กลุ่มบริษัทที่ร่วมโครงการ iMUGS แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานเป็นทีมแบบมีคนขับ-ไร้คนขับที่นำโดย Milrem Robotics

Logo

ทาลลินน์ เอสโตเนีย–(BUSINESS WIRE)–30 มิถุนายน 2564

กลุ่มบริษัทที่อยู่เบื้องหลัง iMUGS ซึ่งเป็นโครงการมูลค่า 32.6 ล้านยูโร โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบภาคพื้นไร้คนขับที่เป็นมาตรฐานของยุโรป (UGS) แสดงให้เห็นผลลัพธ์ของระยะแรกของโครงการ – การนำระบบไร้คนขับไปใช้งานในสนามรบและรวมทีมกับหน่วยควบคุมและยานพาหนะที่มีคนขับ ซึ่งการสาธิตนำโดยผู้ประสานงานของกลุ่มบริษัทซึ่งเป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติชั้นนำของ Milrem Robotics ในยุโรป

The consortium behind iMUGS, a 32,6 MEUR project with the aim of developing the European standard unmanned ground system (UGS), demonstrated the results of the first phase of the project – deploying unmanned systems to the battlefield and teaming them with manned units and vehicles. The demonstration was spearheaded by the coordinator of the consortium, Europe’s leading developer of robotics and autonomous systems Milrem Robotics. Altogether two scenarios were played out in cooperation with the Estonian Defence Forces. (Photo: Business Wire)

กลุ่มบริษัทที่อยู่เบื้องหลัง iMUGS ซึ่งเป็นโครงการมูลค่า 32.6 ล้านยูโร โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบภาคพื้นไร้คนขับที่เป็นมาตรฐานของยุโรป (UGS) แสดงให้เห็นผลลัพธ์ของระยะแรกของโครงการ – การนำระบบไร้คนขับไปใช้งานในสนามรบและรวมทีมกับหน่วยควบคุมและยานพาหนะที่มีคนขับ ซึ่งการสาธิตนำโดยผู้ประสานงานของกลุ่มบริษัทซึ่งเป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติชั้นนำของ Milrem Robotics ในยุโรป ด้วยทั้งสองสถานการณ์ได้รับความร่วมมือจากกองกำลังป้องกันเอสโตเนีย (ภาพ: Business Wire)

ในระหว่างโครงการ iMUGS (Integrated Modular Unmanned Ground System) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์ มีความปลอดภัยทางไซเบอร์และสามารถปรับขนาดได้สำหรับระบบมีคนขับ-ไร้คนขับแบบไฮบริดจะได้รับการพัฒนาเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับระบบนิเวศทั่วทั้งยุโรปสำหรับแพลตฟอร์มทางภาคอากาศยานและภาคพื้นดิน อุปกรณ์สั่งการ เครื่องมือควบคุมและสื่อสาร ระบบเซ็นเซอร์ สิ่งของบรรทุก และอัลกอริทึม การจัดการกับความท้าทายในการปฏิบัติงานได้แก่ ความสามารถในการทำงานร่วมกันที่เพิ่มขึ้น การรับรู้สถานการณ์ที่เพิ่มขึ้น และการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น

ระบบจะใช้ประโยชน์จากยานพาหนะภาคพื้นดินแบบไร้คนขับที่มีอยู่ – THEMIS ของ Milrem Robotics และรายการสิงของบรรทุกเฉพาะ

“วัตถุประสงค์หลักของโครงการ iMUGS คือการผสานรวมระบบหุ่นยนต์เข้ากับเทคโนโลยีที่มีคนขับที่มีอยู่ในกองกำลังป้องกันยุโรป โดยเพิ่มความสามารถใหม่ที่จะเอาชนะความสามารถของคู่ต่อสู้ของเรา” Kuldar Väärsi ซีอีโอของ Milrem Robotics กล่าว เขาตั้งข้อสังเกตว่า โครงการ iMUGS จะมีส่วนร่วมในความเป็นอิสระเชิงกลยุทธ์ของสหภาพยุโรปและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก

ในระหว่างการสาธิตครั้งแรก พันธมิตรร่วมกันแสดงให้เห็นว่า THeMIS สามารถนำไปปรับใช้ในสนามรบได้อย่างไรโดยใช้ Armoured Personnel Carriers (APC) และร่วมกับระบบทางอากาศยานแบบไร้คนขับ เทคโนโลยีเฉพาะที่ใช้คือ Boxer APC โดย Krauss-Maffei Wegmann (KMW) และโดรนแบบมีสายพ่วงโดย Acecore Technologies โดรนแบบหลายใบพัดโดย Atlas Dynamics ก็เป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์เช่นกัน

ทั้งสองสถานการณ์ได้รับความร่วมมือจากกองกำลังป้องกันเอสโตเนีย

ในสถานการณ์แรก THeMIS ที่บูรณาการรวมเข้ากับโดรนแบบมีสายพ่วงของ Acecore นั้นถูกใช้งาน Beyond the Line of Sight (BLOS) โดยทหาร และใช้ในการตรวจจับและกำหนดเป้าหมายตำแหน่งของศัตรู หลังจากได้รับคำสั่งในการกำหนดการยิงทางอ้อมของเป้าหมายและการตรวจสอบการดำเนินการหลังจากนั้นโดยใช้ภาพวิดีโอของโดรน

จุดประสงค์ของสถานการณ์ที่สองคือการเรียกผู้บาดเจ็บจากรถที่ชนแล้วนำรถกลับมา การกระทำทั้งสองดำเนินการด้วย THEMIS UGV ในขณะที่ Boxer ลาก UGV เข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติภารกิจ และโดรนของ Atlas ให้การเฝ้าระวังและรับรู้สถานการณ์

Thomas Reining ผู้จัดการโครงการ iMUGS ใน Krauss-Maffei Wegmann กล่าวว่า “การสาธิตยืนยันว่าเรามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบที่มีคนขับและไร้คนขับ ตลอดจนการทำงานร่วมกันของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ภายใต้การควบคุม

ข้อกำหนดสำหรับ UGS ที่ได้มาตรฐานซึ่งกำหนดโดยประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 7 ประเทศ ได้แก่ เอสโตเนียผู้นำโครงการ และเบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ลัตเวีย และสเปน

“ประเทศที่เข้าร่วมทั้งหมดแสดงความสนใจเป็นอย่างมากที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา UGS ของยุโรป” Martin Jõesaar เจ้าหน้าที่โครงการ iMUGS ในศูนย์การลงทุนด้านการป้องกันประเทศเอสโตเนียกล่าว “ประเทศต่างๆ เข้าใจดีว่าพวกเขาต้องเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมเพื่อบูรณาการเทคโนโลยีในรูปแบบใหม่นี้อย่างรวดเร็วและนำอุตสาหกรรมไปสู่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด”

iMUGS เป็นความร่วมมือระหว่าง 13 ฝ่าย: Milrem Robotics (ผู้ประสานงานโครงการ), Talgen Cybersecurity, Safran Electronics & Defense, NEXTER Systems, Krauss-Maffei Wegmann, Diehl Defence, Bittium, Insta DefSec, (Un)Manned, dotOcean, Latvijas Mobilais Telefons, GMV Aerospace and Defence และ Royal Military Academy of Belgium.

รับชมการสาธิต 1 สถานการณ์ 1 ได้ที่นี่ – https://youtu.be/wAQHPdmm48M

รับชมการสาธิต 1 สถานการณ์ 2 ได้ที่นี่ – https://youtu.be/2vobuDOcfDA

ติดต่อ:

Gert Hankewitz
Milrem Robotics
Gert.hankewitz@milrem.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Black & Veatch รุกธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

ผู้อำนวยการธุรกิจ Jerin Raj รับบทบาทพัฒนาและขยายธุรกิจกลุ่มพลังงานหมุนเวียนและระบบโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาค

กรุงเทพฯ–(บิสิเนส ไวร์)–22 มิ.ย. 2564

เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือน และ ภาคอุตสาหกรรม ทำให้มีความต้องการในระบบการผลิต ระบบส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย Black & Veatch ได้เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในธุรกิจด้านพลังงาน ได้เสริมศักยภาพให้กับองค์กรภายใต้การนำ ของ Jerin Raj ผู้อำนวยการธุรกิจระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้าแห่งภูมิภาคเอเชีย

“ด้วยส่วนแบ่งของการผลิตไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มาจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ภูมิภาคนี้จึงจำเป็นต้องมีโซลูชั่นด้านพลังงานแบบบูรณาการมากขึ้นเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและเสถียรภาพของระบบโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการขยายเครือข่ายระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้า  ด้วยความรู้และประสบการณ์อันยาวนานของ Jerin เกี่ยวข้องกับการส่งกำลังไฟฟ้าในระดับภูมิภาคจะช่วยให้ Black & Veatch สามารถช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านผลกำไร ความน่าเชื่อถือ  ด้วยต้นทุนและแผนงานที่แน่นอน” Narsingh Chaudhary รองประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการของ Black & Veatch ประจำ Asia Power Business กล่าว

รายงานทิศทางเชิงกลยุทธ์ของ Black & Veatch: Electric Industry Asia 2021 คาดว่าการลงทุนที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในช่วงสามถึงห้าปีนับจากนี้จะเป็นการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน  พลังงานแสงอาทิตย์ บนภาคพื้นดิน  การจัดเก็บพลังงาน พลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ ,พลังงานลมนอกชายฝั่ง และไมโครกริดเป็นหมวดหมู่ที่สำคัญห้าอันดับแรก

จากข้อมูลอุตสาหกรรมพลังงานระดับภูมิภาคได้กล่าวว่าการไม่ลงทุนเพื่อทำให้โครงข่ายระบบส่งไฟฟ้ามีเสถียรภาพมากขึ้นเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญต่อประสิทธิภาพการจ่ายพลังงานในตลาดไฟฟ้าในเอเชีย

Raj มีประสบการณ์มากกว่า 17 ปีในการจัดการและส่งมอบโครงการ รวมถึงพัฒนาธุรกิจด้านพลังงาน ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก  ปัจจุบัน Raj ประจำอยู่สำนักงานในกรุงเทพมหานคร

Black & Veatch เป็นผู้นำตลาดด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบส่งและจำหน่ายพลังงาน  โดยให้บริการธุรกิจด้านพลังงาน ตั้งแต่การให้คำปรึกษา วิศวกรรม ไปจนถึงบริการวิศวกรรม การจัดซื้อจัดจ้าง และการก่อสร้าง (EPC) อย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงสถานีไฟฟ้าแรงสูง ระบบสายส่งอากาศ และระบบสายส่งใต้ดิน พลังงานหมุนเวียน, ระบบการส่งกระแสไฟฟ่าตรงแรงดันสูง (HVDC) และระบบส่งกำลังไฟฟ้า FACTS (Flexible AC Transmission System)

คลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดภาพสนับสนุน

หมายเหตุบรรณาธิการ:

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทชั้นนำทางด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ  และก่อสร้าง โดยมีนโยบายให้พนักงานเป็นเจ้าของบริษัท บริษัทมีประวัติด้านนวัตกรรมในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมากกว่า 100 ปี  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1915 บริษัทให้บริการลูกค้าทั่วโลกโดยจัดการกับการฟื้นสภาพ และสร้างเสถียรภาพของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุด  รายได้ของบริษัทในปี 2020 มีมูลค่าเกิน 3.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และบนโซเชียลมีเดีย

ดูต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210621005856/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ:

EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com 
สายด่วนสำหรับสื่อตลอด 24 ชั่วโมง | +1 866-496-9149

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

GIGABYTE นำเสนอความเหนือชั้นสู่ MWC และวางแนวทางในการปรับใช้เทคโนโลยี 5G

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–24 มิถุนายน 2564

GIGABYTE ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงาน MWC (Mobile World Congress) ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Edge computing และเข้าร่วมโดยนวัตกรและผู้มีอำนาจตัดสินใจที่จะกำหนดอนาคตของการปรับใช้เทคโนโลยี 5G และการวางแผนของเทคโนโลยี 6G

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย รับชมฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210624005477/en/

GIGABYTE Brings Its Edge to MWC and Paves Way for 5G Deployments (Photo: Business Wire)

GIGABYTE นำเสนอความเหนือชั้นสู่ MWC และวางแนวทางในการปรับใช้เทคโนโลยี 5G (ภาพ: Business Wire)

GIGABYTE นำเสนอชุดเซิร์ฟเวอร์ภายใต้แนวคิด “short and sweet” ที่พร้อมใช้งานในแพลตฟอร์ม x86 หรือ Arm เพื่อรองรับแอปพลิเคชันที่หลากหลาย Edge servers ไม่เพียงแต่ย่อลงจนถึงระดับความลึกเพียงแค่ 400-600 มม. เพื่อให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่มากขึ้นสำหรับการปรับใช้ในด้านโทรคมนาคม แต่ยังพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็น HPC เพื่อจัดการกับปริมาณงานสำหรับ AI และการประมวลผลข้อมูลที่ใกล้เคียงกับแอปพลิเคชันของผู้ใช้มากขึ้น

  • E152-ZE0 – รองรับโปรเซสเซอร์ 3rd Gen AMD EPYC 7003 และ 7002 ซึ่งย่อลงอย่างมากด้วยความลึก 400 มม. มาพร้อมกับ DIMM 8 ช่อง และรองรับ U.2 NVMe SSD จำนวนสองตัว โดย E152 chamber สำหรับ GPUs แบบ dual-slot ยังสามารถใช้กับการ์ดแบบ single-slot จำนวนสองใบที่ทำงานด้วย Gen4 x16 และช่องขยายเพิ่มเติมแบบ low-profile สองช่องที่ด้านหน้าเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสิทธิภาพอันทรงพลังและความยืดหยุ่นในการใช้งาน
  • E162-220 – ออกแบบมาสำหรับโปรเซสเซอร์ 3rd Gen Intel Xeon Scalable และมี DIMM 16 ช่องสำหรับหน่วยความจำ 8-channel มาตรฐานอุตสาหกรรม และรองรับ U.2 SSD จำนวนสองตัวและตัวเชื่อมต่อ M.2 จำนวนสามตัวบนบอร์ดพร้อมการส่งสัญญาณ Gen4 PCIe โดย I/O ทั้งหมดได้รับการออกแบบไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ไม่เพียงแค่เหมาะสำหรับการติดตั้งในศูนย์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับการปรับใช้งานในสถานีฐานเพื่อให้บริการเทคโนโลยี 5G MEC หรือ edge computing สำหรับการบริการ
  • E251-U70 – GIGABYTE edge server ชิ้นแรกที่ออกแบบมาสำหรับโปรเซสเซอร์ 2nd Gen Intel Xeon Scalable โดยรองรับ SATA/SAS ขนาด 2.5 นิ้ว จำนวนหกตัวที่ด้านหน้าซ้าย และ GPU แบบ dual-slot และการ์ด FHFL single-slot ที่ด้านหน้าขวา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซิร์ฟเวอร์นี้ได้รับเลือกจาก NVIDIA Aerial Developer Kit สำหรับการพัฒนาและปรับใช้ vRAN stack โดย E251-U71 คือ SKU อีกลักษณะหนึ่งซึ่งเป็น NEBS design ready ได้รับการออกแบบมาสำหรับสภาวะสุดโต่ง เช่น อุณหภูมิสูง ความชื้น หรือระดับความสูง
  • E252-P30 – สร้างขึ้นสำหรับปริมาณงานบนสถาปัตยกรรม Arm และใช้โปรเซสเซอร์ Ampere Altra ที่มีมากถึง 80 คอร์ และ DIMMS 16 ช่อง สำหรับความเป็นไปได้อย่างมากในระบบคลาวด์ เซิร์ฟเวอร์นี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเมื่อพิจารณาถึง TCO โดยมี SSD จำนวนหกตัว และช่องขยายเพิ่มจำนวนมากสำหรับตัวเร่งความเร็ว พื้นที่เก็บข้อมูล หรือเครือข่ายแบบ low-profile

“short”ness ของแชสซีเซิร์ฟเวอร์ GIGABYTE Edge และ “sweet”ness ของความสามารถด้านประสิทธิภาพจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันที่ขาดไม่ได้ในด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ความสำเร็จในการปรับใช้เทคโนโลยี 5G นั้น เป็นที่ต้องการของเครือข่าย MEC ที่กว้างขวางโดยเชื่อมต่อทั้งสองอย่างใกล้ชิดและชาญฉลาด

GIGABYTE เป็นวิศวกรผู้มีวิสัยทัศน์ และผู้นำในโลกเทคโนโลยีที่ใช้ความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ นวัตกรรมที่ได้รับการจดสิทธิบัตร และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเพื่อรังสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจ และความก้าวไกล ด้วยประสบการณ์ที่มีชื่อเสียงกว่า 30 ปี GIGABYTE ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นแกนหลักของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และมอบความเชี่ยวชาญด้านศูนย์ข้อมูลและผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ล้ำสมัยให้กับอุตสาหกรรม ด้วยความสามารถในการเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้

https://www.mwcbarcelona.com/exhibitors/gigabyte-technology
ดูการนำเสนอเพิ่มเติมได้ที่: https://www.gigabyte.com/Tech-Tune-In

รับชมเวอรชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210624005477/en/

ติดต่อสือ: Michael Pao brand@gigabyte.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

VRChat ร่วมเป็นพันธมิตรกับ Anthos Capital เพื่อปิดดีลการลงทุนรอบ Series D มูลค่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ

Logo

เงินทุนนี้จะช่วยให้ VRChat เติบโตและส่งเสริมชุมชนของ VRChat

ซานฟรานซิสโก–(BUSINESS WIRE)–25 มิ.ย. 2564

VRChat แพลตฟอร์มโซเชียลเสมือนจริง (VR) ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สร้าง เผยแพร่ และสำรวจโลกเสมือนจริงร่วมกับผู้ใช้รายอื่นทั่วโลก ได้ประกาศการลงทุนรอบ Series D มูลค่า 80 ล้านดอลลาร์ อนึ่ง การลงทุนในรอบนี้นำโดย Anthos Capital พร้อมกับนักลงทุนที่เข้าร่วมอื่น ๆ อาทิเช่น Makers Fund และ GFR Fund

VRChat เป็นแพลตฟอร์มโซเชียล VR ชั้นนำที่มีผู้ใช้หลายล้านคน โดยมีโลกเสมือนหลายแสนแห่ง และอวาตาร์ที่ไม่เหมือนใครกว่าสิบล้านอวาตาร์ VRChat เป็นแอปพลิเคชั่น VR ฟรีอันดับต้น ๆ ทั้งบน Steam และ Oculus Rift โดยมีผู้ใช้ในเวลาเดียวกันมากกว่า 40,000 คน ด้วยอิสระในการสร้างสรรค์ของเครื่องมือ VRChat ผู้ใช้สามารถเปลี่ยน VRChat ให้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเชื่อมโยงกับมีมบนอินเทอร์เน็ต กิจกรรม และวัฒนธรรมต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้มันยังกลายเป็นแฮงเอาท์เสมือนจริงสำหรับกิจกรรมและชุมชนออนไลน์ อีกด้วย

“VRChat เป็นผู้จัดกิจกรรมชุมชนที่มีชีวิตชีวา สร้างสรรค์ และมีส่วนร่วม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับหุ้นส่วนการลงทุนของเราเพื่อขยายและเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนของเราอย่างรวดเร็ว” Graham Gaylor ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ VRChat กล่าว

การลงทุนนี้จะมอบทรัพยากรให้กับ VRChat เพื่อเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจของครีเอเตอร์ ทำให้สามารถสร้างรายได้ และเป็นระบบการค้นพบทางสังคมที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้ประสบการณ์ที่มีความหมายมากขึ้น และการขยายไปสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ การพัฒนาเหล่านี้จะส่งผลให้ VRChat เติบโตอย่างรวดเร็วและทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นสามารถเข้าถึงจักรวาลเสมือนจริงนี้ได้

“เราภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับ VRChat ในขณะที่มันปฏิวัติประสบการณ์ทางสังคมต่อไป เมื่อตลาดความเป็นจริงเสมือนเติบโตขึ้น VRChat ก็พร้อมสำหรับการขยายตัวและการเติบโตที่สำคัญในฐานะแพลตฟอร์มชั้นนำสำหรับโลกเสมือนจริง” Brian Ames กรรมการผู้จัดการของ Anthos Capital กล่าว

“ทีมงานที่กระตือรือร้นและมีความสามารถของ VRChat ได้สร้างแพลตฟอร์มที่มีครีเอเตอร์เป็นผู้นำ และที่ให้ความสำคัญกับชุมชนเป็นอันดับแรก” Jay Chi ผู้ร่วมก่อตั้งของ Makers Fund กล่าว “ที่ Makers Fund เรามองหาบริษัทที่มีนวัตกรรมซึ่งมีผู้นำที่ยอดเยี่ยม เราเชื่อมั่นในภารกิจของ VRChat อย่างแท้จริงในการมอบประสบการณ์ VR ที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเอง เพื่อเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก และเรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะเดินทางต่อไปกับพวกเขา”

เพื่อสัมผัสประสบการณ์ VRChat และเข้าร่วมชุมชนกรุณาเยี่ยมชม www.vrchat.com.

VRChat กำลังหาผู้มาร่วมงาน ไปที่หน้า careers เพื่อสมัคร

เกี่ยวกับ VRChat

VRChat ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2557 นำเสนอคอลเลกชั่นประสบการณ์ VR ทางสังคมที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเอง ผู้เล่นสามารถสำรวจ เข้าสังคม และสร้างสรรค์ร่วมกับผู้เล่นอื่น ๆ จากทั่วโลก แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งประสบการณ์ VR ของตนเองได้ รวมถึงอวาตาร์ที่กำหนดเอง โลก เกม แฮงเอาท์ กิจกรรม และอื่นๆ VRChat สามารถใช้ได้บน Steam, Oculus Rift, Oculus Quest และ VIVEPORT และกำลังจะมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ตามมา

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210625005073/en/

สอบถามสำหรับสื่อมวลชน Jason Camillo, jason@vrchat.com และ Press Kit

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Yugo Private Aviation ขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

สิงคโปร์–(บิสิเนส ไวร์)–23 มิถุนายน 2564

Yugo แพลตฟอร์มการบินส่วนตัวที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วได้เปิดตัวเส้นทางเช่าเหมาลำใหม่ล่าสุดในประเทศไทย กัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าบริษัทการบินเอกชนในสิงคโปร์นี้กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในเอเชีย

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210623005498/en/

Yugo Private Aviation's Gulfstream G200 midrange private jet (Photo: Business Wire)

เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวขนาดกลาง Gulfstream G200 ของ Yugo Private Aviation (ภาพ: บิสิเนสไวร์)

ด้วยเครือข่ายเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินเจ็ต Yugo เป็น แพลตฟอร์มการเดินทางทางอากาศแห่งแรกที่เชื่อมต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้งตามความต้องการ ลูกค้าสามารถขอและค้นหาเที่ยวบินเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวและเฮลิคอปเตอร์จากคลังเที่ยวบินและเส้นทางที่มีอยู่

ปัจจุบัน Yugo ดำเนินงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าและฝูงบินในภูมิภาคได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ท่ามกลางการแพร่ระบาด

Camille Ngo ผู้จัดการฝ่ายการค้าของ Yugo กล่าวว่า “ภารกิจของเราคือให้ลูกค้าของเราสามารถบินแบบส่วนตัวได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเฮลิคอปเตอร์หรือเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว”

Camille ซึ่งเป็นผู้นำการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของบริษัทกล่าวเสริมว่า “เราตั้งเป้าที่จะบรรลุสภาวะการบินที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม”

ในการนำเสนอเที่ยวบินเช่าเหมาลำไปยังจุดหมายปลายทางกว่า 150 แห่งในเอเชีย Yugo ได้สร้างฝูงบินมากกว่า 50 ลำในเครือข่ายของตน จากผู้ผลิตเครื่องบินที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมการบิน เช่น เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Gulfstream, Bombardier, Cessna Textron Aviation, Dassault Falcon และเฮลิคอปเตอร์ Bell, Airbus, Leonardo หรือ Robinson เครื่องบินเหล่านี้ได้รับการคัดเลือกเพราะความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัวของผู้โดยสารที่ได้เดินทางจากดูไบไปลังกาวี เซบูไปบาหลี พระสีหนุไปเซี่ยงไฮ้ หรือเกาะสมุยไปเอลนิโด เพื่อธุรกิจหรือการพักผ่อน

Jim Baldy ซีอีโอของ Yugo ให้ความเห็นว่า “Covid-19 ได้พลิกโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมาตั้งแต่ปี 2563 นี่เป็นบทที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์การบินและได้ทดสอบความทนทางของธุรกิจเราแล้ว  เราได้ปรับข้อนำเสนอคุณค่าของเราเพื่อให้บริการลูกค้าของเราได้ดีที่สุด โดยมอบความยืดหยุ่นและปลอดภัย  ด้วยอุปสรรคทั้งหมดที่เราเผชิญเราจึงต้องหาวิธีที่จะคิดค้นแนวทางใหม่ๆ รักษาประสิทธิภาพการทำงานของเรา และก้าวไปข้างหน้าในปี 2563 และ 2564”

จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียแปซิฟิก เที่ยวบินที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เที่ยวบินเฮลิคอปเตอร์แบบออนดีมานด์ บริการรับส่งสนามบิน ทัวร์เฮลิคอปเตอร์ การโอนย้ายเกาะส่วนตัว เที่ยวบินทางการแพทย์ข้ามพรมแดน การอพยพฉุกเฉินในประเทศ หรือเที่ยวบินธุรกิจข้ามพรมแดน เป็นต้น

ในขณะที่การบินเชิงพาณิชย์ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ การบินส่วนตัวกำลังฟื้นตัวได้เร็วกว่า  Yugo ยังคงให้บริการเที่ยวบินแก่ลูกค้าที่ต้องการบินแบบส่วนตัวภายในเอเชียแปซิฟิกต่อไป

เกี่ยวกับ Yugo

Yugo Global Industries Pte Ltd เป็นบริษัทการบินเอกชนที่มุ่งเน้นให้บริการเที่ยวบินส่วนตัวด้วยเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินเจ็ทสำหรับธุรกิจในราคาประหยัดทุกที่ทุกเวลา  บริการเที่ยวบินของ Yugo ขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มการเดินทางทางอากาศและเครือข่ายทั่วโลกที่ให้บริการในเอเชียแปซิฟิก

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210623005498/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

9Camille Ngo
Commercial Manager (ผู้บริหารเชิงพาณิชย์)
camille@yugoplus.com 
www.yugoplus.com


Echodyne ขยายตลาดสำหรับ EchoGuard เรดาร์ที่ใช้เทคโนโลยี CUAS ชั้นนำ

Logo

การปฏิบัติตามข้อกำหนด CE, RED และ RoHS3 ช่วยเปิดตลาดยุโรป ส่วนความต้องการของลูกค้าทำให้เกิดผลิตภัณฑ์และความสามารถใหม่ๆ

ซีแอตเทิล–(BUSINESS WIRE)–23 มิ.ย. 2564

Echodyne บริษัทแพลตฟอร์มเรดาร์ ประกาศในวันนี้ถึงการปรับปรุงในด้านเรดาร์ชั้นนำของอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ โดยการเพิ่มเรดาร์ตัวใหม่สำหรับตลาดต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับการใช้งานประเภทปฏิบัติการพิเศษแบบเรโดม ที่ทนทาน และที่ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในด้านซอฟต์แวร์และประสิทธิภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ร่วมกันแสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญต่อเทคโนโลยีเรดาร์ที่ก้าวล้ำอย่าง MESA® ด้วยการมีลูกค้าในด้านการป้องกันประเทศ ความมั่นคงของชาติ และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เรดาร์ Echodyne ได้กลายเป็นองค์ประกอบหลักสำหรับเทคโนโลยี counter-UAS การรักษาความปลอดภัยชายแดน และโซลูชันการเฝ้าระวัง 3D ทั้งที่ฐานและปริมณฑล

ผลิตภัณฑ์และการพัฒนายังรวมถึง:

  • EchoGuard International เรดาร์ EchoGuard ตัวใหม่มีโครงสร้าง RoHS3 และเป็นไปตามข้อกำหนด CE Radio Equipment Directive (RED) สำหรับลูกค้าในสหภาพยุโรป ต่อใบรับรองการตรวจสอบประเภท ตามคำสั่งด้านอุปกรณ์วิทยุของสหภาพยุโรป 2014/53/EU
  • การขยายสเปกตรัม EchoGuard เขตอำนาจศาลหลายแห่งอนุญาตให้ RadioLocation ใช้ได้ที่ 24.05-24.25 GHz และตอนนี้ EchoGuard มีตัวเลือกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อจัดการกับตลาดเหล่านี้
  • เรโดมที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น เรโดมที่ทนทานออกแบบมาให้ทนต่อแรงกระแทก 1.5 จูลโดยไม่เปลี่ยนแปลงฟอร์มแฟคเตอร์ของเรดาร์
  • Lightweight Deployment Kit (LDK) ด้วยความต้องการของลูกค้าที่พุ่งสูงขึ้นสำหรับระบบน้ำหนักที่เบา LDK ตัวใหม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับกิจกรรมข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และการลาดตระเวน (ISR) 10 ชั่วโมง รวมถึงเรดาร์ คอมพิวเตอร์ และแบตเตอรี่ ลงในกระเป๋าเป้ทหารที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 20 ปอนด์
  • การอัพเดตเฟิร์มแวร์ เรดาร์ Echodyne ทั้งหมดถูกควบคุมโดยซอฟต์แวร์ และการอัปเดตนี้รวมถึงความเสถียรที่เพิ่มขึ้นและความสะดวกในการใช้งานและการทำงานที่มากขึ้น
  • รูปคลื่นใหม่เหมาะสำหรับความละเอียดที่ความเร็วต่ำ ขับเคลื่อนโดยความต้องการของลูกค้า รูปคลื่นใหม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจจับและติดตามการเคลื่อนไหวที่ช้ามาก เช่น การเดินแบบไม่เป็นที่สังเกต ที่ระยะทางมากกว่า 1.5 ไมล์
  • การอัปเดต RadarUI เราได้อัปเกรดอินเทอร์เฟซผู้ใช้เรดาร์อย่างมีนัยสำคัญด้วยการสนับสนุนสายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นและการปรับใช้ภาคสนามที่รวดเร็วขึ้นเพื่อให้ทำให้เรดาร์ตรวจจับได้ง่ายขึ้น

Eben Frankenberg ซีอีโอของ Echodyne กล่าวว่า “เรายังคงค้นหาแรงดึงดูดจากลูกค้าที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรดาร์ประสิทธิภาพสูงของเรา และรู้สึกตื่นเต้นที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่และการปรับปรุงเหล่านี้ให้กับครอบครัว EchoGuard “เรดาร์ที่ก้าวล้ำของเราตอนนี้ได้ฝังอยู่ในระบบการรับรู้สถานการณ์และอาวุธขั้นสูง การป้องกันกองกำลัง การเฝ้าระวังปริมณฑล 3 มิติของฐานและปริมณฑลโดยรอบ และการรักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เรากำลังขยายธุรกิจของเราให้ตอบสนองความต้องการและเพื่อเป็นผู้ผลิตเรดาร์ชั้นนำสำหรับการใช้งานด้านการป้องกันและความปลอดภัยในปัจจุบันและอนาคต ยังมีอะไรอีกมากมายที่กำลังจะตามมาและเราตื่นเต้นกับเฟสต่อไปของเรา”

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมและข้อกำหนดทางเทคนิค กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราที่ echodyne.com.

เกี่ยวกับ Echodyne

Echodyne, บริษัทแพลตฟอร์มเรดาร์ ออกแบบและส่งมอบเรดาร์ MESA® ขนาดกะทัดรัด โซลิดสเตต ที่ได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตรประสิทธิภาพสูง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการป้องกัน การรักษาความปลอดภัย การรับรู้ของเครื่องจักร และความเป็นอิสระ เรดาร์อาเรย์ที่สแกนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ราคาไม่แพงของ Echodyne ถูกใช้โดยหน่วยงานรัฐบาล นักพัฒนาอิสระ และผู้รวมระบบความปลอดภัยสำหรับระบบ counter-UAS การรักษาความปลอดภัยชายแดนและปริมณฑล การป้องกันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อากาศยานไร้คนขับ และยานยนต์ไร้คนขับ บริษัทซึ่งทีเอกชนเป็นเจ้าของตั้งอยู่ในเมืองเคิร์กแลนด์ รัฐวอชิงตัน และได้รับการสนับสนุนจาก Bill Gates, NEA, Madrona Venture Group, Vulcan Capital, Vanedge Capital และ Lux Capital เป็นต้น

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน  businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210623005315/en/

ติดต่อ:

John O’Brien

echodyne@strangebrewstrategies.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Grand Prize Winner ประกาศในการแข่งขัน $5M IBM Watson AI XPRIZE

Logo

เทคโนโลยีที่ชนะรางวัลจาก Zzapp Malaria จะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถทำงานร่วมกับ AI ในการรับมือกับความท้าทายระดับโลกได้อย่างไร

ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–14 มิถุนายน 2564

XPRIZE ผู้นำระดับโลกในด้านการออกแบบและจัดการแข่งขันเพื่อสร้างแรงจูงใจในการแก้ไขปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ และ IBM Watson ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI สำหรับธุรกิจของ IBM วันนี้ประกาศ Grand Prize Winner ในการแข่งขัน $5M IBM Watson AI XPRIZE Challenge การเปิดตัวครั้งแรกในปี 2559 เป็นการแข่งขันระดับโลกระยะเวลา 5 ปี โดยมุ่งที่จะเร่งการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ และจุดประกายความคิดที่สร้างสรรค์ นวัตกรรม และการสาธิตเทคโนโลยีที่ฮึกหาญ ซึ่งสามารถขยายตัวได้อย่างแท้จริงในการแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของสังคม

ผู้ชนะเลิศอันดับที่หนึ่งคือ Zzapp Malaria อันดับที่สองคือ Aifred Health ตามด้วย Marinus Analytics ผู้แข่งขันที่เข้ารอบสุดท้ายนี้ได้รับเลือกจากกลุ่มผู้เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายหลังจากนำเสนอวิธีแก้ไขปัญหาต่อคณะกรรมการในระหว่างงานที่จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ TED ในนิวยอร์กซิตี้เมื่อปีที่แล้ว รางวัลสำหรับผู้ชนะการแข่งขันนี้ได้แก่ รางวัลชนะเลิศจะได้รับ 3 ล้านดอลลาร์ รางวัลรองชนะเลิศ 1 ล้านดอลลาร์ และรางวัลอันดับสาม 5 แสนดอลลาร์จะมอบให้กับทีม โดยรวมแล้วมีกว่า 150 ทีมทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้

“หลังจากห้าปีของการทำงานที่แสนหนักหน่วงและการอุทิศตน XPRIZE รู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศให้ Zzapp Malaria เป็นผู้ชนะรางวัลใหญ่ของ IBM Watson AI XPRIZE” Anousheh Ansari ซีอีโอของ XPRIZE กล่าว “Zzapp Malaria, Aifred Health และ Marinus Analytics อยู่ในระดับแนวหน้า ของความก้าวหน้าของ AI และเราตั้งตารอที่จะได้เห็นผลสะท้อนเชิงบวกที่พวกเขาจะมีต่ออนาคตของเราโดยตรง”

“ผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งสามทีมของรายการ IBM Watson AI XPRIZE แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นไปได้เมื่ออานุภาพของ AI ถูกใช้เพื่อจัดการกับสิ่งที่ยากที่สุดในโลก” Daniel Hernandez ผู้จัดการทั่วไปของ IBM Data และ AI กล่าว “มันเป็นแรงบันดาลใจที่ได้เห็นเทคโนโลยี AI ที่เราพัฒนาขึ้นที่ IBM ได้ช่วยให้องค์กรเหล่านี้ตระหนักและขยายโซลูชันเทคโนโลยีที่ดีเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในเชิงบวกได้อย่างไร”

จากเมืองเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล Zzapp Malaria มุ่งมั่นที่จะกำจัดโรคมาลาเรีย เทคโนโลยี AI ของทีมมุ่งสู่การเผชิญหน้าในการแก้ปัญหาที่สำคัญในแคมเปญการกำจัดโรคมาลาเรียโดยการสร้างแบบจำลองแบบกำหนดเองด้วยเครื่องมืออย่าง IBM Watson Studio สำหรับ Cloud Pak for Data เพื่อคาดการณ์จำนวนแหล่งน้ำขนาดเล็กที่เกิดจากสภาพอากาศ ทำให้สามารถปรับการคำนวณเวลาได้อย่างเหมาะสมในการจัดการกับลูกน้ำ

  • Marinus Analytics (ตั้งอยู่ในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย): บริษัทที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2557 จาก Carnegie Mellon Robotics ซึ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจทางสังคมเพียงภารกิจเดียวในการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ โซลูชัน Traffic Jam ของพวกเขาคือชุดเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยประหยัดวันและเวลาในการสืบสวนหาผู้ค้ามนุษย์และเหยื่อค้ามนุษย์ ด้วยการเปลี่ยนข้อมูลขนาดใหญ่ให้กลายเป็นข่าวกรองที่นำไปใช้ได้จริงอย่างรวดเร็ว Marinus Analytics ได้ใช้ IBM Watson Discovery และ IBM Watson Assistant เพื่อขยายแอปพลิเคชัน Traffic Jam ของพวกเขา ช่วยในการสอบสวนเรื่องการฉ้อโกงทางการเงินและการเคลื่อนย้ายเงินที่ผิดกฎหมายไปยังกลุ่มอาชญากรระหว่างประเทศ
  • Aifred Health (ตั้งอยู่ในเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา): บริษัทด้านสุขภาพดิจิทัลมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกในด้านสุขภาพจิต โดยเริ่มจากโรคซึมเศร้า โซลูชันของทีมใช้ AI ในการเรียนรู้จากผู้ป่วยหลายพันคนเพื่อช่วยในการรักษาแบบเฉพาะตัว ช่วยลดเวลาที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษา IBM Watson Health ให้บริการ Aifred Health พร้อมบันทึกข้อมูลภาวะซึมเศร้าจากการสังเกตหลายล้านรายการ เพื่อปรับปรุงต้นแบบ ML ของพวกเขา

ในการตัดสินผู้ชนะนี้ XPRIZE AI ได้เรียกประชุมคณะลูกขุนตัวแทนจากทั่วโลก คณะลูกขุนประเมินแต่ละทีมโดยพิจารณาจากผลงานของพวกเขาใน 4 มิติต่อไปนี้: บรรลุผลกระทบทางเทคนิค พิสูจน์ผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริง ความสามารถในการปรับขนาดของผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริง และจริยธรรมและความปลอดภัย

ทีมที่ชนะได้รับการประกาศในวันนี้โดยร่วมมือกับ WIRED ระหว่างการสนทนาข้างเตาผิง (fireside chat) AI For Good ของ IBM Watson AI XPRIZE ที่มี Anousheh Ansari ซีอีโอของ XPRIZE และ Seth Dobrin ประธานเจ้าหน้าที่ AI ของ IBM ทั้งสองได้หารือถึงความท้าทายและความสำคัญของ AI สำหรับอนาคตของมนุษยชาติ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือกับ WIRED XPRIZE ได้เปิดการโหวตสาธารณะสำหรับทีมที่สร้างแรงบันดาลใจมากที่สุด และ Zzapp Malaria ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะ คุณสามารถรับชมการสนทนาข้างเตาผิงในรูปแบบเต็มและรับชมเนื้อหาเพิ่มเติมผ่านคอนเทนต์ฮับของ WIRED ที่ลิงก์ไว้ที่นี่

เกี่ยวกับ XPRIZE

XPRIZE องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร 501(c)(3) เป็นผู้นำระดับโลกในการออกแบบและนำรูปแบบการแข่งขันที่เป็นนวัตกรรมไปใช้เพื่อแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก การแข่งขันได้แก่ $100M XPRIZE Carbon Removal, $15M XPRIZE Feed the Next Billion, $10 Million XPRIZE Rainforest, $10 Million ANA Avatar XPRIZE และ $5 Million XPRIZE Rapid Reskilling สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่ xprize.org.

เกี่ยวกับ IBM Watson

Watson เป็นเทคโนโลยี AI ของ IBM สำหรับธุรกิจ ในการช่วยให้องค์กรสามารถคาดการณ์และกำหนดผลลัพธ์ในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น ทำให้กระบวนการที่ซับซ้อนเป็นแบบอัตโนมัติ และเพิ่มประสิทธิภาพเวลาของพนักงาน Watson ได้พัฒนาจากโครงการวิจัยของ IBM ไปสู่การทดลองในการขยายชุดผลิตภัณฑ์แบบเปิดซึ่งสามารถทำงานได้ทุกที่ ด้วยการมีส่วนร่วมกับลูกค้ามากกว่า 40,000 ราย Watson ได้ถูกนำไปใช้โดยแบรนด์ชั้นนำระดับโลกในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของผู้คน หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมกรุณาไปที่: https://www.ibm.com/watson

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210623005848/en/

ติดต่อสื่อ:
Sunshine Sachs
xprize@sunshinesachs.com

Katerina Stamatiou, XPRIZE
prcontact@xprize.org

IBM Watson
Zachery Bishop
zachery.bishop@ibm.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

คณะกรรมการท่องเที่ยวฮ่องกง เปิดตัวซีรีส์วิดีโอฤดูร้อน ‘Great Outdoors’ ชวนดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์สุดอลังการทั่วเกาะ

Logo

วิดีโอ ASMR ที่จะพาผู้ชมเปิดประสบการณ์ผ่านความรื่นรมย์ทางโสตสัมผัส ฟังเสียงซาบซ่าแห่งฤดูร้อนฮ่องกง

แม้จะอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก กิจกรรมกลางแจ้งบนเกาะฮ่องกงสำหรับฤดูร้อนในปีนี้ก็ไม่ใช่สิ่งไกลตัวอีกต่อไป โดยต้องยกความดีความชอบให้กับซีรีส์วิดีโอชวนผ่อนคลายโสตสัมผัส ภายใต้โครงการ 360 Hong Kong Moments ที่คณะกรรมการการท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board: HKTB) ได้เนรมิตขึ้น ผ่านการบันทึกและบรรจุสรรพเสียงธรรมชาติ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวผ่านประสบการณ์การรับชมที่ลึกล้ำและรื่นรมย์

แคมเปญฤดูร้อนประจำปี 2021-2022 Great Outdoors Hong Kong (GOHK) ปล่อยไฮไลต์แคมเปญ อย่างซีรีส์วิดีโอ ASMR (Autonomous Sensory Meridian Response) จำนวน 4 คลิปตามธีมที่โดดเด่นต่างกันไป พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวรวม 30 วินาที ผ่านเสียงธรรมชาติอันรื่นรมย์และชวนฝันของจุดหมายปลายทางที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของเกาะ โดยวิดีโอนี้ออกแบบมาเพื่อสร้างความผ่อนคลาย และยกระดับการสัมผัสประสบการณ์การดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองที่ผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัวของชนบทที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง

 

คลิกที่ภาพเพื่อรับชมวิดีโอ ASMR ของเกาะเพงเชา

ASMR ของเกาะเพงเชา (Peng Chau) เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับเสียงหวูดเรือ เสียงระฆังวิหารวัด และเสียงดั่งมนต์สะกดยามที่แท่งเซียมซีกระทบกระบอกไม้ ส่วนเสียงใบไม้ไหว เสียงน้ำตกกระทบหิน เสียงนกร้องและโบกสะบัดปีกจะฟังได้จาก ASMR ของอ่างเก็บน้ำชิงมุน (Shing Mun Reservoir) ในขณะที่ ASMR ของสแตนลีย์ (Stanley) บอกเล่าเสียงแตกตัวของเกลียวคลื่นในมหาสมุทรและเสียงคลี่พัดกระดาษ ไปจนถึงเสียงกัดขนมปังฝรั่งเศสอุ่นๆ แสนอร่อยจากร้านน้ำชาท้องถิ่น และท้ายสุด ASMR ของไซกุง (Sai Kung) จะพาผู้ฟังดำดิ่งสู่สรรพเสียงและท่วงทำนองที่หลากหลายของทะเลเปิด ราวกับท่านกำลังใช้เวลาไปกับการเล่นแพดเดิลบอร์ด (Paddle Board) ท่ามกลางสายน้ำแสนสงบ

ซีรีส์วิดีโอนี้พาเปิดประสบการณ์ที่ทั้งสงบและชวนฝันผ่านสายตาผู้หลงใหลในการออกเดินทาง ซึ่งจะพาทุกท่านไปสำรวจพื้นที่ชานเมืองของฮ่องกงผ่านเลนส์ไฮเปอร์โฟกัส ถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองที่น่าสนใจผ่านผลงานชิ้นโบแดงที่มีความยาวกว่า 3 นาที ผสานรวมทิวทัศน์ที่มีความต่างแต่กลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างลงตัว

วิดีโอ ASMR ถือเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญฤดูร้อน GOHK ที่จะนำเสนอ 13 เส้นทางตามฤดูกาล ประกอบด้วยจุดหมายปลายทางที่เหมาะกับทั้งการลัดเลาะไปตามป่าเขาและการเดินเล่นเที่ยวชมวิวทิวทัศน์  แพลนเที่ยวเกาะต่างๆ และกีฬาทางน้ำอันแสนสนุก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสีสันแห่งฤดูกาล เพราะแม้จะไม่ใช่สิ่งที่หาได้ยากในฮ่องกง แต่นักท่องเที่ยวก็มักจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติบนเกาะแห่งนี้เท่าใดนัก และเมื่อหน้าร้อนวนมาอีกครั้ง กิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือการพายเรือคายัคและการดำน้ำตื้นบริเวณ อุทยานธรณี (Hong Kong UNESCO Global Geopark) ในไซกุง ที่เรียกได้ว่าเป็นสวนหลังบ้านของเมืองแห่งนี้

ท่านสามารถรับชมแคมเปญ Great Outdoors Hong Kong 2021-2022 ทั้งหมดได้บนเว็บไซต์ที่ทำขึ้นโดยเฉพาะ พร้อมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดลับจากผู้รู้ อาหารจานเด็ด และคำแนะนำเกี่ยวกับการเดินทาง นอกจากวิดีโอ ASMR ที่ห้ามพลาดแล้ว เว็บไซต์นี้ยังมีภาพถ่ายสีสันสดใส แพลนเที่ยวฮ่องกง และ 13 คลิปสำหรับมือใหม่ในรูปแบบสั้นกระชับ ซึ่งมาในธีมที่ต่างกันออกไปในแต่ละเรื่อง เช่น “การผจญภัย” “ย้อนยุค” “จุดถ่ายภาพสำหรับชาวอินสตาแกรม” และ “การผ่อนคลาย” ร่วมนำเสนอภาพรวม (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระยะทาง ระดับความสูงจากน้ำทะเล ความยากง่ายของการไปถึงจุดหมายปลายทาง ระยะเวลา ฯลฯ) และประสบการณ์ของแต่ละเส้นทางตามฤดูกาลเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางครั้งต่อไป

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและซีรีส์วิดีโอฤดูร้อนฉบับเต็มของ Great Outdoors Hong Kong 2021-2022 นั้น ท่านสามารถรับชมได้ที่ www.discoverhongkong.com/eng/explore/great-outdoor/wellness.html

จบ

ท่านสามารถดาวน์โหลดวิดีโอและรูปภาพได้จาก

https://hktb.filecamp.com/s/GOHK_2021-2022/fo

###

 (สำหรับท่านสื่อมวลชน) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: เอ็มเอสแอลกรุ๊ป ประเทศไทย (MSLGROUP Thailand)

อัญชิษฐา สุวรรณศรี (กิฟ) โทร +662 684 5712/ มือถือ+6685 337 0717/ อีเมล Aunchidtha.Suwannasri@mslgroup.com

ปราง เทพินทราภิรักษ์ (แก้ม) โทร +662 684 5712/ มือถือ+668 6665 9246 / อีเมล Prang.Tepintrapirak@mslgroup.com

เลิศพงศ์ ปุยเงิน (ตูน) โทร +662 684 5563/ มือถือ +669 5697 4465 / อีเมล Lerdpong.puyngern@mslgroup.com


Brightcove และ ByteArk นำเสนอสื่อและเทคโนโลยี OTT รูปแบบใหม่ที่เหนือกว่าแก่ลูกค้าในประเทศไทย

Logo

ความร่วมมือครั้งใหม่นี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถมอบประสบการณ์การรับชมที่ราบรื่นให้กับผู้ชมผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยวิธีที่เชื่อถือได้ ปรับขนาดได้ และปลอดภัย

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–22 มิถุนายน 2564

Brightcove® Inc. (NASDAQ: BCOV) ผู้นำระดับโลกด้านวิดีโอสำหรับธุรกิจ ประกาศความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับ ByteArk ผู้ให้บริการเครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (CDN) ชั้นนำของประเทศไทย ในการสนับสนุนลูกค้าที่ต้องการใช้วิดีโอเพื่อเชื่อมต่อกับผู้ชมทั่วทุกมุมโลก โดย Brightcove และ ByteArk จะร่วมกันส่งเสริมองค์กรสื่อ เจ้าของเนื้อหาที่ใช้แพลตฟอร์ม OTT (over-the-top) และองค์กรต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การรับชมที่ไร้ที่ติที่สามารถดึงดูดและเข้าถึงผู้ชมผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ในขณะที่รับข้อมูลสำคัญที่แจ้งการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญ

เนื่องจากการใช้วิดีโอกลายเป็นแรงผลักดันสำหรับประสบการณ์และความพึงพอใจของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือทางเทคโนโลยีรูปแบบใหม่นี้จะช่วยให้ Brightcove และ ByteArk สามารถใช้ประโยชน์ด้วยกันจากเทคโนโลยีและทรัพยากรเพื่อให้บริการที่ดีขึ้นสำหรับฐานลูกค้าวิดีโอที่กำลังเติบโต ความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการปรับขนาด และความปลอดภัยของเทคโนโลยีวิดีโอของ Brightcove เสริมด้วยการประมวลผลประสิทธิภาพสูงของ ByteArk และระบบเว็บที่รองรับการใช้งานจำนวนมาก ตลอดจนเครือข่ายที่กว้างขวางและการเข้าถึงที่กว้างขวาง จะช่วยให้ลูกค้าสามารถนำเสนอสตรีมมิงแบบสดและวิดีทัศน์ตามคำขอ (VOD) คุณภาพสูงได้อย่างราบรื่นให้กับผู้ชมชาวไทยทั่วประเทศ

“วิดีโออยู่ในระดับแนวหน้าของพฤติกรรมการซื้อสินค้า การเรียนรู้ และความบันเทิงในรูปแบบใหม่ และการร่วมมือกับ ByteArk จะมอบโซลูชั่นวิดีโอและ CDN ที่เป็นส่วนตัวและดีที่สุดสำหรับลูกค้าทุกราย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตามจะอยู่ในเส้นทางการนำวิดีโอไปใช้ได้” Lynn D. Tinney รองประธานฝ่าย Global Partners ของ Brightcove กล่าว “ศักยภาพที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นมากมายสำหรับวิดีโอออนไลน์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการเป็นหุ้นส่วนทางเทคโนโลยีนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Brightcove ในการลงทุนในภูมิภาคนี้”

“เป็นเวลา 10 ปีที่เราได้นำเสนอเนื้อหาสำหรับผู้ให้บริการโทรทัศน์ระดับแนวหน้าในประเทศไทย เช่นเดียวกับเว็บไซต์เชิงพาณิชย์ยอดนิยม องค์กรจัดงาน และผู้ให้บริการด้านการศึกษา” สมศักดิ์ ศรีประยูรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท ByteArk กล่าว “วิดีโอยังคงครอบครองจิตใจและความคิดและเชื่อมโยงผู้คนเมื่อเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีวิดีโอชั้นนำของอุตสาหกรรมของ Brightcove จะช่วยให้เราสามารถให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแก่ผู้ชมของเรา และนำเสนอเนื้อหาวิดีโอที่ดีและเชื่อถือได้ ซึ่งผู้บริโภคจะชื่นชอบในวันนี้และในอนาคต”

เกี่ยวกับ ByteArk

ByteArk เป็นผู้นำตลาดสำหรับ CDN และผู้ให้บริการสตรีมมิงที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2551 ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เราให้คำปรึกษาและนำเสนอเนื้อหาทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อบริการลูกค้าของคุณทั่วโลก นอกจากนี้เรายังให้บริการที่คุ้มค่าเพื่อตอบสนองความต้องการและสนับสนุนธุรกิจของคุณให้เป็นผู้นำตลาดที่ยั่งยืน พอร์ตโฟลิโอของเรายังรวมถึงการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงและระบบเว็บที่เปิดใช้งานจำนวนมาก และปัจจุบันเราดูแลและพัฒนาระบบสำหรับแอปพลิเคชัน HPC รวมถึงเว็บไซต์ สื่อออนไลน์ เกม และแอปพลิเคชัน

เกี่ยวกับ Brightcove

เมื่อลงมือทำวิดีโออย่างถูกต้องจะสามารถส่งผลที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เมื่อเปิดใจ ความคิดเปลี่ยน ความคิดสร้างสรรค์ก็งอกงาม ตั้งแต่ปี 2547 Brightcove ได้ช่วยเหลือลูกค้าในการค้นพบและสัมผัสกับพลังอันน่าทึ่งของวิดีโอผ่านเทคโนโลยีที่ได้รับรางวัล ซึ่งช่วยส่งเสริมศักยภาพให้กับองค์กรในกว่า 70 ประเทศทั่วโลกเพื่อเข้าถึงผู้ชมในรูปแบบที่โดดเด่นและสร้างสรรค์

Brightcove ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ และให้การสนับสนุนลูกค้าโดยไม่มีข้ออ้าง และใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก วิดีโอเป็นสื่อที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นที่สุดในโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่ www.brightcove.com วิดีโอที่หมายถึงธุรกิจ™

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210621005827/en/

ติดต่อ:

Brightcove
Meredith Duhaime
mduhaime@brightcove.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

EIG-Led Consortium ปิดข้อตกลงโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 12.4 พันล้านดอลลาร์กับ Aramco

Logo

กิจการค้าร่วมประกอบด้วยกลุ่มนักลงทุนที่มีชื่อเสียงจากอเมริกาเหนือ เอเชีย และตะวันออกกลาง

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–19 มิถุนายน 2564

EIG สถาบันลงทุนชั้นนำในภาคพลังงานทั่วโลกและหนึ่งในนักลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของโลก ประกาศปิดการทำธุรกรรมที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้กับ Saudi Arabian Oil Co. (“Aramco”) ภายใต้กลุ่มนักลงทุนได้เข้าซื้อกิจการ 49% สัดส่วนการถือหุ้นใน Aramco Oil Pipelines Company (“Aramco Oil Pipelines”) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่โดยมีสิทธิ์ในการชำระภาษีเป็นเวลา 25 ปีสำหรับน้ำมันที่ขนส่งผ่านเครือข่ายท่อส่งน้ำมันดิบที่มีความเสถียรของ Aramco

กระบวนการลงทุนร่วมที่นำโดย EIG ใน Aramco Oil Pipelines ดึงดูดกลุ่มสถาบันลงทุนชั้นนำระดับโลกจากจีน ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เกาหลี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรวมถึงสหรัฐอเมริกา ตามด้วยบริษัท Mubadala Investment Company, นักลงทุน Abu Dhabi Sovereign Investor, กองทุน Silk Road Fund, Hassana และ Samsung Asset Management

R. Blair Thomas ประธานและซีอีโอของ EIG กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ทำธุรกรรมกับ Aramco ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายด้านพลังงานชั้นนำระดับโลก ความสามารถของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกนี้ได้รับการพิสูจน์โดยนักลงทุนชั้นนำที่ลงทุนควบคู่ไปกับ EIG เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับกิจการค้าร่วมระดับโลกนี้ และหวังว่าจะได้เป็นหุ้นส่วนระยะยาวและมีผลสำเร็จ”

HSBC Bank plc เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ EIG เกี่ยวกับการทำธุรกรรมดังกล่าว และ Latham & Watkins ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของ EIG

เกี่ยวกับ EIG 

EIG เป็นสถาบันลงทุนชั้นนำในภาคพลังงานทั่วโลกด้วยเงิน 21.7 พันล้านดอลลาร์ภายใต้การบริหาร ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564  EIG เชี่ยวชาญด้านการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 39 ปี EIG ได้สร้างมูลค่ากว่า 37 พันล้านดอลลาร์แก่ภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทมากกว่า 370 โครงการใน 37 ประเทศในหกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยแผนบำเหน็จบำนาญชั้นนำมากมาย บริษัทประกันภัย กองทุนเงินบริจาค มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งอธิปไตยในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป  EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ ริโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ EIG ที่ www.eigpartners.com

เกี่ยวกับ Aramco

Aramco เป็นบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์แบบบูรณาการระดับโลกซึ่งขับเคลื่อนโดยความเชื่อหลักที่ว่าพลังงานคือโอกาส จากการผลิตน้ำมันประมาณหนึ่งในทุกๆ แปดบาร์เรลของอุปทานน้ำมันของโลกไปจนถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ทีมงานระดับโลกของ Aramco มุ่งมั่นที่จะสร้างผลสะท้อนในทุกสิ่งที่ทำ บริษัทให้ความสำคัญกับการทำให้ทรัพยากรมีความน่าเชื่อถือ ยั่งยืน และมีประโยชน์มากขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาวทั่วโลก www.aramco.com

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210618005526/en/

ติดต่อ:

EIG
Sard Verbinnen & Co.
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG-SVC@sardverb.com

Aramco
International Media Relations: international.media@aramco.com
Investor Relations: investor.relations@aramco.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Thai Herald

Thai Herald