All posts by Jasmine

Hillstone Networks ติดอันดับในรายงาน Magic Quadrant ด้าน Network Firewall เป็นครั้งที่ 7

Logo

ซานตาคลารา, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–17 พฤศจิกายน 2563

Hillstone Networks ผู้ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยบนเครือข่ายสำหรับองค์กรและการจัดการความเสี่ยงชั้นนำ ประกาศรั้งตำแหน่งหัวแถวในรายงาน Gartner Magic Quadrant ด้าน Network Firewall จากปัจจัยด้านขีดความสามารถในกลุ่ม Niche Player

“มีคนกล่าวไว้ว่าการฝึกฝนทำให้เกิดความชำนาญ” Tim Liu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง Hillstone Networks กล่าว “เราได้รับการจัดอันดับในรายงาน Magic Quadrant ด้าน Network Firewall 7 ปีต่อเนื่อง (2 ปีต่อเนื่องในรายงาน Critical Capabilities ซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน) เรามองว่าการทำตามสัญญาที่จะยืนหยัดร่วมกับลูกค้าในการป้องกันเครือข่ายของพวกเขาที่ช่วยให้เราเป็นหนึ่งเดียวคือพันธกิจอันแน่วแน่และพันธกิจหลักของเรา”

พอร์ตโฟลิโออันแข็งแกร่งของ Hillstone ครอบคลุมทั้งการแก้ปัญหาเกี่ยวกับกรณีและสถานการณ์การใช้งานต่าง ๆ การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายโดยใช้เทคโนโลยีสำหรับตลาดกลุ่มย่อย รวมถึงกลยุทธ์อันมุ่งมั่นซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ระบบคลาวด์มาตั้งแต่เริ่มต้น

  • โซลูชัน Hillstone Intelligent Breach Prevention ประกอบด้วย Hillstone iNGFW และ sBDS เป็นโซลูชันป้องกันภัยคุกคามตลอดวงจรซึ่งสามารถป้องกันภัยคุกคามขั้นสูง ปกป้องทรัพยากรที่มีความสำคัญสูง และร่นระยะเวลาระหว่างภัยคุกคามและการตรวจจับ
  • โซลูชัน Hillstone Data Center Protection ประกอบด้วย Hillstone Data Center NGFW และ Micro-segmentation solution CloudHive เป็นโซลูชันที่ให้การป้องกันด้านความมั่นคงปลอดภัยแบบ L2~L7 และการันตีถึงความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจสำหรับศูนย์ข้อมูลที่มีความทันสมัย
  • โซลูชัน Hillstone Secure SD-WAN ช่วยให้องค์กรที่มีหลายสาขาสามารถติดตั้งเครือข่าย VPN ที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วในทุกสถานที่ เพื่อยกระดับการใช้งานของผู้ใช้โดยไม่ทำให้ความปลอดภัยลดลง

ด้วยองค์กรกว่า 18,000 แห่งที่ได้รับการปกป้องดูแลโดยโซลูชันของ Hillstone ในปัจจุบัน เราเชื่อว่าเหตุผลที่ลูกค้าเลือกโซลูชันของเรา และเหตุผลที่ทำให้เราได้รับการยอมรับนั้นเห็นได้ชัดเจน

*: การ์ทเนอร์, รายงาน Magic Quadrant ด้านเน็ตเวิร์กไฟร์วอลล์, Rajpreet Kaur, Adam Hils, Jeremy D’Hoinne, 9 พฤศจิกายน 2563

การ์ทเนอร์ไม่ได้ให้การรับรองผู้ผลิต สินค้า หรือบริการใด ๆ ที่กล่าวถึงในรายงานวิจัยของบริษัทฯ และไม่ได้แนะนำให้ผู้ใช้เลือกใช้เทคโนโลยีของผู้ผลิตที่จัดอยู่ในอันดับสูงสุด รายงานวิจัยของการ์ทเนอร์ประกอบด้วยความคิดเห็นของฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ และไม่ควรถือว่าเป็นการระบุข้อเท็จจริง การ์ทเนอร์ขอปฏิเสธการรับประกันใด ๆ ไม่ว่าโดยชัดแจ้งหรือโดยนัย ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลการวิจัยนี้ รวมถึงการรับประกันเกี่ยวกับความสามารถในการจัดจำหน่าย หรือความเหมาะสมสำหรับจุดประสงค์เฉพาะ

เกี่ยวกับ Hillstone Networks

โซลูชันเพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับองค์กรและการจัดการความเสี่ยงโดย Hillstone Networks มาพร้อมทัศนวิสัย ความอัจฉริยะ และระบบป้องกันที่จะสร้างความมั่นใจให้องค์กรว่าพวกเขาสามารถมองเห็นอย่างรอบด้าน เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และสามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างรวดเร็ว โซลูชันของ Hillstone ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิเคราะห์ชั้นนำและได้รับความไว้วางใจจากองค์กรระดับโลกหลายแห่งสามารถปกป้องอุปกรณ์ทั้งระบบเอดจ์และคลาวด์ขององค์กร พร้อมช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของในขณะเดียวกัน เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.hillstonenet.com

ติดต่อ:

Zeyao Hu
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
inquiry@hillstonenet.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Zeavola Resort ได้ลงนามในปฏิญญาเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของ UNESCO ในฐานะหนึ่งในโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทย

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–16 พ.ย. 2563

Wedge Holdings มีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า  Zeavola Resort ซึ่งเป็นรีสอร์ทหรูที่กลุ่มบริษัทของเราเป็นเจ้าของและตั้งอยู่บนเกาะพีพีประเทศไทย เป็นหนึ่งในโรงแรมแรก ๆ ที่ลงนามปฏิญญาเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism Pledge) กับองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( UNESCO)  โดยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการและ มีข้อมูลปรากฎบนเว็บไซต์ของยูเนสโกเรียบร้อยแล้ว

ปฏิญญาเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเป็นโครงการของ UNESCO ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ Expedia Group เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก ซึ่งมีกำหนดจะเปิดตัวทั่วโลกโดยเริ่มจากประเทศไทย ทั้งนี้ โรงแรมสมาชิกจะดำเนินงานในลักษณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยจะแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขามุ่งมั่นที่จะลดการใช้พลาสติกและการมีโครงการริเริ่มด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) จากคำชี้แนะขององค์การสหประชาชาติ

Zeavola Resort เป็นผู้บุกเบิกด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในประเทศไทยมายาวนาน โดยสื่อได้เขียนบทความเกี่ยวกับ Zeavola Resort หลายบทความ และโรงแรมได้รับรางวัลด้านโรงแรมมากมายสำหรับแนวทางการจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

*บทความ: Zeavola Resort ได้รับรางวัลด้านโรงแรม 3 รางวัลติดต่อกันในหนึ่งเดือน (2562)

https://www.carrushome.com/en/zeavola-resort-in-thailand-wins-three-awards-in-a-month/

https://latteluxurynews.com/2019/11/12/zeavola-resort-scoops-suite-of-awards/

จากความพยายามดังกล่าวทำให้ Zeavola กลายเป็นหนึ่งในโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้ หลังจากนั้นโรงแรมอีกหลายแห่งก็ได้เข้าร่วมโครงการนี้และ Zeavola Resort ก็มีชื่อปรากฏบนเว็บไซต์ของ UNESCO ในฐานะโรงแรมสมาชิก

(https://unescosustainable.travel/en/zeavola-resort)

ขณะนี้ Zeavola Resort เปิดรับการจองผ่านเว็บไซต์ของตัวเองและผ่านเว็บไซต์จองโรงแรมหลัก ๆ ทั้งหมด และยังเสนอแพ็คเกจที่น่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายตลาดการท่องเที่ยวของไทยในปัจจุบัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่อไปนี้

เว็บไซต์ทางการของ Zeavola Resort: https://www.zeavola.com/

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201115005020/en/

ติดต่อ:

Wedge Holdings Co., Ltd

ติดต่อ PIC: Yasuhiro Kotake

โทร: +81-3-6225-2207

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

นักวิจัยของ NTHU ค้นพบดัชนีชี้วัดทางชีวภาพตัวใหม่สำหรับมะเร็งกระเพาะอาหาร เพื่อการบำบัดที่ปรับแต่งได้

Logo

ซินจู๋  ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–14 พฤศจิกายน 2563

ทีมวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ Wang Wen-ching จากสถาบันชีววิทยาระดับโมเลกุลและเซลล์มหาวิทยาลัย National Tsing Hua (NTHU) ได้ใช้ประโยชน์จากพลังของข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ big data เพื่อระบุตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่สำคัญสองตัวที่มีส่วนในการก่อตัวและการแพร่กระจายของมะเร็งกระเพาะอาหาร ด้วยการใช้ยาที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ทีมได้ทำการบำบัดแบบกำหนดเป้าหมายซึ่งสามารถกำจัดการเติบโตของเนื้องอกและยับยั้งการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปูทางไปสู่การบำบัดแบบใหม่ งานวิจัยของพวกเขาได้รับการตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States.

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201113005183/en/

Professor Wang Wen-ching (left) of the Institute of Molecular and Cellular Biology and Dr. Tseng Linlu researching a new treatment for gastric cancer. (Photo: National Tsing Hua University)

ศาสตราจารย์ Wang Wen-ching (ซ้าย) จากสถาบันชีววิทยาโมเลกุลและเซลล์และ ดร. Tseng Linlu ค้นคว้าวิธีการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารแบบใหม่ (ภาพ: National Tsing Hua University)

ค้นหาวิธีใหม่ในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของโลกและเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองเนื่องจากการรักษาที่ทรหดและยากสำหรับผู้ป่วยจำนวนมาก Wang กล่าวว่า เวลาที่คนจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เซลล์มะเร็งก็มักจะได้แพร่กระจายไปแล้ว

Wang กล่าวว่าจนถึงขณะนี้มียาเป้าหมายเพียงตัวเดียว (Her 2 therapy) ที่สามารถรักษามะเร็งกระเพาะอาหารได้และเหมาะสำหรับผู้ป่วยน้อยกว่า 20% ทั่วโลกเท่านั้น ในไต้หวันตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 8% ทีมงานของ Wang กำลังทำงานเพื่อคลี่คลายกลไกที่เป็นรากฐานของการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและค้นหาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพใหม่โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาการบำบัดแบบใหม่

การเบรกมะเร็งกระเพาะอาหาร

Wang อธิบายว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารแพร่กระจายคือความไร้ประสิทธิผลของโปรตีนฟอสฟาเตสและเทนซินโฮโมโลกัล (PTEN) ซึ่งเป็นโปรตีนยับยั้งเนื้องอกซึ่งทำหน้าที่เหมือนเบรค เมื่อเบรคล้มเหลวแล้ว เซลล์มะเร็งจะแพร่กระจายขยายตัวและเติบโตเป็นเนื้องอกระยะลุกลามที่เป็นอันตราย งานแรกของทีมคือการหาสาเหตุของ “เบรกล้มเหลว” ตัวนี้

ทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่า 300 รายและใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) เพื่อหาเส้นทางทางชีววิทยาที่นำไปสู่การลุกลามของมะเร็งจากยีนมากกว่า 30,000 ยีน พวกเขาค้นพบว่าเอนไซม์ทั้งสองได้แก่ PHF8 และ PKCα มีบทบาทสำคัญในการไขปริศนานี้ เอนไซม์นิวเคลียร์ PHF8 แพร่หลายในเนื้อเยื่อมะเร็งกระเพาะอาหารประมาณ 40% และทำให้ PKCα พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดการสูญเสีย PTEN ทำให้เกิด “เบรกล้มเหลว”

โชคดี ที่กิจกรรมของ PKCα สามารถถูกยับยั้งได้โดยยา midostaurin ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งในการรักษามะเร็งในเลือดที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเมื่อสามปีก่อน ทีมงานใช้แบบจำลองจากปลาม้าหลายและหนูเพื่อพิสูจน์หลักฐานว่าการรักษา midostaurin สามารถลดขนาดเนื้องอกและลดการแพร่กระจายของมะเร็ง

Wang กล่าวว่าความก้าวหน้าในการค้นหาการบำบัดที่แม่นยำนั้นเกิดจากความร่วมมือแบบสหวิทยาการ Tseng Linlu ผู้ซึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากการฝึกอบรมด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลและชีวสถิติที่ NTHU ดร. Yeh Ta-sen ผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาล Chang Gung Memorial ใน Linkou, Dr Yuh Chiou-hwa จากสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติและ  Kung Hsing-jien  จาก Academia Sinica 

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน  businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201113005183/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh

National Tsing Hua University

(886)3-5162006

hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Graforce และ Berlin Hotel เปิดตัวเทคโนโลยีการปล่อยสาร CO2 ติดลบ

Logo

เบอร์ลิน–(บิสิเนสไวร์)–13 พ.ย. 2563

โรงแรม Mercure Hotel MOA Berlin จะกลายเป็นโรงแรมและสถานที่จัดงานแห่งแรกของโลกที่มีค่า CO2 ติดลบเวลาสร้างความร้อน  ด้วยเทคโนโลยีพลาสมาไลซิสของก๊าซมีเทนที่พัฒนาโดย Graforce ทาง MOA เบอร์ลินจะไม่เพียงแต่สร้างความร้อนโดยไม่ปล่อยมลพิษใดๆ แต่ยังสามารถดึง CO2 ออกจากชั้นบรรยากาศในขณะที่ให้ความร้อน  ดังนั้นเทคโนโลยี "MOA-H2eat" จึงเพิ่งได้รับรางวัล German Gas Industry Innovation Prize เนื่องจาก "แนวทางที่ปฏิวัติตลาดเครื่องทำความร้อนและมีส่วนช่วยในการลดคาร์บอนแบบในท้องถิ่น" คณะกรรมการตัดสินกล่าว

Graforce's "MOA-H2eat" solution will revolutionize the heating market (Graphic: Business Wire)

"MOA-H2eat" ของ Graforce จะปฏิวัติตลาดเครื่องทำความร้อน (กราฟฟิค: บิสิเนสไวร์)

MOA Berlin ไม่ได้สร้างความร้อนด้วยก๊าซธรรมชาติอีกต่อไป แต่สร้างจากไฮโดรเจนโดยใช้ก๊าซชีวภาพ  เทคโนโลยีพลาสมาไลซิสของมีเทนแยกก๊าซชีวภาพออกเป็นไฮโดรเจนและคาร์บอนที่เป็นของแข็ง  การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน กระบวนการพลาสมาไลซิสของก๊าซมีเทนนั้นเป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศเช่นเดียวกับกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส แต่ค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าอย่างมาก

สำหรับกระบวนการทำความร้อนแบบปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ MOA Berlin ใช้หม้อไอน้ำกลั่นตัวดัดแปลงที่เติมเชื้อเพลิงจากส่วนผสมของไฮโดรเจนสีเขียวและก๊าซชีวภาพ  อัตราการผสมจะถูกควบคุมโดยพลาสมาไลเซอร์ของมีเทน  การผลิตความร้อนเริ่มต้นด้วยไฮโดรเจนปริมาตร 30% และก๊าซชีวภาพ 70%  ในเดือนต่อๆ ไปส่วนแบ่งของไฮโดรเจนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

คาร์บอนที่เป็นของแข็ง สามารถใช้เป็นวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม ใช้เป็นสีและเซรามิกส์ หรือในกรณีของ MOA Berlin ใช้ผลิตยางมะตอย  ดังนั้น CO2 จึงถูกก่อตัวอย่างถาวร  ด้วยเหตุนี้ Graforce นำเสนอเทคโนโลยีที่พร้อมใช้ในตลาดเป็นครั้งแรกสำหรับการลด COและเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับแทนการจัดเก็บ CCS

เครื่องทำความร้อนก๊าซที่ใช้ใน MOA Berlin ก่อนหน้านี้จะปล่อย CO2 ถึง 800 ตันต่อปี การจะดูดซับปริมาณนี้จากชั้นบรรยากาศจำเป็นต้องมีต้นไม้มากกว่า 65,000 ต้น

"ในการลดภาวะโลกร้อน กระบวนการสร้างความร้อนและน้ำร้อนจำเป็นต้องปราศจาก CO2  อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2593 โดยมีสองวิธีที่จะบรรลุเป้าหมายนี้: เราจะให้ความร้อนด้วยไฟฟ้าหมุนเวียนเท่านั้นหรือเราจะแยกก๊าซธรรมชาติออกด้วยทางเลือกที่ปราศจากคาร์บอนเช่นไฮโดรเจน" ผู้ก่อตั้ง Graforce และ CTO Dr. Jens Hanke อธิบาย

เกี่ยวกับ

บริษัท Graforce ของเยอรมันได้พัฒนาเทคโนโลยีการใช้งานพลาสม่าใหม่สำหรับการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและก๊าซที่มีค่าอื่นๆ ในอุตสาหกรรมในราคาไม่แพงจากวัสดุเหลือใช้ www.graforce.com/EN

รับชมคลังภาพ/มัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52324006/en

ติดต่อ:

Graforce GmbH
Dr. Jens Hanke
โทร: +49 30 – 63 2222-110
presse@graforce.de

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Florasis ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางจากประเทศจีน เปิดตัวบนหน้าจอขนาดใหญ่ MBK ในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงความงดงามของวัฒนธรรมประจำชาติจีน

Logo

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–12 พฤศจิกายน 2563

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การแต่งหน้าแบบจีนและแบรนด์เครื่องสำอางจีนเริ่มเป็นที่นิยมในประเทศไทย ในบรรดาแบรนด์เครื่องสำอางยอดนิยมของประเทศจีน แบรนด์ Florasis มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

(Photo: Business Wire)

(ภาพ: Business Wire)

เมื่อเร็ว ๆ นี้  ผลิตภัณฑ์ล่าสุดของ Florasis  "Chinese Miao Ethnic Minority Silver Limited Collection" เปิดตัวบนจอขนาดใหญ่ MBK ในกรุงเทพฯ  หลังจากนี้  China Beauty ฮอตมาก  ผลิตภัณฑ์ชุดนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Florasis,  Jiaqi Li ซึ่งเป็นผู้ประกาศข่าวแฟชั่นชื่อดังในประเทศจีนและช่างเครื่องเงินแม้วจีน แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการแต่งหน้าแบบจีนและความงดงามของวัฒนธรรมประจำชาติจีน

ผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับแวดวงความงามจะพบแน่นอน   ชุด  "Chinese Miao Ethnic Minority Silver Limited Collection"  ได้จุดประกายการพูดคุยกันบ่อยครั้งบนแพลตฟอร์มโซเชียลเช่น Instagram และ YouTube ตั้งแต่เดือนตุลาคม ชาวเน็ตหลายคนกล่าวว่า "ว้าว! ฉันอยากรู้ว่าจะซื้อได้ที่ไหน"  "ผลิตภัณฑ์ของ Florasis มีคุณภาพสูงเหมือนนำมาจากวังโดยตรง"  พวกเขาแสดงความรักต่อ Florasis โดยไม่ลังเล

แบรนด์เครื่องสำอาง Florasis ก่อตั้งขึ้นในปี 2560  ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีพันธกิจในการสืบทอดและส่งเสริมสุนทรียภาพแบบตะวันออก  ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีน คาดว่ายอดขายทั้งปีในปี 2563 จะเกิน 500 ล้านดอลล่าร์ 

ตามที่เรารู้กันดีว่า  ผลิตภัณฑ์ ชุด "Chinese Miao Ethnic Minority Silver Limited Collection"  ของ Florasis ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มชาวหนึ่งที่เป็นชนกลุ่มน้อย-ชาวแม้ว คนสัญชาติแม้วเป็นคนที่มีความสามารถในการทำเครื่องประดับเงินและงานปัก  เครื่องประดับเงินและงานปักต้องใช้หลายกระบวนการ  และสามารถทำได้ด้วยมือเท่านั้น  ด้วยการพัฒนาในยุคอุตสาหกรรม   ฝีมือเครื่องประดับเงินแม้วก็ยังประสบปัญหาเรื่องมรดก  ดังนั้น Florasis จึงทำเครื่องประดับเงินแม้วบนเครื่องสำอางด้วย เพื่อให้คนอื่น ๆ รู้ว่าประเทศจีนมีเครื่องประดับเงินชาติพันธุ์ที่สวยงามเช่นนี้ 

ดูที่ผลิตภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของ Florasis เราสามารถพบได้อย่างง่ายว่า Florasis ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แต่งหน้ามากมายที่มีลักษณะเฉพาะของประเทศจีน Florasis ได้ทำซ้ำงานฝีมือจีนโบราณจำนวนมาก   แสดงให้เห็นถึงสุนทรียภาพและระดับการผลิตของจีนด้วยเครื่องสำอาง  ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของ  Florasis แตกต่างกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางยอดนิยมในประเทศไทยเป็นอย่างมาก  ทำให้ผู้บริโภคในประเทศไทยสร้างความสดชื่นเกี่ยวกับเครื่องสำอางจีน

ชุด  "Chinese Miao Ethnic Minority Silver Limited Collection"  ของ Florasis ได้เปิดตัวบนหน้าจอขนาดใหญ่ MBK ที่กรุงเทพฯในครั้งนี้  แสดงให้เห็นถึงความงดงามของวัฒนธรรมประจำชาติจีน  ความงามของชาติก็คือความงามของโลก  ในความหลากหลายทางสุนทรียภาพในปัจจุบันนี้ ความสวยงามแห่งชาติสามารถกระตุ้นอารมณ์สะท้อนของผู้คนทั่วโลกได้มากขึ้น ทำให้บุคคลรู้สึกถึงเสน่ห์และอุณหภูมิของผลิตภัณฑ์.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ชิงแท็บเล็ตจากกิจกรรม Diwali Giveaway กับ WorldRemit!

Logo

เปิดให้ร่วมลุ้นระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563

ซิดนีย์–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2563

WorldRemit บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี (Diwali) ปีนี้ด้วยการแจกแท็บเล็ต 100 เครื่องให้กับผู้โชคดีในอินเดีย! ดิวาลี หรือเทศกาลแห่งแสงสว่าง เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ความดีเอาชนะความชั่วร้ายของผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู เชน และซิกข์ทั่วโลก โดยผู้คนจะร่วมเฉลิมฉลองกันในเดือนการ์ติกะ (Kartika) เป็นระยะเวลาห้าวันด้วยการไปสวดมนต์ที่วัด แลกเปลี่ยนของขวัญในครอบครัวและประดับประดาบ้านเรือนด้วยเทียนและโคมไฟ และ WorldRemit ปรารถนาที่จะส่งต่อความรักผ่านการมอบของขวัญครั้งนี้

ลูกค้าในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์สามารถลุ้นเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเพื่อมอบให้กับผู้รับที่ตนเลือกได้ง่าย ๆ เพียงโอนเงินขั้นต่ำ 10 ดอลลาร์ (ในสกุลเงินท้องถิ่น AUD หรือ NZD) ไปยังอินเดียผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของ WorldRemit ระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 และต้องลงทะเบียนร่วมสนุกกับกิจกรรมทางออนไลน์ทางเว็บไซต์ที่ https://www.worldremit.com/en/promotions/india-win-a-tablet โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไข ทั้งนี้ WorldRemit จะทำการสุ่มเลือกผู้ได้รับรางวัลสัปดาห์ละครั้ง ก่อนส่งแท็บเล็ตไปยังผู้ทีได้รับเลือกให้รับรางวัลในประเทศอินเดีย

“เราตระหนักถึงความสำคัญด้านการศึกษาที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้คนได้เสริมสร้างศักยภาพของตน และทราบดีว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่ลูกค้าของเราโอนเงินกลับบ้านก็เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่บนโลก ระบบการศึกษาในประเทศอินเดียได้อ้าแขนรับเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นเนื่องจากการระบาดของโรคที่ลุกลามไปทั่ว ไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้สร้างผลกระทบต่อหลาย ๆ ครอบครัวรวมถึงการเงินของพวกเขา เราจึงต้องการที่จะสร้างความมั่นใจว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นจะสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ทางออนไลน์ การมอบของขวัญด้านการศึกษาครั้งนี้เป็นการอวยพรลูกค้าของเราให้มีความสุขกับการเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี และช่วยให้พวกเขาสามารถดูแลครอบครัวรวมถึงเพื่อนฝูงซึ่งรออยู่ที่บ้านได้” Ruzan Ahamed ผู้อำนวยการระดับประเทศกลุ่มเอเชียใต้ของ WorldRemit กล่าว

เทศกาลดิวาลีเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและภราดรภาพอันแท้จริง จากการสำรวจในกลุ่มลูกค้าของ WorldRemit ในออสเตรเลีย พบว่า:

  • 37% ของผู้ตอบแบบสำรวจมักเดินทางต่างประเทศเพื่อพบปะกับญาติมิตรและเพื่อนฝูงในช่วงเทศกาลดิวาลี แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากข้อกำหนดด้านการเดินทางเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
  • 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาจะโอนเงินให้ครอบครัวและเพื่อนในช่วงเทศกาลดิวาลี
  • 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เทศกาลดิวาลีมีความสำคัญยิ่งขึ้นในปีนี้

WorldRemit ปรารถนาให้เทศกาลที่มีการเฉลิมฉลองทั่วอินเดียนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้นปีนี้! ผู้สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มผ่านลิงก์ด้านล่างหลังจากทำการโอนเงินไปอินเดียระหว่างวันที่ 23 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2563 นี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่:

https://www.worldremit.com/en/promotions/india-win-a-tablet

WorldRemit

WorldRemit เป็นบริษัทที่ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ และพลิกโฉมอุตสาหกรรมที่ก่อนหน้านี้ควบคุมโดยผู้เล่นที่ให้บริการโอนเงินออฟไลน์แบบดั้งเดิมด้วยการนำบริการโอนเงินระหว่างประเทศมาไว้บนโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความปลอดภัยขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีต้นทุนที่น้อยลง ปัจจุบันเราให้บริการโอนเงินจากกว่า 50 ประเทศสู่ 150 ประเทศ มีจุดให้บริการกว่า 6,500 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 1100 คนทั่วโลก

ในฝั่งของผู้โอนเงิน WorldRemit ให้บริการแบบดิจิทัล 100% (ไร้เงินสด) ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกและยกระดับความปลอดภัย สำหรับผู้รับเงิน มีช่องทางรับเงินให้เลือกหลายช่องทาง ซึ่งรวมถึงการโอนเข้าบัญชีธนาคาร การถอนเงินสด การเติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือ และรับผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลบนมือถือ

WorldRemit ซึ่งมีผู้สนับสนุนอย่าง Accel, TCV และ Leapfrog มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และมีสำนักงานอยู่ในทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ www.worldremit.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201110006284/en/

ติดต่อ:

WorldRemit
Kyara Kwan
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
kkwan@worldremit.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mary Kay สานต่อการสนับสนุนนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และการสอนโดยการมอบทุนการศึกษาร่วมกับ IMCAS Academy

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2563

Mary Kay Inc. ผู้บุกเบิกและคิดค้นนวัตกรรมด้านการวิจัยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมากว่าทศวรรษ สนับสนุนเงินทุนให้กับสถาบัน International Master Course on Aging Science (IMCAS) เพื่อจัดสัมมนาออนไลน์ที่ผู้คนตั้งตารอในหัวข้อ “Office Peels and Home Peels” ให้กับศัลยแพทย์ตกแต่ง แพทย์ผิวหนัง ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพด้านความงามที่มีเป้าหมายในการศึกษาต่อและพัฒนาการปฏิบัติงาน

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005239/en/

Dr. Michelle Hines, Director of Global Cosmetic Research & Innovation at Mary Kay Inc. (Photo: Mary Kay Inc.)

ดร. Michelle Hines ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของ Mary Kay Inc. (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

การสัมมนาทางออนไลน์ซึ่งเปิดตัวทั่วโลกต่อผู้เข้าร่วมกว่า 1,200 คนไปก่อนหน้านี้ เป็นเพียงกิจกรรมล่าสุดจากสถาบันซึ่งมีเป้าหมายในการมอบการศึกษาระดับแถวหน้าในหัวข้อด้านศาสตร์แห่งการสูงวัย

การสัมมนาดังกล่าวซึ่งมี ดร. Dominique Du Crest บรรณาธิการบริหารของสถาบัน IMCAS เป็นพิธีกร มีกลุ่มวิทยากรที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากหลากหลายวงการทั่วโลกร่วมบรรยาย โดย ดร. Michelle Hines ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของ Mary Kay เป็นผู้เปิดงานด้วยการบรรยายเกี่ยวกับการลอกผิวด้วยสารเคมี ก่อนที่จะร่วมกับผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ บรรยายในหัวข้อตามกำหนดการ ครอบคลุมการตั้งคำถามเกี่ยวกับการมีอยู่ของ ‘การลอกผิว’ ว่าควรมีหรือไม่ การลอกผิวประเภทต่าง ๆ การลอกผิวในผู้ที่มีผิวคล้ำ การใช้ส่วนประกอบแบบใหม่ที่ทันสมัย และอันตรายจากการลอกผิวสำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนัง โดยผู้บรรยายได้ร่วมแชร์เคล็ดลับดูแลผิวหลังการลอกผิวเพื่อยืดอายุผลลัพธ์ให้นานยิ่งขึ้น ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยช่วงถาม-ตอบซึ่งนำโดย ดร. Uliana Gout (M.D.) ทั้งนี้ นอกจาก ดร. Hines แล้ว ยังมี ดร. Foteini Bageorgou แพทย์ผิวหนัง ดร. Marina Landau แพทย์ผิวหนัง และ ดร. Mukta Sachdev แพทย์ผิวหนัง ร่วมบรรยายด้วย

“ผู้หญิงทุกช่วงวัยจากทุกมุมโลกต่างต้องการผิวที่สวยไร้ที่ติ” ดร. Hines กล่าว “ปัจจุบัน การลอกผิวด้วยสารเคมีกลายมาเป็นวิธีฟื้นฟูผิวและขั้นตอนการผลัดผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การลอกผิวที่ทำโดยผู้เชี่ยวชาญและการลอกผิวเองที่บ้านย่อมให้ประสบการณ์และผลลัพธ์ที่ต่างกัน แต่ด้วยทางเลือกที่มีอย่างหลากหลายในปัจจุบัน การศึกษาและการสร้างการตระหนักรู้จึงสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุด Mary Kay ตื่นเต้นอย่างมากกับการเป็นผู้สนับสนุนทุนเพื่อการศึกษาและการวิจัยในหัวข้อนี้”

“ผมอยากจะเน้นย้ำถึงธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและการเติบโตของชุมชนที่มีความหลากหลายของเรา” ดร. Du Crest กล่าว “เรามีสมาชิกที่เป็นแพทย์มากกว่า 28,000 คน และการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส่งให้ชุมชนของเราขยายใหญ่ขึ้นอย่างมาก “เรามีการจัดสัมมนาออนไลน์ให้กับบุคคลภายนอก บางครั้งสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อสร้างโอกาสให้แพทย์ แพทย์ผิวหนัง และผู้ที่หลงใหลในศาสตร์แห่งความงามจากทั่วโลกได้มารวมตัวกันและแบ่งปันความรู้และความเชี่ยวชาญ รวมถึงตอบข้อซักถามเกี่ยวกับอุตสาหกรรมจากเพื่อน ๆ ของเราโดยที่ไม่ต้องเดินทางหรือออกจากบ้านหรือสำนักงานของพวกเขาเลย บนแพลตฟอร์มการเรียนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ของเรามีเคสทางคลินิกหลายร้อยรายการ บล็อกโพสต์จำนวนมาก การสัมมนาออนไลน์มากกว่า 40 รายการต่อปี และวิดีโอหลายพันรายการสำหรับผู้ที่ประกอบวิชาชีพในอุตสาหกรรมในการเสริมสร้างความรู้ตามต้องการ”

ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอการสัมมนาออนไลน์ย้อนหลังได้ที่ IMCAS Academy Library

เกี่ยวกับ Mary Kay
Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นเมื่อ 57 ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมาย 3 ข้อได้แก่ มอบโอกาสให้กับผู้หญิง ผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และสร้างโลกให้น่าอยู่ ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้าน พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอมมากมาย และยังทุ่มเทกับการช่วยให้ผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขามีพลังด้วยการร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญและสนับสนุนกับการวิจัยด้านมะเร็ง ปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกายและพาเธอสู่ความสำเร็จไปทีละขั้น เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ MaryKay.com

เกี่ยวกับ International Course on Aging Science (IMCAS)
IMCAS ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าศัลยแพทย์ตกแต่งและแพทย์ผู้ชำนาญโรคผิวหนัง นับตั้งแต่ก่อตั้ง IMCAS ได้พยายามเชื่อมรอยต่อความรู้ด้านศัลยกรรมพลาสติกและการตกแต่งและโรคผิวหนังเพื่อสร้างการทำงานร่วมกันและช่วยเชื่อมความรู้ของศาสตร์ทั้งสอง พันธกิจของหน่วยงานนี้คือการช่วยให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านความงามเข้าถึงเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพซึ่งกำลังได้รับความนิยม เมื่อเร็ว ๆ นี้ IMCAS ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มอี-เลิร์นนิงที่ชื่อ IMCAS Academy ซึ่งให้สมาชิกเข้าถึงวิดีโอแนะนำ งานวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ บทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและอื่น ๆ อีกมากมายได้แบบทันที ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IMCAS ได้ที่นี่: https://www.imcas.com/en.

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201110005239/en/

ติดต่อ:

ฝ่ายสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


Mavenir ประกาศรองรับ 2G และ 3G เต็มรูปแบบบนระบบ 4G / 5G Cloud-Native OpenRAN และ แพ็คเกตคอร์

Logo

นำเสนอเฉพาะโซลูชันระบบคลาวด์เนทีฟที่ครบวงจรอย่างแท้จริงสำหรับเทคโนโลยีมือถือทุกรุ่น

ริชาร์ดสัน, เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–10 พ.ย. 2563

Mavenir, ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายแบบครบวงจรรายเดียวของอุตสาหกรรมสำหรับเครือข่าย 4G / 5G ประกาศการรวมเทคโนโลยี 2G และ 3G เข้ากับชุดบรอดแบนด์ 4G และ 5G ที่มีอยู่ ทั้งนี้ โซลูชันระบบคลาวด์แบบครบวงจรแบบใหม่ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีมือถือทั้งหมด หรือแบบ 2G / 3G / 4G / 5G จะครอบคลุมสำหรับการเข้าถึงวิทยุและแพ็คเก็ตคอร์ (packet core) และจะมอบโซลูชันแบบครอบคลุมที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ทำให้เครือข่ายมือถือมีระบบอัตโนมัติและความคล่องตัวแบบเว็บสเกล

สำหรับส่วนประกอบ RAN ความสามารถของ 2G และ 3G จะถูกรวมเข้ากับสถาปัตยกรรม OpenRAN อย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วย CU และ DU ที่เต็มรูปแบบเพื่อมอบ Multi Radio Access Technology (vMRAT) แบบ all-in-one

สแต็กของ 2G และ 3G จะรวมเข้ากับโซลูชันหลักของแพ็กเก็ตอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้กลายเป็นระบบคลาวด์ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมเชิงบริการ หรือ Service Based Architecture (SBA) ซึ่งสิ่งนี้ช่วยพัฒนาโซลูชันแพ็กเก็ตคอร์ที่มีอยู่ของ Mavenir ในการใช้งาน 4G และ 5G ทั่วโลกในปัจจุบัน และที่โดยปกติก็ให้ความสามารถเกตเวย์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้ได้มีการรวมระบบเคลื่อนที่เข้ากับ 2G / 3G ได้อย่างสมบูรณ์เข้าไปอีก

Pardeep Kohli ประธานและซีอีโอของ Mavenir กล่าวว่า“ เราได้รับฟังลูกค้าชั้นนำของเราที่ไว้วางใจเราอย่างรอบคอบในการเปลี่ยนแปลงเครือข่าย และตระหนักว่าเราจำเป็นต้องเชื่อมโยงเทคโนโลยีเดิมกับ OpenRAN และโซลูชันระบบคลาวด์เนทีฟ นอกจากนี้ระบบ 2G / 3G ยังจะมีความเกี่ยวข้องในหลาย ๆ ตลาดในอีกหลายปีข้างหน้า ด้วยโซลูชันเหล่านี้ลูกค้าของเราจะสามารถสร้างเครือข่ายของตนโดยอัตโนมัติและรองรับเทคโนโลยีมือถือทั้งหมดบนเครือข่ายคลาวด์เนทีฟ”

โซลูชันนี้จะนำเสนอความสามารถในการปรับขนาดและใช้สถาปัตยกรรมเดี่ยวเพื่อให้ครอบคลุมเทคโนโลยีมือถือทุกรุ่น (multi-G) ด้วยการกำหนดค่าที่คล่องตัวและยืดหยุ่นอย่างมากเพื่อให้เวลาในการทำตลาดเร็วขึ้น และให้การดำเนินการจากระยะไกลเข้าถึงแกนและวิทยุของเครือข่าย ทั้งนี้คาดว่าจะพร้อมใช้งานภายในไตรมาสที่สองของปี 2564  บนแพลตฟอร์มเวอร์ชวลและในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ รวมถึงแพลตฟอร์ม WebScale Platform ของ Mavenir  ซึ่งเป็นเลเยอร์ซอฟต์แวร์ Open Source Kubernetes ที่มี Mavenir Telco Integration Layer (Platform as a Service) คอยอำนวยการอยู่ สิ่งนี้จะตอบสนองความต้องการของผู้ปฏิบัติงานในด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวทางกฎหมาย การตรวจสอบการปฏิบัติงาน การกำหนดค่า และความพร้อมใช้งานสูง

“ Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ที่มาพร้อมระบบคลาวด์เพียงรายเดียวในอุตสาหกรรม และด้วยโซลูชันที่มีความก้าวหน้าแห่งอนาคต จะช่วยให้สามารถแทนที่หรือขยายระบบเดิมได้” Stefano Cantarelli ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Mavenir กล่าว “ Mavenir ยืนหยัดที่นี่เพื่อเป็นพันธมิตรกับลูกค้าของเราและช่วยพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง โดยการมอบการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่นและเชื่อถือได้อย่างเต็มที่สำหรับโลกแห่งบริการและการดำเนินงานที่คล่องตัวและอัตโนมัติ ขอให้ฝากอนาคตไว้กับ Mavenir ของเรา”

เกี่ยวกับ Mavenir:

Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายคลาวด์เนทีฟแบบครบวงจร (end-to-end) รายเดียวในอุตสาหกรรม การมุ่งเน้นไปที่การเร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายซอฟต์แวร์และการกำหนดนิยามใหม่ของระบบเครือข่ายสำหรับผู้ให้บริการการสื่อสาร หรือ Communications Service Providers (CSP) โดยนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ครบวงจร ที่ครอบคลุมในทุกชั้นของสแต็กโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มจากด้านเครือข่ายตั้งแต่การให้บริการ 5G ไปจนถึงแพ็คเก็ตคอร์และ RAN ทั้งนี้ Mavenir เป็นผู้นำในโซลูชันระบบเครือข่ายคลาวด์เนทีฟที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่สร้างสรรค์และปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ปลายทาง ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมในด้าน VoLTE, VoWiFi, Advanced Messaging (RCS), Multi-ID, vEPC และ Virtualized RAN ทำให้ Mavenir เร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายสำหรับลูกค้า CSP มากกว่า 250 รายในกว่า 130 ประเทศโดยให้บริการมากกว่า 50% ของสมาชิกทั่วโลก .

เรายอมรับสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่และรูปแบบธุรกิจที่ก่อให้เกิดความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความเร็วในการให้บริการ ด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการของ NFV เพื่อบรรลุเศรษฐศาสตร์ระดับเว็บ Mavenir นำเสนอโซลูชันเพื่อช่วย CSP ในการลดต้นทุน การสร้างรายได้ และการปกป้องรายได้ เรียนรู้เพิ่มเติมที่ mavenir.com

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005332/en/

ติดต่อ:

Maryvonne Tubb

Mavenir

PR@mavenir.com

Loren Guertin

MatterNow

mavenir@matternow.com

Kevin Taylor

GlobalResultsPR

mavenir@globalresultspr.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Spotify ประกาศซื้อผู้นำเทคโนโลยีพอดแคสต์ Megaphone

Logo

นิวยอร์ก–(บิสิเนสไวร์)–10 พ.ย. 2563

Spotify Technology SA (NYSE: SPOT) บริการสตรีมเสียงแบบสมัครสมาชิกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกประกาศในวันนี้ว่าทางบริษัทได้ทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการซื้อ Megaphone หนึ่งในแพลตฟอร์มโฆษณาและเผยแพร่พอดแคสต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สุดของโลก  Spotify และ Megaphone จะร่วมกันช่วยให้ผู้โฆษณาและผู้เผยแพร่พอดแคสต์พัฒนาตัวตามศักยภาพสูงสุดของพอดแคสต์  ทั้งสองบริษัทจะบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยพลังของ Megaphone Targeted Marketplace และโดยการทำให้ Streaming Ad Insertion พร้อมใช้งานสำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์บุคคลที่สามเป็นครั้งแรก

ด้วยการซื้อกิจการครั้งนี้ Spotify ยังคงดำเนินตามเป้าหมายที่จะเป็นแพลตฟอร์มเสียงชั้นนำของโลกและมุ่งเน้นไปที่การสร้างรายได้จากสื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม  การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการเปิดตัว Streaming Ad Insertion ของ Spotify ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโฆษณาพอดแคสต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มอบความใกล้ชิดและคุณภาพของโฆษณาพอดแคสต์แบบดั้งเดิมด้วยความแม่นยำและความโปร่งใสของการตลาดดิจิทัลในยุคปัจจุบัน

ตอนนี้ผู้ลงโฆษณาจะสามารถเปิดใช้งานผ่านพอดแคสต์ออริจินัลและพิเศษของ Spotify และขยายการเข้าถึงผ่านทาง Megaphone Targeted Marketplace  สำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์การเข้าซื้อครั้งนี้จะปลดล็อกเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นจากงาน  สิ่งนี้รวมถึงโอกาสในการสร้างรายได้จากเนื้อหาโดยจับคู่ผู้ฟังกับความต้องการของผู้ลงโฆษณามากยิ่งขึ้น  หลังจากปิดการทำธุรกรรมแล้ว Spotify จะทำให้การแทรกโฆษณาแบบสตรีมมิ่งพร้อมใช้งานสำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์ทั้งหมดบน Megaphone โดยเป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยีนี้มีให้บริการแก่บุคคลที่สาม  ด้วยการแทรกโฆษณาสตรีมมิ่ง ผู้เผยแพร่พอดแคสต์จะสามารถนำเสนอผู้ชมพอดแคสต์ที่มีคุณค่ามากขึ้นให้กับผู้โฆษณา โดยพิจารณาจากการแสดงโฆษณาแก่ผู้ฟัง

“เรายังคงอยู่ในช่วงต้นๆ ของอุตสาหกรรมเสียงสตรีมมิ่ง แต่ศักยภาพนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง” Dawn Ostroff ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจเนื้อหาและโฆษณาของ Spotify กล่าว “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะให้ Megaphone เข้าร่วมกับ Spotify เพื่อเร่งสร้างรายได้จากพอดแคสต์ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นสำหรับผู้โฆษณาและผู้เผยแพร่พอดแคสต์ที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่และเทคโนโลยีล้ำสมัย”

“เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้เข้าร่วม Spotify เพื่อช่วยพัฒนาสื่อพอดแคสต์สำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณา” Brendan Monaghan ซีอีโอของ Megaphone กล่าว “เราเชื่อว่ามูลค่าร่วมกันของ Megaphone และ Spotify ในด้านนวัตกรรมจะขับเคลื่อนระบบนิเวศของพอดแคสต์ไปทั่วโล”

การปิดธุรกรรมขึ้นอยู่กับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับทั่วไป

เกี่ยวกับ Spotify Technology S.A.

Spotify ได้เปลี่ยนการฟังเพลงไปตลอดกาลเมื่อเปิดตัวในปี 2551  ค้นพบ จัดการ และแชร์เพลงมากกว่า 60 ล้านเพลงรวมถึง Podcast มากกว่า 1.9 ล้านชื่อได้ฟรีหรืออัพเกรดเป็น Spotify Premium เพื่อใช้งานฟีเจอร์พิเศษสำหรับเพลงรวม ถึงคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น คุณภาพและประสบการณ์การฟังแบบออนดีมานด์ ออฟไลน์ และไม่มีโฆษณา

ปัจจุบัน Spotify เป็นบริการสมัครสมาชิกสตรีมเสียงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ใช้ 320 ล้านคนรวมถึงสมาชิก 144 ล้านคนใน 92 ตลาด

เราใช้เว็บไซต์ Investors และ For the Record ของเราตลอดจนโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่ระบุไว้ในแท็บ “Resources – Social Media” ของเว็บไซต์นักลงทุนของเราเพื่อเปิดเผยข้อมูลสำคัญของบริษัท  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม รูปภาพ หรือจะติดต่อทีมงาน ไปที่ https://newsroom.spotify.com/

เกี่ยวกับ Megaphone

Megaphone เป็นบริษัทเทคโนโลยีพอดแคสต์ที่ให้บริการโฮสติ้งและความสามารถในการแทรกโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่โฆษณาและการขายโฆษณาที่ตรงเป้าหมายสำหรับพันธมิตรแบรนด์  แพลตฟอร์ม Megaphone เชื่อมต่อพอดแคสต์ระดับองค์กรและบริษัทสื่อด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุดเพื่อเผยแพร่ สร้างรายได้ และวัดเนื้อหาเสียงของพวกเขา  Megaphone Targeted Marketplace (MTM) ปฏิวัติการโฆษณาพอดแคสต์โดยนำเสนอการเข้าถึงผู้ฟังที่ไม่เคยมีมาก่อน การวัดผลที่แท้จริง การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ และรับประกันความปลอดภัยของแบรนด์  Megaphone Creative Solutions (MCS) ให้บริการครีเอทีฟโฆษณาแบบ end-to-end สำหรับผู้ลงโฆษณา โดยพัฒนาโฆษณาแบบเสียงที่ล้ำหน้าซึ่งครอบคลุมผู้ใช้และขับเคลื่อนผลลัพธ์

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005725/en/

สื่อมวลชนติดต่อ:
Spotify Communications
press@spotify.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

NuScale Power ประกาศการเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ ของ NuScale Power Module™ เอาต์พุต ซึ่งเป็นโซลูชันโรงไฟฟ้าที่เพิ่มเติมเข้ามา

Logo

จากการวิเคราะห์ครั้งใหม่พบว่า NuScale Power Module™ สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ถึง 77 MWe

พอร์ตแลนด์, โอเรกอน –(BUSINESS WIRE)–10 พฤศจิกายน 2563

NuScale Power ประกาศในวันนี้เกี่ยวกับความพยายามด้านคุณค่าวิศวกรรมเพิ่มเติม โดยการใช้เครื่องมือการทดสอบและการสร้างแบบจำลองขั้นสูง ทำให้ NuScale สามารถวิเคราะห์และสรุปได้ว่า NuScale Power Module™ (NPM) สามารถสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ต่อโมดูล รวมเป็น 77 MWe ต่อโมดูล ( ขั้นต้น) ทำให้สร้างไฟฟ้าได้ 924 MWe สำหรับโรงไฟฟ้าเรือธงแบบ 12 โมดูล นอกจากนี้ NuScale กำลังยังได้ประกาศโซลูชันทางเลือกโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในแบบสี่โมดูล (ประมาณ 308 MWe) และแบบหกโมดูล (ประมาณ 462 MWe)

วิศวกรของเราได้พิสูจน์อีกครั้งว่าเทคโนโลยีของ NuScale เป็นเทคโนโลยีระดับเฟิร์สคลาส ที่สามารถประหยัดต้นทุนและปรับแต่งได้เองในระดับที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในตลาดพลังงานนิวเคลียร์” John Hopkins ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NuScale Power กล่าว“ ด้วยความก้าวหน้านี้ NuScale ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำระดับโลกในการแข่งขันเพื่อทำการค้าเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก”

การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงงานเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก NuScale (SMR) 12 โมดูลอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายสิ่งอำนวยความสะดวกในราคาต่อกิโลวัตต์ ได้ในชั่วข้ามคืน จากที่คาดไว้ 3,600 ดอลลาร์ เหลืออยู่ที่ประมาณ 2,850 ดอลลาร์ นอกจากนี้โรงไฟฟ้า 12 โมดูลที่ปรับขนาดได้นี้ จะทำให้มันเข้าใกล้การเป็นคู่แข่งที่แท้จริงสำหรับตลาดขนาดกิกะวัตต์มากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นมา เกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใด ๆ กับเทคโนโลยี NPM

โซลูชันโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจะทำให้ลูกค้า NuScale มีตัวเลือกมากขึ้นทั้งในด้านขนาดกำลังการผลิต ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และต้นทุน นอกจากนี้ยังจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลง ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้การก่อสร้างง่ายขึ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้าง (กำหนดการ) และลดต้นทุน โซลูชันใหม่นี้ช่วยให้ NuScale สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น รวมไปถึงความต้องการโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น สำหรับประเทศบนเกาะ ชุมชนนอกโครงข่ายไฟฟ้าระยะไกล พื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐบาล นอกจากนี้ การไม่ใช้พลังงานถ่านหินที่ทำให้ใช้พลังงานน้อยลงยังทำให้ลูกค้าปฏิบัติตามกฏทางด้านมลภาวะทางอากาศอีกด้วย

กระบวนการกำกับดูแลในการเพิ่มระดับกำลังเครื่องปฏิกรณ์สูงสุดที่โรงงานนิวเคลียร์สามารถทำงานได้นั้นเรียกว่าการเพิ่มกำลัง (power uprate) โดยการเพิ่มกำลังไฟฟ้าจะได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับใช้มาตรฐาน Standard Design Approval (SDA) ของ NuScale  ซึ่ง NuScale มีกำหนดทำให้บรรลุภายในปี 2565

ผลิตภัณฑ์ใหม่ระดับเริ่มต้นของ NuScale จะเป็นโซลูชันโรงไฟฟ้าสี่และหกโมดูลโดยสามารถกำหนดค่าอื่น ๆ ได้อีกด้วย โซลูชันสำหรับโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเหล่านี้มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและได้รับการสนับสนุนและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี NPM ชั้นนำของอุตสาหกรรมและมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาแล้ว อนึ่ง เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้า NuScale ที่เป็นเรือธง การกำหนดค่าที่เล็กลงเหล่านี้จะยังคงรักษาความสามารถในการส่งมอบโซลูชันโรงไฟฟ้าที่ปรับขนาดได้พร้อมคุณสมบัติความสามารถและประสิทธิภาพที่ไม่มีใน SMR อื่น ๆ ทั้งนี้ NuScale จะสามารถส่งมอบโมดูลแรกให้กับลูกค้าได้ในปี 2570

เกี่ยวกับ NuScale Power

NuScale Power ได้พัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำเบาแบบแยกส่วนเพื่อจัดหาพลังงานสำหรับการผลิตไฟฟ้า การให้ความร้อน การกรองน้ำทะเล และการใช้ความร้อนในกระบวนการอื่น ๆ โดยการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก (SMR) ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้มีการออกแบบโดยใช้กระบวนการ NuScale Power Module™ ที่ประดิษฐ์ขึ้นจากโรงงาน ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 77 เมกะวัตต์โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบน้ำแรงดันที่ปลอดภัยกว่า เล็กกว่า และปรับขนาดได้ ทั้งนี้การออกแบบที่ปรับขนาดได้ของ NuScale หมายความว่า โรงไฟฟ้าสามารถรองรับโมดูลไฟฟ้าได้ถึง 12 โมดูล ซึ่งมอบประโยชน์ในรูปแบบของพลังงานที่ปราศจากคาร์บอนและลดภาระผูกพันทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับโรงงานนิวเคลียร์ขนาดกิกะวัตต์ ผู้ลงทุนรายใหญ่ใน NuScale คือ Fluor Corporation ซึ่งเป็น บริษัท ด้านวิศวกรรมการจัดหาและการก่อสร้างระดับโลกที่มีประวัติ 60 ปีในด้านพลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์

NuScale มีสำนักงานใหญ่ในพอร์ตแลนด์ โอเรกอน และมีสำนักงานใน คอร์วัลลิส โอเรกอน  ร็อควิลล์ แมรีแลนด์ ชาร์ล็อต  นอร์ธคาโรไลนา ริชแลนด์วอชิงตัน และลอนดอนสหราชอาณาจักร ติดตามเราได้ที่ Twitter: @NuScale_Power, Facebook: NuScale Power, LLC, LinkedIn: NuScale-Power,  และ Instagram: nuscale_power. NuScale มีโลโก้แบรนด์และ เว็บไซต์ ดู วิดีโอ สั้น

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005452/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ:

Diane Hughes รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร NuScale Power

dhughes@nuscalepower.com

(C) 503-270-9329

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย