น ๆ อีกมากมายได้แบบทันที ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IMCAS ได้ที่นี่: https://www.imcas.com/en.

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201110005239/en/

ติดต่อ:

ฝ่ายสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


Mavenir ประกาศรองรับ 2G และ 3G เต็มรูปแบบบนระบบ 4G / 5G Cloud-Native OpenRAN และ แพ็คเกตคอร์

Logo

นำเสนอเฉพาะโซลูชันระบบคลาวด์เนทีฟที่ครบวงจรอย่างแท้จริงสำหรับเทคโนโลยีมือถือทุกรุ่น

ริชาร์ดสัน, เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–10 พ.ย. 2563

Mavenir, ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายแบบครบวงจรรายเดียวของอุตสาหกรรมสำหรับเครือข่าย 4G / 5G ประกาศการรวมเทคโนโลยี 2G และ 3G เข้ากับชุดบรอดแบนด์ 4G และ 5G ที่มีอยู่ ทั้งนี้ โซลูชันระบบคลาวด์แบบครบวงจรแบบใหม่ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีมือถือทั้งหมด หรือแบบ 2G / 3G / 4G / 5G จะครอบคลุมสำหรับการเข้าถึงวิทยุและแพ็คเก็ตคอร์ (packet core) และจะมอบโซลูชันแบบครอบคลุมที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ทำให้เครือข่ายมือถือมีระบบอัตโนมัติและความคล่องตัวแบบเว็บสเกล

สำหรับส่วนประกอบ RAN ความสามารถของ 2G และ 3G จะถูกรวมเข้ากับสถาปัตยกรรม OpenRAN อย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วย CU และ DU ที่เต็มรูปแบบเพื่อมอบ Multi Radio Access Technology (vMRAT) แบบ all-in-one

สแต็กของ 2G และ 3G จะรวมเข้ากับโซลูชันหลักของแพ็กเก็ตอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้กลายเป็นระบบคลาวด์ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมเชิงบริการ หรือ Service Based Architecture (SBA) ซึ่งสิ่งนี้ช่วยพัฒนาโซลูชันแพ็กเก็ตคอร์ที่มีอยู่ของ Mavenir ในการใช้งาน 4G และ 5G ทั่วโลกในปัจจุบัน และที่โดยปกติก็ให้ความสามารถเกตเวย์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้ได้มีการรวมระบบเคลื่อนที่เข้ากับ 2G / 3G ได้อย่างสมบูรณ์เข้าไปอีก

Pardeep Kohli ประธานและซีอีโอของ Mavenir กล่าวว่า“ เราได้รับฟังลูกค้าชั้นนำของเราที่ไว้วางใจเราอย่างรอบคอบในการเปลี่ยนแปลงเครือข่าย และตระหนักว่าเราจำเป็นต้องเชื่อมโยงเทคโนโลยีเดิมกับ OpenRAN และโซลูชันระบบคลาวด์เนทีฟ นอกจากนี้ระบบ 2G / 3G ยังจะมีความเกี่ยวข้องในหลาย ๆ ตลาดในอีกหลายปีข้างหน้า ด้วยโซลูชันเหล่านี้ลูกค้าของเราจะสามารถสร้างเครือข่ายของตนโดยอัตโนมัติและรองรับเทคโนโลยีมือถือทั้งหมดบนเครือข่ายคลาวด์เนทีฟ”

โซลูชันนี้จะนำเสนอความสามารถในการปรับขนาดและใช้สถาปัตยกรรมเดี่ยวเพื่อให้ครอบคลุมเทคโนโลยีมือถือทุกรุ่น (multi-G) ด้วยการกำหนดค่าที่คล่องตัวและยืดหยุ่นอย่างมากเพื่อให้เวลาในการทำตลาดเร็วขึ้น และให้การดำเนินการจากระยะไกลเข้าถึงแกนและวิทยุของเครือข่าย ทั้งนี้คาดว่าจะพร้อมใช้งานภายในไตรมาสที่สองของปี 2564  บนแพลตฟอร์มเวอร์ชวลและในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ รวมถึงแพลตฟอร์ม WebScale Platform ของ Mavenir  ซึ่งเป็นเลเยอร์ซอฟต์แวร์ Open Source Kubernetes ที่มี Mavenir Telco Integration Layer (Platform as a Service) คอยอำนวยการอยู่ สิ่งนี้จะตอบสนองความต้องการของผู้ปฏิบัติงานในด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวทางกฎหมาย การตรวจสอบการปฏิบัติงาน การกำหนดค่า และความพร้อมใช้งานสูง

“ Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ที่มาพร้อมระบบคลาวด์เพียงรายเดียวในอุตสาหกรรม และด้วยโซลูชันที่มีความก้าวหน้าแห่งอนาคต จะช่วยให้สามารถแทนที่หรือขยายระบบเดิมได้” Stefano Cantarelli ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Mavenir กล่าว “ Mavenir ยืนหยัดที่นี่เพื่อเป็นพันธมิตรกับลูกค้าของเราและช่วยพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง โดยการมอบการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่นและเชื่อถือได้อย่างเต็มที่สำหรับโลกแห่งบริการและการดำเนินงานที่คล่องตัวและอัตโนมัติ ขอให้ฝากอนาคตไว้กับ Mavenir ของเรา”

เกี่ยวกับ Mavenir:

Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายคลาวด์เนทีฟแบบครบวงจร (end-to-end) รายเดียวในอุตสาหกรรม การมุ่งเน้นไปที่การเร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายซอฟต์แวร์และการกำหนดนิยามใหม่ของระบบเครือข่ายสำหรับผู้ให้บริการการสื่อสาร หรือ Communications Service Providers (CSP) โดยนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ครบวงจร ที่ครอบคลุมในทุกชั้นของสแต็กโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มจากด้านเครือข่ายตั้งแต่การให้บริการ 5G ไปจนถึงแพ็คเก็ตคอร์และ RAN ทั้งนี้ Mavenir เป็นผู้นำในโซลูชันระบบเครือข่ายคลาวด์เนทีฟที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่สร้างสรรค์และปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ปลายทาง ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมในด้าน VoLTE, VoWiFi, Advanced Messaging (RCS), Multi-ID, vEPC และ Virtualized RAN ทำให้ Mavenir เร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายสำหรับลูกค้า CSP มากกว่า 250 รายในกว่า 130 ประเทศโดยให้บริการมากกว่า 50% ของสมาชิกทั่วโลก .

เรายอมรับสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่และรูปแบบธุรกิจที่ก่อให้เกิดความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความเร็วในการให้บริการ ด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการของ NFV เพื่อบรรลุเศรษฐศาสตร์ระดับเว็บ Mavenir นำเสนอโซลูชันเพื่อช่วย CSP ในการลดต้นทุน การสร้างรายได้ และการปกป้องรายได้ เรียนรู้เพิ่มเติมที่ mavenir.com

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005332/en/

ติดต่อ:

Maryvonne Tubb

Mavenir

PR@mavenir.com

Loren Guertin

MatterNow

mavenir@matternow.com

Kevin Taylor

GlobalResultsPR

mavenir@globalresultspr.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Spotify ประกาศซื้อผู้นำเทคโนโลยีพอดแคสต์ Megaphone

Logo

นิวยอร์ก–(บิสิเนสไวร์)–10 พ.ย. 2563

Spotify Technology SA (NYSE: SPOT) บริการสตรีมเสียงแบบสมัครสมาชิกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกประกาศในวันนี้ว่าทางบริษัทได้ทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการซื้อ Megaphone หนึ่งในแพลตฟอร์มโฆษณาและเผยแพร่พอดแคสต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สุดของโลก  Spotify และ Megaphone จะร่วมกันช่วยให้ผู้โฆษณาและผู้เผยแพร่พอดแคสต์พัฒนาตัวตามศักยภาพสูงสุดของพอดแคสต์  ทั้งสองบริษัทจะบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยพลังของ Megaphone Targeted Marketplace และโดยการทำให้ Streaming Ad Insertion พร้อมใช้งานสำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์บุคคลที่สามเป็นครั้งแรก

ด้วยการซื้อกิจการครั้งนี้ Spotify ยังคงดำเนินตามเป้าหมายที่จะเป็นแพลตฟอร์มเสียงชั้นนำของโลกและมุ่งเน้นไปที่การสร้างรายได้จากสื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม  การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการเปิดตัว Streaming Ad Insertion ของ Spotify ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโฆษณาพอดแคสต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มอบความใกล้ชิดและคุณภาพของโฆษณาพอดแคสต์แบบดั้งเดิมด้วยความแม่นยำและความโปร่งใสของการตลาดดิจิทัลในยุคปัจจุบัน

ตอนนี้ผู้ลงโฆษณาจะสามารถเปิดใช้งานผ่านพอดแคสต์ออริจินัลและพิเศษของ Spotify และขยายการเข้าถึงผ่านทาง Megaphone Targeted Marketplace  สำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์การเข้าซื้อครั้งนี้จะปลดล็อกเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นจากงาน  สิ่งนี้รวมถึงโอกาสในการสร้างรายได้จากเนื้อหาโดยจับคู่ผู้ฟังกับความต้องการของผู้ลงโฆษณามากยิ่งขึ้น  หลังจากปิดการทำธุรกรรมแล้ว Spotify จะทำให้การแทรกโฆษณาแบบสตรีมมิ่งพร้อมใช้งานสำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์ทั้งหมดบน Megaphone โดยเป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยีนี้มีให้บริการแก่บุคคลที่สาม  ด้วยการแทรกโฆษณาสตรีมมิ่ง ผู้เผยแพร่พอดแคสต์จะสามารถนำเสนอผู้ชมพอดแคสต์ที่มีคุณค่ามากขึ้นให้กับผู้โฆษณา โดยพิจารณาจากการแสดงโฆษณาแก่ผู้ฟัง

“เรายังคงอยู่ในช่วงต้นๆ ของอุตสาหกรรมเสียงสตรีมมิ่ง แต่ศักยภาพนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง” Dawn Ostroff ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจเนื้อหาและโฆษณาของ Spotify กล่าว “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะให้ Megaphone เข้าร่วมกับ Spotify เพื่อเร่งสร้างรายได้จากพอดแคสต์ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นสำหรับผู้โฆษณาและผู้เผยแพร่พอดแคสต์ที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่และเทคโนโลยีล้ำสมัย”

“เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้เข้าร่วม Spotify เพื่อช่วยพัฒนาสื่อพอดแคสต์สำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณา” Brendan Monaghan ซีอีโอของ Megaphone กล่าว “เราเชื่อว่ามูลค่าร่วมกันของ Megaphone และ Spotify ในด้านนวัตกรรมจะขับเคลื่อนระบบนิเวศของพอดแคสต์ไปทั่วโล”

การปิดธุรกรรมขึ้นอยู่กับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับทั่วไป

เกี่ยวกับ Spotify Technology S.A.

Spotify ได้เปลี่ยนการฟังเพลงไปตลอดกาลเมื่อเปิดตัวในปี 2551  ค้นพบ จัดการ และแชร์เพลงมากกว่า 60 ล้านเพลงรวมถึง Podcast มากกว่า 1.9 ล้านชื่อได้ฟรีหรืออัพเกรดเป็น Spotify Premium เพื่อใช้งานฟีเจอร์พิเศษสำหรับเพลงรวม ถึงคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น คุณภาพและประสบการณ์การฟังแบบออนดีมานด์ ออฟไลน์ และไม่มีโฆษณา

ปัจจุบัน Spotify เป็นบริการสมัครสมาชิกสตรีมเสียงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ใช้ 320 ล้านคนรวมถึงสมาชิก 144 ล้านคนใน 92 ตลาด

เราใช้เว็บไซต์ Investors และ For the Record ของเราตลอดจนโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่ระบุไว้ในแท็บ “Resources – Social Media” ของเว็บไซต์นักลงทุนของเราเพื่อเปิดเผยข้อมูลสำคัญของบริษัท  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม รูปภาพ หรือจะติดต่อทีมงาน ไปที่ https://newsroom.spotify.com/

เกี่ยวกับ Megaphone

Megaphone เป็นบริษัทเทคโนโลยีพอดแคสต์ที่ให้บริการโฮสติ้งและความสามารถในการแทรกโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่โฆษณาและการขายโฆษณาที่ตรงเป้าหมายสำหรับพันธมิตรแบรนด์  แพลตฟอร์ม Megaphone เชื่อมต่อพอดแคสต์ระดับองค์กรและบริษัทสื่อด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุดเพื่อเผยแพร่ สร้างรายได้ และวัดเนื้อหาเสียงของพวกเขา  Megaphone Targeted Marketplace (MTM) ปฏิวัติการโฆษณาพอดแคสต์โดยนำเสนอการเข้าถึงผู้ฟังที่ไม่เคยมีมาก่อน การวัดผลที่แท้จริง การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ และรับประกันความปลอดภัยของแบรนด์  Megaphone Creative Solutions (MCS) ให้บริการครีเอทีฟโฆษณาแบบ end-to-end สำหรับผู้ลงโฆษณา โดยพัฒนาโฆษณาแบบเสียงที่ล้ำหน้าซึ่งครอบคลุมผู้ใช้และขับเคลื่อนผลลัพธ์

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005725/en/

สื่อมวลชนติดต่อ:
Spotify Communications
press@spotify.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

NuScale Power ประกาศการเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ ของ NuScale Power Module™ เอาต์พุต ซึ่งเป็นโซลูชันโรงไฟฟ้าที่เพิ่มเติมเข้ามา

Logo

จากการวิเคราะห์ครั้งใหม่พบว่า NuScale Power Module™ สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ถึง 77 MWe

พอร์ตแลนด์, โอเรกอน –(BUSINESS WIRE)–10 พฤศจิกายน 2563

NuScale Power ประกาศในวันนี้เกี่ยวกับความพยายามด้านคุณค่าวิศวกรรมเพิ่มเติม โดยการใช้เครื่องมือการทดสอบและการสร้างแบบจำลองขั้นสูง ทำให้ NuScale สามารถวิเคราะห์และสรุปได้ว่า NuScale Power Module™ (NPM) สามารถสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ต่อโมดูล รวมเป็น 77 MWe ต่อโมดูล ( ขั้นต้น) ทำให้สร้างไฟฟ้าได้ 924 MWe สำหรับโรงไฟฟ้าเรือธงแบบ 12 โมดูล นอกจากนี้ NuScale กำลังยังได้ประกาศโซลูชันทางเลือกโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในแบบสี่โมดูล (ประมาณ 308 MWe) และแบบหกโมดูล (ประมาณ 462 MWe)

วิศวกรของเราได้พิสูจน์อีกครั้งว่าเทคโนโลยีของ NuScale เป็นเทคโนโลยีระดับเฟิร์สคลาส ที่สามารถประหยัดต้นทุนและปรับแต่งได้เองในระดับที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในตลาดพลังงานนิวเคลียร์” John Hopkins ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NuScale Power กล่าว“ ด้วยความก้าวหน้านี้ NuScale ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำระดับโลกในการแข่งขันเพื่อทำการค้าเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก”

การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงงานเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก NuScale (SMR) 12 โมดูลอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายสิ่งอำนวยความสะดวกในราคาต่อกิโลวัตต์ ได้ในชั่วข้ามคืน จากที่คาดไว้ 3,600 ดอลลาร์ เหลืออยู่ที่ประมาณ 2,850 ดอลลาร์ นอกจากนี้โรงไฟฟ้า 12 โมดูลที่ปรับขนาดได้นี้ จะทำให้มันเข้าใกล้การเป็นคู่แข่งที่แท้จริงสำหรับตลาดขนาดกิกะวัตต์มากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นมา เกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใด ๆ กับเทคโนโลยี NPM

โซลูชันโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจะทำให้ลูกค้า NuScale มีตัวเลือกมากขึ้นทั้งในด้านขนาดกำลังการผลิต ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และต้นทุน นอกจากนี้ยังจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลง ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้การก่อสร้างง่ายขึ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้าง (กำหนดการ) และลดต้นทุน โซลูชันใหม่นี้ช่วยให้ NuScale สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น รวมไปถึงความต้องการโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น สำหรับประเทศบนเกาะ ชุมชนนอกโครงข่ายไฟฟ้าระยะไกล พื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐบาล นอกจากนี้ การไม่ใช้พลังงานถ่านหินที่ทำให้ใช้พลังงานน้อยลงยังทำให้ลูกค้าปฏิบัติตามกฏทางด้านมลภาวะทางอากาศอีกด้วย

กระบวนการกำกับดูแลในการเพิ่มระดับกำลังเครื่องปฏิกรณ์สูงสุดที่โรงงานนิวเคลียร์สามารถทำงานได้นั้นเรียกว่าการเพิ่มกำลัง (power uprate) โดยการเพิ่มกำลังไฟฟ้าจะได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับใช้มาตรฐาน Standard Design Approval (SDA) ของ NuScale  ซึ่ง NuScale มีกำหนดทำให้บรรลุภายในปี 2565

ผลิตภัณฑ์ใหม่ระดับเริ่มต้นของ NuScale จะเป็นโซลูชันโรงไฟฟ้าสี่และหกโมดูลโดยสามารถกำหนดค่าอื่น ๆ ได้อีกด้วย โซลูชันสำหรับโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเหล่านี้มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและได้รับการสนับสนุนและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี NPM ชั้นนำของอุตสาหกรรมและมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาแล้ว อนึ่ง เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้า NuScale ที่เป็นเรือธง การกำหนดค่าที่เล็กลงเหล่านี้จะยังคงรักษาความสามารถในการส่งมอบโซลูชันโรงไฟฟ้าที่ปรับขนาดได้พร้อมคุณสมบัติความสามารถและประสิทธิภาพที่ไม่มีใน SMR อื่น ๆ ทั้งนี้ NuScale จะสามารถส่งมอบโมดูลแรกให้กับลูกค้าได้ในปี 2570

เกี่ยวกับ NuScale Power

NuScale Power ได้พัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำเบาแบบแยกส่วนเพื่อจัดหาพลังงานสำหรับการผลิตไฟฟ้า การให้ความร้อน การกรองน้ำทะเล และการใช้ความร้อนในกระบวนการอื่น ๆ โดยการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก (SMR) ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้มีการออกแบบโดยใช้กระบวนการ NuScale Power Module™ ที่ประดิษฐ์ขึ้นจากโรงงาน ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 77 เมกะวัตต์โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบน้ำแรงดันที่ปลอดภัยกว่า เล็กกว่า และปรับขนาดได้ ทั้งนี้การออกแบบที่ปรับขนาดได้ของ NuScale หมายความว่า โรงไฟฟ้าสามารถรองรับโมดูลไฟฟ้าได้ถึง 12 โมดูล ซึ่งมอบประโยชน์ในรูปแบบของพลังงานที่ปราศจากคาร์บอนและลดภาระผูกพันทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับโรงงานนิวเคลียร์ขนาดกิกะวัตต์ ผู้ลงทุนรายใหญ่ใน NuScale คือ Fluor Corporation ซึ่งเป็น บริษัท ด้านวิศวกรรมการจัดหาและการก่อสร้างระดับโลกที่มีประวัติ 60 ปีในด้านพลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์

NuScale มีสำนักงานใหญ่ในพอร์ตแลนด์ โอเรกอน และมีสำนักงานใน คอร์วัลลิส โอเรกอน  ร็อควิลล์ แมรีแลนด์ ชาร์ล็อต  นอร์ธคาโรไลนา ริชแลนด์วอชิงตัน และลอนดอนสหราชอาณาจักร ติดตามเราได้ที่ Twitter: @NuScale_Power, Facebook: NuScale Power, LLC, LinkedIn: NuScale-Power,  และ Instagram: nuscale_power. NuScale มีโลโก้แบรนด์และ เว็บไซต์ ดู วิดีโอ สั้น

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005452/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ:

Diane Hughes รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร NuScale Power

dhughes@nuscalepower.com

(C) 503-270-9329

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

APRU เผยแพร่รายงาน AI เพื่อความดี โดยร่วมกับองค์กร ESCAP ของสหประชาชาติและ Google

Logo

รายงานเรียกร้องให้ใช้นวัตกรรม AI เพื่อช่วยการฟื้นตัวหลังโควิต

ฮ่องกง–(บิสิเนสไวร์)–10 พ.ย. 2563

APRU ร่วมมือกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations ESCAP) และ Google เพื่อเผยแพร่รายงาน AI for Social Good  รายงานนี้เป็นโครงการที่สามที่สำรวจผลกระทบที่ AI มีต่อสังคมในเอเชียแปซิฟิกและมอบข้อเสนอแนะเชิงวิจัยแก่ผู้กำหนดนโยบาย โดยมุ่นเน้นวิธีการใช้ AI ในการช่วยบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573

ด้วยผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของ โควิด-19 บทบาทของ AI ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นในการช่วยเหลือการฟื้นตัว  ข้อมูลเชิงลึกของนักวิจัยสนับสนุนข้อเสนอแนะของรายงานในการสร้างสภาพแวดล้อมและกรอบการกำกับดูแลที่เอื้อต่อ AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งเป็นคำที่ครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วท่ามกลางความไม่เท่าเทียม การเปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างเร่งด่วน และความตึงเครียดระหว่างประเทศ

Chris Tremewan เลขาธิการ APRU ให้ความเห็นว่า “สมาชิก APRU มีงานวิจัยเชิงลึกที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความท้าทายในภูมิภาคนี้ ตั้งแต่เหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกไปจนถึงปัญหาข้ามพรมแดนที่ซับซ้อน  การนำความเชี่ยวชาญและนวัตกรรม AI มารวมกันจะทำให้สามารถสนับสนุนสังคมและสุขภาพของโลกของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

Jonathan Wong หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและนวัตกรรม ESCAP แห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “แผนงานความร่วมมือด้านดิจิทัลของเลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้มี AI ที่มีความน่าเชื่อถือ อิงตามสิทธิมนุษยชน ปลอดภัย ยั่งยืน และส่งเสริมสันติภาพ  นโยบายสาธารณะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคมโดยกำหนดทิศทางการพัฒนาและใช้งาน AI เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน”

Dan Altman, AI Public Policy, Google แบ่งปันว่าความเห็นว่า “Google และ APRU มีความเชื่อร่วมกันว่านวัตกรรม AI สามารถปรับปรุงชีวิตของผู้คนได้อย่างมีความหมาย  Google ได้เปิดตัวโปรแกรม AI for Social Good เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญด้าน AI ของเราในการจัดการกับความท้าทายด้านมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้องค์กรอื่นๆ ทำเช่นเดียวกัน  Google รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนเพื่อทำงานที่มีผลกระทบอย่างแท้จริงและยั่งยืน”

การศึกษาแบบสหสาขาวิชาชีพในรายงานนี้ให้ความรู้และมุมมองของนักวิจัยจากสิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลี ไทย อินเดีย และออสเตรเลีย  การผสมผสานความเข้าใจในท้องถิ่นเข้ากับมุมมองระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายในการตอบสนองต่อกฎระเบียบที่ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีระหว่างประเทศสามารถมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ข้อเสนอแนะที่สำคัญ:

1.การกำกับดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องผลักดันนวัตกรรมเพื่อให้บรรลุศักยภาพสูงสุดของ AI

  • นอกจากการดูแลผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังควบคุมข้อมูลแล้ว การกำกับดูแลจะต้องยอมเสี่ยงในรูปแบบที่สามารถจัดการได้และทำการทดสอบก่อนการใช้งานเทคโนโลยีขนาดใหญ่

2.สร้างรูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและความสามารถในทำงานร่วมกัน

  • ความไม่สมดุลของข้อมูลทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน  ดังนั้นรูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและสามารถทำงานร่วมกันระหว่างระบบจึงมีความสำคัญ

3.จัดการข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและปกป้องศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคล

  • สร้างโครงสร้างการกำกับดูแลข้อมูลที่เพียงพอโดยมอบประโยชน์ของเทคโนโลยีแก่ทุกคนและปกป้องศักดิ์ศรีส่วนบุคคลและผสมผสานคุณค่าของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบบเอเชียเพื่อส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูลเพื่อประโยชน์ต่อสังคม

เดือนพฤศจิกายนเป็น “เดือนของ AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคม” โดยมีการอภิปรายและบรรยายสรุปนโยบายกับนักคิด AI ชั้นนำจากเอเชีย สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ  ลงทะเบียนเพื่อชมการประชุมได้ที่นี่

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201109006220/en/

ติดต่อ:

Jack Ng
jack.ng@apru.org

Marisa Lam
marisa@plug.agency

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บริดจสโตนผนึกบีซีไอ ดึงเทคโนโลยีบล็อกเชน เพิ่มศักยภาพธุรกิจซื้อขายยางรถยนต์

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS ON BEHALF OF KBANKPR)–11 พฤศจิกายน 2563

imgบริดจสโตนฯ จับมือบีซีไอฯ ร่วมเสริมศักยภาพธุรกิจซื้อขายยางรถยนต์ ด้วยการริเริ่มใช้ “บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ประเภท Common Node (Website)”  ซึ่งสามารถใช้บริการผ่านช่องทาง Web application ได้เป็นครั้งแรกของประเทศ และรายแรกในธุรกิจยางรถยนต์ของไทย

นายไตสุเกะ เมกุโระ ผู้อำนวยการสายงานบริหารองค์กร บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) ได้นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาเสริมศักยภาพด้านการบริหารกระบวนการซื้อขายยางรถยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่ริเริ่มนำ “บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ประเภท Common Node (Website)” มาใช้กับธุรกิจและคู่ค้าของบริษัท โดยบริดจสโตนฯ ซึ่งเป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันสามารถเข้าระบบเพื่อเรียกดูข้อมูลและตรวจสอบสถานะหนังสือค้ำประกันของคู่ค้าจากธนาคารต่าง ๆ ภายใต้ระบบดิจิทัลเดียวกันทั้งหมด ซึ่งช่วยลดต้นทุนการจัดการด้านเอกสารและการดูแลข้อมูล ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้สะดวก รวดเร็ว ต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์รายแรกของไทย

ทั้งนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยให้การประมวลผลข้อมูลและการทำธุรกรรมทั้งหมดผ่านอินเทอร์เน็ต (ระบบ Decentralized) ของบริดจสโตนฯ ให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทุกวัน ทุกเวลา มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมีความโปร่งใสตลอดกระบวนการ ช่วยตอบโจทย์วิสัยทัศน์ทางธุรกิจของบริดจสโตน ที่มุ่งมั่นส่งมอบคุณภาพด้านบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกให้แก่คู่ค้าของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยการวางหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนมีความสะดวก ปลอดภัยมาตรฐานโลก ช่วยลดเวลาในการจัดการเอกสาร แม้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีบทบาทสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไม่ให้หยุดชะงัก และยังคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบสถานะของหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง

นายสิริวัฒน์ เกียรติเจริญสิน ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บีซีไอ ในบทบาทของผู้ให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Letter of Guarantee – eLG)  บนเทคโนโลยีบล็อกเชนรายแรกของไทยที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ได้รับความสนใจและใช้บริการอย่างแพร่หลาย ทั้งธนาคารไทยและต่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ โดยบีซีไอฯ มุ่งเน้นพัฒนาบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ให้ใช้งานได้จริง ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และเข้าถึงได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และยังพร้อมวางแผนพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีบล็อกเชนสู่บริการอื่นๆ เพื่อให้ทันต่อ Disruptive technology และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเพื่อลด Pain points ให้กับผู้ใช้งานในทุกภาคส่วน ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มั่นใจได้ มีความปลอดภัยสูง และใช้เป็นหลักฐานได้ตามกฎหมายอย่างถูกต้องสมบูรณ์ และปริมาณหนังสือค้ำประกันทั่วประเทศที่มีกว่า 500,000 ฉบับ มูลค่ากว่า 1.35 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด จึงตั้งเป้าที่จะให้บริการได้กว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าทั้งหมดภายใน 3 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคต

เกี่ยวกับ บริษัท บริดจสโตนเซลล์(ประเทศไทย) จำกัด

บริดจสโตนเซลล์(ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2533 โดยเป็นผู้นำด้านการนำเข้า จัดจำหน่าย และทำการตลาด ยางรถยนต์ยี่ห้อ บริดจสโตน (BRIDGESTONE), ไฟร์สโตน (FIRESTONE) และเดย์ตัน (DAYTON) เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และปัจจุบัน บริดจสโตนมีบริษัทในเครือทั้งหมด 15 แห่ง ที่ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรครอบคลุมตั้งแต่ ต้นน้ำ (Upstream) กลางน้ำ (Midstream) และปลายน้ำ (Downstream) ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำทางการตลาดยางรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งเราได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการคิดค้น วิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศและส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค ตัวแทนจำหน่าย และผู้ผลิตรถยนต์  เริ่มตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การนำเครื่องจักร และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต การตรวจสอบควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน และพร้อมมุ่งมั่นสู่การก้าวเป็น “Solutions for your journey” ผู้นำด้านการเดินทางอย่างยั่งยืนที่พร้อมการนำเสนอโซลูชั่นขั้นสูงสุดทั่วโลก

เกี่ยวกับ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นจากการร่วมมือของกลุ่มธนาคารของไทย 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารทหารไทย เพื่อให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Letter of Guarantee – eLG) ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนำศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีขององค์กรมาร่วมพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนธุรกิจทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุนในกระบวนการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ ส่งเสริมพัฒนาให้พร้อมที่จะเติบโตสร้างความสามารถในการแข่งขันบนโลกยุคดิจิทัล

ด้วยบริการ หนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชน (Letter of Guarantee on Blockchain) จะช่วยลดต้นทุนในการจัดการเอกสารและการดูแลข้อมูล ตลอดจนลดขั้นตอนในการทำงาน ภายใต้ความปลอดภัยระดับโลก โดยเป็นการรับรองหนังสือค้ำประกัน ผ่านระบบ Cloud Technology ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งช่วยให้การใช้งานคล่องตัว ปลอดภัย เชื่อถือได้ ป้องกันการปลอมแปลงหนังสือค้ำประกัน รองรับการทำธุรกรรม และสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ ทำให้ผู้ออกหนังสือค้ำประกันสามารถวางหนังสือค้ำประกันได้เร็วขึ้น ผู้รับวางหนังสือค้ำประกันสามารถตรวจสอบเอกสารได้อย่างรวดเร็วบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ 100%