Private Group RLS (USA) Inc. เข้าซื้อกิจการ Radiopharmacy Network ของ GE Healthcare

Logo

แทมปา ฟลอริดา–(บิสิเนสไวร์)–2 กันยายน 2563

RLS (USA) Inc., (Radioisotope Life Sciences) ได้ซื้อเครือข่ายร้านขายยาทางรังสีของ General Electric (GE) ในสหรัฐอเมริกา ทำให้เป็นบริษัทที่เน้นการถ่ายภาพโมเลกุลบริสุทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา  Capitor(www.capitor.co) ที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลกได้ร่างและนำเสนอธุรกรรมครั้งนี้ให้กับนักลงทุน โดยเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเจรจาต่อรองนับหลายปีและการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย  การเข้าซื้อกิจการนี้ไม่มีการเปิดเผยเงื่อนไขทางการเงิน

ร้านจำหน่ายยารังสีจะยังคงจัดหาผลิตภัณฑ์การถ่ายภาพโมเลกุลให้แก่ GE Healthcare ต่อไป โดย RLS จะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงความร่วมมือในการจัดจำหน่ายนานนับ 10 ปี  ในขณะนี้ เครือข่ายร้านจำหน่ายยาทางรังสีที่เป็นของเอกชนมีผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเป็นเจ้าของโดย Perceptive Advisors บริษัทเชี่ยวชาญการลงทุนด้านการดูแลสุขภาพมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ซึ่งตั้งอยู่ในนิวยอร์ก

ทีมผู้บริหารของ RLS ประกอบด้วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Werner Gruner ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน Jaco van Niekerk และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Shane Cobb  คุณ Gruner ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารในบทบาทต่างๆ ในอุตสาหกรรมการเงินระหว่างประเทศรวมถึงการก่อตั้ง Capitor ให้ความเห็นว่า “ผมรู้สึกทึ่งและตื่นเต้นกับกับโอกาสที่ได้มาจากการเข้าซื้อกิจการบริษัทด้านสุขภาพในครั้งนี้ที่มีนอกเหนือจากโอกาสด้านการเงินเท่านั้น  ผมมีอาชีพเป็นที่ปรึกษาการลงทุนแก่ลูกค้าทั่วโลกและเชื่อเสมอว่าไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด ลูกค้าสมควรและมีสิทธิ์ที่จะได้รับบริการระดับสูงที่เป็นส่วนตัว ตรงเวลา และมีคุณภาพ” เขากล่าวเสริมว่า “นี่คือเหตุผลที่เราให้ความสำคัญกับการบริการ คุณภาพ และเทคโนโลยีนวัตกรรมอันเป็นปัจจัยสำคัญในกลยุทธ์การลงทุนของเรา”

เครือข่ายร้านจำหน่ายยาทางรังสีประกอบด้วยร้านขายยา 31 แห่งใน 18 รัฐ รวมถึงสำนักงานใหญ่ปัจจุบันในแทมปา ฟลอริดา  ภายใต้การดูแลของ คุณ van Niekerk, RLS ตั้งเป้าที่จะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้าเพื่อขยายสาขาของร้านขายยาและจะลงทุนอย่างต่อเนื่องในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย “เราใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้มีเปลี่ยนแปลงอย่างราบรื่นเพราะปรัชญาของเราที่มีบริการเป็นศูนย์กลาง รวมถึงการรักษาพนักงานผู้บริหารที่สำคัญเช่น Shane Cobb ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 30 ปีในอุตสาหกรรมนี้”  คุณ van Niekerk กล่าวสรุปว่า “RLS มุ่งมั่นที่จะให้การวินิจฉัยและการรักษาที่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วประเทศ  ด้วยเหตุนี้และด้วยผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นจากความเสียหายของอวัยวะที่เกิดจาก COVID-19 เราได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษที่มุ่งเน้นการรองรับความเป็นไปได้ที่จะมีความต้องการบริการตรวจวินิจฉัยเฉพาะทางเพิ่มขึ้น”

ปัจจุบันพนักงาน GE เกือบห้าร้อยคนทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว RLS  บริษัทคาดว่าจะย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังชายฝั่งตะวันออกของฟลอริดาในอนาคตอันใกล้ และอยู่ระหว่างการสนทนากับสภาพัฒนาเศรษฐกิจหลายแห่งรวมถึงเทศบาล

อ่านต้นฉบับใน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200901006104/en/

ติดต่อ:

Amanda Penebaker
608-345-9420
amanda.penebaker@rls.bio
https://rls.bio/

Featurespace ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน 250 รายชื่อบริษัทสตาร์ทอัพที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2563 จากการจัดลำดับของ CB Insights Fintech

Logo

บริษัทได้รับการยกย่องจากความสำเร็จในการตรวจจับและป้องกันอาชญากรรมทางการเงินระดับองค์กร

แอตแลนต้า–(BUSINESS WIRE)–1 ก.ย. 2563

Featurespace™ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ป้องกันอาชญากรรมทางการเงินระดับองค์กรชั้นนำได้รับจัดให้อยู่ใน 250 ลำดับรายชื่อบริษัท Fintech 250 ที่จัดประจำทุกปีเป็น ซึ่งในปีนี้เป็นครั้งที่สาม โดยทาง CB Insights นำเสนอรายชื่อบริษัทเอกชนอันทรงเกียรติเกิดใหม่ที่เข้ามาพัฒนาในด้านเทคโนโลยีทางการเงินให้ก้าวล้ำมากขึ้น

“เป็นอีกครั้งที่เราภูมิใจที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 250 บริษัทฟินเทคเอกชนที่ดีที่สุดจากบริษัททั่วโลก บริษัทที่มีรายชื่อใน Fintech 250 ในปีนี้เป็นตัวแทนจาก 25 ประเทศ และครอบคลุม 19 หมวดหมู่ ซึ่งมาจากหลากหลายสาขาตั้งแต่ด้าน retail banking (ธุรกิจลูกค้ารายย่อย) และด้านเงินคริปโต ตลอดจนถึงการประกันภัยและการจัดการสินทรัพย์” Anand Sanwal ซีอีโอของ CB Insights กล่าว

Featurespace ได้รับเลือกเพราะการใช้แมชชีนเลิร์นนิงและ Adaptive Behavioral Analytics ในการสร้างและดูแลรักษาใช้งาน ARIC™ Risk Hub ซึ่งเป็น แพลตฟอร์มนวัตกรรมที่ใช้การตรวจจับความผิดปกติขั้นสูงที่อธิบายได้เพื่อช่วยให้สถาบันการเงินสามารถระบุความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ พร้อม ๆ ไปกับการตรวจจับการโจมตีด้านการฉ้อโกงใหม่ ๆ และระบุกิจกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์

“การโจมตีของผู้ฉ้อโกงมีความซับซ้อนมากขึ้นในด้านการกำหนดเป้าหมายเหยื่อในทุกช่องทางและทุกจุดของการมีปฏิสัมพันธ์กับร้านค้า กับบริษัทชำระเงิน และกับสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายของเราในการหาทางออกแบบองค์รวมและที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างเท่าทันภัยคุกคาม” Dave Excell ผู้ก่อตั้ง Featurespace กล่าว “นี่แหละคือจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมของเราที่ผลักดันให้เราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอย่างที่เป็นอยู่ และเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับใน Fintech 250 ท่ามกลางบริษัทอื่น ๆ ที่แบ่งปันความหลงใหลและมุ่งมั่นในเรื่องนี้เช่นกัน”

Sanwal กล่าวต่อว่า “ รายชื่อ Fintech 250 class ก่อนหน้านี้ระดมทุนนักลงทุนได้มากกว่า 22,000 ล้านดอลลาร์และรอดพ้นจากอาชญากรรมมากกว่า 20 ครั้งหลังจากที่ระบุภัยได้ และเราคาดว่ารายชื่อในปีนี้จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันพร้อม ๆ ไปกับการที่พวกเขาทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนและธุรกิจใช้จ่าย เก็บเงิน ยืมเงิน และนำเงินไปลงทุน ต่อ ๆ ไป”

ด้วยวิธีการที่สามารถอ้างอิงได้ตามหลักฐาน หน่วย CB Insights Intelligence ได้คัดเลือกรายชื่อ Fintech 250 จากกลุ่มบริษัท 16,000 แห่ง ซึ่งรวมทั้งผู้สมัครและผู้ได้รับการเสนอชื่อ โดยผ่านการพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ กิจกรรมด้านสิทธิบัตร คุณภาพของนักลงทุน การวิเคราะห์ความเชื่อมั่นข่าวสาร คะแนนโมเสก (proprietary Mosaic scores) ความเป็นหุ้นส่วน ศักยภาพทางการตลาด ภาพรวมการแข่งขัน ความแข็งแกร่งของทีม และความแปลกใหม่ทางเทคโนโลยี คะแนนโมเสกอิงตามอัลกอริทึมของ CB Insights ซึ่งจะวัดคุณภาพโดยรวมและศักยภาพในการเติบโตของบริษัทเอกชนเพื่อช่วยทำนายโมเมนตัมของบริษัท

เกี่ยวกับ CB Insights

ที่ CB Insights เราเชื่อว่าคำถามทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ที่ซับซ้อนที่สุดจะถูกตอบได้ดีที่สุดด้วยการใช้ข้อเท็จจริง เราเป็นบริษัทด้านแมชชีนอินเทลลิเจนซ์ที่สังเคราะห์ วิเคราะห์และผลิตเอกสารหลายล้านฉบับเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกตามข้อเท็จจริงแก่ลูกค้าของเราอย่างรวดเร็ว เราการให้บริการบริษัทส่วนใหญ่ที่อยู่ใน Fortune 100 เราให้อำนาจแก่บริษัทต่าง ๆในการตัดสินใจที่ดีขึ้น ควบคุมอนาคตของตนเองได้ดีขึ้น และใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงได้มากยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับ Featurespace – www.featurespace.com

Featurespace™เป็นผู้นำระดับโลกในการป้องกันอาชญากรรมทางการเงินระดับองค์กรสำหรับการฉ้อโกงและการต่อต้านการฟอกเงิน Featurespace ได้คิดค้น Adaptive Behavioral Analytics และสร้างแพลตฟอร์ม ARIC™ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์แมชชีนเลิร์นนิงแบบเรียลไทม์ที่ระบุคะแนนความเสี่ยงของสถานการณ์ในกว่า 180 ประเทศ เพื่อป้องกันการฉ้อโกงและอาชญากรรมทางการเงิน

ARIC ™ Risk Hub ใช้การตรวจจับความผิดปกติขั้นสูงที่อธิบายได้เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถระบุความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ ตรวจจับการโจมตีจากการฉ้อโกงใหม่ ๆ และระบุกิจกรรมที่น่าสงสัยในแบบเรียลไทม์ สถาบันการเงินรายใหญ่ระดับโลกกว่า 30 แห่งใช้ ARIC เพื่อปกป้องธุรกิจและลูกค้าของตน ลูกค้าของ ARIC ที่เปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ได้แก่ HSBC, TSYS, Worldpay, NatWest Group, Contis, Danske Bank, ClearBank และ Permanent TSB

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200901005738/en/

ติดต่อ:

Keith Swiader, CB Insights

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์

keith.swiader@cbinsights.com

Michael Touchton, Featurespace

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และการสื่อสาร

Michael.touchton@featurespace.com

+1 (423) 364-5491

Mary Kay Inc. และ Mary Kay FoundationSM ผนึกกำลังกับกองทุนสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี และ CARE USA ในโครงการระดับโลกเพื่อยุติความรุนแรงทางเพศ

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–31 สิงหาคม 2563

ด้วยความพยายามที่จะสนับสนุนงานด้านการช่วยชีวิตเพื่อป้องกันและยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง ซึ่งเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขซึ่งแพร่กระจายไปทั่วโลกและถูกซ้ำเติมด้วยการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) Mary Kay Inc. และ The Mary Kay FoundationSM จึงได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ CARE USA ผู้นำด้านมนุษยธรรมระดับโลก และกองทุนสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี (UN Trust Fund)

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200831005162/en/

Melinda Foster Sellers, Chief People Officer at Mary Kay (Photo: Mary Kay Inc.)

Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลแห่ง Mary Kay (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

ผู้หญิงมากกว่าหนึ่งในสามทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับความรุนแรงทั้งทางร่างกายและ/หรือทางเพศตลอดชีวิตของพวกเธอ1 สถิติที่น่าตกใจเหล่านี้ถูกซ้ำเติมให้รุนแรงยิ่งขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้ง ภัยธรรมชาติ และวิกฤตต่าง ๆ องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ที่ดำเนินการภายใต้องค์การสหประชาชาติ ซึ่งมุ่งส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังการมีส่วนร่วมของผู้หญิง และมีหน้าที่บริหารจัดการกองทุนสหประชาชาติ (UN Trust Fund) ภายใต้ระบบของสหประชาชาติ ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้เกิดความตื่นตัวและสร้างการตระหนักรู้ต่อการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของความรุนแรงต่อผู้หญิงระหว่างที่เกิดการระบาดของ COVID-19 รวมถึงผลที่จะตามมาอย่างถาวรซึ่งจะทำให้สิทธมนุษยชนของผู้หญิงตกอยู่ในความเสี่ยงขณะที่ชาติต่าง ๆ ง่วนอยู่กับการกอบกู้สถานการณ์ในประเทศ

“ตลอดหลายสิบปี Mary Kay มุ่งมั่นที่จะหยุดความรุนแรงที่เกิดต่อผู้หญิงและเด็กทั่วโลก ความมุ่งมั่นนี้คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้” Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลแห่ง Mary Kay Inc. กล่าว “วันนี้ เราได้ผนึกกำลังกับกองทุนสหประชาชาติและ CARE สองผู้จัดกิจกรรมเพื่อสิทธิของผู้หญิงรายสำคัญที่ได้สร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ผ่านการลงพื้นที่สร้างผลลัพธ์ทางสังคม การเก็บข้อมูลเรื่องเพศ และงานสนับสนุนต่าง ๆ ที่ทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือนี้ เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้โลกของเราปราศจากการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง”

“นับตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา The Mary Kay FoundationSM มุ่งมั่นที่จะยุติปัญหาความรุนแรงในครัวเรือน” Anne Crews รองประธานด้านกิจการสาธารณะของ Mary Kay และคณะกรรมการ The Mary Kay FoundationSM กล่าว “ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา สถานที่พักพิงกว่า 2,600 แห่งที่ทำงานเพื่อยุติปัญหาความรุนแรงทางเพศในครัวเรือนได้รับเงินสนับสนุนรวมเกือบ 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เราได้ช่วยเหลือเด็กผู้หญิงและสตรีกว่า 6 ล้านคนที่ต้องการที่พักอาศัยและความช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการกระทำทารุณ ความร่วมมือระดับโลกร่วมกับกองทุนสหประชาชาติและ CARE จะช่วยให้เราขยายขอบเขตในการต่อสู้เพื่อปกป้องเด็กผู้หญิงและสตรีให้ลึกและกว้างยิ่งขึ้น”

จากการทำงานอย่างต่อเนื่องของมูลนิธิองค์กรทั้ง 4 แห่ง ผนวกกับความร่วมมือระดับโลกครั้งล่าสุดนี้ Mary Kay ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการชี้ให้เห็นถึงปัญหาและป้องกันการเกิดความรุนแรงต่อผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 โครงการริเริ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Mary Kay ต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 5 (SDG 5) ว่าด้วยการบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง

  • ภายใต้ความร่วมมือกับกองทุนสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี Mary Kay จะมอบเงินทุนสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เพื่อปกป้องสตรีและเด็กผู้หญิงในกว่า 70 ประเทศ

กองทุนสหประชาชาติ ในฐานะกลไกสนับสนุนเงินให้เปล่าตามอุปสงค์ที่เชี่ยวชาญด้านการยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก เป็นกลไกเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในสถานะที่จะทำให้เป้าหมายนี้บรรลุผลผ่านการมอบเงินสนับสนุนให้กับโครงการริเริ่มที่เกี่ยวข้องกันเชิงบริบทและให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ กับผู้รับทุน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นองค์กรด้านสิทธิสตรีขนาดเล็กที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำ นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2539 โดยข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 50/166 กองทุนสหประชาชาติได้มอบทุนสนับสนุนไปแล้ว 175 ล้านดอลลาร์ให้กับ 572 โครงการ ใน 140 ประเทศ

ผู้รับทุนจากกองทุนสหประชาชาติเป็นผู้ที่อยู่แนวหน้าในการรับมือกับการระบาดของการใช้ความรุนแรงต่อสตรีและเด็กผู้หญิงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานมาจนขณะนี้

กว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมา กองทุนสหประชาชาติได้ให้ความช่วยเหลือที่เข้าถึงผู้คนกว่า 22 ล้านคนผ่านทางโครงการต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายป้องกันและยุติปัญหาความรุนแรงต่อสตรีและเด็กผู้หญิง รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานด้านสิทธิสตรีที่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ และองค์กรที่นำโดยผู้หญิงซึ่งใช้กำลังความสามารถของตัวเองในการอยู่แถวหน้าเพื่อมอบความช่วยเหลือให้ผู้รอดชีวิต รวมถึงการใช้ข้อกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ สตรีและเด็กกว่าหนึ่งล้านคนได้รับประโยชน์โดยตรงจากความช่วยเหลือเหล่านี้ รวมถึงกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างพลังและป้องกันพวกเขาจากความรุนแรง และยังมีอีกอย่างน้อย 107,428 ชีวิตที่รอดพ้นจากความรุนแรง เฉพาะในปี 2563 กองทุนสหประชาชาติได้สนับสนุนโครงการต่าง ๆ ไป 137 โครงการ และมอบทุนให้กับผู้รับทุนรายใหม่ 79 ราย มูลค่า 35 ล้านดอลลาร์

“ความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นมากที่สุดในวงกว้างทั่วโลกและไม่มีที่สิ้นสุด” Aldijana Sisic ผู้อำนวยการกองทุนสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี กล่าว “สิ่งนี้เป็นการแสดงถึงการเลือกปฏิบัติที่มีความร้ายแรงมากที่สุด เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นมานานและยังไม่หายไป ซ้ำยังมีวิกฤต COVID-19 เข้ามาเพิ่มความรุนแรงของสถานการณ์ให้มากขึ้นตอนนี้ มาตรการล็อคดาวน์เพื่อชะลอการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาผนวกกับระบบสาธารณสุขที่ต้องแบกรับภาระเกินความสามารถและระบบการบังคับใช้กฎหมายทิ้งให้สตรีและเด็กผู้หญิงที่เป็นผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงต้องตกอยู่ท่ามกลางอันตราย ในบริบทนี้ องค์กรเพื่อผู้หญิงทั่วโลกเข้ามามีบทบาทที่สำคัญในฐานะบุคคลกลุ่มแรก ๆ ที่ขานรับเหล่าผู้รอดชีวิต ขณะนี้ ถึงเวลาที่จะต้องผนึกกำลังกัน ก้าวออกมาและช่วยเหลือพวกเขาเพื่อไม่ให้มีผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องถูกทิ้งไว้ลำพังหลังกำแพงที่พวกเขาไม่สามารถส่งเสียงขอความช่วยเหลือได้ เราขอขอบคุณพันธมิตรของเราที่ Mary Kay ที่ได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วยการสนับสนุนการทำงานชิ้นนี้ และเดินบนเส้นทางนี้ร่วมไปกับเรา”

  • Mary Kay จะให้การสนับสนุนโครงการ CARE ในการต่อสู้กับความรุนแรงทางเพศ ที่จะเปลี่ยนชีวิตของสตรีและเด็กผู้หญิงในกว่า 100 ประเทศ

ผู้หญิงทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากความยากจนและความรุนแรงทางเพศในระดับที่มากน้อยต่างกันไป โดยในบรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบ มีผู้หญิงจำนวน 1.4 พันล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนส่วนใหญ่ ที่มีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น ด้วยเหตุผลนี้ CARE จึงได้กำหนดพันธกิจเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับเรื่องเพศขึ้นมา และให้การสนับสนุนอย่างไม่ลดละเพื่อให้ผู้หญิงมีสิทธิมีเสียงและมีความเป็นผู้นำ

การรับมือสภาวะฉุกเฉินต่อวิกฤต COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกของ CARE ได้ขยายออกไปอย่างรวดเร็วสู่ 67 ประเทศที่เข้าสู่ภาวะฉุกเฉินด้านมนุษยธรรมอันมีสาเหตุจากโรคระบาด และเข้าถึงผู้คนโดยตรงราว 16 ล้านคนผ่านโครงการต่าง ๆ รวมถึงจัดการอบรมและให้บริการข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับความช่วยเหลือเพื่อหยุดการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงแก่ผู้คนกว่า 1 ล้านคน ด้วยตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องทำให้เรื่องผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ต่อเรื่องเพศได้รับความสนใจ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา CARE ได้เริ่มใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้านเพศทั่วโลกแบบรวดเร็วเกี่ยวกับ COVID-19 (RGA) หลังจากปรึกษากับคณะกรรมการช่วยเหลือและกู้ภัยนานาชาติ (IRC) การสนับสนุนของ Mary Kay มีความแตกต่างออกไปด้วยมีข้อมูลและผลการศึกษาจากการวิเคราะห์ข้อมูลด้านเพศทั่วโลกแบบรวดเร็วเกี่ยวกับ COVID-19 ใน 50 ณ ขณะนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลด้านเพศแบบรวดเร็วของ CARE แสดงให้เห็นว่าการระบาดของโรคทำให้ปัญหาแย่ลงโดยเฉพาะในทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาและในยุโรป รวมถึงยังรายงานว่ามีผู้หญิงหลายหมื่นคนที่กำลังเผชิญกับการทำร้ายร่างกายหรือการคุกคามทางเพศในช่วงล็อคดาวน์และไม่สามารถออกจากที่พักอาศัยได้

Mary Kay Inc. และ The Mary Kay FoundationSM ยังได้มอบเงินมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ให้กับ Together For Her’s ซึ่งเป็นความพยายามในระดับนานาชาติในการบรรเทาความรุนแรงด้านเพศภายใต้ CARE เงินทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ทั่วโลกที่ให้ความช่วยเหลือเหยื่อและผู้รอดชีวิตจากความรุนแรง จัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลหรือ PPE ให้กับเจ้าหน้าที่ที่คอยติดตามไปกับผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงไปยังศาล รวมถึงจัดหาอาหาร อุปกรณ์ดูแลความสะอาดและสุขอนามัยให้กับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงซึ่งเข้ารับบริการด้านจิตใจ การแพทย์ และที่พักพิงชั่วคราว

"การสร้างความเท่าเทียมสำหรับผู้หญิงให้เกิดขึ้นและกำจัดความรุนแรงทางเพศ (GBV) สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ในหลายทิศทาง" Michelle Nunn ประธานและซีอีโอของ CARE กล่าว "ในชุมชนที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในโลก เด็กผู้หญิงและสตรีต่างต้องเผชิญกับความอยุติธรรม เฉพาะวิกฤต COVID-19 เพียงอย่างเดียวอาจเป็นสาเหตุให้เหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศเพิ่มขึ้น 31 ครั้งในช่วงหกเดือนของการล็อคดาวน์ที่เกิดจากไวรัส เราตระหนักว่าสามารถป้องกันไม่ให้ความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นได้ และเราต้องจัดการกับการคุมคามที่น่าสยดสยองนี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น การลงทุนในการเคลื่อนไหวระดับรากหญ้าของผู้หญิงในท้องถิ่นเป็นหนึ่งในสิ่งดี ๆ ที่ทรงพลังที่เราสามารถทำได้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม"

คุณรู้หรือไม่?

  • ในปี 2560 ผู้หญิงราว 87,000 คนทั่วโลกถูกทำให้เสียชีวิตอย่างจงใจ และกว่าครึ่ง (58 เปอร์เซ็นต์) ถูกฆ่าโดยคู่รักหรือสมาชิกในครอบครัว
  • ดังนั้น ในทุก ๆ วัน มีผู้หญิง 137 คนทั่วโลกที่ถูกฆ่าโดยสมาชิกในครอบครัว
  • ปัจจุบัน มีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงราว 650 ล้านคนทั่วโลกที่แต่งงานก่อนอายุ 18 ปี เยาวชนหญิงราว 15 ล้านคน (อายุระหว่าง 15 ถึง 19 ปี) ทั่วโลกเคยถูกบังคับให้ร่วมเพศ (การขืนใจให้ร่วมเพศหรือการล่วงละเมิดทางเพศรูปแบบอื่น) ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตของพวกเขา

แหล่งที่มา: กองทุนสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี รายงานประจำปี 2562

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นเมื่อ 56 ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมาย 3 ข้อได้แก่ มอบโอกาสให้กับผู้หญิง ผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และสร้างโลกให้น่าอยู่ ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้าน พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนใน 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอมมากมาย และยังทุ่มเทกับการช่วยให้ผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขามีพลังด้วยการร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญและสนับสนุนกับการวิจัยด้านมะเร็ง ปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกายและพาเธอสู่ความสำเร็จไปทีละขั้น เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ MaryKay.com

เกี่ยวกับ The Mary Kay FoundationSM

เพื่อสานต่อความฝันของ Mary Kay Ash ในการส่งเสริมชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก มูลนิธิ Mary Kay หรือ The Mary Kay FoundationSM ได้ระดมทุนและทำการแจกจ่ายเพื่อลงทุนในการวิจัยโรคมะเร็งเพื่อค้นหาวิธีรักษาโรคมะเร็งที่มักเกิดกับผู้หญิง และเพื่อยุติผลกระทบความรุนแรงต่อผู้หญิงภายในประเทศ ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา The Mary Kay FoundationSM ได้มอบเงินกว่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แก่องค์กรต่าง ๆ ที่ทำงานสอดคล้องกับพันธกิจของมูลนิธิโดยให้ความสำคัญอย่างเท่ากัน นอกเหนือจากนั้น มูลนิธิยังสนับสนุนโครงการสร้างการรับรู้ โครงการเข้าถึงชุมชน และการสนับสนุนช่วยเหลือการร่างกฏหมายเพื่อให้ผู้หญิงมีสุขภาพดีและปลอดภัย พร้อมกันนั้นก็สร้างโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นสำหรับผู้หญิง ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้ความรู้ การสนับสนุน อาสาสมัคร และการบริจาค รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือชีวิตเพื่อสร้างแรงผลักดันแก่ผู้หญิง กรุณาเยี่ยมชม marykayfoundation.org ค้นหาเราได้ทาง Facebook และ Instagram หรือติดตามเราที่ Twitter

เกี่ยวกับกองทุนสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี

กองทุนสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี (UN Trust Fund) อยู่ภายใต้องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ซึ่งเป็นตัวแทนของระบบโดยสหประชาชาติ เป็นกลไกสนับสนุนเงินให้เปล่าระดับโลกเพียงกลไกเดียวที่มุ่งยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กผู้หญิงทุกรูปแบบ ภายในเวลา 24 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง กองทุนได้ให้การสนับสนุนองค์กรต่าง ๆ ไปแล้วกว่า 572 แห่ง ลงทุนในการหาทางออกที่นำโดยประชาสังคมโดยยึดหลักฐานและมีความทันสมัยและถึงโครงการเปลี่ยนชีวิตอีกหลายโครงการ โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนมุ่งเน้นการป้องกันความรุนแรง การนำกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ มาใช้เพื่อรับมือกับปัญหาและลดความรุนแรงต่อสตรีและเด็กผู้หญิง รวมถึงยกระดับการเข้าถึงความช่วยเหลือที่จำเป็นสำหรับผู้รอดชีวิต เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ untf.unwomen.org และติดตามเราได้ทาง FacebookInstagram และ Twitter

เกี่ยวกับ CARE

CARE ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 พร้อมกับการถือกำเนิดขึ้นของ CARE Package® เป็นองค์กรด้านมนุษยชนชั้นนำที่ต่อสู้กับความยากจนทั่วโลก สะสมประสบการณ์มากว่าเจ็ดทศวรรษในการส่งมอบความช่วยเหลือฉุกเฉินในช่วงวิกฤต การตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินของเรามุ่งเน้นไปที่ความต้องการของประชากรกลุ่มที่มีความเปราะบางที่สุดโดยเฉพาะสตรีและเด็กผู้หญิง ปีที่ผ่านมา CARE เข้าไปทำงานใน 100 ประเทศและเข้าถึงผู้คนเกือบ 70 ล้านคนทั่วโลก เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเราที่ www.care.org

เกี่ยวกับ Together for Her

Together for Her เป็นการเรียกร้องให้มีดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่แสดงว่าเป็นการยืนหยัดเคียงข้างสตรีและเด็กผู้หญิงทั่วโลกด้วยการมอบเงินทุนและความช่วยเหลือเพื่อตอบโต้ความรุนแรงภายในครัวเรือนระหว่างช่วงการระบาดของ COVID-19 โครงการ Charlize Theron Africa Outreach Project (CTAOP), CARE และ Entertainment Industry Foundation (EIF) ได้เข้าร่วมกันเพื่อกำจัดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร Charlize และ CTAOP ได้มอบของขวัญ และ Charlize ได้ออกมาเรียงร้องให้ผู้หญิงทั่วโลกรวมพลังกันและช่วยสาดแสงไปยังความพยายามครั้งสำคัญนี้ เสียงของพวกเราที่ร่วมกันเปล่งออกมาคือสิ่งที่แสดงถึงจุดยืนที่เป็นหนึ่งเดียว เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะรวมพลังกันเพื่อสนับสนุน Together for Her


1 รายงานองค์การอนามัยโลก. 2013

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200831005162/en/

ติดต่อ:
ฝ่ายสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com




มิตซูบิชิ พาวเวอร์ ก่อตั้งขึ้นด้วยความมุ่งมั่น เพื่อปฏิรูประบบพลังงานทั่วโลก

Logo

♦ การปรับภาพลักษณ์องค์กรถือเป็นสัญญาณการเดินทางในขั้นต่อไปของบริษัทเพื่อการเติบโตขึ้นในฐานะ ผู้ให้บริการโซลูชันด้านพลังงาน โดยเป็นผู้นำในการลดคาร์บอน การเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัล และการส่งมอบพลังงานที่เชื่อถือได้ทั่วโลก

♦ ในฐานะบริษัทหลักในเครือมิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป และมิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ปเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด มิตซูบิชิ พาวเวอร์ จะทำงานร่วมกับบริษัทในเครืออย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อเจาะตลาดด้านใหม่ ๆ รวมถึงต่อยอดการลงทุนด้านโซลูชันดิจิทัล ไฮโดรเจน แอมโมเนีย ระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ และพลังงานแสงอาทิตย์

เมืองโยโกฮามะ ประเทศญี่ปุ่น (1 กันยายน 2563) – มิตซูบิชิ พาวเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักในเครือมิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป (MHI) ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก มิตซูบิชิ ฮิตาชิ พาวเวอร์ ซิสเต็มส์ อย่างเป็นทางการแล้ว การเปลี่ยนชื่อบริษัทนี้ นับเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นในพันธกิจของบริษัท เพื่อการแก้ปัญหาความท้าทายด้านพลังงานที่สำคัญที่สุดในยุคของเรา รวมถึงการลดคาร์บอนและนำพลังงานที่เชื่อถือได้มาสู่ทุกคนทั่วโลก ด้วยอัตลักษณ์ของชื่อองค์กรใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้น หลังจากการปรึกษาหารือกับลูกค้าหลัก พนักงาน และพันธมิตร มิตซูบิชิ พาวเวอร์ จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมุมานะ เพื่อให้เป็นบริษัทโซลูชันด้านพลังงานชั้นนำที่มีธุรกิจหลากหลายทั้งด้านการผลิตไฟฟ้าในระดับโครงข่าย พลังงานหมุนเวียน การจัดเก็บพลังงาน และเทคโนโลยีดิจิทัล

หลังการเปลี่ยนชื่อบริษัทครั้งนี้ มิตซูบิชิ พาวเวอร์ กลายเป็นบริษัทในเครือมิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป โดยมิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ตำแหน่งที่ยกระดับขึ้นภายในกลุ่มบริษัทนี้จะทำให้มิตซูบิชิ พาวเวอร์ สามารถทำงานร่วมกันกับบริษัทในเครือแห่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจโดยเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ มิตซูบิชิ พาวเวอร์ จะทุ่มทุนสำหรับการลงทุนในโซลูชันเกิดใหม่ด้านพลังงานที่มีอยู่ เช่น ไฮโดรเจน แอมโมเนีย และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกในด้านพลังงานที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น

นายเคน คาวาอิ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหารของบริษัท มิตซูบิชิ พาวเวอร์ จำกัด กล่าวว่า "การให้ผู้คนได้เข้าถึงพลังงานที่สะอาด มีเสถียรภาพ และราคาไม่แพง ถือเป็นหนึ่งวาระเร่งด่วนที่สุดของสังคมโลกในปัจจุบัน มิตซูบิชิ พาวเวอร์ พร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้นำในการแก้ไขความท้าทายเหล่านี้ด้วยอัตลักษณ์ใหม่ของเรา ด้วยการต่อยอดจากประสบการณ์ที่แข็งแกร่งด้านวิศวกรรมและบริการอันโดดเด่นซึ่งมีมาอย่างยาวนาน เราจะพัฒนาโซลูชันที่ล้ำยุคมากขึ้นเพื่อให้บริการลูกค้าของเราได้ดียิ่งขึ้นพร้อมกับการขยับขยายขอบเขตของสินค้าและบริการของเราไปพร้อมกัน เราจะร่วมมือกับภาครัฐ บริการสาธารณะ ผู้นำอุตสาหกรรม และบริษัทลูกในเครือมิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ปของเราอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้แก่ผู้คนและโลกใบนี้ในฐานะบริษัทโซลูชันด้านพลังงาน"

นอกจากชื่อและโลโก้ใหม่ มิตซูบิชิ พาวเวอร์ได้เผยถึงพันธกิจใหม่เช่นกัน รวมทั้งประกาศว่าจะใช้สโลแกนของมิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป ที่ว่า "Move the World Forward" (กรุณาดูภาคผนวก A)

มิตซูบิชิ พาวเวอร์ได้สร้างสถานะที่แข็งแกร่งในฐานะพันธมิตรที่ไว้วางใจได้สำหรับบริษัทผลิตไฟฟ้าทั่วโลก ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของบริษัท เมื่อเข้าสู่ระยะใหม่นี้ บริษัทจะใช้ความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมชั้นนำระดับโลก ผลักดันการสร้างนวัตกรรมและการบริการลูกค้าที่มีชื่อเสียงเพื่อส่งมอบพลังงานที่เชื่อถือได้ ซึ่งในท้ายที่สุด จะกระตุ้นความก้าวหน้าของประเทศ ชุมชน และบุคคลในทุกที่

###

เกี่ยวกับบริษัท มิตซูบิชิ พาวเวอร์ จำกัด

บริษัท มิตซูบิชิ พาวเวอร์ จำกัด คือผู้ให้บริการและผู้ริเริ่มด้านเทคโนโลยีและโซลูชันชั้นนำสำหรับภาคส่วนพลังงานระดับโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโยโกฮามะ ประเทศญี่ปุ่น อยู่ในเครือบริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด โดยบริษัทแม่ดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรรมและการผลิตครอบคลุมเกี่ยวกับพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง การบินและอวกาศ และการป้องกันประเทศ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 18,000 คนใน 31 ประเทศทั่วโลก มิตซูบิชิ พาวเวอร์ได้ออกแบบ ผลิต และบำรุงรักษาอุปกรณ์และระบบที่ผลักดันการลดคาร์บอน รวมถึงรับรองการส่งมอบพลังงาน ที่เชื่อถือได้ทั่วโลก โซลูชันของมิตซูบิชิ พาวเวอร์ประกอบไปด้วยกังหันก๊าซที่หลากหลาย รวมถึงกังหันก๊าซเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เซลล์เชื้อเพลิงออกไซด์แบบแข็ง (SOFC) และระบบควบคุมคุณภาพอากาศ (AQCS) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมอบบริการ อันเป็นแบบอย่างและทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อวาดอนาคตแห่งพลังงาน มิตซูบิชิ พาวเวอร์ยังเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาโรงไฟฟ้าดิจิทัล ผ่านกลุ่มโซลูชันที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง TOMONI อีกด้วย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาไปที่ https://power.mhi.com

ข้อมูลการติดต่อข่าวประชาสัมพันธ์

ชิมอน อิเคยะ

ฝ่ายการสื่อสารกลุ่ม

แผนกการสื่อสารและรัฐสัมพันธ์

บริษัท มิตซูบิชิ พาวเวอร์ จำกัด

อีเมล: shimon_ikeya@mhps.com

โทรศัพท์: +81-45-200-7163

ภาคผนวก A: อัตลักษณ์บริษัท มิตซูบิชิ พาวเวอร์

โลโก้ยี่ห้อและชื่อ

  

The new brand logo presents an image of the advanced power generation technologies and solutions that the company offers, while expressing a corporate stance of responding flexibly to societal changes. (Graphic: Mitsubishi Power)

โลโก้ยี่ห้อใหม่ผสมผสานเครื่องหมายเพชรสามเม็ดของมิตซูบิชิเข้ากับชื่อบริษัทในภาษาอังกฤษ ฟอนต์ของโลโก้ ซึ่งเป็นการออกแบบแบบอักษรแนวกอทิกที่มีความโค้งมนและทันสมัย ได้มีการนำมาใช้เพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ของ เทคโนโลยีการผลิตพลังงานที่มีความก้าวหน้าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่มิตซูบิชิ พาวเวอร์ต้องการนำเสนอ ในขณะเดียวกันก็แสดงจุดยืนขององค์กรในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างยืดหยุ่น

Mission Statement

Mitsubishi Power is creating a future that works for people and the planet by developing innovative power generation technology and solutions to enable the decarbonization of energy and deliver reliable power everywhere.

Tagline

“Move the World Forward”

ภาคผนวก B: ข้อมูลบริษัท มิตซูบิชิ พาวเวอร์

ตัวแทน

เคน คาวาอิ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร

สำนักงานใหญ่ระดับโลก

3-1 มินาโตมิไร เขต 3 แขวงนิชิ เมืองโยโกฮามะ จังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น

สำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค

เอเชียแปซิฟิก: สิงคโปร์

จีนแผ่นดินใหญ่: เซี่ยงไฮ้

ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา: ลอนดอน

อเมริกา: เลกแมรี รัฐฟลอริดา

จำนวนพนักงานทั่วโลก

18,356 คน (ณ เดือนเมษายน 2563)

จำนวน

กลุ่มบริษัทหลัก

69 บริษัท (รวม 8 บริษัทในญี่ปุ่น)

ผลิตภัณฑ์หลัก

โรงไฟฟ้า:

  • โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมกังหันก๊าซ (GTCC)
  • โรงไฟฟ้าพลังไอน้ำ
  • โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมโดยกระบวนการผลิตก๊าซจากถ่านหิน (IGCC)
  • โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ

ผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ และบริการ:

  • กังหันก๊าซ
  • กังหันไอน้ำ
  • หม้อไอน้ำ
  • ระบบควบคุมคุณภาพอากาศ (AQCS)
  • เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
  • เซลล์เชื้อเพลิง
  • ระบบควบคุม
  • ระบบจัดเก็บพลังงาน
  • การเดินเครื่องและบำรุงรักษา (O&M)
  • สัญญาการให้บริการระยะยาว
  • ระบบควบคุมและจัดการจากระยะไกล
  • การฝึกอบรม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่http://www.businesswire.com/cgi-bin/mmg.cgi?eid=52274216&lang=en

ภาคผนวก C: ภาพถ่าย

img

img

รูปภาพ 1A, 1B: เครื่องหมายเพชรสามเม็ด ซึ่งได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพและความไว้วางใจ จะปรากฏอย่างเด่นชัดในสำนักงานของบริษัทและสถานประกอบการดังที่แสดงให้เห็นในภาพเหล่านี้

img

img

img

รูปภาพ 2A, 2B, 2C: มิตซูบิชิ พาวเวอร์ ยังคงสานต่อการให้บริการอันเป็นแบบอย่าง พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงพนักงานเหล่านี้ที่ Takasago Works ในประเทศญี่ปุ่น ที่พร้อมทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อรับมือกับความท้าทายทางธุรกิจและร่วมกันสร้างอนาคตด้านพลังงาน






Tommy Hilfiger เร่งการเดินทางสู่ความยั่งยืนด้วยโครงการ “สร้างขึ้นให้ได้”

Logo

ขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ที่จะ 'ไม่สร้างขยะและต้อนรับทุกคน' โปรแกรมเพื่อความยั่งยืนของ Tommy Hilfiger ที่มีชื่อว่า Make it Possible (สร้างขึ้นให้ได้) กำหนดเป้าหมาย 24 ประการและมุ่งสู่ระบบหมุนเวียนและการต้อนรับทุกฝ่ายภายในปี 2573

  • Tommy Hilfiger เข้าใกล้ความยั่งยืนทั้งจากมุมมองด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมโดย Make it Possible มุ่งเน้นไปที่ระบบหมุนเวียนและการต้อนรับทุกฝ่ายตามลำดับ
  • ภารกิจของ Make it Possible คือการสร้างแฟชั่นที่ ‘Wastes Nothing and Welcomes All.’ (ไม่สร้างขยะและต้อนรับทุกคน)
  • โครงการนี้มี 24 เป้าหมายใน 4 เสาหลักภายในปี 2573
  • www.sustainability.tommy.com
  • #TommyHilfiger

AMSTERDAM–(อัมสเตอร์ดัม)–31 ส.ค. 2563

Tommy Hilfiger บริษัทของ PVH Corp. [NYSE: PVH] ประกาศโครงการ Make it Possible แนวทางเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์กรในการสร้างสรรค์แฟชั่นที่ 'Wastes Nothing and Welcomes All'  ด้วย Make it Possible, Tommy Hilfiger มุ่งสู่ 24 เป้าหมายซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ระบบหมุนเวียนและการต้อนรับทุกฝ่ายโดยสรุปไว้ในสี่เสาหลักภายในปี 2030:

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200830005002/en/

  • ระบบหมุนเวียนอย่างรอบด้าน: สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีระบบหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ที่ยั่งยืน
     
  • สร้างขึ้นเพื่อชีวิต: การดำเนินงานที่คำนึงถึงขอบเขตของโลก เช่นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้ที่ดิน มลพิษทางน้ำจืดและเคมี จากสิ่งที่เราซื้อถึงที่ที่เราขาย
     
  • ต้อนรับทุกฝ่าย: เป็นแบรนด์ที่เหมาะสมสำหรับแฟน TOMMY ทุกคน โดยต้อนรับทุกฝ่ายและเข้าถึงได้เสมอ
     
  • โอกาสสำหรับทุกคน: สร้างการเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกันอย่างไม่มีอุปสรรคต่อความสำเร็จที่ Tommy Hilfiger
     

โครงการของ Tommy Hilfiger ขับเคลื่อนโดยของบริษัทแม่ PVH Corp ที่มีกลยุทธ์ Forward Fashion ซึ่งเป็นชุดลำดับความสำคัญ 15 ประการที่ออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบด้านลบให้เป็นศูนย์ เพิ่มผลกระทบเชิงบวกถึง 100% และปรับปรุงชีวิตกว่า 1 ล้านคนในห่วงโซ่คุณค่าของบริษัท

“ผมเปิดร้านแห่งแรกของผม People's Place ในปี 1969 ในบ้านเกิดของผมที่ Elmira เพื่อให้ผู้คนจากทุกพื้นฐานได้มารวมตัวกันและแบ่งปันประสบการณ์วัฒนธรรมร่วมสมัยที่น่าตื่นเต้น” Tommy Hilfiger กล่าว “ในขณะที่แบรนด์ของเรามีการพัฒนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงผลักดันจากจิตวิญญาณการต้อนรับทุกฝ่ายนี้ เราจึงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม  ด้วยโครงการ Make it Possible เราจะก้าวไปอีกขั้นด้วยความมุ่งมั่นของเรา  เรากำลังดำเนินการตามวิสัยทัศน์ของเราด้วยทั้งองค์กรที่มุ่งเน้นและจะบรรลุเป้าหมายนี้ให้ได้”

“ในช่วงวิกฤตด้านสุขภาพ มนุษย์ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ เรามีความรับผิดชอบร่วมกันในการค้นหาวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมที่จะส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวกันและสร้างอนาคตที่เป็นระบบหมุนเวียนมากขึ้น” Martijn Hagman ซีอีโอของ Tommy Hilfiger Global และ PVH Europe กล่าว “เป็นธรรมชาติของเราที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด  ด้วยเหตุนี้เราจึงประกาศโครงการ Make it Possible ที่เป็นความทะเยอทะยานของเราโดยสรุปเป้าหมาย 24 ประการภายในปี 2573  Tommy Hilfiger มีประวัติยาวนานนับหลายสิบปีในการขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงการบุกเบิกกระบวนการผลิตยีนส์ที่มีผลกระทบต่ำ การสนับสนุนการดูแลน้ำ และการสร้างคอลเลกชันที่ต้อนรับทุกฝ่ายมากขึ้น  Make it Possible คือวิธีหนึ่งที่เราจะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ยั่งยืนยึ่งขึ้น”

Make it Possible ถือเป็นก้าวล่าสุดในการเดินทางสู่ความยั่งยืนของ Tommy Hilfiger  ความสำเร็จที่สำคัญ ได้แก่ การเปิดตัว Tommy Hilfiger Adaptive ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้การแต่งกายง่ายขึ้นสำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีความพิการและ Tommy Hilfiger Fashion Frontier Challenge ซึ่งเป็นโครงการระดับโลกที่มุ่งสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพและสเกลอัพที่พัฒนาโซลูชันที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความยั่งยืนในแฟชั่น  เมื่อไม่นานมานี้ Tommy Hilfiger ได้เปิดตัวโครงการ People's Place เพื่อพัฒนาตัวแทนของชุมชนคนผิวดำ คนพื้นเมือง และคนผิวสี (BIPOC) ในอุตสาหกรรมแฟชั่นและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์  ในปัจจุบันนักออกแบบ Tommy Hilfiger มากกว่า 80% ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับกลยุทธ์การออกแบบระบบหมุนเวียนและในปี 2019 ผ้าฝ้าย 72% ที่ใช้ทั่วโลกมาจากแหล่งที่ยั่งยืน  นอกจากนี้ผ้ายีนส์กว่า 2 ล้านชิ้นยังได้รับการออกแบบให้ลดแรงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งช่วยลดปริมาณน้ำและพลังงานที่ใช้ตามฤดูกาล  แต่ละคอลเลกชั่นคอลเลกชั่นของ TOMMY HILFIGER มีสไตล์ที่ยั่งยืนมากขึ้นในคอลเลกชั่นโดยเห็นได้จากรูปแบบที่ยั่งยืนมากขึ้น 50% สำหรับฤดูใบไม้ผลิปี 2564 ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นสองเท่าจากฤดูใบไม้ผลิปี 2563

โดยตระหนักว่าไม่มีบริษัทใดสามารถเปลี่ยนแนวความยั่งยืนได้เพียงลำพัง Tommy Hilfiger ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของ PVH Corp. ได้เข้าร่วมพันธมิตรในอุตสาหกรรมโดยการลงนาม The Fashion Pact ในเดือนสิงหาคม 2562 รวมทั้งเข้าร่วมโครงการ Ellen MacArthur Foundation Make Fashion Circular และ Jeans Redesign  ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Tommy Hilfiger ได้ร่วมมือกับ WWF เพื่อจัดการกับความเสี่ยงด้านน้ำในสถานที่ตั้งของห่วงโซ่อุปทานเชิงกลยุทธ์ ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงด้านน้ำสำหรับซัพพลายเออร์และนิคมอุตสาหกรรมในลุ่มแม่น้ำไท่หูของจีนและทำหน้าที่เป็นพันธมิตรผู้ก่อตั้งโครงการดูแลแหล่งน้ำใหม่ในเวียดนามในลุ่มน้ำโขง

ตลอดการเดินทาง Tommy Hilfiger จะแบ่งปันความคืบหน้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Make it Possible และภาพรวมความสำเร็จทั้งหมด ไปที่: sustainability.tommy.com

เกี่ยวกับ Tommy Hilfiger

ด้วยผลงานแบรนด์ที่มี TOMMY HILFIGER และ TOMMY JEANS, Tommy Hilfiger เป็นหนึ่งในดีไซเนอร์พรีเมี่ยมที่ได้รับการยอมรับที่สุดของโลก โดยมุ่งเน้นที่การออกแบบและจำหน่ายเสื้อผ้าและชุดกีฬาสำหรับผู้ชาย เครื่องแต่งกายและชุดกีฬาสำหรับผู้หญิง เสื้อผ้าเด็ก คอลเลกชันเดนิม ชุดชั้นใน (รวมทั้งเสื้อคลุม ชุดนอน และชุดใส่ในบ้าน) รองเท้าและเครื่องประดับ  Tommy Hilfiger ได้รับลิขสิทธิ์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ที่ครบครันเช่นแว่นตา นาฬิกา น้ำหอม ชุดว่ายน้ำ ถุงเท้า เครื่องหนังขนาดเล็ก ของใช้ในบ้าน และกระเป๋าเดินทาง  กลุ่มผลิตภัณฑ์ TOMMY JEANS ประกอบด้วยชุดยีนส์และรองเท้าสำหรับผู้ชายและผู้หญิง เครื่องประดับและน้ำหอม Tommy Hilfiger    สินค้าภายใต้แบรนด์TOMMY HILFIGER และ TOMMY JEANS วางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลกผ่านทางเครือข่ายร้านค้าที่กว้างขวางของ Tommy Hilfiger และ TOMMY JEANS ร้านปลีกชั้นนำพิเศษและห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกออนไลน์และ tommy.com

เกี่ยวกับ PVH Corp.

PVH เป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ได้รับความชื่นชมมากที่สุดในโลก  เรานำแบรนด์ที่ขับเคลื่อนแฟชั่นไปข้างหน้า โดยแบรนด์ของเราประกอบด้วย CALVIN KLEIN, TOMMY HILFIGER, Van Heusen, IZOD, ARROW, Warner's, Olga และ Geoffrey Beene แบรนด์ตลอดจนแบรนด์เน้นดิจิทัล True&Co.  เราจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายภายใต้แบรนด์โด่งดังที่เหล่านี้ทั้งในและต่างประเทศ  PVH มีผู้ร่วมงานกว่า 40,000 คนที่ดำเนินงานในกว่า 40 ประเทศและมีรายได้ 9.9 พันล้านดอลลาร์ต่อปี  นั่นคือพลังของเรา นั่นคือพลังของ PVH

ติดตามเราได้ที่ Facebook, Instagram, Twitter และ LinkedIn

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200830005002/en/

ติดต่อ:

Tommy Hilfiger
Baptiste Blanc
Sr. Director, Communications and Earned Media (ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการสื่อสาร)
Baptiste.Blanc@tommy.com
+31 62904 2334

โคนามิ จะปล่อยเกม PES 2021 วันที่ 15 กันยายนนี้ในราคาพิเศษ เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 25 ปี PES และประกาศเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสโมสรฟุตบอลโรม่ารวมทั้งไทยลีกด้วย

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–31 สิงหาคม 2563

imgบริษัท โคนามิ ดิจิตอล เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด (Konami Digital Entertainment Limited) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้  (28 สิงหาคม 2563)  ถึงการลงนามเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาวกับสโมสรฟุตบอลโรม่า (AS Roma) ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลชั้นนำของประเทศอิตาลี

ชื่อทีม ตราสัญลักษณ์ และชุดของสโมสรฟุตบอลโรม่าที่จะเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเกมในซีรีส์ eFootball PES เท่านั้น จึงทำให้ eFootball PES 2021 SEASON UPDATE (PES 2021) เป็นวิดีโอเกมฟุตบอลบนเครื่องคอนโซลเพียงเกมเดียวที่จะนำเสนอความยิ่งใหญ่ของอิตาลีทันทีที่เปิดตัวในวันที่ 15 กันยายนนี้

นอกจากนี้ สตาดีโอโอลิมปีโก (Stadio Olimpico) ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลที่มีมายาวนาน และเปรียบเสมือนบ้านของสโมสรฟุตบอลโรม่า ก็จะเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเกม eFootball PES 2021 เท่านั้น โดยจะถูกสร้างสรรค์ขึ้นในเกมโดยนักออกแบบที่มีความสามารถของบริษัทโคนามิ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือเป็นหัวใจสำคัญของบริษัท ดังนั้น โคนามิ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่จะทำให้ อี จัลโลรอสซี (I Giallorossi) หรือ ทีมเหลือง-แดงได้ภาคภูมิใจ

โจนัส ไลการ์ด กรรมการผู้จัดการอาวุโสด้านการพัฒนาแบรนด์และธุรกิจของ บริษัทโคนามิ ดิจิตอล เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ได้กล่าวไว้ว่า “พวกเรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการเป็นแชมป์ฟุตบอลอิตาลีซึ่งถูกนำเสนอผ่านซีรีส์ eFootball PES และพวกเราภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่สโมสรฟุตบอลโรม่า ได้มาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์เป็นทีมล่าสุด สำหรับ PES 2021 ในปีนี้จะเป็นวิดีโอเกมบนเครื่องคอนโซลเพียงเกมเดียวที่สามารถนำเสนอสโมสรได้ ซึ่งนับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเป็นพาร์ทเนอร์กันในระยะยาว”

โคนามิ และสโมสรฟุตบอลโรม่า มีความตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากการร่วมมือกันครั้งนี้อย่างเต็มที่ ในการโปรโมทฟุตบอลโรมันสู่ผู้ชมทั่วโลกผ่านโครงการริเริ่มหลายโครงการ รวมถึงการมีส่วนร่วมในโปรเจกต์ eSports ในอนาคตอีกด้วย

“พวกเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับโคนามิ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในด้านการออกแบบและพัฒนาวิดีโอเกมและ eSports มาเป็นครอบครัวของเรา” จอร์จิโอ แบรมบิลล่า CRO ของสโมสรฟุตบอลโรม่าได้กล่าวไว้ “ด้วยข้อตกลงนี้ พวกเราจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกันของนวัตกรรมใหม่ ๆ ของเหล่าแฟนของจัลโลรอสซีทั่วโลกได้ พวกเรากำลังทำงานกันอย่างหนักกับพาร์ทเนอร์ใหม่ของเราเพื่อจัดเตรียมกิจกรรมสำหรับไม่กี่เดือนข้างหน้า และเพื่อสนับสนุนการเปิดตัวของ PES 2021 ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย และทางสโมสรก็มั่นใจว่าโคนามิจะเป็นพาร์ทเนอร์ในเชิงกลยุทธ์ที่ดีพร้อมที่สุด สำหรับการพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกี่ยวข้องกับทีม eSports ของสโมสรฟุตบอลโรม่า โดยจะมุ่งเน้นไปที่การเจาะกลุ่มคนที่ชื่นชอบในการเล่นวิดีโอเกมฟุตบอลมากยิ่งขึ้น”

สโมสรฟุตบอลโรม่า (AS Roma) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1927 ดำเนินการอย่างต่อเนื่องด้วยมาตรฐานสูงสุด ของฟุตบอลอิตาลี และเป็นหนึ่งในสโมสรที่ได้รับความนิยิมสูงสุดในภูมิภาคอีกด้วย นอกจากนี้ ทางสโมสรยังเคยคว้าชัยชนะในการแข่งขัน เซเรีย อา (Serie A) ถึง 3 ครั้ง โกปปาอีตาเลีย (Coppa Italia) ถึง 9 ครั้ง และซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา (Supercoppa Italiana) ถึง 2 ครั้ง

eFootball PES 2021 SEASON UPDATE จะเปิดให้เล่นบนแพลทฟอร์ม PlayStation®4, Xbox One™ และ PC STEAM ในวันที่ 15 กันยายนนี้  โดยได้เปิดให้แฟนๆ สั่งพรีออเดอร์ตัวเกมล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวิดีโอเกมที่บนปกเกมจะมีภาพของสองนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง ลิโอเนล เมสซิ จากสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา และคริสเตียโน โรนัลโด จากสโมสรฟุตบอลยูเวนตุส นอกจากนี้ eFootball PES ก็ยังคงสนับสนุนนักเตะรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถอย่างมาร์คัส แรชฟอร์ด จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอัลฟอนโซ่ เดวีส์ จากสโมสรฟุตบอลไบเอิร์น โดยแอมบาสเดอร์ทั้งสี่คนจะอยู่บนปกของ Club Editions ตัวใหม่ล่าสุด     

STANDARD & CLUB EDITIONS

  • STANDARD EDITION – ด้วยหน้าปกเกมที่โดดเด่น ซึ่งมีภาพของหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่าง ลิโอเนล เมสซิ โดยเกม PES 2021 Standard Edition นี้ จะวางจำหน่ายทั้งในร้านค้าทั่วไปและร้านค้าออนไลน์ในราคา 790 บาท
  • PARTNER CLUB EDITIONS – เป็นครั้งแรกที่เหล่าบรรดาแฟน ๆ จะสามารถซื้อ PES 2021 ในรูปแบบพิเศษ Club Editions ผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์ม ซึ่งมีทั้งสโมสรบาร์เซโลน่า, ยูเวนตุส, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, บาเยิร์นมิวนิค และอาร์เซนอล โดย Club Editions เหล่านี้จะรวบรวมเนื้อหาพิเศษของสโมสรต่าง ๆ เช่น   myClub  squads, Iconic Moment Series players, exclusive kits, branded menus และอื่นๆ โดยเกม PES 2021 Club Editions เหล่านี้จะวางจำหน่ายในราคา 922 บาท
  • LOYALTY DISCOUNT – สำหรับผู้เล่นที่เคยมีข้อมูลจากเวอร์ชั่น PES 2020 จะได้รับส่วนลด 20% เมื่อพรีออเดอร์เกม PES 2021 ในรูปแบบ Club Edition ผ่านตัวเกมเดิม PES 2020 รวมถึงผู้ที่เล่นในเวอร์ชั่น LITE อีกด้วย (จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม)
  • VETERAN'S BONUS – นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่เล่น myClub ใน eFootball PES 2020 ก็จะได้รับ Vateran's Bonus พร้อมกับรางวัลต่างๆ มากมายตาม Milestone ที่ทำได้ในเกม ซึ่งรายละเอียดของรางวัลและ Milestone สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์หลักของเกม

คุณสมบัติเด่น

  • SEASON UPDATE – เป็นเวอร์ชั่นอัพเดตของตัวเกม eFootball PES 2020 ซึ่งจะมีข้อมูลผู้เล่นและรายชื่อสโมสรล่าสุด (รวมถึงไทยลีกด้วย) เนื่องจากหลายลีกได้มีการเลื่อนการจบฤดูการแข่งขันออกไป ทำให้ข้อมูลล่าสุดของทีมและลีกที่ได้รับไลเซนส์จำเป็นจะต้องมีการอัพเดตผ่านแพทช์ในวันแรก (จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต)
  • EXCLUSIVE UEFA EURO 2020™ CONTENT – ก่อนการแข่งขันจริงในปี 2021 เนื้อหาของ UEFA EURO 2020™ จะอยู่ใน PES 2021 ด้วย โดยจะมีโหมด Tournament ของ  UEFA EURO 2020™  ที่มี 55 ทีมชาติในสังกัดยูฟ่า แข่งในสนามชื่อดังอย่างเวมบลีย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจำลองการแข่งขันทั้งก่อนและหลังการเปิดตัวในช่วงฤดูร้อน
  • ICONIC MOMENT SERIES – ย้อนอดีตช่วงเวลาที่น่าจดจำของบรรดานักฟุตบอลซุปเปอร์สตาร์ ทั้งนักฟุตบอลในปัจจุบันและในอดีต ด้วยซีรีส์ myClub ตัวใหม่นี้

สามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจาก eFootball PES และข้อมูลเพิ่มเติมได้จากช่องทางต่อไปนี้:

===============================

"e-Football" and "eFootball logo" are registered trademarks or trademarks of Konami Digital Entertainment Co., Ltd. in Japan and other countries or regions.

Official product manufactured and distributed by KONAMI under license granted by A.S. Roma S.p.A and Soccer s.a.s. di Brand Management S.r.l. All other copyrights or trademarks are the property of their respective owners and are used under license.  ©Konami Digital Entertainment.

===============================

หมายเหตุบรรณาธิการ:

เนื้อหาของเกมรวมถึงภาพและวิดีโอสามารถพบได้ที่นี่: https://www.konami-assets.com/

เกี่ยวกับโคนามิ กรุ๊ป (Konami Group)

Konami Group ก่อตั้งขึ้นในปี 1973 โดยเริ่มจากการเป็นผู้ผลิตเครื่องเล่น สำหรับร้านค้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้เติบโตขึ้นโดยมีหน่วยธุรกิจที่แตกต่างกันในตลาดต่างๆ ในปัจจุบัน KONAMI HOLDINGS CORPORATION ประกอบไปด้วยธุรกิจบันเทิงดิจิตอล  ความบันเทิง  เกมพร้อมระบบ และธุรกิจด้านกีฬา  บริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ (Osaka Securities Exchange) ในปี 1984, ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) ในปี 1988 และตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange) ในปี 1999 สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.konami.com/en

เกี่ยวกับโคนามิ ดิจิตอล เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (Konami Digital Entertainment)

Konami Digital Entertainment   เป็นบริษัทหลักของ Konami Group โดยเป็นบริษัทที่พัฒนาเนื้อหาความบันเทิง   บนมือถือ คอนโซล และการ์ดเกม   มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในแฟรนไชส์ระดับโลก เช่น PES, Metal Gear, Silent Hill, Castlevania และ Contra รวมถึง Yu-Gi-Oh! ชุดเกมการ์ดซื้อขาย: www.konami.com/games/corporate/en/

รายละเอียดเพิ่มกรุณาติดต่อ

บริษัท เอ็ม วัน เน็ตเวิร์ค จำกัด  

คุณจงกลณี ทรัพย์รื่นรวย

อีเมลล์: jongkolnee.s@m1network.co.th

โทร: 081-854-3836

NuScale Power สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะเครื่องปฏิกรณ์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็กเครื่องแรกที่ได้รับการอนุมัติการออกแบบจากคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา

Logo

ถือเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญด้านกฎระเบียบ เนื่องจาก NuScale พร้อมแล้วที่จะนำเทคโนโลยี SMR ออกสู่ตลาดในทศวรรษนี้

พอร์ตแลนด์, โอเรกอน–(BUSINESS WIRE)–29 ส.ค. 2563

NuScale Power ประกาศในวันนี้ว่าคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ หรือ the U.S. Nuclear Regulatory Commission  (NRC) ได้ตรวจสอบระยะที่ 6 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายและขั้นสุดท้ายของแอปพลิเคชันการรับรองการออกแบบ หรือ the Design Certification Application (DCA)  เป็นที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วสำหรับเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก หรือ small modular reactor (SMR) ที่ก้าวล้ำของบริษัท โดยมีการรายงานการประเมินความปลอดภัยขั้นสุดท้าย  หรือ Final Safety Evaluation Report (FSER) ให้ด้วย โดย FSER แสดงให้เห็นถึงการเสร็จสิ้นสมบูรณ์ของการตรวจสอบทางเทคนิคและการอนุมัติการออกแบบ NuScale SMR ซึ่งเมื่อขั้นตอนสุดท้ายของ DCA ของ NuScale เสร็จสมบูรณ์แล้ว ลูกค้าก็จะสามารถดำเนินการตามแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้า NuScale ได้ด้วยความสบายใจว่า NRC ได้อนุมัติด้านความปลอดภัยของการออกแบบของ NuScale เรียบร้อยแล้ว

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่:https://www.businesswire.com/news/home/20200828005299/en/

An artist’s rendering of NuScale Power’s small modular nuclear reactor plant. Photo courtesy of NuScale

ศิลปินวาดภาพจำลองโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบแยกส่วนขนาดเล็กของ NuScale Power  ภาพ ได้รับความอนุเคราะห์จาก NuScale

“นี่ไม่ใช่แค่เพียงก้าวที่สำคัญสำหรับ NuScale เท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวที่สำคัญของภาคนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ทั้งหมดและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นสูงอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกด้วย ความสำเร็จครั้งนี้เป็นการวางพื้นฐานความเป็นผู้นำของ NuScale และสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจนในการแข่งขันเพื่อนำ SMR ออกสู่ตลาด การได้รับอนุมัติด้านการออกแบบของ NuScale ถือเป็นความสำเร็จที่น่าเหลือเชื่อ และเราขอขอบคุณ NRC อย่างลึกซึ้งที่สุดสำหรับการตรวจสอบอย่างละเอียดและขอขอบคุณกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา หรือ the U.S. Department of Energy (DOE) สำหรับความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนของเราที่ประสบความสำเร็จเพื่อนำ SMR เครื่องแรกของประเทศออกสู่ตลาด และเรายังขอขอบคุณบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายที่ทุ่มเทเวลานับไม่ถ้วนเพื่อทำให้ช่วงเวลาพิเศษนี้เกิดขึ้นจริง” John Hopkins ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ NuScale กล่าว “นอกจากนี้การระดมทุนแบบแบ่งค่าใช้จ่ายโดยสภาคองเกรสในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังได้ช่วยเร่งความก้าวหน้าของ NuScale ผ่านกระบวนการรับรองการออกแบบของ NRC สิ่งนี้คือสาเหตุที่โครงการ SMR ของกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาถูกสร้างขึ้นมา และความสำเร็จของเราก็ยังเกิดขึ้นมาจากการได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรสที่แข็งแกร่ง "

DCA ของ NuScale เสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม 2559 และได้รับการยอมรับจาก คณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ หรือ  NRC ในเดือนมีนาคม 2017 กระบวนการตรวจสอบแสดงให้เห็นถึงทั้งความเรียบง่ายของการออกแบบ SMR ของ NuScale และความละเอียดถี่ถ้วนของแอปพลิเคชันของบริษัท ตัวอย่างเช่น ในระหว่างกระบวนการตรวจสอบขั้นตอนที่ 1 อย่างเข้มงวด ซึ่งรวมถึง 115,000 ชั่วโมงที่ใช้ในการตรวจสอบ DCA ทาง NRC ได้ออกคำขอข้อมูลเพิ่มเติมเป็นจำนวนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับแอปพลิเคชันการรับรองของการออกแบบอื่น ๆ NuScale ใช้เงินไปกว่า 500 ล้านดอลลาร์โดยได้รับการสนับสนุนจาก Fluor และใช้ชั่วโมงแรงงานกว่า 2 ล้านชั่วโมงเพื่อพัฒนาข้อมูลที่จำเป็นในการเตรียมแอปพลิเคชัน DCA นอกจากนี้ บริษัทยังได้ส่งรายงานเฉพาะ Topical Reports อีก 14 ฉบับแยกต่างหาก นอกเหนือไปจากรายงานอีกหนึ่งฉบับว่าด้วยแอปพลิเคชัน DCA อีกกว่า 12,000 หน้า พร้อม ๆ กับให้ข้อมูลสนับสนุนมากกว่า 2 ล้านหน้าสำหรับการตรวจสอบ NRC

“NRC ยอมรับความท้าทายในการตรวจสอบ เครื่องปฏิกรณ์  DCA แบบแยกส่วนขนาดเล็กเป็นเครื่องแรก ซึ่งในเวลานั้นไม่เพียงแต่ถือเป็นก้าวสำคัญของ NuScale เท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์โดยรวมด้วย NuScale ขอชื่นชมความทุ่มเท เวลา และความพยายามของ NRC ตลอดกระบวนการหลายปีนี้ ซึ่งมักจะมีการตรวจสอบเสร็จก่อนกำหนดเวลาเสมอ ในฐานะที่ผมเคยเป็นพนักงานของ NRC มาเป็นเวลานาน ซึ่งรวมถึงในฐานะผู้บริหารใน Office of New Reactors ผมสามารถพูดได้ว่าการออก FSER ในช่วงแรกนี้ต้องให้เครดิตสำหรับทุกคนใน NRC อย่างแท้จริง ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่การตรวจสอบทางเทคนิคและเจ้าหน้าที่โครงการ ฝ่ายการจัดการ และคณะกรรมการ Tom Bergman รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของ NuScale กล่าว

NuScale ยังคงรักษาโมเมนตัมโครงการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในการนำเทคโนโลยี SMR ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน มาตรฐานการออกแบบโรงงาน การวางแผนกิจกรรม การส่งมอบ และแผนการด้านสตาร์ทอัพและการว่าจ้าง บริษัทได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากลูกค้าในประเทศและจากต่างประเทศจากที่มองว่าโรงไฟฟ้า NuScale เป็นโซลูชันระยะยาวสำหรับการจัดหาพลังงานคาร์บอนที่เชื่อถือได้ ปลอดภัย ราคาไม่แพงและมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งนี้ NuScale ได้ลงนามในข้อตกลงกับหน่วยงานในสหรัฐอเมริกา แคนาดา โรมาเนีย สาธารณรัฐเช็ก และจอร์แดน และกำลังมีการเจรจาข้อตกลงที่คล้ายกันกับหน่วยงานอื่น ๆ เพิ่มเติม

เกี่ยวกับ NuScale Power

NuScale Power ได้พัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำเบาแบบแยกส่วนเพื่อจัดหาพลังงานสำหรับการผลิตไฟฟ้า การทำความร้อนแบบรวมศูนย์ การกรองน้ำทะเล และการใช้ความร้อนในกระบวนการอื่น ๆ ทั้งนี้การออกแบบเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก (SMR) ที่ก้าวล้ำนี้จะใช้คุณลักษณะ NuScale Power Module™ ที่ประดิษฐ์ขึ้นจากโรงงานโดยสมบูรณ์ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 60 เมกะวัตต์โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบแรงดันน้ำที่ปลอดภัยกว่า ขนาดเล็กกว่า และปรับขนาดได้ การออกแบบที่ปรับขนาดได้ของ NuScale ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถรองรับโมดูลไฟฟ้าได้ถึง 12 โมดูล ช่วยให้พลังงานที่ปราศจากคาร์บอนและลดภาระผูกพันทางการเงินที่มากับโรงงานนิวเคลียร์ขนาดกิกะวัตต์ ผู้ลงทุนหลักใน NuScale ได้แก่ Fluor Corporation ซึ่งเป็นบริษัทด้านวิศวกรรมการจัดหาและการก่อสร้างระดับโลกที่มีประวัติ 60 ปีในด้านพลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์

NuScale มีสำนักงานใหญ่ในพอร์ตแลนด์ โอเรกอน และมีสำนักงานใน Corvallis,โอเรกอน; ร็อควิลล์, แมรีแลนด์; ชาร์ล็อต นอร์ธ คาโรไลนา; ริชแลนด์วอชิงตัน; และลอนดอน สหราชอาณาจักร ติดตามเราได้ที่ Twitter: @NuScale_Power, Facebook: NuScale Power, LLC, LinkedIn: NuScale-Power, and Instagram: nuscale_power. NuScale มีโลโก้แบรนด์และ เว็บไซต์ ใหม่ คลิกเพื่อดู วิดีโอ สั้น ๆ

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200828005299/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ:

Diane Hughes, รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร

dhughes@nuscalepower.com

(C) 503-270-9329





DCG ตั้ง Foundry เป็นบริษัทย่อยใหม่ล่าสุดเพื่อขยายสู่อุตสาหกรรมขุดบิตคอยน์

Logo

บริษัทย่อยแห่งนี้จะเป็นผู้จัดหาทุนและให้บริการคำปรึกษาเพื่อเพิ่มอำนาจในระบบนิเวศของการขุดสินทรัพย์ดิจิทัล 
DCG ตั้งเป้าลงทุนใน Foundry เป็นมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ตลอดปี 2564

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–27 สิงหาคม 2563

Digital Currency Group (DCG) องค์กรระดับโลกผู้พัฒนา ซื้อ และลงทุนในบริษัทบล็อกเชน ประกาศถึงการก่อตั้งบริษัทในเครือใหม่ล่าสุดชื่อ Foundry หลังก่อตั้งขึ้นในปี 2562 Foundry เป็นผู้ให้บริการด้านความเชี่ยวชาญสำหรับสถาบัน ทุน และการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดให้กับนักขุดสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ผลิตต่าง ๆ โดยจัดหาแหล่งทรัพยากรสำหรับสร้าง รักษา และทำให้เครือข่ายที่มีไม่ศูนย์กลาง (decentralized network) ปลอดภัย ขณะนั้น Mike Colyer อดีตผู้บริหารแห่ง Core Scientific ถูกเลือกให้เป็นตัวเต็งที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของ Foundry

Foundry ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการด้านสถาบันด้านการเข้าถึงทุน ประสิทธิภาพของตลาด รวมถึงความโปร่งใสในอุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์ ปัจจุบัน บริษัทมีบริการต่าง ๆ อยู่สามด้านที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ สินเชื่อที่ใช้เครื่องจักรเป็นหลักค้ำประกันและบริการจัดหา บริการขุดและการตรวจสอบธุรกรรมแบบวางเงินค้ำประกัน (staking) และบริการที่ปรึกษา

นับตั้งแต่ก่อตั้ง Foundry ทะยานสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทขุดบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ และได้เพิ่มวงเงินสินเชื่อที่ใช้เครื่องจักรค้ำประกันเป็นหลายสิบล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรด้านการขุดบิตคอยน์และได้ช่วยจัดหาอุปกรณ์ขุดบิตคอยน์ราวครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดที่มีการส่งมอบในอเมริกาเหนือปีนี้

“เราต้องการติดอาวุธให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่มีศูนย์กลางในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลรูปแบบใหม่นี้ และงานของเราจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาและการเติบโตของการขุดบิตคอยน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาเหนือ” Mike Colyer ซีอีโอของ Foundry กล่าว “พวกเราคือธุรกิจที่สร้างขึ้นโดยนักขุดเพื่อนักขุดเอง และพวกเราเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการที่มีพันธกิจเดียวกันกับเราในการทำให้อุตสาหกรรมนี้ก้าวหน้า และสร้างระบบนิเวศการขุดบิตคอยน์แบบไม่มีศูนย์กลางให้เกิดขึ้น”

DCG มีเป้าหมายที่จะลงทุนใน Foundry เป็นเม็ดเงินมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดปี 2564 นี้ และเป็นครั้งแรกที่นักขุดและผู้ผลิตจะได้เข้าถึงพันธมิตรที่มีความน่าเชื่อถือและแหล่งทุนผ่านทางเครือข่ายอันทรงพลังของ DCG

“ที่ DCG เป้าหมายของเราคือการเร่งการพัฒนาระบบการเงินที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นเร็วขึ้น” Barry Silbert ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแห่ง DCG กล่าว “การขุดบิตคอยน์และการทำสแต็กกิ้งสินทรัพย์ดิจิทัลทำให้เรามีสิ่งที่เป็นแกนหลักของเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งจะขับเคลื่อนความก้าวหน้านั้น Foundry จะนำทรัพยากรที่สำคัญและคำแนะนำมาสู่ด้านที่จำเป็นของอุตสาหกรรม และ Mike Colyer พร้อมทีมของเขามีทั้งความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และความซื่อตรงที่จะตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งนักขุดและผู้ผลิต”

Foundry ให้ความสำคัญกับการร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้เล่นรายสำคัญ ๆ ในอุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์และการทำสแต็กกิ้ง โดยมีเป้าหมายที่จะขยายการเข้าถึงการขุดสินทรัพย์ดิจิทัลให้กว้างขึ้น กระจายโอกาสทางภูมิศาสตร์ และนำความถูกต้องและความโปร่งใสที่มากขึ้นมาสู่ระบบนิเวศการขุดบิตคอยน์ นอกจากนี้ Foundry ตั้งเป้าที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับบริษัทพลังงานและรัฐบาลเพื่อช่วยสร้างและเริ่มใช้กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการขุดบิตคอยน์

“ความเข้าใจของ Foundry ต่ออุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์บวกกับการสนับสนุนอยางเต็มรูปแบบของ DCG ได้พาบริษัทก้าวสู่การเป็นพันธมิตรหลักในการขยายธุรกิจของเราทั่วทั้งอเมริกาเหนือในปีที่ผ่านมา เราวางแผนที่จะสานต่อความร่วมมือนี้กับ Foundry ระหว่างที่เรามุ่งหน้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลก” Jordan Chen ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ MicroBT ผู้ผลิตเครื่องขุดบิตคอยน์จากเซินเจิ้น

“การสนับสนุนด้านงานและการเงินของ Foundry ต่อลูกค้าของเราช่วยให้เราสามารถส่งเครื่องจักรไปยังสหรัฐอเมริกาได้จำนวนมหาศาลในปีนี้” Su Ke ผู้อำนวยการด้านการขายและการตลาดทั่วโลกของ Antminer แห่ง Bitmain กล่าว “บริการระดับสถาบันของ Foundry สำหรับธุรกิจในอเมริกาเหนือและความเชี่ยวชาญของทีมงานมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เราหวังที่จะได้ทำงานร่วมกับ Foundry อย่างใกล้ชิดเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับพวกเขา”

นอกจาก Foundry แล้ว DCG ยังเป็นบริษัทแม่ของ Grayscale Investments ซึ่งเป็นผู้จัดการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเงินสกุลดิจิทัล Genesis โบรกเกอร์สำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่ให้บริการด้านสกุลเงินดิจิทัลแบบครบวงจรเจ้าแรกของโลก และ CoinDesk บริษัทด้านสื่อและกิจกรรมชั้นนำของอุตสาหกรรมบล็อกเชน นอกจากนี้ DCG ยังเป็นผู้ลงทุนในบริษัทต่าง ๆ กว่า 160 แห่งทั่วโลก

Colyer และทีมประจำสำนักงานอยู่ในโรเชสเตอร์ นิวยอร์ก

เกี่ยวกับ Foundry

Foundry เป็นบริษัทย่อยของ DCG และเป็นบริษัทการเงินและที่ปรึกษาด้านการขุดสินทรัพย์ดิจิทัลและการทำสแต็กกิ้ง ด้วยพันธกิจที่จะสร้างอำนาจให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่มีศูนย์กลาง (decentralized infrastructure) ให้กับโลกดิจิทัล Foundry และเป็นผู้จัดหาทุนและข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วให้กับธุรกิจขุดสินทรัพย์ดิจิทัลในอเมริกาเหนือ

สำนักงานของ Foundry ตั้งอยู่ที่โรเชสเตอร์ นิวยอร์ก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ foundrydigital.com

เกี่ยวกับ DCG

Digital Currency Group ก่อตั้งขึ้นโดย Barry Silbert ในปี 2558 และเป็นองค์กรระดับโลกที่พัฒนา ซื้อ และลงทุนในบริษัทบล็อกเชนทั่วโลก ในฐานะนักลงทุนที่มีบทบาทมากที่สุดในวงการบล็อกเชน DCG อยู่ ณ จุดศูนย์กลางของอุตสาหกรรมบล็อกเชน ซึ่งสนับสนุนบริษัทกว่า 160 แห่งในกว่า 30 ประเทศ นอกเหนือจากบริการด้านการลงทุนแล้ว DCG ยังเป็นบริษัทแม่ของ Grayscale Investments, Genesis, CoinDesk และ Foundry อีกด้วย

สำนักงานของ DCG ตั้งอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ dcg.co

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200827005146/en/

สื่อ

Mark Murphy

press@dcg.co

media@foundrydigital.com

น้องม.ปลายพร้อมไหม โครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ครั้งที่ 23

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–28 สิงหาคม 2563

imgน้องม.ปลายพร้อมไหม โครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ครั้งที่ 23 เขาเตรียมจัดตารางติวเข้มให้น้อง ๆ ไปลุยสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันเต็มที่ แถมปีนี้บอสหญิงแห่งสหพัฒน์ ชัยลดา ตันติเวชกุล ยังประกาศปรับเปลี่ยนการติวให้เป็นออนไลน์ Live Streaming Class ติวฟรีแบบใหม่ อยู่ไหนก็ติวได้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้เข้าถึงน้อง ๆ ทั่วประเทศ และยังขนกองทัพติวเตอร์ชื่อดังมาติดอาวุธความรู้ให้น้อง ๆ พร้อมแนะแนวอาชีพที่น่าสนใจ แถมน้อง ๆ คนไหนติวจบ จะได้รับ Online Certificate เพื่อนำไปแนบในพอร์ตกันด้วย งานนี้บอกเลยว่าพลาดไม่ได้ สำหรับน้อง ๆ นักเรียนที่สนใจติวเข้มออนไลน์ สามารถลงทะเบียนได้ทาง www.sahapatadmission.com หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 064-163-3449 และ 064-836-3990

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

ผู้บริโภคเพิ่มแรงกดดันทำให้เกิดนวัตกรรม ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–28 สิงหาคม 2563

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานบริษัท อินฟอร์ อาเชียน

imgผู้บริโภคจำนวนมากเอาจริงเอาจังกับเรื่องคุณภาพอาหารที่จะบริโภค ผลกระทบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องถึงสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากผู้ผลิตอาหาร เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจึงจำต้องเร่งให้มีการแนะนำ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปในเรื่องของความสดใหม่ ผลดีต่อสุขภาพ และความใส่ใจในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้  ปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเรื่องอาหารการกินในทุกวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรสชาติ ความสดใหม่ และความสะดวกสบายเท่านั้น  เมื่อต้องเลือกซื้ออาหารให้กับครอบครัว ผู้บริโภคจะใช้วิจารณญาณให้ความสำคัญในประเด็นสุขภาพ ประโยชน์ต่อร่างกายและเหตุปัจจัยทางสังคมอีกด้วย  โดยพวกเขาจะอ่านฉลากโภชนาการ หาข้อมูลตัวตนหรือความเป็นมาของซัพพลายเออร์ การคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ และการรักษาความยั่งยืนของสภาพแวดล้อม  มาตรฐานต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคคาดหวังไว้เหล่านี้ ล้วนเพิ่มแรงกดดันให้กับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ทว่าบริษัททั้งหลายที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยก็ควรจะไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้  เพราะการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสังคม จะช่วยให้บริษัทสร้างความแตกต่างที่คุ้มค่าได้

ความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในด้านต่าง ๆ

เริ่มต้นจากแหล่งเพาะปลูก – ปัจจุบันผู้บริโภคต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของอาหารและเส้นทางที่เริ่มต้น จากแหล่งเพาะปลูกมาจนถึงจานอาหารมากขึ้น  จากรายงาน “แนวโน้มทิศทางอุตสาหกรรมอาหารของตลาดประเทศอาเซียนและจีน” ระบุถึงการที่ประชากรในเขตเมืองจะยอมจ่ายเพิ่มเพื่อคุณภาพที่ดีกว่า รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุชาวไทยและชาวสิงคโปร์ ทำให้ประชากรใส่ใจเรื่องสุขภาพและข้อมูลอาหารมากขึ้น  มูลนิธิ The International Food Information Council (IFIC) ระบุในรายงานล่าสุดเกี่ยวกับแนวโน้มด้านอาหาร ปี 2562 ว่า “ชาวอเมริกันมีความต้องการเสพข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอาหารที่พวกเขาบริโภคเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา และเทคโนโลยีก็ช่วยผู้ที่ชมชอบการรับประทานอาหารได้มากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน…นอกจากนี้ยังได้ช่วยผลักดันให้เกิดความโปร่งใสด้านซัพพลายเชนอาหารอีกด้วย” 

โภชนเภสัช ไม่ใช่คนรุ่นมิลเลนเนียลเท่านั้นที่มองหาทางเลือกที่เกี่ยวกับสุขภาพอย่างจริงจัง  คนทุกวัยต่างหันมาใช้วิตามิน เกลือแร่ และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อกระดูก ข้อต่อ ระบบภูมิคุ้มกัน การย่อยอาหาร และสุขภาพสมองของตน  จากงานวิจัยของ Mintel ระบุว่า 20% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ใช้อาหารเสริมเพื่อสุขภาพเกี่ยวกับข้อต่อ และเนื่องจากผู้บริโภคต่างเสาะหาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ช่วยลดอาการอักเสบได้ ดังนั้นจึงเกิดผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิดที่มีส่วนผสมของขิง ขมิ้น สารสกัดชาเขียว และเห็ดต่าง ๆ ที่สามารถใช้รักษาโรคได้

เมื่อสุขภาพและความงามไปด้วยกัน – ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสามารถใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่จัดทำโดยอุตสาหกรรมความงามซึ่งครั้งหนึ่งเคยเปิดเผยถึงผลเบอรี่และเครื่องเทศบางชนิดที่ให้ประโยชน์ในการชะลอวัยได้  นอกจากนี้สิ่งที่ได้รับความสนใจอื่น ๆ ได้แก่กรดไขมันโอเมก้า-3 ไบโอติน อโลเวร่า และโคเอนไซม์คิวเท็น ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ  ที่ผ่านมาบริษัทต่าง ๆ ไม่ค่อยเต็มใจลงทุนทางด้านนี้มากเท่าใดนัก เนื่องจากข้อจำกัดในการอ้างอิงถึงคุณประโยชน์ต่าง ๆ ด้านสุขภาพ  ปัจจุบันผู้บริโภคที่มีข้อมูลพร้อม ต้องการข้อมูลพื้นฐานและคำอธิบายต่าง ๆ บนบรรจุภัณฑ์น้อยลง ดังนั้นความท้าทายของผู้ผลิตจึงอยู่ที่การตัดสินใจเลือกส่วนผสมให้เหมาะกับชนิดของผลิตภัณฑ์มากกว่า

ความยั่งยืน – มูลนิธิ IFIC ระบุว่า “ความเคลื่อนไหวด้านความยั่งยืนนั้นเกิดขึ้นเป็นวัฎจักร เนื่องจากมีวิธีใหม่ ๆ ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมตลอดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ นับตั้งแต่เรื่องแหล่งวัตถุดิบไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การกำจัดขยะ หรือการนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง วิธีการแบบ 360 องศานี้สะท้อนให้เห็นถึงหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีการรักษาทรัพยากรต่าง ๆ ไว้ใช้งานให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นการนำเอาคุณค่าของทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนำวัสดุกลับไปใช้งานใหม่อีกครั้งเมื่อหมดอายุการใช้งาน”

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลาสติก – วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำจากพลาสติกได้กลายเป็นหัวข้อร้อนแรงระดับโลก ซึ่งผลักดันให้เกิดความต้องการด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ  วัสดุบรรจุภัณฑ์ชีวฐานจะกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตบรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  ความคิดริเริ่มต่าง ๆ เช่น โครงการ “Loop” หรือ “Upcycling SE Project” ก็กำลังพยายามที่จะนำแนวความคิดเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่สามารถส่งคืนและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ขยะน้อยลง – ในปี 2561 ได้เกิดความตระหนักรู้เกี่ยวกับ “ผลผลิตที่ไม่น่ากิน: ugly produce” ขึ้น พืชผักผลไม้ที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามข้อกำหนดที่ผู้ค้าปลีกระบุได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่ง โดยทางเทสโก้ได้กลายเป็นผู้ค้าปลีกพิเศษแต่เพียงผู้เดียวที่จำหน่ายน้ำผลไม้ประเภท “Waste NOT” หลากหลายชนิดซึ่งล้วนแล้วแต่ทำมาจากผลผลิตที่ถูกระบุว่า “ไม่น่ากิน” ทั้งสิ้น

การอนุรักษ์ดิน – ดินดีอุดมสมบูรณ์ด้วยสารอาหารเป็นรากฐานของอาหารเพื่อสุขภาพ  บริษัทต่าง ๆ ควรเข้ามามีบทบาทในการทำให้ดินอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เช่น แบรนด์สินค้าอาหารสำหรับทารกของประเทศอเมริกา “Gerber” ที่กำลังหวังว่าแนวทางแบบองค์รวมและเกษตรอินทรีย์ที่อยู่ในสายผลิตภัณฑ์ “Clean Field Farming” ของบริษัทฯ จะประสบความสำเร็จ และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งช่วยปรับปรุงระบบนิเวศให้ดีขึ้นด้วย  นอกจากนี้ Annie’s Homegrown ก็ยังเป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่ช่วยสร้างความรับรู้ให้แก่ผู้บริโภคในเรื่องนี้

การลดน้ำตาล – จากรายงานคำแนะนำในการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกัน ปี 2558-2563 (Dietary Guidelines for Americans 2015-2020) พบว่าคนจำนวนมากเชื่อคำแนะนำในการให้รับประทานน้ำตาลน้อยลง โดย 77% กล่าวว่าพวกเขากำลังค่อย ๆ จำกัดหรือหลีกเลี่ยงน้ำตาลในอาหาร และอีก 59% เห็นว่าน้ำตาลเป็นของไม่ดี  สารให้ความหวานจากพืชแบบใหม่หรือที่ได้จากผลิตภัณฑ์นม กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับผู้ผลิตในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์แบบคลาสสิกให้ดีขึ้น

มังสวิรัติ – การรับประทานอาหารที่มาจากพืชเป็นหลักยังคงได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้น โดยยอดขายอาหาร “ทางเลือกมังสวิรัติ” เพิ่มขึ้นถึง 20% ตั้งแต่ปี 2560  จากโพลล์ของ Gallup พบว่ามีชาวอเมริกันเพียง 5% เท่านั้นที่ระบุว่าเป็นมังสวิรัติ และอีก 3% เป็นวีแกน แต่สำหรับคนอื่น ๆ มีการเพิ่มผักชนิดต่าง ๆ และลดการบริโภคโปรตีนเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพทั่วไป สำหรับประเทศไทยพบว่ามีชาวไทยเพียง 3.3% ที่เป็นมังสวิรัติ

แล้วเทคโนโลยีช่วยให้ผู้ผลิตก้าวทันความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างไร

เพื่อให้ก้าวทันต่อเหตุการณ์ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะต้องทันเทรนด์ต่าง ๆ และอัปเดตการนำเสนอ ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทคโนโลยีสามารถช่วยได้หลากหลายวิธีดังนี้

นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ – การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างรวดเร็วถือเป็นเรื่องที่จำเป็น  กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แสดงถึงทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพได้ อีกทั้งยังมีการเพิ่มแร่ธาตุและสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับความสมดุลของสุขภาพเข้าไปในผลิตภัณฑ์ด้วย  การลดน้ำตาล สีสังเคราะห์ และวัตถุกันเสียในผลิตภัณฑ์สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคยุคใหม่จำนวนมากได้เช่นกัน  โซลูชั่นด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กรที่ทันสมัย (enterprise resource planning – ERP) สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะจะช่วยจัดการเรื่องสูตรอาหาร วัตถุดิบ และสูตรในการผลิตต่าง ๆ ทำให้มั่นใจว่าสามารถรักษาคุณภาพให้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด  ส่วนโซลูชั่นในการจัดการวงจรการผลิต (Product lifecycle management – PLM) ยังช่วยเร่งความเร็วในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ จัดการขั้นตอนต่าง ๆ พร้อมปรับปรุงการบริหารจัดการโครงการ การทำงานร่วมกัน และการทดสอบผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น

ฉลากชัดเจน (Clean labels) – ความโปร่งใสและความชัดเจนในกระบวนการผลิตอาหารกำลังทวีความ สำคัญมากยิ่งขึ้น ฉลากสินค้าเป็นกลยุทธ์สำคัญในการถ่ายทอดข้อความต่าง ๆ (ที่ต้องการสื่อถึงผู้บริโภค) บริษัทที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรม RSM กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที หากเขาไม่เข้าใจหรือไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ผลิตขึ้นมาอย่างไรและมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ก็มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะไม่สนใจผลิตภัณฑ์นั้น ๆ  ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสามารถหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยจัดรูปแบบและเนื้อหาของป้ายกำกับแบบ clean label ให้เป็นไปตามข้อบังคับปัจจุบัน  โซลูชั่น PLM ช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ง่าย และเป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วนตามข้อกำหนด

การวางแผนด้านซัพพลาย – เมื่อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ออกสู่ตลาด และเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้น ความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคือสินค้ามีไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย  บริษัทต่าง ๆ ต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ และใช้ประโยชน์จากเครื่องมือการวางแผนด้านซัพพลายเชน เพื่อให้ผู้ค้าปลีกสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้

การสามารถตรวจสอบย้อนกลับระบบซัพพลายเชน – มูลนิธิ  International Food Information Council (IFIC) ระบุว่าเรื่องนี้ติดหนึ่งในห้าอันดับแรกของแนวโน้มด้านอาหารในปี 2562 และคาดว่าจะยังเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้บริโภคต่อไปอีก และจะทำให้เกิดความต้องการโซลูชั่นที่สามารถให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน  ผู้ผลิตอาหารจำนวนมากขึ้นทราบดีว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ มีราคาถูกลง และสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านั้นในการจัดการกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนได้  โซลูชั่นการจัดการซัพพลายเชนสมัยใหม่ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการมองภาพรวมและการติดตามตรวจสอบซัพพลายเออร์

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ – โซลูชั่นธุรกิจอัจฉริยะ (business intelligence – BI) ที่ทันสมัยที่มีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ติดตั้งมาด้วย จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ คาดการณ์แนวโน้ม และความต้องการของตลาด  ข้อมูลเชิงลึกที่วิเคราะห์ถึงอนาคตจะช่วยในการเตรียมวัตถุดิบ และวางแผนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ได้ เช่น ด้านเครื่องจักร บรรจุภัณฑ์ และบุคลากร

สรุปประเด็นสำคัญ

โลกของการผลิตอาหารและเครื่องดื่มมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรื่องรสชาติเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัย หลากหลายประการที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ทุกวันนี้ประเด็นด้านสุขภาพ ความสมดุลของร่างกาย และเหตุปัจจัยทางสังคม เช่น ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ต่างก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตจะเห็นเรื่องนี้เป็นความท้าทายหรือเป็นโอกาสในการปรับให้เข้ากับลูกค้า และด้วยการมีเทคโนโลยีทันสมัยพร้อมใช้งานจะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถคว้าโอกาสในการเร่งเปิดตัว และนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดใจผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นตัวช่วยนำพาบริษัทก้าวไปสู่ความเจริญเติบโตในอนาคต 

Thai Herald

Thai Herald