Tag Archives: fico

ผลสำรวจของ FICO: คนไทยครึ่งหนึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องปกติที่จะแสดงรายได้เกินจริงในการขอสินเชื่อและการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน

Logo

การเงินที่ยืดเยื้อเนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้หลายคนพิจารณาที่จะให้ข้อมูลเท็จ

กรุงเทพมหานคร– 30 พฤษภาคม 2566 (NYSE: FICO)

บริษัท FICO ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ชั้นนำระดับโลก ได้ประกาศการค้นพบเพิ่มเติมจากแบบสำรวจการฉ้อโกงของผู้บริโภค ที่ได้สำรวจทัศนคติและความพึงพอใจต่อการตรวจสอบการฉ้อโกงในวันนี้ การศึกษาวิจัยดังกล่าวเปิดเผยว่าชาวไทยกว่าครึ่งเต็มใจทำการทุจริตเพื่อขอสินเชื่อหรือยื่นเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน แต่อย่างไรก็ตาม FICO ได้เน้นย้ำว่าสถาบันการเงินยังสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและผลักดันยอดขายผ่านฟังก์ชันการป้องกันการฉ้อโกงให้ประสบความสำเร็จได้

FICO Survey: Half of Thais Believe It Is OK to Exaggerate Income on Loan Applications and Insurance Claims (Graphic: FICO)

คนไทยครึ่งหนึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องปกติที่จะแสดงรายได้เกินจริงในการขอสินเชื่อและการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (กราฟิก: FICO)

ข้อมูลเพิ่มเติม:

https://www.fico.com/es/latest-thinking/ebook/consumer-survey-2022-fraud-identity-and-digital-banking-thailand

การให้ข้อมูลเท็จถือว่าเป็นที่ยอมรับได้สำหรับหลายๆ คน

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับทัศนคติของพวกเขาต่อการให้ข้อมูลเท็จเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินหรือให้มูลค่าทรัพย์สินที่มากเกินความเป็นจริง ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการธนาคารว่าเป็นการฉ้อโกงโดยบุคคลที่หนึ่ง คนไทยครึ่งหนึ่งสนับสนุนพฤติกรรมเหล่านี้ มีประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่ามีบางสถานการณ์ที่เป็นเรื่องปกติที่จะแสดงรายได้เกินจริงในการขอสินเชื่อทั่วไปหรือสินเชื่อบ้าน ในขณะที่อีก 25 เปอร์เซ็นต์คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะทำเช่นนั้น การสำรวจพบว่าผู้บริโภคในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเกินจริงหรือมีเพิ่มรายการในการเรียกร้องด้วย

“ความเต็มใจที่จะทำการฉ้อโกงเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ถือเป็นสัญญาณว่าธนาคารไทยจำเป็นจะต้องหนุนโมเดลป้องกันการฉ้อโกงเป็นอย่างยิ่ง” C.K. Leo หัวหน้าด้านการฉ้อโกง ความปลอดภัย และอาชญากรรมทางการเงินในเอเชียแปซิฟิก บริษัท FICO กล่าว “กลยุทธ์การป้องกันการฉ้อโกงที่รัดกุมไม่เพียงแต่จะปกป้องผลประโยชน์ของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลกำไรของธุรกิจด้วย”

ความเชื่อมั่นนี้สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่น อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ทั้งยังเป็นที่สนใจมากขึ้นในมาเลเซีย  ที่ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 60 เปอร์เซ็นกล่าวว่าพฤติกรรมเช่นนั้นเป็นเรื่องปกต

ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าธนาคารในประเทศไทยอาจทำการประเมินความเสี่ยงได้อย่างไม่ถูกต้อง อันเป็นผลมาจากข้อมูลที่เป็นเท็จในใบสมัคร ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่สูงเกินจริง นอกจากนี้ลูกค้าอาจไม่ทราบว่าการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในเอกสารยื่นสมัครหรือในการเรียกร้องนั้นผิดกฎหมาย

“สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ซบเซา ยังทำให้ส่งผลร้ายต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้คนไทยบางส่วนหมดหวังในการเข้าถึงสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการฉ้อโกง” Leo กล่าว “ด้วยการปรับปรุงความสามารถในการตรวจจับข้อมูลที่บิดเบือน สถาบันการเงินสามารถป้องกันตนเองจากการขาดทุนจากหนี้สูญ ในขณะเดียวกันก็นำลูกค้าออกจากเส้นทางที่น่าเศร้านั้นได้”

ใช้ประโยชน์จากข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างเต็มที่เพื่อผลักดันการป้องกันการฉ้อโกง

บ่อยครั้งที่สถาบันการเงินมีหลักฐานที่จำเป็นในการแยกแยะระหว่างการสมัครที่เป็นการฉ้อโกงและข้อมูลการสมัครที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามทีมป้องกันการทุจริตมักไม่สามารถใช้ข้อมูลนี้ได้เนื่องจากข้อมูลถูกแยกไว้ ความไม่มีประสิทธิภาพเหล่านี้ส่งผลให้ทำการป้องกันการฉ้อโกงได้อย่างไม่เพียงพอและกระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้า ธนาคารสามารถช่วยเหลือตรวจสอบลูกค้ามีความยุ่งยากและใช้เวลานาน ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและเกิดความซ้ำซ้อนซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกหงุดหงิด

“ด้วยสภาพการธนาคารที่มีการแข่งขันสูงของภูมิภาคนี้ การใช้กลยุทธ์ป้องกันการฉ้อโกงที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูง” Leo กล่าว “เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ ทีมป้องกันทุจริตต้องสร้างสมดุลระหว่างการป้องกันการฉ้อโกงที่เข้มแข็งและการตอบสนองความต้องการอย่างถูกต้องตามกฎหมายของลูกค้า สิ่งนี้สามารถทำได้ด้วยวิธีการแบบองค์รวมในการเข้าถึงข้อมูลผู้สมัคร ซึ่งช่วยให้สามารถแยกแยะได้อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างใบสมัครที่ฉ้อฉลและใบสมัครที่ถูกต้องตามกฎหมาย การใช้โมเดลการวิเคราะห์และแมชชีนเลิร์นนิงจะช่วยเสริมการป้องกันการฉ้อโกงของธนาคาร ซึ่งนำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้าที่ดีขึ้นได้”

รายงานนี้จัดทำขึ้นในช่วงปลายปี 2022 โดยสำรวจ 1,000 คน จากแต่ละประเทศใน 14 ประเทศดังนี้ ประเทศไทย สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล เม็กซิโก โคลอมเบีย เปรู มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสวีเดน

เกี่ยวกับ FICO

FICO (NYSE: FICO) มุ่งมั่นในการตัดสินใจที่จะช่วยให้ผู้คนและธุรกิจทั่วโลกให้ประสบความสำเร็จ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1956 เป็นผู้บุกเบิกการใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ AI และวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน FICO ถือครองสิทธิบัตรมากกว่า 200 ฉบับในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มผลกำไร ความพึงพอใจของลูกค้า และการเติบโตของธุรกิจในบริการทางการเงิน การผลิต โทรคมนาคม การดูแลสุขภาพ การค้าปลีก และอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อใช้โซลูชัน FICO ธุรกิจในเกือบ 120 ประเทศจะสามารถทำได้ทุกอย่างตั้งแต่การปกป้องบัตรชำระเงิน 2.6 พันล้านใบจากการฉ้อโกง การปรับปรุงการรวมทางการเงิน ไปจนถึงการเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน 90% ของผู้ให้กู้ชั้นนำของสหรัฐใช้ The FICO® Score เป็นการวัดมาตรฐานของความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ซึ่งช่วยปรับปรุงการจัดการความเสี่ยง การเข้าถึงสินเชื่อ และความโปร่งใส

เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ http://www.fico.com.

เข้าร่วมการสนทนาได้ที่ https://twitter.com/fico & http://www.fico.com/en/blogs/

ข่าวสารและแหล่งข้อมูลสื่อของ FICO โปรดไปที่ www.fico.com/news.

FICO เป็นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของ Fair Isaac Corporation ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53399915/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Neil Mirano
RICE for FICO
+65 3157 5680
neil.mirano@ricecomms.com

Saxon Shirley
FICO
+65 9171 0965
saxonshirley@fico.com

แหล่งที่มา: FICO

การสำรวจของ FICO: 1 ใน 6 ของผู้บริโภคชาวไทยจะออกจากธนาคารที่ใช้บริการในปัจจุบันไปหาธนาคารคู่แข่งมากขึ้นหากพวกเขาไม่ได้รับการการตอบสนองต่อการหลอกลวง

Logo

ธนาคารไทยที่ต้องการรักษาลูกค้าไว้และต้องการเพิ่มจำนวนลูกค้า จำเป็นต้องปรับปรุงการวิธีการจัดการต่อการหลอกลวง

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)–10 พฤศจิกายน 2565

ไฮไลท์

  • ผู้บริโภคชาวไทยประมาณ 1 ใน 6 (15%) จะเปลี่ยนไปใช้บริการธนาคารคู่แข่ง หากพวกเขารู้สึกไม่พอใจกับการตอบสนองด้านการจัดการต่อการหลอกลวงของธนาคารที่พวกเขาใช้บริการอยู่ในปัจจุบัน
  • คนไทยกังวลกับการหลอกลวงโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี (ATO) มากที่สุด (33%) ตามมาด้วยการหลอกลวงเกี่ยวกับการใช่บัตร (22%)
  • 11 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคชาวไทยเชื่อว่าธนาคารสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่ทำอยู่เพื่อปกป้องพวกเขา

ผลสำรวจเรื่องการฉ้อโกงทั่วโลกล่าสุดโดย FICO เผยว่าผู้บริโภคชาวไทยประมาณ 1 ใน 6 คนจะเปลี่ยนไปใช้บริการธนาคารคู่แข่ง หากพวกเขารู้สึกไม่พอใจกับการจัดการต่อการหลอกลวง  ฉ้อโกง ของธนาคารที่พวกเขาใช้บริการอยู่ ประเด็นที่สำคัญคือช่วงหลังการระบาดครั้งใหญ่ ผู้บริโภคเกือบ 3 ใน 4 กล่าวว่าพวกเขาจะยังคงทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดทางออนไลน์ต่อไปและพวกเขาตระหนักมากขึ้นถึงความจำเป็นในการป้องกันการฉ้อโกงทางออนไลน์อย่างแข็งแกร่ง

ในตลาดที่มีผู้บริโภคที่ทำธุรกรรมผ่านธนาคารประมาณ 56 ล้านราย ผู้บริโภคชาวไทย 1 ใน 6 ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีคนมากกว่า 8 ล้านคนที่เปลี่ยนไปใช้บริการธนาคารคู่แข่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถาบันสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.fico.com/en/latest-thinking/ebook/fico-consumer-fraud-survey-2021-thailand

คนไทยกังวลมากที่สุดกับการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี  (ATO) ทว่าอาจถูกละเลยเมื่อเทียบกับภัยคุกคามอื่น

ผลสำรวจจากหลายสิบประเทศเผยว่า ประเทศไทยมีอัตราการฉ้อโกงโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี (ATO) สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตแอบอ้างเพื่อเป็นผู้ควบคุมบัญชี ในความเป็นจริง ผู้บริโภคชาวไทยหนึ่งในสี่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมประเภทนี้ เมื่อเทียบกับ 18% ของค่าเฉลี่ยของทั่วโลก

ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคชาวไทยจึงตื่นตัวต่อภัยคุกคามจากการฉ้อโกงโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี (ATO) มากที่สุด หนึ่งในสามกล่าวว่าการฉ้อโกงประเภทนี้ทำให้พวกเขากังวลมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียง 79 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เคยประสบปัญหาการฉ้อโกงโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี (ATO) เท่านั้นที่ได้รายงานการฉ้อโกงไปยังธนาคารของตน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอัตราการรายงานอาจไม่สะท้อนให้เห็นขอบเขตที่แท้จริงของปัญหาดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน ยังมีกลโกงอื่น ๆ ที่คนไทยอาจให้ความสนใจไม่เพียงพอ ตัวอย่างเช่น แม้ว่าผู้บริโภคชาวไทย 78 เปอร์เซ็นต์วางแผนที่จะใช้การชำระเงินแบบเรียลไทม์ในปีต่อ ๆ ไป แต่มีเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่กังวลกับการถูกหลอกให้ส่งเงินให้มิจฉาชีพมากที่สุด ซึ่งเป็นประเภทของอาชญากรรมที่เรียกว่าการฉ้อโกงแบบ Authorized Push Payment (APP)

คุณ CK Leo ผู้นำด้านการจัดการการฉ้อโกง การรักษาความปลอดภัย และอาชญากรรมทางการเงินในเอเชียแปซิฟิกของ FICO กล่าวว่า “การฉ้อโกงแบบ APP กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากเราเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วในการใช้การชำระเงินแบบเรียลไทม์ มิจฉาชีพให้ความสนใจต่อการฉ้อโกงนี้เนื่องจากพวกเขาสามารถนำเงินออกจากบัญชีได้ทันที ทำให้พวกเขาสามารถหลอกเหยื่อแล้วฟอกเงินผ่านบัญชีหลายบัญชีได้”

“การป้องกันการชำระเงินแบบเรียลไทม์ต้องใช้ระบบวิเคราะห์ที่ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของลูกค้า เช่น การใช้บัญชีหรืออุปกรณ์ที่อยู่นอกเหนือจากนิสัยปกติของพวกเขา ตลอดจนความผิดปกติตามมาตรฐานอื่น ๆ เช่น ช่วงเวลาหรือความถี่ในการโอน FICO พบว่าการใช้การรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อระบุการฉ้อโกงให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โดยตรวจพบธุรกรรมการฉ้อโกงเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์”

สร้างสมดุลในการป้องกันการฉ้อโกงอย่างแข็งแกร่งด้วยความสะดวกสบาย

เนื่องด้วยอัตราการรายงานการฉ้อโกงที่ค่อนข้างต่ำ (39%) ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศไทย (87%) กล่าวว่าธนาคารของตนดำเนินการเพียงพอที่จะรักษาเงินของพวกเขาให้ปลอดภัย มีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่คิดว่าธนาคารสามารถทำได้มากกว่านี้ แต่เปอร์เซ็นต์นี้ก็ยังคงเทียบเท่ากับผู้บริโภคมากกว่า 6 ล้านคนที่มีทัศนคติเชิงลบ

ในด้านความสะดวกสบาย ผู้บริโภคครึ่งหนึ่งในประเทศไทยรู้สึกหงุดหงิดใจมากที่สุดจากการแจ้งเตือนการทำธุรกรรมเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่ล่าช้าหรือไม่มีเลย หนึ่งในสาม (33%) ไม่ชอบธนาคารที่เปลี่ยนวิธีการที่ใช้ในการยืนยันตัวตนของลูกค้า

คูณ Leo อธิบายว่า “การใช้วิธีชำระเงินแบบดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่เพียงขยายช่องทางให้มีการโจมตีในการฉ้อโกงมากขึ้น แต่ยังทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้าที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างความต้องการในด้านการจัดการต่อการฉ้อโกงที่เหนือกว่ากับความต้องการในด้านการสื่อสารของลูกค้า การยืนยันตัวตน และการกำหนดการยืนยันตามความพึงพอใจที่สะดวกกว่า”

การรับรู้ด้านความปลอดภัยคือทุกสิ่งทุกอย่าง

ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยกับความพึงพอใจในด้านการใช้งานของผู้คนด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริโภคชาวไทย 41 เปอร์เซ็นต์พึงพอใจที่จะตรวจสอบการชำระเงินด้วยการโทร ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม 11 เปอร์เซ็นต์ถึงเกือบสี่เท่า ในทางตรงกันข้าม มีผู้บริโภคชาวไทยเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่พึงพอใจที่จะตรวจสอบการชำระเงินผ่านข้อความ เทียบกับกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มเดรยวกัน ส่วนช่องทางอื่น ๆ รวมถึงแอพปลิเคชันธนาคาร แอปส่งข้อความของบุคคลที่สาม และอีเมลนั้นคล้ายคลึงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มทั่วโลก

ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ผู้บริโภคในประเทศไทยเป็นผู้นำในด้านการใช้บริการธนาคารดิจิทัลและการชำระเงินแบบเรียลไทม์ พวกเขามีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและมีความพอใจในการใช้งานธนาคาร ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีช่องทางดิจิทัลอื่น ๆ แล้ว

คุณ Leo ยังกล่าวอีกว่า “ผู้คนพัฒนาความรู้สึกไว้วางใจและสบายใจกับวิธีการกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการกระทำเหล่านั้นปกป้องพวกเขาจากการฉ้อโกง ด้วยเหตุนี้ ลูกค้าจึงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการพัฒนาความมั่นใจในวิธีการรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ แม้ว่าจะดีกว่าเดิมก็ตาม ธนาคารจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น และต้องหาวิธีเพื่อนำเสนอช่องทางใหม่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ และสะดวกยิ่งขึ้น”

แบบสำรวจนี้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2021 โดยบริษัทวิจัยอิสระรายหนึ่งและยึดถือตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการวิจัย จากการสำรวจความคิดเห็นของชาวไทยที่บรรลุนิติภาวะ 1,000 คน และผู้บริโภค 11,028 รายในบราซิล แคนาดา ชิลี โคลอมเบีย เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

เกี่ยวกับ FICO

FICO (NYSE: FICO) ขับเคลื่อนการตัดสินใจต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนและธุรกิจทั่วโลกประสบความสำเร็จ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1956 และเป็นผู้บุกเบิกการใช้การวิเคราะห์เชิงทำนายและวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจด้านการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น FICO มีสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ จำนวนกว่า 205 ฉบับ ซึ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มผลกำไร ความพึงพอใจของลูกค้า และการเติบโตของธุรกิจในด้านบริการทางการเงิน โทรคมนาคม บริการดูแลด้านสุขภาพ การค้าปลีก และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ธุรกิจในกว่า 120 ประเทศใช้โซลูชันของ FICO ดำเนินการทุกอย่าง ตั้งแต่ป้องกันการฉ้อโกงบัตรเครดิต/บัตรเดบิต 2.6 พันล้านใบ ช่วยเหลือให้ผู้คนได้รับเครดิตสินเชื่อ ตลอดจนช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องบินและรถเช่าหลายล้านคันจะอยู่อย่างถูกที่ถูกเวลา

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.fico.com

เข้าร่วมพูดคุยกันได้ที่ https://twitter.com/fico และ http://www.fico.com/en/blogs/

เพื่อดูข่าวสารและทรัพยากรสื่อของ FICO โปรดไปที่ www.fico.com/news

FICO เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท Fair Isaac Corporation ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ช่องทางการติดต่อ

Neil Mirano
RICE for FICO
+65 3157 5680
neil.mirano@ricecomms.com

Saxon Shirley
FICO
+65 9171 0965
saxonshirley@fico.com

ที่มา: FICO

ข้อมูลเชิงลึกจาก FICO ระบุว่า เกือบ 3 ใน 4 ของคนไทยมีรายได้ลดลงเนื่องจากโรคระบาด หลายคนจะเปลี่ยนไปใช้ธนาคารที่มอบข้อเสนอที่ดีกว่าในปี 2565

Logo

ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนธนาคารในปี 2565 สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)–19 กรกฎาคม 2565

FICO (NYSE: FICO)

ประเด็นสำคัญ

  • 70% (เกือบ 3 ใน 4) ของลูกค้าธนาคารรายย่อยของไทยได้รับผลกระทบเชิงลบด้านรายได้เนื่องจากโรคระบาด
  • ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเงินที่ไม่แน่นอน ลูกค้าธนาคารส่วนใหญ่ในประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ (73%) และการลงทุน (66%)
  • 1 ใน 5 ของลูกค้าธนาคารไทยที่มีกำลังซื้อสูงจะเปลี่ยนไปใช้ธนาคารอื่นที่มอบข้อเสนอด้านการเงินที่ดีที่สุด

รายงานการคาดการณ์ด้านธนาคารสำหรับลูกค้าหลังเกิดโรคระบาดปี 2565 ของ RFI Global ซึ่งจัดทำให้กับ FICO ยืนยันว่าการแพร่ระบาดได้สร้างความลำบากทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยในประเทศไทย โดยเกือบ 3 ใน 4 ของลูกค้าประสบปัญหารายได้ลดลง นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า ลูกค้าหลายคนมีแรงจูงใจในการมองหาข้อเสนอด้านการเงินที่ดีกว่า และแนวโน้มการเปลี่ยนสถาบันสำหรับกู้เงินก็เพิ่มขึ้นทุกปีอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.fico.com/en/how-banking-expectations-asia-pacific-are-changing-post-pandemic

ผลกระทบที่สร้างการเปลี่ยนแปลงจากโรคระบาดแตกต่างกันไปทั่วทั้งภูมิภาค

ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามชาวนิวซีแลนด์และออสเตรเลียจำนวน 23-30% ได้รับผลกระทบเชิงลบด้านรายได้อันเนื่องมาจากโรคระบาด แต่ตัวเลขนี้กลับสูงขึ้นเป็น 40% ในสิงคโปร์และอินเดีย 50% ในมาเลเซีย และ 63% ในอินโดนีเซีย ผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด โดย 70% ระบุว่ารายได้ของพวกเขาลดลง

รายงานเปิดเผยว่าผู้บริโภคมากกว่า 1 ใน 4 ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (27%) ได้ชะลอการผ่อนชำระเงินกู้ โดยผู้บริโภคในบางประเทศมีแนวโน้มที่จะชะลอการผ่อนชำระเงินกู้มากกว่าประเทศอื่น ๆ ขณะที่ลูกค้าธนาคารรายย่อยในประเทศไทยเกือบครึ่งหนึ่ง (47%) และเกือบ 1 ใน 3 (31%) ในอินเดียได้ชะลอการชำระคืนเงินกู้อันเป็นผลจากโรคโควิด-19 เช่นเดียวกันกับ สิงคโปร์ (12%) ออสเตรเลีย (9%) เปอร์เซ็นต์) และนิวซีแลนด์ (7%)

แม้สถานการณ์ทางการเงินจะยังไม่แน่นอน ลูกค้าธนาคารรายย่อยส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีการวางแผนที่จะคงไว้หรือเพิ่มการลงทุน (66%) โดยลูกค้าส่วนใหญ่กำลังมองหาการคงไว้หรือเพิ่มเงินออม (73%) และหลายคนจะพิจารณาเปลี่ยนผู้ให้บริการด้านการเงินในปีนี้

ลูกค้าตั้งใจที่จะเปลี่ยนผู้ให้บริการด้านการเงินมากขึ้น

ที่น่าแปลกคือ รายงานระบุว่าลูกค้าส่วนใหญ่พอใจกับผู้ให้บริการด้านการเงินหลักของตนมาก แต่ลูกค้าธนาคารในเอเชียแปซิฟิกมากถึง 20% ที่ตอบว่ามีแผนจะเปลี่ยนธนาคารในปี 2565 ในทางตรงกันข้าม มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาได้เปลี่ยนธนาคารในปี 2564

แนวโน้มการเปลี่ยนผู้ให้บริการกู้เงินที่เพิ่มขึ้นนี้มีอัตราสูงสุดในกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง (หมายถึงตลาดระดับสูงหรือผู้ที่มีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนรวมอย่างน้อย 3,000,000 บาท)

ในประเทศไทย ลูกค้าธนาคารรายย่อย 13% และลูกค้ากลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง 8% ได้เปลี่ยนธนาคารในปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีนี้สำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง โดย 20% กล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยน จำนวนลูกค้าธนาคารรายย่อยมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 10% ซึ่งคิดเป็นลูกค้าธนาคารจำนวน 1 ใน 10 ราย

เหตุผลหลักที่ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยกล่าวถึง ได้แก่ สถานการณ์ส่วนบุคคลที่เปลี่ยนแปลง (28%) ความต้องการที่จะรวมบัญชีทั้งหมดกับสถาบันการเงินอื่น (22%) ความต้องการในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการด้านการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่งที่ดีขึ้น (20%) และผลตอบแทนที่จะได้รับจากสถาบันการเงินอื่น (20 เปอร์เซ็นต์)

กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบทางการเงิน

ในบรรดาลูกค้าธนาคารที่มีกำลังซื้อสูงในประเทศไทย 63% มีรายได้ลดลงเนื่องจากโรคระบาด ซึ่งน้อยกว่าลูกค้าธนาคารรายย่อยในประเทศไทย 7% ส่งผลให้กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงในประเทศจำนวน 41% ชะลอการผ่อนชำระเงินกู้ ซึ่งต่ำกว่าลูกค้าธนาคารรายย่อยของไทยทั้งหมด 6%.

การชะงักงันของรายได้นี้ทำให้ชาวไทยที่มีกำลังซื้อสูงจำนวน 37% ตั้งใจที่จะลดการใช้จ่าย เช่นเดียวกับครึ่งหนึ่งของลูกค้าธนาคารรายย่อยของไทย

กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะกู้ยืมมากขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดในวงกว้าง (16% และ 8%) ขณะที่ประเทศไทย กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงมีแนวโน้มที่จะกู้ยืมเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันกับลูกค้าธนาคารรายย่อย (11% และ 12% ตามลำดับ)

รายงานยังระบุอีกว่า 78% ของกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงในประเทศไทยเลือกที่จะคงไว้หรือเพิ่มระดับการลงทุนกับธนาคาร ซึ่งสูงกว่าตลาดธนาคารรายย่อยโดยรวมของประเทศ (66%)

ผลกระทบของโรคระบาดต่อการเปลี่ยนผู้ให้บริการธนาคาร

ลูกค้ากำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการธนาคารเพื่อตอบรับกับผลกระทบด้านการเงินที่เกิดจากโรคระบาด

ลูกค้าธนาคารรายย่อยของไทยประมาณ 3 ใน 4 จะเพิ่มหรือคงเงินออมไว้ (73%) ขณะที่ทั่วทั้งภูมิภาค ความรู้สึกในการคงไว้หรือเพิ่มเงินออมจะสูงที่สุดในนิวซีแลนด์ (94%) และในอินโดนีเซีย (87%)

แม้ว่าแผนกู้ยืมเงินจะลดลงทุกปี แต่ระดับการกู้ยืมสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยในเอเชียแปซิฟิกยังคงสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด เนื่องจากผู้บริโภคต้องรับมือกับผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการชะงักงันดังกล่าว

Aashish Sharma ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายโซลูชันการจัดการการตัดสินใจของ FICO ในเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “โรคระบาดได้สร้างความยากลำบากด้านการเงินให้กับลูกค้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากมีการทำสัญญากู้ยืมเงินและการใช้จ่าย ลูกค้าจึงมองหาหนทางที่จะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินและเพิ่มเงินออม ธนาคารต้องจับจุดความต้องการของลูกค้าให้ได้อย่างทันท่วงที และปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อบรรเทาความวิตกกังวลทางการเงิน ในขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีความเหมาะสมกับความสามารถในการจับจ่ายและความต้องการด้านการเงินของลูกค้า”

การมุ่งสู่ดิจิทัล

ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งของประเทศไทย (44%) ยังคงพิจารณาว่า ความใกล้ของระยะทางของสาขาและตู้เอทีเอ็มเป็นปัจจัยหลักสำหรับผู้ให้บริการหลักด้านการธนาคาร อย่างไรก็ตาม รายงานยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้บริการผ่านระบบดิจิทัลด้วย ลูกค้าธนาคารรายย่อยในเอเชียแปซิฟิกมากถึง 72% เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฟินเทคมากกว่าบริการหลักต่าง ๆ ของธนาคาร ซึ่งสูงที่สุดในมาเลเซีย (94%) และต่ำสุดในออสเตรเลีย (39%) ผู้ตอบแบบสอบถามก็เลือกฟินเทคเช่นเดียวกัน เพราะต้องการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ใช้งานง่าย และขั้นตอนการสมัครใช้งานง่ายขึ้น

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2564 กับ 2562 ลูกค้าในเอเชียแปซิฟิกเริ่มหันมาสนใจช่องทางดิจิทัลมากขึ้นในทุกขั้นตอนตลอดเส้นทางการใช้งาน ได้แก่ การสอบถามและการค้นคว้าข้อมูลเบื้องต้น (เพิ่มขึ้น 14%) การสอบถามเพื่อติดตามผล (เพิ่มขึ้น 15%) และแอปพลิเคชันธนาคาร (เพิ่มขึ้น 15%)

วิธีที่ธนาคารทำให้เห็นว่าลูกค้าเป็นศูนย์กลางของการดำเนินการและการตัดสินใจ

  • พลิกโฉมการดำเนินงานและการจัดเตรียมข้อมูลผ่านการใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ที่ชาญฉลาดมากขึ้นและแพลตฟอร์มการบริหารจัดการจากส่วนกลาง
  • ตัดสินใจที่อิงจากข้อมูลโดยคาดการณ์ วิเคราะห์ และเพิ่มประสิทธิภาพการโต้ตอบกับลูกค้าแบบเรียลไทม์สำหรับแนวทางการจัดการความสัมพันธ์ที่อิงตามเหตุการณ์และตามโปรไฟล์
  • พัฒนาข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำเพื่อโต้ตอบและมอบข้อเสนอที่เหมาะสมที่สุดให้แก่ลูกค้า
  • สร้างฝาแฝดดิจิทัล (แบบจำลองเสมือนประเภทหนึ่งที่ใช้สำหรับการจำลอง) เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และทดสอบแนวทางและกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมที่มีต้นทุนและความเสี่ยงต่ำ
  • มอบข้อเสนอที่เหมาะกับแต่ละบุคคลและการดำเนินการกับลูกค้าในทิศทางที่ปรับเปลี่ยนได้

Sharma กล่าวว่า “ธนาคารต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าในระดับที่ลึกและละเอียดยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะเสี่ยงที่จะเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งและผู้ให้บริการเจ้าอื่น การรักษาความพึงพอใจของลูกค้าเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ประสบการณ์การดูแลลูกค้าจะต้องได้รับการปรับปรุงอย่างมาก การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางจะเป็นกุญแจสำคัญในการมอบประสบการณ์ที่มีความเป็นส่วนตัวสูงและรักษาลูกค้าไว้อย่างต่อเนื่อง”

ระเบียบวิธีการวิจัย

การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการในปี 2564 โดยบริษัทวิจัยอิสระที่ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการวิจัย โดยทำการสำรวจผู้ใหญ่จำนวน 1,012 คนในประเทศไทย พร้อมด้วยลูกค้าจำนวน 12,885 คนในมาเลเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และอินเดีย

ศึกษาเพิ่มเติมที่นี่ และ www.fico.com

เกี่ยวกับ FICO

FICO (NYSE: FICO) ขับเคลื่อนการตัดสินใจที่ช่วยให้ผู้คนและธุรกิจทั่วโลกประสบความสำเร็จ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2499 เป็นผู้บุกเบิกการใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์และวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน FICO ถือครองสิทธิบัตรเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศมากกว่า 200 รายการ ที่ช่วยเพิ่มผลกำไร ความพึงพอใจของลูกค้า และการเติบโตของธุรกิจในบริการทางการเงิน การผลิต โทรคมนาคม การดูแลสุขภาพ การค้าปลีก และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ด้านการใช้โซลูชันของ FICO ธุรกิจในกว่า 120 ประเทศทำทุกอย่างตั้งแต่ป้องกันอาชญากรรมบัตรชำระเงินจำนวน 2.6 พันล้านใบ เพื่อช่วยให้ผู้คนได้รับเครดิต และเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องบินและรถเช่าหลายล้านลำอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม

ศึกษาเพิ่มเติมที่ www.fico.com

FICO เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Fair Isaac Corporation ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

ติดต่อ:

Neil Mirano 
RICE for FICO 
+65 3157 5680 
neil.mirano@ricecomms.com 

Saxon Shirley 
FICO 
+65 9171 0965 
saxonshirley@fico.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย