Category Archives: Featured

Guru IoT พัฒนาวีลแชร์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบดิจิทัลสำหรับผู้ด้อยโอกาส

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2564

Guru IoT (ประธาน Song Su-han) ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ Internet-of-Things จากเกาหลีกล่าวว่า ขณะนี้พวกเขากำลังพัฒนาระบบเคลื่อนที่อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองโดยใช้ข้อมูลแผนที่ดิจิทัลแฝด หรือ digital-twin map data

เนื่องจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งใช้ในการเคลื่อนที่ด้วยตนเองนั้นใช้เซ็นเซอร์ LiDAR เพื่อสร้างแผนที่แบบเรียลไทม์จึงไม่สามารถผลิตขึ้นสำหรับตลาดมวลชน (mass market) ได้ แต่รถวีลแชร์แบบขับเคลื่อนด้วยตนเองที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแผนที่ 3 มิติแบบดิจิทัลซึ่งอยู่ภายใต้การพัฒนาของ Guru IoT ได้ใช้เทคโนโลยีในการซิงโครไนซ์ข้อมูลแผนที่ที่เซิร์ฟเวอร์จัดเก็บภายในช่วงเวลาหนึ่งในเซิร์ฟเวอร์ซึ่งสามารถใช้แทนที่ข้อมูลเซ็นเซอร์ พร้อม ๆ ไปกับการปรับปรุงความแม่นยำในการขับขี่ด้วยตนเองด้วยการปรับเปลี่ยนข้อมูลเซ็นเซอร์

วีลแชร์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองของ Guru IoT สามารถนำทางผ่านฝูงชนหรือสิ่งกีดขวางทางกายภาพได้โดยการลดความเร็ว การหลีกเลี่ยงอุปสรรค และการหยุด นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเช่นฟังก์ชั่นป้องกันการสั่นสะเทือนและการพลิกคว่ำที่ไม่มีในรถเข็นไฟฟ้าอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น รถเข็นหุ่นยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองสามารถรักษาความเร็วคงที่บนทางลาดชันโดยการให้คนขับดึงด้วยสองมือ หากผู้ขับขี่สูญเสียการยึดเกาะรถเข็นจะหยุดเอง

วีลแชร์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้เพิ่มความปลอดภัยด้วยการเพิ่มคุณสมบัติต่าง ๆ เช่นการบำรุงรักษาระยะปลอดภัยการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเบรกฉุกเฉินและสัญญาณเตือนการทำงานผิดปกติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยตนเองตามที่กระทรวงที่ดินและการขนส่งเสนอ ตลอดจนการตรวจสอบเส้นทางผ่านข้อมูลที่ซิงโครไนซ์กับเซิร์ฟเวอร์อีกด้วย

Song Su-han ประธาน Guru IoT กล่าวว่า“ วีลแชร์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองของเราเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการแสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์และมนุษย์สามารถทำงานร่วมกันได้ดีจากมุมมองด้านการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ พวกเราที่ Guru IoT จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้นด้วยการผสมผสานแนวคิดดี ๆ เข้ากับเทคโนโลยีที่เรากำลังพัฒนาอยู่ “

ติดต่อ:

Guru IoT Co., Ltd.

Seongsu Yeo

+82-2-6953-9610

ssyeo@guruiot.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

หุ่นยนต์ดูแลสัตว์เลี้ยง PEDDY ดึงดูดความสนใจจากเจ้าของสัตว์เลี้ยง

Logo

โซล เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–18 กุมภาพันธ์ 2564

PEDDY หุ่นยนต์ดูแลสัตว์เลี้ยงที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีค่าของพวกเขา

ตามที่สถาบันเศรษฐกิจชนบทของเกาหลี (KREI) ระบุว่าตลาดที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงในปี 2564 จะสูงขึ้นถึง 3,000.2 พันล้านวอนจาก 2,332.2 พันล้านวอนในปี 2560 ตลาดจะเติบโตเป็น 4,173.9 พันล้านวอนในปี 2565 และเป็น 6,005.5 พันล้านวอนภายในปี 2570 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสำหรับช่วงปี 2564-2570 อยู่ที่ประมาณ 14.5%

หุ่นยนต์ดูแลสัตว์เลี้ยงที่พัฒนาโดย Guru IoT เป็นบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ IoT ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นที่ดีสำหรับแมวและสุนัขที่บ้าน โดยหลังจากวางสมาร์ทโฟนบนหุ่นยนต์และสร้างการเชื่อมต่อผ่านแอปแล้วจะมีฟังก์ชันการทำงานทั้งหมดของสมาร์ทโฟนเช่น วิดีโอแชทแบบเรียลไทม์ การบันทึกการเล่นวิดีโอเล่นซ้ำ การเล่นเพลงซ้ำ และการถ่ายภาพ ซึ่งมีอยู่ในหุ่นยนต์

นอกจากนี้ยังสามารถให้อาหารสัตว์เลี้ยงในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามจำนวนที่ต้องการ ด้วยเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับอุณหภูมิ ความชื้น และเสียง โดยหุ่นยนต์สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว หรือจากเสียงเห่าของสุนัขหรือแมวเหมียวได้

เจ้าหน้าที่ของ Guru IoT กล่าวว่า “เนื่องจากจำนวนเจ้าของสัตว์เลี้ยงในเกาหลีมีมากกว่า 10 ล้านคน ระดับความนิยมของเครื่องใช้สัตว์เลี้ยงจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้ เราขอแนะนำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงตัดสินใจซื้อหุ่นยนต์ดูแลสัตว์เลี้ยง PEDDY สำหรับให้เป็นเพื่อนของพวกเขา”

หุ่นยนต์พี่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง PEDDY มีอยู่บนเว็บไซต์ของ Guru IoT (https://en.guruiot.com/)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

Guru IoT Co., Ltd.
Seongsu Yeo
+82-2-6953-9610
ssyeo@guruiot.com

SYNERGY & iNube ร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลและ E-insurance แบบใหม่มาสู่ธุรกิจประกันภัย

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–18 กุมภาพันธ์ 2564

SYNERGY Strategic Solutions Limited ผู้ให้บริการด้านการให้คำปรึกษาด้านดิจิทัลและอินชัวร์เทคในฮ่องกงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ iNube Software Solutions Pvt. Ltd. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชันการประกันภัยดิจิทัล เพื่อขยายข้อเสนอปัจจุบันสำหรับการประกันภัยด้วยผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเฉพาะกลุ่มและแพลตฟอร์มการประกันภัยรายย่อย (micro-insurance) ที่เปิดใช้งานผ่านสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Insurance)

ความร่วมมือกับ iNube ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ SYNERGY สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริการให้คำปรึกษาเท่านั้น แต่ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และโซลูชันสำเร็จรูปให้กับบริษัทประกันภัยทั่วฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เวียดนาม และไทย ด้วยความร่วมมือครั้งนี้หลายบริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นระหว่าง 20%-30% ตามเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า

ในส่วนของความร่วมมือดังกล่าว Pradeep Satya ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง SYNERGY กล่าวว่า “ด้วยเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในทุก ๆ ด้านของธุรกิจประกันภัย บริษัทประกันภัยแบบเดิมได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการเร่งการเดินทางสู่ดิจิทัลเพื่อให้ยังคงสามารถแข่งขันได้ในธุรกิจประกันภัยนี้ โดยยังมีความจำเป็นที่ต้องพัฒนาสำหรับโซลูชันหลักแบบแยกส่วน (Modular) และแนวคิดในการทำงานยุคใหม่ที่เน้นการตัดสินใจและทำงานอย่างรวดเร็ว (Agile) เรามองหาผลิตภัณฑ์หลักที่กำหนดค่าได้ง่าย ปรับใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และดูแลรักษาง่าย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ iNube เหมาะสมอย่างยิ่งกับเรา ในขณะที่ลูกค้าของเราได้เริ่มต้นช่องทางการกระจายแบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แสดงความสนใจที่ตรงหรือใกล้เคียง (affinity) และ อีคอมเมิร์ซ (e-commerce) เราตั้งใจที่จะร่วมกันสร้างโซลูชันที่ดีที่สุดในระดับเดียวกันและหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เป็นพันธมิตรในการสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าของเรา”

Vinodkumar A Iyer ประธานบริหารของ iNube Software Solutions ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนกล่าวว่า “เมื่อรวมกับความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมประกันภัย ทำให้ iNube ได้นำเสนอโซลูชันซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยซึ่งมีความสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบริษัทประกันภัย ด้วยความร่วมมือครั้งนี้ iNube จะใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้ในการเสริมสร้างสถานะในตลาดเอเชียและการค้นหาลูกค้าใหม่ สำหรับกลุ่ม Digital Insurance Solutions ของเรานั้นเมื่อรวมกับคำแนะนำของ SYNERGY ในด้านนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา พวกเรามั่นใจในการร่างแผนงานที่จะช่วยให้เราเพิ่มคุณค่าและประโยชน์ให้กับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น เราตื่นเต้นมากกับความร่วมมือครั้งนี้และหวังว่าจะได้นำเสนอคุณค่าและประโยชน์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับธุรกิจประกันภัย”

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อเราที่ media@synergysolutions.asia

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210218005638/en/

ติดต่อ

Anita Bhat
media@synergysolutions.asia

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

“Aman Residences Tokyo” และแบรนด์โรงแรมใหม่ “Janu Tokyo”“ ไฮไลท์โครงการพัฒนาเมืองโทราโนมอน-อาซาบุได

Logo

Mori Building และ Aman Resorts จับมือเป็นพันธมิตรเพื่อโครงการพัฒนาครั้งสำคัญใจกลางโตเกียว

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–18 ก.พ. 2564

Mori Building Co., Ltd. ผู้พัฒนาภูมิทัศน์เมืองชั้นนำของญี่ปุ่นประกาศการร่วมมือกับ Aman ผู้ให้บริการโรงแรมและรีสอร์ทหรูระดับโลกในโครงการ Toranomon-Azabudai Urban Redevelopment ซึ่งโครงการฟื้นฟูชีวิตชีวาให้แก่พื้นที่ขนาดใหญ่ในใจกลางกรุงโตเกียวที่จะแล้วเสร็จในปี 2566  ผลลัพธ์หลักสองประการของการเป็นหุ้นส่วนคือโครงการที่อยู่อาศัย Aman Residences, Tokyo และโรงแรมหรู Janu Tokyo ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือของ Aman และถือเป็นการเปิดตัวแบรนด์ Janu ในญี่ปุ่น

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210217006076/en/

Toranomon-Azabudai Project (image) (Graphic: Business Wire)

โครงการโทราโนมอน-อาซาบุได (ภาพ) (กราฟิก: บิสิเนสไวร์)

Shingo Tsuji ประธานและซีอีโอของ Mori Building กล่าวว่า “โตเกียวต้องเสริมสร้างแรงดึงดูดของตนหากจะประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับเมืองใหญ่อื่นในโลก  Mori Building ได้จับมือกับ Aman ซึ่งดำเนินธุรกิจรีสอร์ตระดับโลกที่หลากหลายเพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยและโรงแรมชั้นนำระดับโลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในโตเกียว ซึ่งผู้คนจะได้สัมผัสความกลมกลืนกับธรรมชาติ รวมถึงพบปะและสร้างแรงบันดาลใจที่สร้างสรรค์ให้แก่กัน  ด้วยการตระหนักถึง “สุขภาพในเมือง” Mori Building จะช่วยเพิ่มแรงดึงดูดของโตเกียว “

Vladislav Doronin ประธานและซีอีโอของ Aman และ Janu กล่าวว่า “การเปิดตัว Aman Residences ในเมืองแห่งแรกในญี่ปุ่นถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Aman และพูดถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างแบรนด์ของเรากับประเทศนี้ซึ่งมีวัฒนธรรมที่วิเศษอย่างเหลือเชื่อ  การทำงานร่วมกับนักพัฒนาชั้นนำ Mori Building และการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโทราโนมอน-อาซาบุไดเป็นโครงการพัฒนาที่ห้าของ Aman ในญี่ปุ่น ซึ่งนำเสนอที่พักพึงสำหรับเจ้าของ รวมถึงการเข้าถึงวิถีชีวิตแนว Aman  นอกจากนี้ยังเป็นการปูทางให้แก่ Janu Tokyo  ในศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมและศิลปะนี้ เราอยากเชื่อมโยงแขกกับใจกลางชุมชนที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้และเปิดโอกาสให้กับการแสดงออกที่สร้างสรรค์”

Aman Residences, Tokyo – ประสบการณ์การอยู่อาศัยในเมืองที่ไม่มีใครเทียบได้

Aman Residences, Tokyo จะตั้งอยู่บนชั้น 54–64 ของ A District Tower ที่มีความสูง 330 เมตร โดยมีที่พัก 91 แห่งตามแบรนด์ของโรงแรมพร้อมบริการพิเศษรวมถึง Aman Spa สำหรับผู้พักอาศัยเท่านั้น (ขนาด 1,400 ตร.ม.)  บริการที่อบอุ่นและราบรื่นอันเป็นเอกลักษณ์ของ Aman จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเพลิดเพลินไปกับวิถีชีวิตที่เงียบสงบท่ามกลางวิวมหานครโตเกียวที่มีชีวิตชีวา  การออกแบบสถาปัตยกรรมตึกระฟ้าเป็นผลงานชั้นยอดของ Pelli Clarke Pelli Architects (สหรัฐอเมริกา) และการออกแบบภายในได้รับการสร้างสรรค์โดย Yabu Pushelberg (แคนาดา)

Janu Tokyo – แบรนด์ในเครือของ Amanเปิดตัวในญี่ปุ่น

Janu แบรนด์โรงแรมหรูของ Aman จะเปิดตัวในญี่ปุ่นกับ Janu Tokyo บนชั้น 1–13 ใน B-2 District Tower โรงแรมแห่งนี้ออกแบบโดย Denniston (มาเลเซีย) ภายใต้การนำของ Jean-Michel Gathy  นอกจากนี้ห้องพักสุดหรูทั้ง 120 ห้องมอบวิวของโซนกลางที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม Janu Tokyo จะมีสปาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ( 3,500 ตร.ม.) พร้อมศูนย์ออกกำลังกาย ห้องอาหาร 6 แห่ง รวมถึงคาเฟ่และบาร์สำหรับการพักผ่อนและการสังสรรค์ทางธุรกิจ  Janu Tokyo จะต้อนรับแขกจากทั่วโลก

เกี่ยวกับ Aman

Aman ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างสถานที่พักผ่อนที่เป็นส่วนตัวพร้อมการต้อนรับที่อบอุ่นและราบรื่นในแนวของบ้านส่วนตัวที่สง่างาม  Amanpuri (สถานที่แห่งความสงบสุข) แห่งแรกได้เปิดตัวแนวคิดของตนในภูเก็ต ประเทศไทยและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Aman ได้เติบโตขึ้นจนครอบคลุมโรงแรมและรีสอร์ทอันเงียบสงบ 33 แห่งในจุดหมายปลายทาง 20 แห่งทั่วโลก โดยมีอีก 7 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง  Aman ที่ต่อไปที่จะเปิดคือ Aman New York.  ในปี 2563 ได้มีการเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่ชื่อ Janu ซึ่งมีความหมายว่า จิตวิญญาณ' ในภาษาสันสกฤต  Janu นำเสนอบริการที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นที่ที่มีการปฏิสัมพันธ์อย่างแท้จริงระหว่างผู้คน การตกแต่งแนวสนุกสนาน และสุขภาพทางสังคมเป็นหัวใจหลักของประสบการณ์  Janu มีเป้าหมายที่จะสร้างความสมดุลระหว่างสมองและหัวใจและจุดประกายให้กับจิตวิญญาณกลับมาอีกครั้ง  Janu เตรียมเปิดตัวโรงแรมถึงสามแห่งซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ที่มอนเตเนโกร (2022) อัลอูลาในซาอุดีอาระเบีย (2565) และโตเกียว (2566) รวมถึงโครงการหลายแห่งในอนาคต

เกี่ยวกับ Mori Building

Mori Building เป็นผู้พัฒนาเมืองแห่งนวัตกรรมที่ตั้งอยู่ในโตเกียว  บริษัทมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างแรงดึงดูดของเมืองโดยการสร้างและดูแลศูนย์กลางเมืองให้ปลอดภัย ยั่งยืน และเป็นสากลตามแนวคิด Vertical Garden City ที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับอาคารพาณิชย์ การศึกษา การพักผ่อนและที่อยู่อาศัย  แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในโครงการระดับแนวหน้าของบริษัทหลายโครงการเช่น ARK Hills, Roppongi Hills และ Toranomon Hills ในโตเกียวและ Shanghai World Financial Center. Mori Building ยังดำเนินธุรกิจด้านการเช่าอสังหาริมทรัพย์ การบริหารโครงการ และการให้คำปรึกษา โปรดเยี่ยมชม www.mori.co.jp/en

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

ข่าวประชาสัมพันธ์ “Mori Building เปิดตัวโครงการฟอร์มยักษ์เพื่อฟื้นฟูใจกลางเมืองโตเกียว” เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2019:
https://www.mori.co.jp/en/img/ article / 190822.pdf

รายละเอียดโครงการ Toranomon-Azabudai: https://www.mori.co.jp/en/projects/toranomon_azabudai/img/fact_book.pdf

รูปและวีดีโอ Toranomon-Azabudai Project: https://www.youtube. com / watch? v = 5akVE7tWOto & feature = emb_logoบิล

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210217006076/en/

สอบถามข้อมูลสำหรับสื่อต่างประเทศ
Public Relations, Mori Building Co., Ltd. (ฝ่ายประชาสัมพันธ์)
Saori Asano
โทร +81 (0)3 6406 6606
แฟกซ์ +81 (0)3 6406 9306 
อีเมล koho@mori.co.jp 

Weber Shandwick Japan
Reina Matsushita (โทร: +81 (0)80 2375 0295),
Mayuko Harada (โทร: +81 (0)90 9006 4968)
หรือ Masashi Nonaka (โทร: +81 (0)80 1037 7879)
อีเมล moribldg@webershandwick.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย



Toshiba เปิดตัวฮาร์ดดิสก์ซีรีส์ MG09 ขนาดความจุ 18TB

Logo

ดีไซน์แบบ 9 ดิสก์เจเนอเรชันที่ 3 ที่ใช้ฮีเลียมปิดผนึกและนวัตกรรมการบันทึกที่นำพลังงานเข้ามาช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากความหนาแน่นของการจัดเก็บข้อมูลและประสิทธิภาพด้านพลังงานในระดับใหม่

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–18 กุมภาพันธ์ 2564

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (Toshiba) เปิดตัวฮาร์ดดิสก์ ซีรีส์ MG09 ขนาดความจุ 18TB[1]  ซึ่งเป็นฮาร์ดดิสก์รุ่นแรกของ Toshiba ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการบันทึกที่นำพลังงานเข้ามาช่วย (EAMR) ฮาร์ดดิสก์ซีรีส์ MG09 ยังมาพร้อมดีไซน์แบบ 9 ดิสก์ที่ใช้ฮีเลียมปิดผนึกซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ของ Toshiba รวมถึงเทคโนโลยีบันทึกข้อมูลบนแผ่นจานแม่เหล็กด้วยคลื่นไมโครเวฟแบบ Flux Control (FC-MAMR) ที่ล้ำสมัยของ Toshiba เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของการบันทึกข้อมูลบนแผ่นจากแม่เหล็ก (CMR) เป็น 2TB ต่อดิสก์ และทำให้ความจุรวมของฮาร์ดดิสก์สูงถึง 18TB

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยเนื้อหาในรูปแบบมัลติมีเดีย ดูเนื้อหาแบบเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210217006068/en/

Toshiba: 18TB MG09 Series hard disk drives (Photo: Business Wire)

Toshiba: ฮาร์ดดิสก์ซีรีส์ MG09 ความจุ 18TB (รูปภาพ: Business Wire)

การจัดส่งตัวอย่างฮาร์ดดิสก์ซีรีส์ MG09 ความจุ 18TB ให้กับลูกค้าคาดว่าจะสามารถเริ่มได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมของปี 2564 นี้

ฮาร์ดดิสก์ MG09 แบบ CMR ความจุ 18TB นี้มีขนาดความจุเพิ่มขึ้น 12.5% จากรุ่นก่อนหน้าที่มีความจุ 16TB และสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์และระบบปฏิบัตการรุ่นต่าง ๆ ที่ครอบคลุมมากที่สุด ฮาร์ดดิสก์ MG09 ได้รับการปรับเปลี่ยนให้สามารถอ่านและเขียนข้อมูลทั้งแบบสุ่มและเรียงลำดับและรองรับการทำงานในดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งแบบปกติและบนคลาวด์ ประสิทธิภาพของฮารด์ดิสก์รุ่น MG09 อยู่ที่ 7,200rpm อัตราการรองรับภาระงานต่อปี[2] อยู่ที่ 550TB และใช้อินเทอร์เฟส SATA และ SAS ทั้งหมดนี้บรรจุอยู่ในฟอร์มแฟกเตอร์ขนาด 3.5 นิ้ว[3 ที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม ปิดผนึกด้วยฮีเลียม และมีประสิทธิภาพทางพลังงาน

ฮาร์ดดิสก์ซีรีส์ MG09 ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Toshiba ที่ต้องการยกระดับการออกแบบฮาร์ดดิส์ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่ใช้กับเซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานของระบบจัดเก็บทั้งแบบวัตถุและไฟล์ ด้วยประสิทธิภาพด้านพลังงานที่มากขึ้นและความจุที่ 18TB ฮาร์ดดิสก์ซีรีส์ MG09 จึงช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานของระบบจัดเก็บบนคลาวด์พัฒนาความหนาแน่นของหน่วยจัดเก็บให้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนและปรับปรุงต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของหรือ TCO ให้ดีขึ้น ขณะที่การเติบโตข้องข้อมูลยังคงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฮาร์ดดิสก์ MG09 ความจุ 18TB ที่มาพร้อมเทคโนโลยี FC-MAMR จะช่วยผู้ให้บริการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์และนักออกแบบโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลสามารถใช้ประโยชน์จากระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้นได้ในทั้งระบบคลาวด์ ไฮบริดคลาวด์ และแบบ rack-scale ที่ติดตั้งอยู่ ณ สถานที่

“ฮารด์ดิสก์ซีรีส์ MG09 ความจุ 18TB ใหม่จาก Toshiba มาพร้อมกับระดับความหนาแน่นของการจัดเก็บข้อมูลและประสิทธิภาพด้านพลังงานที่พัฒนาขึ้นเพื่อสำหรับลูกค้าโซลูชันระบบคลาวด์และสตอเรจของเราที่ให้ความสำคัญกับเรื่องต้นทุน เทคโนโลยี HDD ความหนาแน่นสูงของเราสามารถตอบโจทย์ทางด้าน TCO ซึ่งมีความสำคัญของลูกค้าได้ในราคาที่แสนประหยัด” Shuji Takaoka ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาดผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลของ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation กล่าว “ดีไซน์แบบ 9 ดิสก์ที่ใช้ฮีเลียมปิดผนึกซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ของเรามีพื้นฐานที่ผ่านการทดสอบภาคสนามเพื่อพัฒนาความจุให้ได้ถึง 18TB การเสริมเทคโนโลยี FC-MAMR ที่ล้ำสมัยของ Toshiba เข้ามาช่วยให้ความจุของฮารด์ดิสก์แบบ CMR เพิ่มสูงขึ้นถึง 18TB สามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์และสภาพแวดล้อมการทำงานได้มากที่สุด”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ โปรดดูที่:
https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/storage/product/data-center-enterprise/cloud-scale-capacity/articles/mg09-series.html

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กลุ่มฮาร์ดดิสก์ของ Toshiba ทั้งหมด โปรดดูที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

[1] คำจำกัดความของความจุ: 1 เทราไบต์ (TB) = 1 ล้านล้านไบต์ อย่างไรก็ตามความจุหน่วยเก็บข้อมูลอาจแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อมการทำงานและการจัดรูปแบบ ความจุในการจัดเก็บ (รวมถึงตัวอย่างของไฟล์สื่อต่าง ๆ) จะแตกต่างกันไปตามขนาดไฟล์ การจัดรูปแบบ การตั้งค่า ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการ และ/หรือแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า หรือเนื้อหาสื่อ ความจุที่ฟอร์แมตจริงอาจแตกต่างกันไป
[2] อัตราการรองรับงานต่อปีคือมาตรวัดข้อมูลตลอดทั้งปี และกำหนดโดยปริมาณของข้อมูลที่เขียน อ่าน หรือตรวจสอบตามคำสั่งของระบบโฮสต์
[3] “3.5 นิ้ว” หมายถึงลักษณะทางกายภาพหรือฟอร์มแฟกเตอร์ของฮาร์ดดิสก์ ซึ่งไม่ได้ระบุขนาดทางกายภาพของไดรฟ์

* ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ รวมถึงราคาและข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูล ณ ปัจจุบันในวันที่ประกาศ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
* ชื่อบริษัท สินค้าและบริการทั้งหมดที่กล่าวถึงในที่นี้อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้น ๆ นั้น

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation เป็นบริษัทใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังและประสบการณ์ นับตั้งแต่แยกตัวออกจากบริษัทเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2560 เราได้ก้าวสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทผู้นำด้านอุปกรณ์ทั่วไป และได้นำเสนอโซลูชันเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ ระบบ LSIs และ ระบบ HDD อันโดดเด่นให้กับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจของเรา
เรามีพนักงานจำนวน 24,000 คนทั่วโลก ซึ่งมีความตั้งใจร่วมกันที่จะเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ของเราให้ถึงระดับสูงสุด และให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์มูลค่าและตลาดใหม่ๆ ร่วมกัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเพิ่มยอดขายต่อปีซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 7.5 แสนล้านเยน (ราว 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ให้สูงขึ้น เพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210217006068/en/

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อ
Motohiro Ajioka
ฝ่ายวางแผนธุรกิจ
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
โทร: +81-3-3457-3576
อีเมล: semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ยานพาหนะสำหรับต่อสู้หรือ Combat Vehicle รุ่น Type-X Robotic ของ Milrem Robotics จะจัดแสดงในงาน IDEX ปี 2564

Logo

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–17 กุมภาพันธ์ 2564

Milrem Robotics ผู้นำด้านการพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะจัดแสดงยานพาหนะสำหรับต่อสู้ รุ่น Type-X Robotic เป็นครั้งแรกในงาน IDEX 2021

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210216006280/en/

The Type-X RCV is designed to support mechanized units and will become an intelligent wingman to main battle tanks and infantry fighting vehicles. (Photo: Business Wire)

Type-X RCV ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนหน่วยยานยนต์และจะกลายเป็นนักบินผู้ขับขี่เครื่องบินในตำแหน่งปีกข้างระบบอัจฉริยะควบคู่ไปกับรถถังหลักและยานพาหนะทหารสำหรับต่อสู้ (Photo: Business Wire)

Type-X RCV ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนหน่วยยานยนต์และจะกลายเป็นนักบินผู้ขับขี่เครื่องบินในตำแหน่งปีกข้างระบบอัจฉริยะควบคู่ไปกับรถถังหลักและยานพาหนะทหารสำหรับต่อสู้ มันจะสามารถรองรับภารกิจที่อันตรายที่สุดได้ ส่งผลให้ความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตลดลง

ยานรบหุ่นยนต์ตัวนี้สามารถติดตั้งปืนใหญ่ได้ถึง 50 มม. ดังนั้นมันจะให้อำนาจการยิงที่เท่าเดิมหรือมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้ยุทธวิธีแบบหน่วยติดตั้งยานรบทหารราบ

“ Type-X ให้วิธีการในการทำลายตำแหน่งป้องกันของศัตรูโดยสร้างความเสี่ยงน้อยที่สุดสำหรับกองทหารของตัวเอง หากรถ RCV สูญหาย การเอารถเข้าไปแทนที่จะเป็นแค่ความยุ่งยากเล็กน้อยทางลอจิสติกส์เท่านั้น แต่จะไม่มีการสูญเสียชีวิต” Kuldar Väärsi ซีอีโอของ Milrem Robotics กล่าว

RCV ของ Milrem Robotics จะมาพร้อมกับฟังก์ชันอัจฉริยะเช่น follow-me, waypoint navigation และการตรวจจับสิ่งกีดขวาง นอกจากนี้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของอัลกอริทึมด้วย อย่างไรก็ตามนวัตกรรมที่แท้จริงในครั้งนี้ได้แก่แนวทางใหม่และสร้างสรรค์ของ Milrem เพื่อให้สามารถควบคุมการทำงานจากระยะไกลด้วยความเร็วที่สูงขึ้นได้

ความเร็วสูงสุดของรถคือ 80 กม. / ชม. บนถนนลาดยางและ 50 กม. / ชม. บนถนนออฟโรด โดยรุ่น Type-X มีน้ำหนักเบา 12 ตันและให้กำลังสูง พร้อมการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ความสามารถในด้านพื้นที่ที่เหนือกว่า และมาพร้อมความสูงแค่ 2.2 ม. และตัวเครื่องยนต์ด้านหลังที่สร้างความร้อนต่ำ

ในการสร้างหุ่นยนต์ Type-X Milrem โดยใช้ความรู้ที่ได้รับจากการพัฒนายานพาหนะภาคพื้นดินไร้คนขับ THeMIS โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนกองทหารที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งนั้น ปัจจุบันนี้ได้ถูกซื้อไปโดยสิบประเทศแล้ว ซึ่งรวมถึงสมาชิก NATO 7 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร เยอรมนี เอสโตเนีย เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา

Milrem Robotics เป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติชั้นนำของยุโรปและเป็นผู้นำของ iMUGS ซึ่งเป็นโครงการ 32,6 ล้านยูโร ที่ได้รับทุนจาก European Defense Industrial Development Program (EDIDP) ของคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อพัฒนาระบบภาคพื้นดินไร้คนขับที่ได้มาตรฐานยุโรป

รถคันนี้จะจัดแสดงที่สแตนด์หมายเลข B18 ของ John Cockerill ในฮอลล์ที่ 12

ชมวิดีโอของ Type-X: https://youtu.be/jQg4PLCZLdY

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน  businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210216006280/en/

ติดต่อ:

Gert Hankewitz

ผู้อำนวยการฝ่ายส่งออก

Gert.hankewitz@milrem.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Spotify ประกาศเพิ่มคณะกรรมการผู้บริหาร

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–16 กุมภาพันธ์ 2564

Spotify (NYSE: SPOT) ประกาศในวันนี้ว่า Mona Sutphen จะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการผู้บริหารของ Spotify ในเดือนเมษายนปี 2564 ที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้ถือหุ้น Ms. Sutphen เป็นที่ปรึกษาภาคเอกชนและเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง/ที่ปรึกษาของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีหลายรายและเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวในสมัยรัฐบาลโอบามา

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210216005146/en/

Mona Sutphen (Photo: Business Wire)

Mona Sutphen (ภาพ: Business Wire)

>

 “Mona ได้สะสมประสบการณ์การทำงานทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยให้คำปรึกษาแก่ผู้นำเกี่ยวกับนโยบายภายในและระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์มหภาคและการค้าระหว่างประเทศ และสิทธิมนุษยชน … และนั่นเป็นเพียงแค่ปัญหาเล็ก ๆ ของปัญหาที่ใหญ่กว่ามาก” Daniel Ek ผู้ก่อตั้ง Spotify ผู้บริหารและประธานคณะกรรมการ กล่าว “Mona จะนำมุมมองใหม่ๆ ที่มีค่ามาสู่คณะกรรมการ ในขณะที่เรามุ่งเน้นที่จะขับเคลื่อนกลยุทธ์ของเราไปข้างหน้าในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วโลก”

 “ดิฉันตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนีงของคณะกรรมการผู้บริหารของ Spotify”  Ms. Sutphen กล่าว “Spotify เป็นพลังแห่งการปฏิวัติและเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่น่าประทับใจในอุตสาหกรรมเพลง โดยการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของเนื้อหาทั่วโลก ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการและการขยายตัวอย่างต่อเนื่องนี้”

Ms. Sutphen ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของ The Vistria Group ซึ่งเป็น บริษัทหุ้นเอกชนในชิคาโกและเป็นที่ปรึกษาร่วมทุนและผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีหลายแห่ง ก่อนหน้านี้เป็นหุ้นส่วนของ Macro Advisory Partners (MAP) ซึ่งเธอนำแนวทางในการปฏิบัติของบริษัทในสหรัฐอเมริกาโดยให้คำปรึกษาแก่บริษัทชั้นนำระดับโลกเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดขึ้นใหม่ในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงการควบคุมแพลตฟอร์มเทคโนโลยี กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด และพลวัตทางการเมืองและกฎระเบียบความเสี่ยงในสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป ก่อนหน้านี้ Ms. Sutphen ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการที่ UBS AG ซึ่งเป็นที่ที่เธอได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆ สำหรับการประเมินความเสี่ยงทางการเมืองที่มีผลกระทบต่อตลาดทุน

ตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2554 เธอดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการฝ่ายนโยบายของประธานาธิบดีบารัค โอบามาในทำเนียบขาวในการพัฒนานโยบายและวาระการกำกับดูแลของฝ่ายบริหารรวมถึงนโยบายด้านเทคโนโลยี และดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาข่าวกรองของประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2556-2559 Ms. Sutphen เป็นกรรมการอิสระของ Patten Energy และเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของ Putnam Mutual Funds เธอเป็นสมาชิกของคณะกรรมการช่วยเหลือระหว่างประเทศและสิทธิมนุษยชน (International Rescue Committee and Human Rights First) และเป็นผู้ดูแลของวิทยาลัย Mount Holyoke ด้วย

การแต่งตั้งขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปีของ Spotify ในวันที่ 21 เมษายน 2564 นี้

เกี่ยวกับ Spotify Technology S.A.

Spotify เป็นผู้ให้บริการสมัครสมาชิกสตรีมเสียงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีคอมมิวนิตีที่มีผู้ใช้งานรายเดือนมากกว่า 345 ล้านคน และสมาชิกระดับพรีเมียม 155 ล้านคน ด้วยการปรากฏตัวใน 93 ตลาดและมากกว่า 70 ล้านเพลงรวมถึงรายการพ็อดคาสท์  2.2 ล้านรายการ เป็นการเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงและสามารถเพลิดเพลินกับเพลงและพ็อดคาสท์ได้

ดูเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210216005146/en/

ติดต่อนักลงทุนสัมพันธ์:
Bryan Goldberg
ir@spotify.com
investors.spotify.com

ติดต่อประชาสัมพันธ์:
Dustee Jenkins
press@spotify.com

แหล่งที่มา: Spotify Technology S.A.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม เข้าซื้อบริษัทนายหน้าภายใต้กลุ่ม CXA หลังจากการเข้าซื้อนี้ บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม กลายมาเป็นนายหน้าผลประโยชน์พนักงานที่ใหญ่เป็นอันดับสามในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–17 กุมภาพันธ์ 2564

บริษัทนายหน้าประกันภัยระดับโลก บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม ได้มีการขยายการลงทุนในเอเชียแปซิฟิกด้วยการเข้าซื้อบริษัทนายหน้าในกลุ่ม CXA  ซึ่งมีการดำเนินงานในประเทศฮ่องกงและสิงคโปร์ โดยกลุ่ม  CXA เป็นบริษัทอินชัวร์เทคที่ออกจากธุรกิจดังกล่าวเพื่อพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจ SaaS ขององค์กรบนระบบคลาวด์ ข้อตกลงการเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564

ที่ผ่านมาธุรกิจอินชัวร์เทคของ CXA นั้นได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานดังนี้ ธนาคาร HSBC บริษัท Singtel Innov8 หน่วยงานด้านการลงทุนของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจสิงคโปร์หรือ EDBI และ B Capital Group บริษัทร่วมลงทุนของผู้ร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊ค อย่าง Eduardo Saverin

การเข้าซื้อบริษัทนายหน้ากลุ่ม CXA ในประเทศฮ่องกงและสิงคโปร์นี้เป็นการลงทุนครั้งสำคัญ สำหรับบริษัท แปซิฟิค ไพร์ม ที่ต้องการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก การซื้อกิจการในครั้งนี้ทำให้บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม สามารถนำเสนอเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นและไม่ซับซ้อน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าทั่วโลกได้อย่างเต็มรูปแบบ

คุณนีล เรย์มอนด์ ซีอีโอของบริษัท แปซิฟิคไพร์ม พอใจกับการลงทุนครั้งนี้ โดยกล่าวว่า “กลุ่ม CXA มีความเชี่ยวชาญที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการใช้เทคโนโลยีพลิกโฉมรูปแบบการดูแลผลประโยชน์ของพนักงาน ซึ่งผมเชื่อว่าการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้เราเป็นนายหน้าผู้จัดหาผลประโยชน์พนักงานที่ใหญ่เป็นอันดับสามในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง หลังจากที่ได้มีการการควบรวมกิจการของ Aon-WTW และ Mercer-JLT การซื้อกิจการครั้งนี้จะขับเคลื่อนเราไปสู่เป้าหมายระยะยาวในการเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของพนักงานระดับโลก”

คุณโรซาริน เชาวน์ คู ซีอีโอของกลุ่ม  CXA กล่าวว่า “เรามั่นใจที่จะให้บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม สานต่อธุรกิจอินชัวร์เทคในประเทศฮ่องกงและสิงคโปร์ เพราะเรามีความมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนธุรกิจเช่นเดียวกัน”

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม เป็นผู้สร้างธุรกิจอินชัวร์เทคของตัวเองขึ้นมาทั้งหมด โดยพนักงาน 15% จากทั้งหมด 600 คนเป็นพนักงานด้านไอที การดำเนินธุรกิจอินชัวร์เทคมีส่วนอย่างมากต่อการเติบโตของ บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีที่บริษัทจะได้รับในการเข้าซื้อกลุ่ม CXA นั้น จะเข้ามาเติมเต็มเทคโนโลยีที่ใช้ภายในของ บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม ได้อย่างมาก และจะช่วยให้ บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม สามารถนำเสนอทางเลือกที่สนับสนุนต่อความต้องการของลูกค้าผลประโยชน์พนักงานโดยมีความยืดหยุ่นให้กับลูกค้าของบริษักไม่ว่าจะเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญหรือธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็ก

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะเข้ามาช่วยสนับสนุนผลประโยชน์พนักงานและเทคโนโลยีการจ่ายผลตอบแทนของ บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม ที่มีอยู่แล้วให้ดีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทีมทรัพยากรบุคคลทั่วโลกลดความซับซ้อนในการบริหารแผนงานภายในองค์กร และสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกที่ระบบมีไว้ให้ รวมถึงการจัดการผลตอบแทนพนักงานได้ทั้งหมด

ข้อมูลเกี่ยวกับ บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม

บริษัท แปซิฟิค ไพร์ม เป็นผู้นำระดับโลกในด้านการประกันภัยองค์กรและผลประโยชน์ของพนักงาน โดยมีสำนักงานมากถึง10 แห่งทั่วโลก บริษัทมีวิธีเฉพาะในการเป็นตัวกลางเจรจาผลประโยชน์พนักงานและสร้างเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้า สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ แปซิฟิค ไพร์ม ได้ที่: https://www.pacificprime.com/corporate.

ข้อมูลเกี่ยวกับ บริษัท CXA Group

CXA Group เป็นแพลตฟอร์มคาดการณ์และวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจรในเอเชีย บริษัทเริ่มธุรกิจอินชัวร์เทคโดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ บริษัทมมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมสุขภาพ ความมั่งคั่ง และเป็นตัวเลือกด้านสุขภาพที่ดีกว่าให้กับบุคคลทั่วไป สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ CXA ได้ที่ https://www.cxagroup.com/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210208005303/en/

ติดต่อ:

Stephen Ho, ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด – Pacific Prime และ Kwiksure,

+852 3589 0508

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ตอบโจทย์ทุกการตรวจวินิจฉัยที่อยู่เพียงปลายนิ้วมาพร้อมจอแสดงภาพอเนกประสงค์ที่มีความละเอียดถึง 12MP

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–17 กุมภาพันธ์ 2564

Barco ผู้นำระดับโลกทางด้านเทคโนโลยีภาพนิทัศน์ (visualization) ได้ออกจอแสดงผลการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ความละเอียด 12MP รุ่นใหม่สำหรับระบบจัดเก็บและรับส่งข้อมูลทางการแพทย์ (PACS) และภาพรังสีเต้านม จอแสดงผล Nio Fusion ที่มีความละเอียด 12MP เป็นคำตอบอย่างดีและมาตรฐานของระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการตรวจวินิจฉัย (diagnostic workstation) ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

จอแสดงผลการตรวจวินิจฉัยตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

Rachel Coxon รองประธานด้านระบบการดูแลสุขภาพแห่ง Barco APAC กล่าวว่า “ความคาดหวังต่อการยกระดับการทำงานของจอแสดงผลการตรวจวินิจฉัยในกลุ่มรังสีแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน มีความคาดหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการตรวจวินิจฉัยสามารถรองรับงานเวชบำบัดได้ทั้งหมดรวมถึงภาพถ่ายของเนื้อเยื่อเต้านมที่มีความหนาแน่นสูง และใช้ได้ต่อเนื่องเพื่อความสะดวกใช้งานง่ายยาวนานในการตรวจวินิจฉัยจากโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานที่ปฏิบัติงานประเภทโฮมออฟฟิศ”

คำตอบของ Barco: Nio Fusion ความละเอียด 12MP
Nio Fusion มาพร้อมจอที่มีความละเอียด 12MP เหมาะสำหรับแสดงภาพถ่ายระบบ PACS จำนวนหลาย ๆ ภาพ และเครื่องมือที่ใช้สำหรับสร้างภาพเต้านมรวมถึงภาพแบบสามมิติ (breast tomosynthesis) การออกแบบของ Fusion ช่วยลดความจำเป็นของการใช้จอแสดงภาพแนวตั้งหลาย ๆ จอ หรือการติดตั้งที่ซับซ้อน ฟังก์ชัน Keyboard-Video-Mouse (KVM) ช่วยให้การต่อระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับจอแสดงผลและการสลับการใช้งานระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่องกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เพียงแค่กดปุ่ม และยังทำให้การกำหนดเวลาและการจัดการระบบคอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องง่าย

ความละเอียดเกรย์สเกลของ Nio Fusion 12MP ได้รับการปรับตามมาตรฐาน Digital Imaging and Communications in Medicine (DICOM) และเทคโนโลยี SteadyColorTM ของ Barco ยังการันตีความสม่ำเสมอของสี แม้จะมีการใช้งานผ่านไปแล้ว Nio Fusion 12MP มีความสว่างที่สูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม และยังได้รับการยกระดับยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี Uniform Luminance เพื่อให้ทุกพื้นที่ของจอภาพมีความสว่างสม่ำเสมอ

ตัวเครื่องของ Nio Fusion 12MP มีความบางเบา และได้รับการออกแบบให้สะท้อนการมองเห็นโดยธรรมชาติของมนุษย์เพื่อลดการเคลื่อนไหวของศีรษะ มือ และตา นอกจากนี้ยังมีระบบ SoftGlowTM และหลอดไฟผนังที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์วัดแสงสว่างโดยรอบและระบบชดเชยแสง รวมถึงสามารถลดอาการปวดตาและอาการเมื่อยล้าของตาเมื่อใช้เป็นเวลานาน

Nio Fusion 12MP ทำงานด้วยระบบควมบคุมจอภาพ Barco MXRT อันทรงพลัง ช่วยให้รังสีแพทย์มีอุปกรณ์สนับสนุนการทำงานแบบครบครัน เช่น SpotViewTM และ RapidFrameTM ที่สามารถเพิ่มความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังได้รับตรา Barco's Eco Product label หลังได้รับค่า ecoscore ระดับ A+ จากประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานของจอภาพที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น บรรจุภัณฑ์ของจอภาพที่มีขนาดกะทัดรัดและสามารถวางซ้อนกันได้ รวมถึงเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับแต่ละภูมิภาคซึ่งช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการสร้างขยะ

Rachel Coxon ได้กล่าวสรุปไว้ว่า “ผู้ใช้ระบบ CIO และ PACS ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ประกันคุณภาพสำหรับการอ่านภาพในเคสที่มีความซับซ้อน ขณะที่ยังต้องจัดการงบประมาณและข้อจำกัดด้านการรับประกันเวลาการทำงานของเครื่องและประสิทธิภาพไปพร้อมกัน Nio Fusion 12MP ยังเป็นการลงทุนที่สามารถรองรับการใช้งานได้ในอนาคตระยะยาวทั้งด้านรังสีวิทยาและการถ่ายภาพรังสีเต้านม และช่วยให้การจัดการอุปกรณ์เป็นเรื่องง่ายรวมถึงลดต้นทุนในการลงทุน ในขณะเดียวกัน ยังช่วยทีมประกันคุณภาพบริหารจัดการคุณภาพและการปฏิบัติตามข้อบังคับต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายไม่เปลืองแรงผ่านระบบประกันคุณภาพอัตโนมัติ เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องของการปฏิบัติตามข้อกำหนดและเวลาทำงานที่ต่อเนื่องของระบบคอมพิวเตอร์สำหรับระบบ PACS”

เกี่ยวกับ Barco
Barco เป็นผู้ออกแบบเทคโนโลยีเพื่อสร้างความสว่างสดใสให้กับทั่วทั้งโลก เรามองเห็นมากกว่าภาพถ่ายและได้พัฒนาโซลูชั่นภาพนิทัศน์และความร่วมมือเพื่อช่วยให้ผู้คนทำงานร่วมกัน แบ่งปันข้อมูล และสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชม ธุรกิจของเรามุ่งเน้นที่สามตลาดหลัก ได้แก่ องค์กร (ตั้งแต่ห้องประชุมและห้องควบคุมไปจนถึงพื้นที่ขององค์กร) การดูแลสุขภาพ (ตั้งแต่แผนกรังสีวิทยาไปจนถึงห้องผ่าตัด) และความบันเทิง (ตั้งแต่โรงภาพยนตร์ไปจนถึงงานแสดงสดและสถานที่น่าสนใจ) ในปี 2562 เราสามารถทำยอดขายได้ถึง 1.083 พันล้านยูโร และมีพนักงานกว่า 3,600 คนทั่วโลก ซึ่งความหลงใหลในเรื่องเทคโนโลยีของพวกเขาถูกถ่ายทอดผ่านงานสิทธิบัตรถึง 400 ชิ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.barco.com

สื่อที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อที่:
Aashna Khurana | M: +91 9999000309 | E: aashna.khurana@barco.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Solidatus แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลรุ่นใหม่ระดมทุนได้ 14 ล้านปอนด์ในรอบ Series A

Logo

  • Solidatus มอบมุมมองของกระแสข้อมูลองค์กรที่ครอบคลุม 360 องศาที่เชื่อถือได้ ทำให้การจัดการข้อมูลเชิงลึกได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
  • Solidatus ได้ระดมทุน 14 ล้านปอนด์ในรอบ Series A หลังปีที่ประสบความสำเร็จ โดยเติบโตขึ้นสองเท่า มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า และกระตุ้นการขยายตัวสู่ตลาดที่รวมถึงสหรัฐอเมริกาและเอเชีย
  • กองทุน B2B ของ AlbionVC เป็นผู้นำในรอบนี้ซึ่งรวมถึงลูกค้าองค์กรระดับโลกของ Solidatus สองรายคือ HSBC และ Citi

ลอนดอน–(บิสิเนสไวร์)–16 ก.พ. 2564

Solidatus บริษัทจัดการข้อมูลและเมทาดาต้าที่ได้รับรางวัลประกาศว่าได้ระดมทุน 14 ล้านปอนด์ ($19.2m+) ในการระดมทุนรอบ Series A เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการที่องค์กรทำความเข้าใจและจัดการข้อมูล  AlbionVC เป็นผู้นำในรอบนี้ซึ่งรวมถึง HSBC Ventures และ Citi ลูกค้าองค์กรระดับโลกสองรายของ Solidatus ข้อตกลงนี้นำโดย Emil Gigov และ Jay Wilson จาก AlbionVC โดย Jay Wilson เข้าร่วมคณะกรรมการบริหาร Solidatus หลังจากการลงทุน

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210215005028/en/

L-R Solidatus co-founders Philip Miller and Philip Dutton (Photo: Business Wire)

ผู้ร่วมก่อตั้ง LR Solidatus Philip Miller และ Philip Dutton (รูปภาพ: บิสิเนสไวร์)

Solidatus ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการและสร้างรายได้กับข้อมูลของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกกำลังจัดการกับจุดข้อมูลที่ซับซ้อนและแนวทางของ Solidatus ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับวิธีการแบบเดิม  ลูกค้ารวมถึงบริษัทการเงิน เภสัชกรรม และที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกกำลังใช้ซอฟต์แวร์เพื่อแสดงภาพและทำความเข้าใจฐานข้อมูลของตนโดยใช้ประโยชน์จากความสามารถในการติดตามข้อมูลผ่านองค์กรเพื่อขับเคลื่อนระบบธุรกิจอัจฉริยะ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

ปีที่แล้วถือเป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของบริษัท โดย Solidatus เติบโตขึ้นกว่าสองเท่า เพิ่มรายได้เป็นสี่เท่าในขณะที่ยังคงรักษาผลกำไร  จากความสำเร็จดังกล่าวทางบริษัทยังกลายเป็นผู้เข้าร่วมใหม่เพียงรายเดียวของ Gartner Magic Quadrant ในด้านการจัดการข้อมูลเมทาดาต้า ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับตำแหน่งนี้  ทางบริษัทได้ขยายไปสู่ภาคส่วนใหม่ๆ มากมาย รวมถึงการบินและอวกาศ การผลิต การสื่อสารโทรคมนาคม และรัฐบาลและมีลูกค้าเป็นธนาคารที่สำคัญระดับโลก (GSIB) 4 ใน 10 อันดับแรกในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา   นอกจากนี้ Solidatus ยังได้รับรางวัล Best Data Governance Solution จาก Data Management Insights และยังเข้าร่วม RegTech 100 อีกเช่นกัน

การลงทุน Series A ได้มีหุ้นส่วน AlbionVC และหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ HSBC เข้าร่วม Citi เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ของ Solidatus ในการปฏิวัติวิศวกรรมข้อมูล จุดมุ่งหมายคือเร่งแผนการขยายตัวทั่วโลกและเข้าตลาดใหม่รวมถึงสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชียรวมทั้งส่งมอบความสามารถในการจัดการข้อมูลที่ดีที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ

Kate Platonova ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลและสถาปัตยกรรม HSBC กล่าวว่า “ในฐานะธนาคารรายใหญ่ระดับโลก เราจัดการข้อมูลเมทาดาต้าขององค์กรที่ซับซ้อน  ด้วยความร่วมมือกับ Solidatus เราได้ปรับปรุงขั้นตอนการทำงานบางส่วนของเราอย่างมากโดยลดทั้งความเสี่ยงและระยะเวลาสู่ตลาดสำหรับโปรแกรมระดับนานาชาติที่สำคัญบางโปรแกรมของเรา  เทคโนโลยีกราฟของพวกเขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้  เนื่องจากการจัดการข้อมูลเมทาดาต้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ เราเชื่อว่า Solidatus จะมีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นต่อ HSBC ในอนาคต”

Philip Dutton ผู้ร่วมก่อตั้ง Solidatus กล่าวว่า “Solidatus ถูกสร้างขึ้นเพื่อปฏิวัติเศรษฐกิจข้อมูล การปิดรอบ Series A เป็นการยืนยันว่าเราได้ออกแบบโซลูชันที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนขององค์กรที่มีข้อมูลจำนวนมาก โดยนำเสนอโซลูชันที่ทันสมัย คล่องตัว และขยายขนาดได้  เรารอคอยที่จะทำงานร่วมกับนักลงทุนของเราเพื่อเร่งการส่งมอบการเปลี่ยนแปลงองค์กรและการควบคุมไปยังตลาดใหม่และลูกค้าตามความมุ่งมั่นต่อมาตรฐานการบริการสูงสุดซึ่งเป็นกุญแจสำคัญใของ Solidatus”

Philip Miller ผู้ร่วมก่อตั้ง Solidatus กล่าวว่า “การมีธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกสองรายเป็นลูกค้าและนักลงทุนในการระดมทุนรอบแรกของเรานั้นเป็นการตอกย้ำความเชื่อในความสามารถของ Solidatus ในการส่งมอบคุณค่าในบริการทางการเงินในระดับองค์กร  เราหวังว่าจะได้ร่วมงานกับผู้ลงทุนของเราทุกรายเพื่อช่วยให้ Solidatus ก้าวไปสู่นวัตกรรมและการเติบโต”

Jay Wilson นักลงทุนจาก AlbionVC และสมาชิกในคณะกรรมการ Solidatus กล่าวว่า “ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของฐานข้อมูลขององค์กรและการรับรู้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นทำให้การจัดการข้อมูลกลายเป็นประเด็นสำคัญ  Solidatus ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมนี้ และเรายินดีที่จะเป็นผู้นำในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนผู้ร่วมก่อตั้งและบริษัทในการปรับเปลี่ยนข้อมูลและหมวดหมู่การจัดการข้อมูลที่กว้างขึ้น”

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210215005028/en/

ติดต่อสอบถามสำหรับสื่อมวลชน:
Kat Jackson, Franklin Rae PR
solidatus@franklinrae.com 
020 3011 1023
press@solidatus.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย