การประกวดออกแบบโลโก้และคำวลีสำหรับครบรอบ 50 ปี แห่งมิตรภาพและความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น

Logo

ปิดการรับสมัคร: 15 มิถุนายน 2565

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–11 เมษายน 2565

ศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น (AJC) ได้เปิดตัวแบบฟอร์มใบสมัครออนไลน์บนเว็บไซต์เพื่อรับใบสมัครสำหรับการประกวดการออกแบบโลโก้และคำวลีสำหรับฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์อาเซียน – ญี่ปุ่น ซึ่งจัดโดยรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่น (Governments of ASEAN Member States and Japan) โดยความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) และ AJC การประกวดนี้เปิดให้ทุกชาติของประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่น ทั้งนี้ปิดการรับสมัครในวันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220401005161/en/

The 50th Year of ASEAN-Japan Logo design and catchphrase contest flyer (Graphic: Business Wire)

ใบปลิวการประกวดการออกแบบโลโก้และคำวลีอาเซียน-ญี่ปุ่น ครบรอบ 50 ปี (กราฟิก: Business Wire)

ในปี 2566 นับเป็นการฉลองเพื่อเป็นการระลึกถึงครบรอบ 50 ปี ของความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น รัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่นจะเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของมิตรภาพและความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่นกับกิจกรรมฉลองและโครงการแลกเปลี่ยนที่หลากหลายในปี 2566 และยังสนับสนุนให้พลเมืองของตนเข้าร่วมในการเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งนี้ด้วย

ด้วยเหตุนี้การประกวดจึงจัดขึ้นเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนเสนอแนวคิดในการออกแบบโลโก้และคำวลีที่สะท้อนถึงมิตรภาพและความร่วมมือครบรอบ 50 ปี

1. ภาพรวม – การประกวดการออกแบบโลโก้และคำวลี

(1)

คุณสมบัติ: การประกวดนี้เปิดให้ทุกชาติในประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่น

(2)

วิธีสมัคร: ส่งแบบฟอร์มใบสมัครออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ AJC ตามลิงก์ด้านล่าง

https://www.asean.or.jp/en/ajc/50th-logo-catchphrase/

(3)

ปิดการรับสมัคร: วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565

(4)

การคัดเลือก: ผลงานจะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากผู้จัดการประกวด ผู้ชนะเลิศจำนวนหนึ่งท่านและรองชนะเลิศจำนวนสองท่านสำหรับโลโก้และคำวลีจะถูกคัดเลือก

(5)

การประกาศผล: ผลการประกวดจะประกาศในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (ASEAN Post-Ministerial Conference) กับญี่ปุ่น และหลังจากนั้นจะเผยแพร่บนเว็บไซต์ของสำนักเลขาธิการอาเซียนและ AJC ตามลำดับ

2. เงื่อนไขที่จำเป็น

  • ผู้สมัครแต่ละท่านอาจสมัครทั้งโลโก้และวลีหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
  • ผู้สมัครแต่ละท่านสามารถส่งได้เพียงหนึ่งผลงานและถ้าปรากฎมีหลายผลงานจากผู้เข้าประกวดคนเดียวกันจะไม่ได้รับการพิจารณา
  • ผลงานจะไม่ถูกส่งกลับไปยังผู้สมัคร

3. สิ่งสำคัญที่ควรทราบ

ผลงานควรเป็นผลงานที่ใหม่และยังไม่มีการเผยแพร่มาก่อน และเป็นต้นฉบับสำหรับการประกวดครบรอบ 50 ปีแห่งมิตรภาพและความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่นเท่านั้น สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาตรวจสอบแนวทางการสมัครที่มีอยู่ในหน้าเพจแบบฟอร์มใบสมัครออนไลน์ได้ที่: https://www.asean.or.jp/en/ajc/50th-logo-catchphrase/

4. การติดต่อสอบถาม

ศูนย์อาเซียน – ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Centre)
inquiries50th@asean.or.jp

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220401005161/en/

ติดต่อ:

ASEAN-Japan Centre (AJC) PR Unit
Tomoko Miyauchi (MS)
URL: https://www.asean.or.jp/en/
TEL: +81-3-5402-8118
E-mail: toiawase_ga@asean.or.jp

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

SōRSE Technology เข้าสู่ตลาด CBD ของประเทศไทยด้วยการเป็นพันธมิตรพิเศษกับ Hempagoda

Logo

  • อิมัลชันที่ละลายน้ำได้ของ SōRSE Technology ที่ผลิตขึ้นสินค้าบรรจุภัณฑ์ของผู้บริโภคมีวางจำหน่ายในประเทศไทยผ่าน Hempagoda
  • SōRSE จะเป็นเทคโนโลยีอิมัลชัน cannabinoid และกัญชงที่ละลายน้ำได้จากสหรัฐฯตัวแรกของประเทศไทย
  • ความร่วมมือของ SōRSE/Hempogoda เป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ผลิตชาวไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ มีคุณภาพสูง และรสชาติที่ยอดเยี่ยมที่ขับเคลื่อนโดย SōRSE
  • แบรนด์ในปัจจุบันที่ขับเคลื่อนโดย SōRSE สามารถจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตนในประเทศไทยโดยร่วมมือกับ Hempagoda

ซีแอตเทิล–(บิสิเนสไวร์)–05 เม.ย. 2565

SōRSE Technology Corporation บริษัทเทคโนโลยีอิมัลชันชั้นนำที่ละลายน้ำได้สำหรับสินค้าบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ประกาศว่าบริษัทได้เข้าสู่ตลาดกัญชงและกัญชาในประเทศไทย  ปัจจุบัน SōRSE ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ในตลาดกว่า 100 รายการ  SōRSE ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ Hempagoda เพื่อให้แพลตฟอร์ม SōRSE Technology พร้อมใช้งานในตลาดไทย  ในปี 2562 ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ออกกฎหมายกัญชาสำหรับใช้ทางการแพทย์และการวิจัย เช่นเดียวกับกัญชงเพื่อการผลิตสิ่งทอ เสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ  ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ประเทศไทยออกกฎหมายให้ใช้กัญชงและ CBD ในอาหารและเครื่องสำอาง และเมื่อต้นปีนี้ รัฐบาลได้นำกัญชงและกัญชาออกจากรายการสารควบคุม  ขั้นตอนเหล่านี้ได้สร้างโอกาสสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ผสมกัญชงและกัญชาในปี 2565

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220405005298/en/

SōRSE VP of International Markets, Tim O'Neill; Hempagoda CEO, Vaughn Graham; SōRSE CEO, Howard Lee; and SōRSE EVP of Research & Technical Business Development, Michael Flemmens, at Cannabis Business Asia 2022. (Photo: Business Wire)

SōRSE VP of International Markets, Tim O'Neill; Hempagoda CEO, Vaughn Graham; SōRSE CEO, Howard Lee; และ SōRSE EVP of Research & Technical Business Development, Michael Flemmens, ที่ Cannabis Business Asia 2022. (ภาพ: บิสิเนสไวร์)

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา SōRSE ได้ขยายธุรกิจไปทั่วโลกในออสเตรเลีย แคนาดา สหภาพยุโรป ละตินอเมริกา สหราชอาณาจักร เอเชีย และแอฟริกาใต้  ข้อตกลงนี้ถือเป็นการที่ SōRSE ได้เข้าสู่ตลาดประเทศไทยและตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  อิมัลชันจะถูกผลิตขึ้นที่โรงงาน 12,000 ตารางเมตรของ Hempagoda ในกรุงเทพฯ

Vaughn Graham ซีอีโอของ Hempagoda ให้ความเห็นว่า: “เนื่องจากประเทศไทยออกกฎหมายให้ใช้กัญชงและ CBD ในอาหารและเครื่องสำอาง จึงได้รับความสนใจมากมายจากทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสำหรับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผสมกัญชา  เราเคยเห็นชาสมุนไพรพื้นฐานและผลิตภัณฑ์ 'ตลาดเริ่มต้น' อื่นๆ ในตลาดไทยมาแล้ว  ด้วยการเป็นพันธมิตรกับ SōRSE เรากำลังเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการและความคิดสร้างสรรค์ของผู้ผลิตชาวไทยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครที่น่าตื่นเต้นและรสชาติที่ยอดเยี่ยมที่ขับเคลื่อนโดย SōRSE”

โซลูชันที่ละลายน้ำได้ของ SōRSE เปิดตัวที่ Cannabis Business Asia 2022 เมื่อวันที่ 23 และ 24 มีนาคมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นงานชั้นนำด้านการพัฒนาตลาดกัญชงและกัญชาทางการแพทย์ในเอเชีย  Tim O'Neill รองประธานฝ่ายตลาดต่างประเทศของ SōRSE และ Vaughn Graham ซีอีโอของ Hempagoda ได้นำเสนอในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มีนาคมในหัวข้อ “วิธีการรวม Cannabinoids เข้ากับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคปลายทาง”

Howard Lee ซีอีโอของ SōRSE ให้ความเห็นว่า “การเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับทั้งบริษัทและพันธมิตรของเราในการขยายเข้าสู่ตลาดระดับภูมิภาคสำหรับผลิตภัณฑ์ผสมกัญชงและกัญชา ประเทศไทยกำลังปูทางให้ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียได้พิจารณาถึงประโยชน์ของการมีผลิตภัณฑ์กัญชงและกัญชาสำหรับผู้บริโภค  เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะเป็นบริษัทอเมริกันแห่งแรกที่มีสินค้าออกสู่ตลาดไทย โดยเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทำงานหนักทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติดีและปลอดภัย”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดในประเทศไทย ติดต่อ SōRSE ได้ที่นี่

เกี่ยวกับ SōRSE Technology

SōRSE Technology เป็นเทคโนโลยีอิมัลชันที่ละลายน้ำได้ชั้นนำสำหรับการผสมส่วนผสมที่มีประโยชน์ในเครื่องดื่ม อาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์สำอาง  SōRSE ออกแบบมาเพื่อสร้างส่วนผสมที่ทำงานจากน้ำมันที่ละลายน้ำได้เพื่อการผสานที่เรียบง่ายและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังให้ประสบการณ์ที่สม่ำเสมอ ปลอดภัย และสนุกสนานแก่ผู้บริโภค  ด้วยทีม R&D และทีมปฏิบัติการกว่า 30 คน SōRSE เป็นผู้ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ชั้นนำมากกว่า 100 รายการ รวมถึง Cann, Jones Soda, Mad Tasty, Aprch และ Major.  SōRSE Technology มีจำหน่ายในอเมริกาเหนือ แอฟริกาใต้ อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป และเอเชีย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดไปที่ www.sorsetech.com

เกี่ยวกับ HEMPAGODA

บริษัท Hempagoda ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย เป็นธุรกิจกัญชาแบบบูรณาการในแนวตั้ง  กิจกรรมทางธุรกิจ ได้แก่ การเพาะปลูก สกัด การผลิตส่วนผสม CPG ที่มีมูลค่าเพิ่ม และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่น่าตื่นเต้น ตลอดจนการขายและการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ  การเพาะปลูกรวมถึงสัญญาการทำฟาร์มร่วมกับเกษตรกรชาวไทย ตลอดจนพื้นที่ปลูกและผลิตในที่ร่มขนาด 12,000 ตารางเมตรในกรุงเทพฯ  ผลิตภัณฑ์โดย Hempagoda ที่จะวางจำหน่ายในปี 2565 ได้แก่

  • เครื่องดื่ม อาหาร และยาทาที่ผสมกัญชาและรูปแบบอื่นๆ
  • แป้ง
  • ชีวมวล
  • สารสกัดคุณภาพสูง
  • อิมัลชันที่ละลายน้ำได้ของ SōRSE

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดไปที่ www.hempagoda.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220405005298/en/

ติดต่อ:

SōRSE Technology
Tim O'Neill
VP of International Markets
Tim@sorsetech.com

Hempagoda
Vaughn Graham
CEO และผู้ก่อตั้ง Hempagoda
vaughn@hempagoda.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Daigas Gas and Power Solution ได้รับงานออกแบบวิศวกรรม (FEED) พร้อมคว้าสัญญาบริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคสำหรับโครงการขยายสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลวในไต้หวัน

Logo

โอซาก้า, ญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–6 เมษายน 2565

Daigas Gas and Power Solution Co., Ltd. (DGPS) ซึ่ง Osaka Gas Co., Ltd. (OG) (TOKYO:9532) เป็นผู้ถือหุ้น 100% ได้รับงานออกแบบวิศวกรรม (Front End Engineering & Design หรือ FEED) และบริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคสำหรับโครงการขยายสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลว Taichung เฟส 4 ซึ่งมี CPC Corporation, Taiwan (CPC) เป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการ

LNG Tanks in CPC Taichung LNG Receiving Terminal (Phase-2) (Photo: Business Wire)

ถัง LNG ในสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลว Taichung ของ CPC (เฟส 2) (ภาพ: Business Wire)

ที่ผ่านมา รัฐบาลไต้หวันได้ออกนโยบายด้านพลังงานโดยตั้งเป้าให้มีการค่อย ๆ หยุดการใช้พลังงานนิวเคลียร์และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ภายใต้นโยบายพลังงานนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนของก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าให้ได้ 50% ภายในปี 2568 ขณะที่ CPC ก็อยู่ระหว่างขยายการแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG และความจุในการจัดเก็บควบคู่ไปกับแผนดังกล่าว

โครงการขยายในเฟส 4 ประกอบด้วยการสร้างถังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว 4 ถัง (แต่ละถังมีความจุ 180,000 กิโลลิตร) โรงแปรสภาพก๊าซ และท่าเทียบเรือสำหรับถังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว หลังโครงการแล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ในปี 2572 ศักยภาพในการจัดการ LNG ของคลังจัดเก็บก๊าซธรรมชาติ Taichung จะเพิ่มเป็น 13 ล้านตันต่อปี(*1)

Osaka Gas สะสมทักษะและโนว์ฮาวในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลวอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยผ่านประสบการณ์ที่ได้จากสถานีรับระดับโลกของบริษัทเองนับตั้งแต่การมาถึงของสินค้า LNG ครั้งแรกในปี 2515

ประสบการณ์ด้านธุรกิจของ DGPS กับ CPC เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 2533 เมื่อ Osaka Gas Engineering Co., Ltd. (หรือ OGE ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น DGPS) ได้ให้บริการด้านเทคนิคสำหรับการเริ่มก่อสร้างสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลว Yung-An ของ CPC นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา OGE/DGPS ได้สร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกับ CPC ผ่านการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในสถานีรับ LNG ของ CPC รวมถึงบริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคอย่างต่อเนื่องสำหรับการก่อสร้างสถานีรับ LNG แห่งที่ 3 ของ CPC ใน Guantang ของเมือง Taoyuan(*2) DGPS เชื่อว่าความสามารถทางเทคนิคของ Daigas Group ในการออกแบบ ก่อสร้าง และบริหารจัดการสถานีรับ LNG รวมถึงความพยายามอย่างไม่ลดละและการเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการก่อนหน้านี้เป็นปัจจัยหลักที่ CPC นำมาใช้พิจารณาเพื่อเลือกบริการการออกแบบทางวิศวกรรม (FEED) ของ DGPS และสัญญาบริการให้คำปรึกษาทางเทคนิคสำหรับโครงการขยายในระยะที่ 4 DGPS มุ่งมั่นที่จะมอบบริการด้านเทคนิคระดับสูง (*3) ให้กับ CPC อย่างต่อเนื่องเพื่อให้โครงการขยายสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลว Taichung ในเฟส 4 แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์

Daigas Group รวมถึง DGPS จะขยายธุรกิจด้านพลังงานในต่างประเทศจากต้นน้ำถึงปลายน้ำโดยใช้ประสบการณ์จากทั้งในและนอกญี่ปุ่นรวมถึงแพลตฟอร์มทางธุรกิจในต่างประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างเต็มรูปแบบ

(*1)

อ้างอิงจากข้อมูลใน “Feasibility Study Report on Taichung plant outer port expansion (Phase-4)”

(*2)

“Osaka Gas Engineering to Provide Consulting Services on Construction of LNG Receiving Terminals in Taiwan” – ข่าวประชาสัมพันธ์ของ Osaka Gas Co., Ltd. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561

(*3)

DGPS ได้ให้บริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง การดำเนินการ และการบำรุงรักษาสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลว 40 โครงการใน 9 ประเทศ รวมถึงไต้หวัน

ดูภาพ/แกลเลอรีมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52630340/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

HINAKO MATSUO
OSAKA GAS CO., LTD.
ฝ่ายสื่อสารองค์กร 
อีเมล: hin-matsuo@osakagas.co.jp


Glamhive ประกาศการประชุมสุดยอด Glamhive Live Style & Beauty ระดับนานาชาติครั้งแรก นำเสนอโดย Mary Kay Global Design Studio

Logo

Stephanie Sprangers ผู้ก่อตั้ง Glamhive ร่วมงานกับนักออกแบบสไตลิสต์ชื่อดัง Nicole Chavez เพื่อรวบรวมผู้นำในอุตสาหกรรมเพื่อหารือเกี่ยวกับสไตล์และความงาม ณ กรุงลอนดอน

ลอสแองเจลิสและซีแอตเทิล–(BUSINESS WIRE)–5 เม.ย. 2565

การมารวมตัวกันเป็นชุมชนด้านสไตล์เล็ก ๆ ในตอนแรกเริ่ม ได้เติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในการรวมตัวที่ใหญ่ที่สุดของชุมชนด้านสไตล์ทั่วโลกในปัจจุบัน ตอนนี้ Glamhive's Spring Style and Beauty Summit หรือ การประชุมสุดยอดสไตล์และความงามฤดูใบไม้ผลิของ กำลังกลับอย่างเต็มกำลัง โดยจะเปิดตัวในลอนดอนในวันที่ 23 เมษายน โดย Glamhive และ Mary Kay Design Studio จะเปิดตัวการประชุมสุดยอดครั้งนี้ในรูปแบบผสมผสานประสบการณ์ทางจริงกับตัวและแบบดิจิทัล โดยมีแขกที่ทั้งมาร่วมงานเองและทางออนไลน์ ที่มาจากโรงแรม Bulgari Hotel London สุดเก๋ไก๋ทั้งหมด ทั้งนี้ รายได้ 100% ของการขายตั๋วจะบริจาคให้กับคณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ หรือ International Rescue Committee สำหรับความช่วยเหลือของพวกเขาในยูเครน

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหาเป็นมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220404005192/en/

Stephanie Sprangers, CEO & Founder of Glamhive (Photo: Mary Kay Inc.)

Stephanie Sprangers, CEO และผู้ก่อตั้ง Glamhive (ภาพ: Mary Kay Inc.)

การประชุม Spring Summit ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่แปดของบริษัท และจะรวบรวมผู้นำในอุตสาหกรรมและผู้จัดการด้านลุคของคนดังระดับแนวหน้าอีกครั้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับสไตล์ การสร้างลุคต่าง ๆ การจัดหาเงินทุน ตลอดจนถึงการเริ่มทำธุรกิจ อนาคตของแฟชั่น และอื่น ๆ อีกมากมาย

งานที่ใช้ตั๋วเข้าร่วมได้ตลอดทั้งวัน จะประกอบด้วย 6 ห้องสนทนา พร้อมกับวิทยากรมากกว่า 25 ราย เนื้อหาด้านล่างนี้คือภาพรวมของหัวข้อที่จะมีการสนทนาโดยวิทยากรระดับรวมดาว

หัวข้อ:

  • The London Perspective (มุมมองของลอนดอน)
  • Unstoppable: Ladies Who Launch (ฉุดไม่อยู่: ผู้หญิงที่เริ่มกิจการ)
  • Tea With British Vogue’s Dena Giannini (จิบชากับ Dena Giannini แห่ง British Vogue)
  • Brand Yourself: Growing Your Personal Brand (สร้างแบรนด์ให้กับตัวเอง: ขยายแบรนด์ของคุณเอง)
  • How To Make A Statement With Your Style (วิธีสร้างสไตล์ของคุณ)
  • The Future Of Fashion (อนาคตของแฟชั่น)

พิธีกรร่วม

STEPHANIE SPRANGERS – ผู้ก่อตั้งและ CEO, Glamhive

NICOLE CHAVEZ – สไตลิสต์คนดังของ Kristen Bell และ Jessica Simpson

วิทยากร:

วิทยากรของเราคือสไตลิสต์คนดัง ช่างแต่งหน้า และผู้สร้างลุคที่ทำงานร่วมกับคนดังในฮอลลีวูดและที่อื่น ๆ ได้แก่:

สไตลิสต์คนดัง: Nicole Chavez กับ Zadrian Smith

ช่างแต่งหน้าคนดัง: Christian Wood กับ Tania Grier

บรรณาธิการ: Dena Giannini (British Vogue) และ Brian Underwood (O Magazine)

ตั๋วเข้าชมการประชุมราคา 149 ปอนด์สำหรับตั๋วเข้างานด้วยตัวเองตลอดวัน และ 45 ปอนด์สำหรับตั๋วเข้างานออนไลน์ ผู้สนับสนุนการนำเสนองาน Glamhive LIVE Spring Style and Beauty Summit  ได้แก่ Mary Kay และ Mary Kay Global Design Studio และ Bulgari Hotels

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.glamhive.com/live-upcoming

เกี่ยวกับ Glamhive: Glamhive ก่อตั้งขึ้นโดย Stephanie Sprangers ผู้ประกอบการในปี 2560 โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้การตกแต่งเสริมสไตล์เข้าถึงปัจเจกชน และยังมีหลักการว่า ความเชื่อมั่นที่มาพร้อมกับความเย้ายวนใจไม่ควรเป็นเฉพาะของคนรวยและคนดังเท่านั้น

ประสบการณ์การจัดแต่งทรงผมออนไลน์ช่วยให้ทุกคนที่มี WiFi ได้พบกับสไตลิสต์ที่จะให้การสนับสนุนแก่พวกเขาเพื่อสร้างเวอร์ชันที่ดีที่สุดของพวกเขา แพลตฟอร์ม Glamhive เป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่ไร้รอยต่อสำหรับสไตลิสต์ เพื่อช่วยให้พวกเขาขยายเครือข่ายและธุรกิจของพวกเขาได้บนโลกออนไลน์ 100%

เกี่ยวกับ Mary Kay

ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉีกกฎเกณฑ์รูปแบบเดิม ได้ก่อตั้งบริษัทด้านความงามของเธอเมื่อ 57 ปี ก่อนในปี 2506 โดยมีเป้าหมายสามประการ คือ มอบโอกาสที่คุ้มค่าสำหรับผู้หญิง ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ และการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น ความฝันดังกล่าวได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยมีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ยังทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัยเครื่องสำอางค์สี น้ำหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงและครอบครัวด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลกโดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง การปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงภายในครัวเรือน การทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และการส่งเสริมเด็ก ๆให้ทำตามความฝันของตน ดังนั้นวิสัยทัศน์อันดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ในคอนเซปท์ก้าวไปด้วยกันทีละลิปสติก ยังคงส่องสว่างนำทางต่อไป อ่านเพิ่มเติมที่marykayglobal.com และที่ Facebook, Instagram, LinkedIn, ติดตามเราที่ Twitter

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220404005192/en/

ติดต่อ:

Stephanie Sprangers

stephanie@glamhive.com

+1.206.851.0446

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย








Bartek ประกาศการก่อสร้างโรงงานผลิตกรดมาลิกและกรดฟูมาริกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Logo

โครงการจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 และเพิ่มกำลังการผลิตที่มีอยู่ของบริษัทเป็นสองเท่าตัว

สโตนนีย์ครีก, ออนแทรีโอ–(BUSINESS WIRE)–5 เมษายน 2565

Bartek Ingredient ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานแบบการเติบโตในแนวดิ่งที่ทันสมัย ซึ่งจะกลายเป็นโรงงานผลิตกรดฟูมาริกเกรดอาหารและกรดมาลิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 โครงการมูลค่า 160 ล้านดอลลาร์จะเพิ่มกำลังการผลิตของ Bartek เป็นสองเท่าตัว และทำให้ตำแหน่งของบริษัทขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในด้านกรดมาลิกและกรดฟูมาริก

Bartek คาดว่าจะมีการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้จะสนับสนุนการเติบโตของกรดมาลิกและกรดฟูมาริกในอีกหลายปีข้างหน้า โรงงานแห่งใหม่นี้จะสามารถขยายได้เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเช่น เกลือเสริมสารอาหารและบัฟเฟอร์ และปริมาณของกรดมาลิกและกรดฟูมาริกเพิ่มเติม

WSP Global ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นผู้นำด้านการก่อสร้างและการออกแบบสำหรับโครงการนี้

เกี่ยวกับ Bartek Ingredients

Bartek Ingredient Inc. เป็นผู้ผลิตกรดมาลิก กรดฟูมาริก และมาลิกแอนไฮไดรด์ชั้นนำ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2512 Bartek มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สโตนนีย์ครีก รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา มีพนักงาน 150 คนในโรงงานผลิตสองแห่งในออนแทรีโอตอนใต้ โรงงานของ Bartek ได้รับการขึ้นทะเบียนตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 Bartek ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน BRC Global Standard for Food Safety และจัดจำหน่ายไปยังกว่า 40 ประเทศทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bartek สามารถเยี่ยมชมได้ที่ bartek.ca/

เกี่ยวกับ TorQuest Partners

TorQuest Partners เป็นผู้จัดการกองทุนไพรเวทอิควิตี้ในแคนาดา ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2545 ด้วยเงินทุนภายใต้การบริหารมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์แคนาดา TorQuest ลงทุนในบริษัทตลาดระดับกลางและทำงานเป็นพันธมิตรอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายบริหารเพื่อสร้างมูลค่า หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ TorQuest Partners สามารถเยี่ยมชมได้ที่ torquest.com/

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220404005874/en/

ติดต่อ:

Erin Robbins
MarketPlace
erin.robbins@market-pl.com
+1-314-366-3562

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Black & Veatch และ The Green Solutions ลงนาม MoU เพื่อพัฒนาการผลิตพลังงานสีเขียวในเวียดนาม

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–4 เมษายน 2565

Black & Veatch และ The Green Solutions (TGS) ได้ลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เพื่อพัฒนาการผลิตและการจัดหาไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียวในเวียดนาม

TGS เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผลิต และการบริการของโครงการพลังงานหมุนเวียน และเป็นผู้นำในการใช้ประโยชน์จากพลังงานสีเขียวในเวียดนามเพื่อนำไปผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียว Black & Veatch เป็นผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน ได้นำความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีของพลังงานสะอาดและการแปรรูปแอมโมเนียมาสู่โครงการ

“The Green Solutions มีความมุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในด้านพลังงานหมุนเวียนในเวียดนาม และการเป็นพันธมิตรกับ Black & Veatch จะทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนแนวปฏิบัติให้ดีที่สุดในโลกพร้อมกับสอดคล้องกับข้อกำหนดของเอเชีย และมีส่วนสนับสนุนต่อโครงการที่ปลอดจากจากปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของภูมิภาคในอนาคต” Winnie Huynh ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ TGS กล่าว

ไฮโดรเจนสามารถนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า การจัดเก็บพลังงาน และโซลูชั่นการขนส่งขั้นสูง ในขณะที่แอมโมเนียสามารถทำให้เป็นของเหลวสำหรับการจัดเก็บและการขนส่งทั่วโลก ซึ่งสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจำนวนมากเพื่อผลิตไฟฟ้าหรือสารเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ

ภายใต้ MoU โดย Black & Veatch และ TGS ตั้งเป้าที่จะผลิตแอมโมเนียสีเขียวจำนวน 180,000 ตันและไฮโดรเจนสีเขียวจำนวน 30,000 ตันต่อปี เพื่อสนับสนุนความพยายามในการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับภูมิภาค

TGS ได้แต่งตั้ง Black & Veatch เพื่อศึกษาการผลิตและการเก็บรักษาไฮโดรเจนสีเขียวในเวียดนามโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมที่จ่ายผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้า การศึกษายังรวมถึงการพัฒนาโรงงานผลิตแอมโมเนียสีเขียว ตลอดจนการกำหนดค่าโรงงานและการทบทวนเทคโนโลยี ความเสี่ยงในการวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและการบรรเทาผลกระทบเบื้องต้น การออกแบบแนวคิด การประเมินต้นทุนตามลำดับความสำคัญ และการคำนวณต้นทุนที่ปรับระดับได้ Augustus Global Investments จะจัดหาเงินทุนเพื่อการพัฒนาเบื้องต้นสำหรับโครงการนี้

“ด้วยประวัติศาสตร์ 80 ปีของเราในการทำงานกับการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียในอุตสาหกรรมปุ๋ย ความพร้อมที่จะนำความความรู้ความเชี่ยวชาญในทุกขั้นตอนของโครงการด้านไฮโดรเจน ตั้งแต่การให้บริการเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคและการออกแบบไปจนถึงการดำเนินงานของโครงการ ในฐานะที่เป็นบุกเบิกในการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจรของไฮโดรเจนและแอมโมเนีย Black & Veatch เองก็มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่จะมุ่งเน้นด้านความยั่งยืนอย่างเช่น The Green Solutions ในขณะที่เราเองก็ยังมีเป้าหมายที่จะช่วยในการลดการปล่อยคาร์บอนในเอเชียด้วยการเพิ่มการนำเอาไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียวมาใช้” Narsingh Chaudhary รองประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Black & Veatch กล่าว

“Augustus ผสมผสานปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) เข้ากับกระบวนการลงทุนและการจัดการที่หลากหลายของเรา เรายินดีที่จะสนับสนุนธุรกิจที่คิดถึงอนาคตอย่างเช่น The Green Solutions และ Black & Veatch ที่พวกเขาทำงานเพื่อตระหนักถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการกำจัดคาร์บอนของเอเชีย” Fadi Krikor ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Augustus Global Investments กล่าว

MoU ตอบสนองต่อการมองโลกในทางที่ดีของเอเชียสำหรับเชื้อเพลิงสีเขียวอย่างเช่น ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย ตามผลรายงาน Black & Veatch’s 2022 Asia Electric Report ร้อยละ 73 ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าไฮโดรเจนจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนภายใน 10 ปีนับจากนี้มากกว่าเทคโนโลยีอื่นใด นอกจากนี้ผลรายงานยังเผยว่าร้อยละ 46 คิดว่าจะเป็นทางเลือกที่สะอาดและราคาไม่แพงสำหรับการผลิตก๊าซภายในปี 2573

ในฐานะที่เป็นพันธมิตรด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลก Black & Veatch มีประสบการณ์ที่แข็งแกร่งในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและวัตถุดิบตั้งต้นจากก๊าซธรรมชาติ การบำบัดน้ำสำหรับงานอุตสาหกรรม การสร้างและการทำให้บริสุทธิ์ของไฮโดรเจน การบีบอัดไฮโดรเจน การจัดการและการผลิตพลังงาน และการเลือกเทคโนโลยีการจัดเก็บที่คุ้มค่า

คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดภาพที่สนับสนุน

หมายเหตุของบรรณาธิการ:

  • Black & Veatch ได้รับเลือกให้เป็น Owner's Engineer โดย Intermountain Power Agency (IPA) สำหรับโครงการ Intermountain Power Project Renewal Project (IPPRP) ซึ่งเป็นหนึ่งในการติดตั้งของเทคโนโลยีกังหันแบบเผาไหม้ที่แรกซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้ไฮโดรเจนสีเขียวในปริมาณสูง
  • Black & Veatch ได้จัดเตรียมการออกแบบแนวความคิดและดำเนินการประเมินต้นทุนสำหรับการรวมก๊าซไฮโดรเจนจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียงเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการเผาไหม้ในโรงงานไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม Long Ridge Energy Terminal 485-MW GE 7HA.02
  • Black & Veatch ได้รับการคัดเลือกจาก Enegix Energy ให้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฮโดรเจนสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก world’s largest green hydrogen plant โรงงานแห่งนี้ตั้งเป้าหมายการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวมากกว่า 600 ล้านกิโลกรัมต่อปี

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch คือบริษัทออกแบบด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่มีพนักงาน 100 เปอร์เซ็นต์ร่วมเป็นเจ้าของ มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2458 เป็นต้นมา เราได้ช่วยลูกค้าของเราพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยการพัฒนาความยืดหยุ่น และคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญท ในปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมในการดำเนินงานกว่า 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และทางสื่อสังคม

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220328005361/en/

ติดต่อ:

EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com
24-HOUR MEDIA HOTLINE | +1 855-999-5991

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

งาน Women’s Entrepreneurship Accelerator ในการประชุมครั้งที่ 66 ของคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรีเรียกร้องให้ลงทุนในผู้ประกอบการสตรีเพื่อจัดการแก้ปัญหากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

Logo

ผู้ประกอบการสตรีคือโซลูชันผู้นำแบบตัวคูณในการสร้างอนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน

นิวยอร์ก & เจนีวา–(BUSINESS WIRE)–31 มีนาคม 2565

การตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่บรรจบกันระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศ โดยเมื่อวันที่ 18 มีนาคม Women's Entrepreneurship Accelerator (WEA) ได้รวบรวมผู้แทนอาวุโสของผู้ก่อตั้งที่เป็นพันธมิตรเพื่อหารือเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของผู้ประกอบการสตรีในการเป็นผู้นำในการปรับตัว การบรรเทาและการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิธีที่ผู้ประกอบการสตรีมีส่วนร่วมในฐานะผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในการสร้างสังคมที่ยั่งยืนและครอบคลุมมากขึ้นสำหรับทุกคน

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220331005276/en/

WEA Event at CSW66 “Investing in Women Entrepreneurs to Tackle Climate Change” (Photo: Mary Kay Inc.)

งาน WEA ที่ CSW66 “การลงทุนในผู้ประกอบการสตรีเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (ภาพ: Mary Kay Inc.)

งาน CSW เน้นย้ำถึงความสำคัญที่เป็นพิเศษของผู้ประกอบการสตรีในฐานะตัวขับเคลื่อนหลักในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านโครงสร้างและวัฒนธรรมต่อโอกาสทางเศรษฐกิจของสตรี และวิธีสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีในฐานะผู้แก้ปัญหาในการขยายขนาดและลงทุนในความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังนำเสนอวิธีในการเร่งโอกาสทางเศรษฐกิจของผู้หญิงผ่านการจัดซื้อจัดจ้างที่ตอบสนองต่อบทบาทหญิงชาย และเรียกร้องให้มีผู้สร้างที่มีความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นในการเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงโดยเร็วสำหรับผู้หญิงทั่วโลกด้วยการเข้าร่วมโครงการ Accelerator

ในอดีตผู้ประกอบการสตรีต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย รวมถึงการขาดการเข้าถึงของเงินทุน เครือข่ายผู้ประกอบการในจำนวนที่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชาย และนโยบายที่กีดกันการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานสตรี1 อุปสรรคเหล่านี้ประกอบขึ้นด้วยกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ผลการศึกษาของธนาคารโลกปี 2565 พบว่าผู้หญิงวัยทำงานเกือบ 2.4 พันล้านคนยังไม่ได้รับสิทธิทางเศรษฐกิจเท่ากับผู้ชาย จาก 190 ภาวะเศรษฐกิจที่ตรวจสอบในการศึกษานี้ มี 178 แห่งยังคงมีอุปสรรคทางกฎหมายที่ขัดขวางการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบของผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงยังคงเผชิญกับการจำกัดงานบางรูปแบบใน 86 ประเทศ โดยมี 95 ประเทศที่ผู้หญิงไม่ได้การรับประกันว่าจะได้รับค่าจ้างเท่ากันกับงานที่ทำเท่าเทียมกัน และมี 76 ประเทศมีกฎหมายที่จำกัดสิทธิสตรีในการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการลดความยากจน2

เพื่อจัดการกับอุปสรรคด้านโครงสร้างและวัฒนธรรมที่ผู้ประกอบการสตรีต้องเผชิญ Women's Entrepreneurship Accelerator ได้เปิดตัวในระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี 2562 โดยร่วมมือกับหน่วยงานของ UN จำนวน 6 แห่งโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยสำหรับผู้ประกอบการสตรีในขณะที่เพิ่มผลกระทบต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนให้สูงสุด

เฉพาะหัวข้อของงานในข้อมูลเผยให้เห็นว่าผู้ประกอบการสตรีสามารถมองการลงทุนทางธุรกิจที่นอกเหนือไปจากผลตอบแทนทางการเงิน และตระหนักว่าการได้รับผลตอบแทนทางการเงินและผลตอบแทนทางสังคมไม่ได้เกิดพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น ตามรายงานของ Global Entrepreneur Report ประจำปี 2563 โดย BNP Paribas ร้อยละ 54 ของผู้ประกอบการสตรีกล่าวว่านอกเหนือจากรายได้ การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการลงทุนสูงสุด เมื่อเทียบกับผู้ชายเพียงแค่ 41 เปอร์เซ็นต์3

Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay Inc. กล่าวเปิดงาน เรียกร้องให้มีการรื้อปรับปรุงปัญหาและอุปสรรคที่ผู้หญิงต้องเผชิญ และอธิบายว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่การระบุเพศ ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงกำลังมีผลกระทบอย่างหนัก ช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลโดยตรงของความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในโครงสร้างทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่” Ms. Gibbins กล่าวเสริมว่าผู้หญิงอยู่ในแนวหน้าของการตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศและมีมาหลายชั่วอายุคน “ใช้กลยุทธ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ สิ่งที่พวกเขาต้องการในตอนนี้คือการยอมรับความเป็นผู้นำและระบบนิเวศที่เหมาะกับพวกเขา”

Vic Van Vuuren กรรมการฝ่ายบริหารองค์กร องค์การแรงงานระหว่างประเทศ สังเกตว่าการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ย้อนความคืบหน้าในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศได้อย่างไร ได้สรุปว่า “ผู้หญิงมีบทบาทในเศรษฐกิจสีเขียวอยู่แล้วในฐานะผู้ประกอบการ ผู้จัดการ เกษตรกร คนทำงานในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การจัดการของเสีย และพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่าการเข้าถึงของเราไม่เพียงพอ เราต้องการบูรณาการมิติหญิงชายและความเท่าเทียมทางเพศในนโยบายระดับโลก นโยบายธุรกิจ และนโยบายระดับชาติทั้งหมด”

Pamela Coke-Hamilton กรรมการบริหารของ International Trade Centre ตั้งข้อสังเกตว่า “วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดย่อม และขนาดกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเจ้าของโดยผู้หญิง เผชิญกับปัญหาและอุปสรรคในการทำให้การดำเนินธุรกิจของพวกเขายั่งยืนมากขึ้น เราที่ International Trade Center ใช้แนวทางแบบองค์รวมเพื่อสนับสนุนการเป็นผู้ประกอบการของผู้หญิงเพื่อให้แน่ใจว่าผู้หญิงเหล่านั้นมีส่วนทำให้เกิดเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นเศรษฐกิจสีเขียว การสนับสนุนธุรกิจที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของไม่เพียงแต่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงของเราไปสู่ความยั่งยืนอีกด้วย”

Stephen Bereaux รองกรรมการ International Telecommunication เรียกร้องให้มีโอกาสที่เท่าเทียมกันในเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อสร้างผลกระทบที่มากขึ้น เน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นผู้ประกอบการของผู้หญิงในการสร้างโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม ยุติธรรม และครอบคลุมสำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน “ถ้าผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วมได้ แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและรูปแบบธุรกิจจะขยายตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” Mr. Bereaux กล่าวสรุป

Haoliang Xu ผู้ช่วยเลขาธิการและกรรมการ Bureau for Policy and Programme Support ของ United Nations Development Programme ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูสู่โลกสีเขียวอย่างทั่วถึง กล่าวถึงว่า “UNDP เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าเรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรุ่นของเรา และเราต้องสร้างมันกลับมาให้ดียิ่งขึ้น เราต้องทำมันให้ถูกต้องสำหรับผู้หญิงในรุ่นต่อ ๆ ไปที่จะมาถึง”

Sanda Ojiambo กรรมการบริหารและซีอีโอของ United Nations Global Compact กล่าวถึงพลังของภาคส่วนเอกชนในความท้าทายความเชื่อหรือหลักปฏิบัติที่มาแต่ดั้งเดิม และนั่น “สำหรับการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและความเป็นธรรมของสภาพอากาศที่จะกลายเป็นความจริง ผู้ประกอบการสตรีควรได้รับความเท่าเทียมและรวมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า”

ในแง่ของโซลูชันที่มีประสิทธิภาพ Anita Bhatia ผู้ช่วยเลขาธิการและรองผู้อำนวยการบริหารของ UN Women เรียกร้องให้มีการจัดซื้อจัดจ้างที่ตอบสนองต่อบทบาทหญิงชายให้มากขึ้นซึ่ง “กำหนดมาตรฐานระดับสูงสำหรับผู้จัดหาสินค้าและบริการเพื่อที่จะบอกว่าเราต้องการซื้อเท่านั้นหรือส่วนใหญ่มาจากธุรกิจที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของ นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้หญิงเพราะช่วยให้พวกเขาได้ยืนหยัดและช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาเติบโตในห่วงโซ่อุปทาน”

เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการที่มากขึ้นและการเป็นพันธมิตรแบบข้ามภาคส่วนที่มากขึ้น Aldijana Šišić ประธานเจ้าหน้าที่ Multi-Stakeholder Partnerships and Engagement ที่ UN Women กล่าวถึงการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกันซึ่งจำเป็นในการตอบสนองและจัดการกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ “การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงแค่การปกป้องโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการกำจัดอุปสรรคเพื่อความก้าวหน้าอีกด้วย รัฐวิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดย่อมและขนาดกลางที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของและเป็นผู้นำได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นกุญแจสำคัญในการจัดหาโซลูชั่นด้านสภาพอากาศ เราต้องเร่งดำเนินการและต้องลงทุนเพิ่มมากขึ้น”

การดูแลงานประชุม Elizabeth Vazquez ประธาน ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง WEConnect International เรียกร้องว่า “ผู้หญิงคิดเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก เป็นเจ้าของจำนวน 33 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจส่วนตัวทั้งหมด แต่มีรายได้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของการใช้จ่ายทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการจากองค์กรขนาดใหญ่” หากจะบรรลุเป้าหมายระดับโลกภายในปี 2573 Ms. Vazquez ได้กระตุ้นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่า “ต้องดำเนินการด้วยความตั้งใจ ด้วยความเร่งด่วน และเป็นพันธมิตรซึ่งกันและกัน และให้ดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้น”

สามารถดูบันทึกของงานประชุมได้ที่นี่

เกี่ยวกับ Women’s Entrepreneurship Accelerator

Women's Entrepreneurship Accelerator (WEA) เป็นโครงการริเริ่มแบบหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายเกี่ยวกับผู้ประกอบการสตรีที่ตั้งขึ้นในช่วง UNGA 74 โดยมีหน่วยงานขององค์กรสหประชาชาติหกแห่ง ได้แก่ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC) สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (UNGC) องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และ Mary Kay Inc. จะเพิ่มพลังให้ผู้ประกอบการสตรี 5 ล้านคนภายในปี 2573

เป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้คือการเพิ่มผลกระทบด้านการพัฒนาของผู้ประกอบการสตรีให้มากที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยสำหรับผู้ประกอบการสตรีทั่วโลก โครงการ Accelerator เป็นตัวอย่างของพลังในการเปลี่ยนแปลงของการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพื่อควบคุมศักยภาพของผู้ประกอบการสตรี เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ we-accelerate ติดตามเราได้ที่: Twitter (We_Accelerator), Instagram (@we_accelerator), Facebook (@womensentrepreneurshipaccelerator), LinkedIn (@womensentrepreneurshipaccelerator)

_____________________________
1 https://www.oecd.org/cfe/smes/Policy-Brief-on-Women-s-Entrepreneurship.pdf
2 World Bank Group. 2022.Women, Business and the Law 2022. Washington, DC: World Bank.
3 BNP Paribas Global Entrepreneur & Family Report 2021.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220331005276/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
(+1) 972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


ฟีเจอร์ใหม่ของ NFT Gallery จากลิงก์ “aboutme” ใน Bio Tool ตอบสนองความต้องการของนักสะสม NFT ที่จะแสดงคอลเล็กชันของตนด้วยการผสานรวมกับ OpenSea API ทำให้จัดแสดงคอลเลคชัน NFT ของคุณได้ง่ายขึ้น

Logo

https://aboutme.style/

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–31 มีนาคม 2565

วันที่ 31 มีนาคม 2565 Bloom&Co. Corporation (สำนักงานใหญ่: ชิบูยะ โตเกียว ญี่ปุ่น) ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “NFT Gallery*” จาก “aboutme” ซึ่งเป็นลิงก์ในผลิตภัณฑ์ไบโอสำหรับอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ ทั้งนี้ “aboutme” ได้รับการพัฒนาและเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อเฉลิมฉลองความสามารถที่สร้างสรรค์และขยายความเป็นไปได้สำหรับบุคคลในการแสดงออกในยุคใหม่ของความเป็นปัจเจกเอกลักษณ์ ฟีเจอร์ใหม่นี้จะทำให้ครีเอเตอร์มีวิธีเพิ่มเติมในการแสดงผลงานและสื่อสารกับผู้ชมได้อย่างแท้จริง

*โดยขณะนี้สามารถทำงานร่วมกันได้กับเว็บเบราว์เซอร์และระบบแอนดรอยด์

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220328005951/en/

aboutme-NFT Gallery

aboutme-NFT Gallery

การแสดงคอลเล็กชัน NFT ของคุณใน NFT Gallery สามารถทำได้ผ่านการผสานรวมอย่างราบรื่นกับตลาดซื้อขาย NFT ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง OpenSea

NFT ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และด้วยอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์จำนวนมากที่ขยายเข้าสู่พื้นที่อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขายังคงสำรวจวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จาก NFT ของตน

“aboutme” ช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จาก NFT Gallery นี้เพื่อแสดงกิจกรรม NFT ของคุณโดยผสมผสานและรักษาความสอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ ตัวละคร และบุคลิกภาพของคุณบนโซเชียลมีเดีย

ด้วยการเชื่อมโยงกับ OpenSea ผ่าน API ซึ่งเป็นตลาดซื้อขาย NFT ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คุณสามารถแสดงคอลเลกชัน NFT ของคุณจาก OpenSea ได้บนหน้าเพจ 'aboutme' ของคุณ และทำให้ผู้ติดตามของคุณทุกคนสามารถเข้าดูโดยทันที การเข้าถึง NFTs ของคุณทำได้ง่าย ๆ เพียงคลิกเดียวสำหรับผู้ติดตามของคุณ

ฟีเจอร์ของฟังก์ชัน “NFT Gallery” ใหม่

#1 ทันทีที่เห็นคอลเล็กชัน NFT ของคุณ

คุณสามารถแสดงคอลเล็กชัน NFT ในโปรไฟล์ของคุณได้ตามที่คุณต้องการโดยเลือกและเปลี่ยนลำดับการแสดงผล ชิ้นงานศิลปะ NFT จะถูกนำเข้าโดยอัตโนมัติจาก OpenSea และแสดงด้วยสัญลักษณ์ NFT

#2 การผสานรวม API กับ OpenSea ซึ่งเป็นตลาดซื้อขาย NFT ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การแสดง NFT ของคุณนั้นง่ายสุด ๆ และรวดเร็ว การใช้ประโยชน์จากกระเป๋าเงินของคุณเพื่อดำเนินการนำเข้าให้เสร็จสิ้นในคราวเดียวโดยไม่ต้องยุ่งยาก

#3 การรวมพลังร่วมกันกับกิจกรรมและลิงก์อื่น ๆ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับคอลเล็กชัน NFT ของคุณ

เพิ่มความน่าดึงดูดใจให้กับงานของคุณโดยเชื่อมโยงกิจกรรมทั้งหมดของคุณแบบองค์รวมในโซเชียลมีเดีย พื้นที่เสมือนจริง และการโฆษณาที่ผ่านมา ฯลฯ

“aboutme” คืออะไร

ลิงก์ที่ง่ายและสะดวกในหน้าเพจไบโอที่คุณสามารถสร้างบนโทรศัพท์ของคุณ พร้อมแบ่งปันในไม่กี่นาที

เรียบง่ายและใช้งานง่าย สิ่งที่คุณต้องทำคือเพียงแค่เลือกหรือออกแบบธีมสีที่คุณเลือก แล้ววางลิงก์และรูปภาพที่คุณต้องการแชร์

แสดงตัวตนของคุณและแบ่งปันความประทับใจที่คุณต้องการมอบให้ โอกาสใหม่ ๆ ในการแสดงออกจะเริ่มเปิดเผยได้โดยทันทีด้วยคำว่า “aboutme”

ออกแบบหน้า “aboutme” ของคุณเพื่อสื่อสารอย่างกล้าหาญและอย่างจริงใจ ปล่อยให้ผู้ติดตามของคุณค้นพบข้อเสนอของคุณด้วยลิงก์ที่ไม่ซ้ำใครที่หลากหลาย รูปภาพและไอคอนที่มีอยู่ถัดจากลิงก์ของคุณเป็นตัวเปิดใช้งานที่ยอดเยี่ยมในการกำหนดโทนเสียงที่แท้จริงและการแสดงออกถึงความเป็นตัวคุณบน “aboutme” การแสดงคอลเล็กชัน NFT นั้นทำได้ง่ายและไม่เหมือนใครด้วย 'aboutme' ผ่านการผสานรวม OpenSea API

วิธีปรับแต่งรูปลักษณ์และความรู้สึกของหน้าเพจ “aboutme” ของคุณแบบไม่จำกัด!

คุณต้องการเลือกธีมสีที่สวยงามจากชุดที่มีอยู่ หรือปรับแต่ง “aboutme” ของคุณตามที่คุณรู้สึกหรือไม่? เลือกธีมที่ตรงกับอารมณ์หรือความประทับใจและการออกแบบที่ต้องการ มีตัวเลือกให้แบบไม่จำกัด

ดาวน์โหลด URLs

Browser version: https://aboutme.style/
App Store : https://apps.apple.com/app/id1573524704
Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=jp.fctry.aboutme

ข้อมูลภาพอ้างอิง

คุณสามารถดาวน์โหลดได้จากลิงก์ต่อไปนี้
Google Drive: https://l.aboutme.style/PesiMv   

[ข้อมูลบริษัท Bloom&Co. Company]

ชื่อบริษัท : Bloom&Co.
ที่อยู่ : F-201 Hillside Terrace, 18-8 Sarugaku-cho, Shibuya-ku, Tokyo, Japan

Official site : https://aboutme.style/
Instagram : https://www.instagram.com/aboutme.style_official/
Official aboutme : aboutme.style/aboutme

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220328005951/en/

กรุณาติดต่อสอบถามสำหรับข้อมูลนี้ได้ที่
Bloom&Co. Public Relations: Yuriko Shimizu
อีเมล์ : pr@bloom-and-co.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Texas Chicken™ Malaysia ได้รับรางวัล Silver Putra Brand Award เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

Logo

แบรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วภาคภูมิใจในการยอมรับจากผู้บริโภคด้านบริการคุณภาพสูงที่ไม่สิ้นสุด

แอตแลนตา–(บิสิเนสไวร์)–30 มี.ค. 2565

Texas Chicken™ หนึ่งในเครือข่ายร้านอาหารขายไก่จานด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความภูมิใจที่จะประกาศว่า Texas Chicken (Malaysia) SDN BHD ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Envictus International Holdings Limited ได้รับรางวัล Silver Award ในมาเลเซีย ในหมวด “ร้านอาหารและฟาสต์ฟู้ด” ในงาน ประกาศรางวัล Putra Brand Awards ซึ่งเป็นองค์กรอุตสาหกรรมที่ยกย่องแบรนด์สำหรับความมุ่งมั่นอันยอดเยี่ยมของลูกค้า เป็นปีที่สองติดต่อกัน หรือที่เรียกว่า “รางวัล People's Choice”  ผู้ชนะจะถูกกำหนดโดยผู้บริโภคชาวมาเลเซียที่โหวตให้แบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบผ่านการสำรวจออนไลน์  การได้รับการยอมรับอันทรงเกียรตินี้เป็นแรงผลักดันที่ดีให้กับแบรนด์ในขณะที่พยายามยกระดับประสบการณ์ร้านอาหารที่ให้บริการรวดเร็วและเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งสำคัญที่ 100 ของ Texas Chicken™ ก่อนสิ้นปี 2022 และวันครบรอบ 10 ปีในมาเลเซียที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคมปีหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220323005007/en/

โดยก้าวไปข้างหน้าในช่วงการฟื้นตัวทั่วโลก Texas Chicken™ ได้รับคำชมอย่างกระตือรือร้นจากผู้บริโภคสำหรับบริการที่สม่ำเสมอและไม่มีใครเทียบได้  อาหารคุณภาพเสิร์ฟในร้านอาหาร 85 แห่งทั่วมาเลเซีย ความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันสิ้นสุดในการจัดหาอาหารรสชาติเยี่ยมและประสบการณ์การรับประทานอาหารอย่างรวดเร็วในบรรยากาศสบาย ๆ และเพื่อได้รับการชื่นชมจากแขกที่มาใช้บริการบ่อยๆ เช่น Tender Strips®  ปิ้งมือและห่อขนมปัง  ไก่ดั้งเดิมและรสเผ็ดที่สดและกรอบ Mexicana Burger and Wrap บิสกิตเนยน้ำผึ้งที่ทำจากมือและเครื่องเคียงที่อร่อยมากมาย

“ถือเป็นเกียรติอย่างเหลือเชื่อสำหรับ Texas Chicken™ ที่จะได้รับรางวัล Silver Putra Brand Award และเราขอยกย่อง Envictus ในความมุ่งมั่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” Russ Sumrall รองประธานอาวุโสฝ่ายการพัฒนายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ กล่าว “ในขณะที่เราขยายธุรกิจไปทั่วโลก เราจะยังคงรับฟังลูกค้าของเราและมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ทั้งที่นี่และทั่วโลก”

ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการเติบโตและเพื่อให้เป็นไปตามความคาดหวังของผู้บริโภคต่อไป แบรนด์จึงได้ริเริ่มโครงการริเริ่มหลายอย่าง เช่น การเพิ่มจำนวนร้านอาหารที่ขับรถรับออเดอร์ได้ ขยายบริการจัดส่งอาหาร และเสนอข้อเสนอพิเศษตลอดจนการเพิ่มนวัตกรรมในเมนู เช่น Fire Dragon Burger ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากและรวบรวมกระแสโซเชียลและทำลายประมาณการยอดขายเบื้องต้น

“ในฐานะแบรนด์ที่ค่อนข้างใหม่ในกลุ่มร้านอาหารที่มีการแข่งขันสูงในมาเลเซีย การได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารชั้นนำในประเทศถือเป็นความสำเร็จที่เหลือเชื่ออย่างแท้จริง สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่ารสชาติเท็กซัสในตำนานนั้นโดนใจผู้บริโภคในท้องถิ่น เนื่องจากพวกเขาได้ให้คะแนนความเชื่อมั่นแก่เรา” Dato' Jaya Tan ประธานกรรมการบริหารของ Envictus กล่าว “เราน้อมรับความท้าทายในการสร้างความตื่นเต้นสำหรับแขกที่กระหายความหลากหลายและประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่ไม่เหมือนใคร ในขณะที่พึ่งพามรดกอันล้ำลึกของแบรนด์ Texas Chicken ซึ่งบ่งบอกถึงบริการแท้จริงและรสชาติที่เข้มข้น”

Texas Chicken™ แห่งแรกของมาเลเซีย เปิดตัวในปี 2013 และแบรนด์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะนำรสชาติเท็กซัสในตำนานมาสู่สถานที่ใหม่ๆ มากขึ้น ขณะเดียวกันก็มอบโอกาสในการเติบโตในสายงานและอาชีพ Sumrall กล่าวเสริมว่า “ธุรกิจ Texas Chicken ของเราในมาเลเซียเป็นตัวแทนที่ยอดเยี่ยมสำหรับแบรนด์ของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจะทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการขยาย Texas Chicken ไปยังจีน ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และอีกมากมาย!”

เกี่ยวกับ Church's Texas Chicken® / Texas Chicken™

ก่อตั้งขึ้นใน San Antonio, TX ในปี 1952 โดย George W. Church, Church's Chicken พร้อมด้วยแบรนด์ในเครือของ Texas Chicken และ Church’s Texas Chicken นอกสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในเครือข่ายร้านอาหารไก่จานด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก  แบรนด์ที่เชี่ยวชาญด้านไก่ออริจินัลและสไปซี่ที่ปรุงสดใหม่ตลอดทั้งวันและขนมปังสองชั้น Tender Strips® แซนวิช บิสกิตเนยน้ำผึ้งที่ทำขึ้นเองและอบสดใหม่ และสไตล์โฮมเมดคลาสสิก ทั้งหมดในราคาที่คุ้มค่า  Church’s Chicken, Texas Chicken และ Church’s Texas Chicken มีสถานที่ตั้งมากกว่า 1,500 แห่งใน 26 ประเทศและตลาดทั่วโลกและยอดขายทั้งระบบมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์  สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ  Texas Chicken® หรือ Church’s Texas Chicken โปรดไปที่ churchstexaschicken.com และ texaschicken.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220323005007/en/

สื่อ:
Marie Espinel
+1 917-846-9456
mespinel@lakpr.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Thai Herald

Thai Herald