Category Archives: Featured

Asian Productivity Organization ประกาศผลผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านผลิตภาพดีเด่น

Logo

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–08 เมษายน 2024

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรร่วมระหว่างรัฐบาลซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ประกาศผลผู้ได้รับรางวัล APO Regional and Meritorious and Distinguished Awards ประจำปี 2024

นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 APO Awards ได้มีการเฉลิมฉลองความสำเร็จของผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านผลิตภาพดีเด่น ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปรับปรุงผลิตภาพทั่วเอเชียแปซิฟิก เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 60 ปี ของ APO ในปี 2021 มีการปรับปรุงแผนการมอบรางวัลเพื่อสะท้อนถึงภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผลิตภาพและนวัตกรรม

ผู้ชนะได้รับรางวัล APO Regional Award and Meritorious and Distinguished Award ประจำปี 2024

ในปีนี้ APO มีความภูมิใจนำเสนอรางวัลแก่ผู้ชนะได้รับรางวัล Regional สองท่าน ซึ่งได้รับการยกย่องจากผลงานที่ดีเด่นโดยมีผลดีไม่เพียงเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลดีต่อระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย

1.      Dr. Pao-Cheng Chang ประธาน China Productivity Center

2.      Anilkumar Manibhai Naik ประธานกิตติมศักดิ์ Larsen & Toubro Limited

นอกจากนี้ ยังมีผู้ชนะได้รับรางวัล Meritorious and Distinguished Award ห้าท่าน ซึ่งได้รับการยกย่องจากความสำเร็จและการมีส่วนร่วมที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่าง ซึ่งนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางผลิตภาพ

1.      Dr. Bountheung Douangsavanh รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรและพาณิชย์ รัฐบาล สปป. ลาว

2.      Datuk Wira (Dr.) Haji Ameer Ali Mydin กรรมการผู้จัดการ Mydin Mohamed Holdings Berhad

3.      Yamaaranz Erkhembayar ประธานและซีอีโอ Mongolian Productivity Organization

4.      Prof. Ahsan Iqbal รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผน การพัฒนา และการปฏิรูป รัฐบาลกลางแห่งปากีสถาน

5.      Dr. Ha Minh Hiep รักษาการอธิบดีกรมมาตรฐาน มาตรวิทยา และคุณภาพ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

จะมีการดำเนินการนำเสนอรางวัลในพิธีมอบรางวัลระหว่างการประชุมคณะกรรมการฝ่ายปกครองของ APO สมัยที่ 66 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในระหว่างวันที่ 28–30 เดือนพฤกษภาคม ปี 2024 รวมถึงวาระที่กำหนดโดยกรรมการ APO จากประเทศต่างๆ ของผู้ชนะได้รับรางวัล APO Regional Meritorious and Distinguished and National Awards โดย APO มุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากความรู้และประสบการณ์ของผู้ชนะได้รับรางวัลเหล่านี้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ด้านผลิตภาพในอนาคต ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ นวัตกรรม และการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกของ APO เราขอแสดงความยินดีต่อผู้ชนะได้รับรางวัลทุกท่าน และหวังว่า จะได้มีส่วนร่วมเพื่อผลิตภาพและความเป็นเลิศในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ชนะได้รับรางวัล APO Award ล่าสุดได้ในเว็บไซต์ของเราที่ https://www.apo-tokyo.org/recognizing-apo-productivity-champions/

เกี่ยวกับ APO

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรร่วมระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่มุ่งมั่นเพื่อปรับปรุงผลิตภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือร่วมกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องด้านการเมือง ไม่แสวงหาผลกำไร และไม่เลือกปฏิบัติ APO ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งแปดประเทศ และปัจจุบันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย เตอร์กิเย และเวียดนาม

APO มีการดำเนินการเพื่ออนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก ผ่านบริการให้คำปรึกษาด้านนโยบายระดับชาติ ทำหน้าที่เป็นคลังความคิด มีโครงการริเริ่มเพื่อสร้างขีดความสามารถระดับสถาบัน และแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

หากต้องการรายละเอียด โปรดติดต่อ:
Digital Information Unit, APO: pr@apo-tokyo.org
หมายเลขโทรศัพท์: +81-3-3830-0411
เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org.

แหล่งข้อมูล: The Asian Productivity Organization (APO)

วัฒนธรรมองค์กร “I&D : Inclusivity & Diversity ความเท่าเทียมและความหลากหลาย” ปัจจัยสำคัญช่วยสร้างสตรีเหล็กแห่งวงการงานแสดงสินค้า

Logo

หนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดที่บริษัทผู้จำหน่ายสินค้าและบริการพากันมองว่ามีประสิทธิภาพสูงทั้งการสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ การใช้เพื่อจำหน่ายสินค้า ใช้เพื่อเก็บข้อมูล และวัดอุณหภูมิของตลาด คือ “งานแสดงสินค้า” เพราะจัดงานเพียงไม่กี่วัน แต่สามารถรวบรวมผู้ซื้อผู้ขายจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างยอดขายได้มากกว่าการขายแบบปกติทั่วไป ทำให้ธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้ามีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เว็บไซต์ ResearchAndMarkets.com ระบุว่า ตลาดการจัดงานและงานแสดงสินค้าทั่วโลกจะเติบโตในอัตรา 2.88% ต่อปี จนมีมูลค่าสูงถึง 52.68 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2029 ส่วนตลาดในไทยนั้น สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) รายงานว่า ในปี 2023 มีการจัดการประชุมและนิทรรศการระดับนานาชาติ 117 งานในไทย ซึ่งโตขึ้นในอัตรา 185.37% ต่อปี และสามารถสร้างรายได้ 18,633 ล้านบาท หรือมีการเติบโตขึ้น 321.28% ต่อปี ทำให้อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าที่ต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างหนักในช่วงสองปีก่อน กลับมาเฟื่องฟูได้อีกครั้ง

หลาย ๆ งานแสดงสินค้า มักเป็นงานแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมหนัก เช่น งาน METALEX สำหรับวงการโลหการ, Manufacturing Expo สำหรับการผลิตและอุตสาหกรรมสนับสนุน และ COSMEX สำหรับการผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ซึ่งการจัดเตรียมงานแต่ละครั้งให้สำเร็จด้วยดี พร้อมรับเหล่าผู้ขายที่เดินทางมาเปิดบูธจำหน่ายสินค้า และต้อนรับเหล่าผู้ซื้อที่เดินทางมาชมงานเพื่อติดต่อเจรจาซื้อสินค้า ใช้เวลาก่อนเริ่มงานไม่กี่วัน

อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ (RX Tradex) หนึ่งในผู้นำธุรกิจจัดงานโชว์ที่อยู่ในประเทศไทยมาเกือบ 40 ปี ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เปิดกว้างทางความคิดและยอมรับความแตกต่างของผู้คน นอกจากบุคลากรเกินครึ่งจะเป็นสุภาพสตรีแล้ว ยังมีบุคลากรที่เป็น LGBTQ+ อีกนับไม่ถ้วน และหนึ่งในความสำเร็จของ RX Tradex วันนี้ คือวัฒนธรรมองค์กรในเรื่องของ Inclusivity & Diversity หรือความเท่าเทียมและความหลากหลาย

“Inclusivity & Diversity (I&D) เป็นคอนเซ็ปต์ที่หลายบริษัทได้นำมาสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เพราะ I&D เป็นการรวมไว้ซึ่งบุคลากรจากหลากหลายวัฒนธรรม พื้นภูมิ วิธีคิด และความชอบส่วนตัว ซึ่งจะเกิดเป็นประโยชน์กับองค์กรได้ RX ที่เป็นบริษัทแม่ของเรา ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมมาก มีการจัดตั้งผู้บริหารและคณะทำงานเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีผู้แทนสำนักงานสาขาจากหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เข้าร่วมเพื่อทำกิจกรรมให้ความรู้และรณรงค์ด้านความเท่าเทียมทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เพศทางเลือก คนจากหลากหลายวัฒนธรรมและความคิด มีการจัดตั้ง Global Gender Equity Committee หรือคณะกรรมการความเท่าเทียมทางเพศระดับโลก ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการจากทั่วโลกที่มีหลากหลายอัตลักษณ์ทางเพศ ที่กำลังทำงานเพื่อสร้างความเท่าเทียมในแง่มุมต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนความเท่าเทียมของสตรีในวงการงานแสดงสินค้า ในปีที่แล้ว RX ยังได้ร่วมมือกับองค์กรชื่อ Women in Exhibitions (WIE) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2018 เพื่อเสริมพลังให้สตรีในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้า พร้อมสร้างสตรีรุ่นใหม่ขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการ อีกทั้งยังมีการทำงานกับองค์กร Women in Aviation ในตะวันออกกลางในงาน Airport Show ที่ดูไบ มีการจัดสัมมนา The Women’s Forum ในงาน Road Cargo Transport ในบราซิลการจัดงาน Women in Cybersecurity ครั้งที่ 8 ในงาน Infosecurity Europe ที่อังกฤษ และการจัดการประชุมสตรีในงาน World Travel Markets (WTM) ซึ่งโปรโมทความเท่าเทียมทางเพศในลอนดอนและต่อยอดไปยังงาน WTM ในประเทศอื่น ๆ อีกด้วย”วราภรณ์ ธรรมจรีย์ แม่ทัพหญิงเหล็กคนปัจจุบันของ RX Tradex กล่าว

วัฒนธรรมในเรื่อง I&D ถือว่าเหมาะสำหรับธุรกิจจัดงานแสดงสินค้า เพราะแม้ว่าสเกลการจัดงานแสดงสินค้าจะใหญ่ขึ้นทุกปี ๆ ละ 10-15% แต่บริษัทจัดงานแสดงสินค้ากลับเป็นบริษัทขนาดเล็ก หากไม่มีการเปิดกว้างในเรื่องของความเท่าเทียม อาจจะประสบความสำเร็จได้ยาก เพราะการจัดงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ล้วนถูกสร้างขึ้นจากผู้จัดงานจำนวนเพียงหยิบมือเดียว

“2 ใน 3 ของทีมงาน RX Tradex ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานแสดงสินค้าระดับอาเซียนอย่าง METALEX งานแสดงเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีโลหการอันดับหนึ่งของอาเซียนที่มีพื้นที่แสดงกว่า 64,000 ตารางเมตร มีผู้ร่วมงานเกือบแสนคน หรืองาน Manufacturing Expo มหกรรมเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและอุตสาหกรรมสนับสนุน ที่มีพื้นที่และจำนวนผู้เข้าร่วมงานใกล้เคียงกัน ล้วนเป็นผู้ที่งานที่เป็นสุภาพสตรี เรามีทีมงานสตรีจากหลากหลายพื้นภูมิเข้ามาศึกษาอุตสาหกรรมการผลิต ศึกษาเครื่องจักรและเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจและสามารถจัดงานที่จะนำผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายมาพบผู้แสดงสินค้าได้ หลายคนอาจมองว่าเรื่องเครื่องจักร เรื่องอุตสาหกรรมหนัก เป็นเรื่องของผู้ชาย แต่ในบริษัทของเรา เรา โปรโมทความเท่าเทียม ไม่มีการแบ่งแยกทางเพศหรือแบ็คกราวน์ ทำให้งานเราเดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุด” วราภรณ์ สาวหวานผู้มาดมั่นที่ชื่นชอบการชกมวย ยกเวท และรักลูกน้องเป็นชีวิตจิตใจ กล่าวเสริม

ศิริรัตน์ สังข์วิชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการโครงการ ผู้เริ่มทำงานที่ RX Tradex มาเกือบ 20 ปี ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารจัดการโครงการ หนึ่งในสาวแกร่งที่ work hard play hard กล่าวสนับสนุนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในสำนักงานว่า “ความถนัดและทักษะของทุกคนที่ RX Tradex ไม่ได้มาจากคำว่าหญิงหรือชาย แต่มาจากการศึกษา การทำงาน และการสั่งสมประสบการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ทำงานมาไม่เคยรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ผู้ชายต้องทำหรือนี่คือสิ่งที่ผู้หญิงต้องทำ เพราะทุกคนทำทุกอย่างได้เหมือนกัน บริษัทย้ำเสมอเรื่องการเปิดกว้างทางการแสดงออก ทั้งทางตัวตนและทางความคิด ทำให้เราได้ไอเดียใหม่ ๆ มาพัฒนางานอยู่เสมอ ทำให้การทำงานลื่นไหลเพราะไม่มีเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศมาเป็นช่องว่าง”

เช่นเดียวกับ จรรยา เพ็ชรพูล คุณแม่ลูกสองที่บาลานซ์ชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัวได้เป็นอย่างดี ด้วยดีกรีด้านวิศวกรรมศาสตร์มาจากออสเตรเลีย ปัจจุบันนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ เล่าถึงการสร้างพื้นที่เปล่าของสถานที่จัดงานให้กลายเป็นมหกรรมขนาดยักษ์ในเวลาเพียงไม่กี่วันว่า “จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องยกของเหมือนกัน เมื่อทุกคนเท่าเทียม ทีมเวิร์คก็แข็งแกร่งขึ้น ช่วงเวลาเตรียมงานแต่ละงานมีไม่มากนัก บางงานขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ไบเทค เรามีเวลาเพียงแค่สองวัน เราต้องทำงานแทบทั้งวันทั้งคืน เพื่อให้งานเสร็จสวยพร้อมรับผู้ร่วมงานทันเวลา ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันทำให้เรื่องที่ดู Impossible นั้น Possible ได้”

ประภัสสร พูลโรจน์ ผู้จัดการกลุ่มฝ่ายขาย ผู้มากด้วยประสบการณ์งานขายพื้นที่จัดงานแสดงสินค้าและให้คำปรึกษาทีมขายจำนวนมาก พูดถึงทีมขายของบริษัทว่า “เราสามารถเข้าใจและเข้าถึงลูกค้าที่มีหลากหลาย เพราะทีมงานเรามีอย่างหลากหลาย ทั้งหญิง ชาย และ LGBTQ+ จากความหลากหลายทางความคิด ประสบการณ์ และมุมมอง ทำให้เราตอบโจทย์ความหลากหลายของลูกค้าจากหลากหลายสาขาอุตสาหกรรมได้ดี บริษัทเรามีสโลแกนว่า We are in the business of building businesses หรือเราอยู่ในธุรกิจของการสร้างธุรกิจ เราจึงขายพื้นที่และทำงานร่วมกับแผนกบริหารจัดการโครงการและแผนกการตลาดเพื่อให้มั่นใจได้ว่า งานของเราจะช่วยลูกค้าสร้างธุรกิจของเขาให้เติบโต และได้ผลตอบแทนจากการลงทุนกับเราสูงสุด”

“บริษัทผู้จัดงานแสดงสินค้าอย่างเราไม่ได้มีสินค้าอะไรที่จับต้องได้ สินค้าของเราคืองานที่มีชีวิตอยู่เพียงแค่ 3-4 วัน แม้ว่าปัจจุบันเราจะมีบริการทางการตลาดให้ลูกค้าตลอดทั้งปี แต่เราก็ไม่ได้ผลิตสินค้าเหมือนหลาย ๆ บริษัท บุคลากรจึงเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของเรา เพราะบุคลากรคือคนที่สร้างงานและบริการต่าง ๆ เหล่านั้นให้เกิดขึ้น เราจึงไม่จำกัดว่าคนที่จะมาทำงานกับเราต้องมีบุคลิกลักษณะที่อยู่ในกรอบเดียวกัน แต่เราอ้าแขนโอบรับคนจากหลากหลายอัตลักษณ์ทางเพศและแนวความคิดจากหลากหลายเจเนอเรชันเข้ามาร่วมงาน ทำให้เราเป็นบริษัทที่ไม่หยุดนิ่ง และสามารถสร้างสรรค์งานที่ทันสมัยและสดใหม่อยู่เสมอ เป็นงานคุณภาพที่พร้อมสร้างธุรกิจให้กับลูกค้าเราได้ตลอดทั้งปี”วราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามปฏิทินและรายละเอียดของงานแสดงสินค้าของ RX Tradex ได้ที่ www.rxtradex.com

สื่อมวลชนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์ โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th


Merck Foundation ประกาศรางวัล ‘‘Diabetes and Hypertension’’ Media Recognition Awards 2024 สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชีย

Logo

มุมไบ อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–03 เมษายน 2024

Merck Foundation (www.merck-foundation.com) ซึ่งเป็นหน่วยงานการกุศลภายใต้การบริหารจัดการของ Merck KGaA Germany ประกาศเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมชิงรางวัล Media Recognition ‘Diabetes & Hypertension’ Awards 2024 สำหรับนักข่าวจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย

Merck Foundation announced ‘‘Diabetes and Hypertension’’ Media Recognition Awards 2024 for Asian Countries (Photo: Business Wire)

Merck Foundation ประกาศรางวัล ‘‘Diabetes and Hypertension’’ Media Recognition Awards 2024 สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชีย (ภาพถ่าย: Business Wire)

ธีมของรางวัลนี้คือ การส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันและการตรวจหาโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในระยะเริ่มต้น

Dr. Rasha Kelej วุฒิสมาชิกและซีอีโอของมูลนิธิ Merck Foundation เน้นย้ำว่า “ผมเชื่อว่า สื่อมีอำนาจและอิทธิพลต่อสังคม และด้วยเหตุนี้ สื่อจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่แพร่หลาย ดังนั้น ผมจึงขอเชิญชวนตัวแทนสื่อจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียมาเข้าร่วมชิงรางวัล Media Awards และแบ่งปันผลงานที่มีคุณค่าซึ่งสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และเน้นย้ำถึงความสำคัญในการมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี”

รางวัลนี้เปิดให้กับนักข่าวทุกคนในประเทศภูมิภาคเอเชียจากแพลตฟอร์มสื่อสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ และมัลติมีเดีย ผลงานสร้างสรรค์และมีอิทธิพลต่อสังคมในการสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นประจำมากที่สุดจะมีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลเหล่านี้

Merck Foundation ยังมีการมอบรางวัลเหล่านี้ให้กับประเทศในภูมิภาคแอฟริกาและละตินอเมริกาอีกด้วย

รายละเอียดเกี่ยวกับ Merck Foundation MEDIA RECOGNITION AWARDS 2024 “Diabetes & Hypertension”

ผู้ที่มีสิทธิ์สมัคร:
นักข่าวจากประเทศในภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ออนไลน์ และมัลติมีเดีย

วิธีการสมัคร:
สามารถส่งผลงานเข้าไปที่อีเมล: submit@merck-foundation.com

ภาษาที่ใช้:
ภาษาอังกฤษ ภาษาท้องถิ่นอื่นๆ

โปรดระบุหัวข้อในอีเมล:
Merck Foundation MEDIA RECOGNITION AWARDS 2024 “Diabetes & Hypertension”

โปรดระบุชื่อ ประเทศ ประเภทผลงานที่สมัคร และรายละเอียดการติดต่อของคุณ

ประเภทและเงินรางวัลสำหรับแต่ละกลุ่ม:

ประเภท

สื่อสิ่งพิมพ์

สื่อออนไลน์

สื่อวิทยุ

สื่อมัลติมีเดีย

เงินรางวัล

USD 500

USD 500

USD 500

USD 500

สามารถส่งผลงานในหลายประเภท ซึ่งจะเพิ่มโอกาสชนะได้รับรางวัลเหล่านี้

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของเราwww.merck-foundation.com

Merck Foundation ยังมีการเปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องแรก ‘Sugar Free Jude’ และ ‘Mark’s Pressure’ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และเพื่อส่งเสริมการมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีในหมู่เด็กและเยาวชนในแอฟริกาและภูมิภาคอื่นๆ โดยภาพยนตร์แอนิเมชั่นเหล่านี้เป็นการดัดแปลงมาจากหนังสือนิทานสำหรับเด็ก

สามารถรับชมภาพยนตร์แอนิเมชั่น “Sugar Free Jude” และ “Mark’s Pressure” ได้ที่นี่:

https://www.youtube.com/watch?v=mjbOvjVC3uE

https://www.youtube.com/watch?v=zJylVgGbvtA

“ผมมีความประสงค์ที่จะย้ำเตือนทุกคนว่า สุขภาพที่ดีคือสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของเรา ผ่านรางวัล หนังสือนิทาน และภาพยนตร์แอนิเมชั่นของเรา!” Dr. Kelej กล่าวเสริม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53916105/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mehak Handa, mehak.handa@external.merckgroup.com

แหล่งข้อมูล: Merck Foundation

Panda Biotech ประกาศว่าการดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้เริ่มต้นแล้ว ที่ Panda Hemp Gin ซึ่งเป็นเรือธงของบริษัท

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–03 เมษายน 2024

Panda Biotech™ ประกาศในวันนี้ว่าการดําเนินการเชิงพาณิชย์ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วที่ Panda Hemp Gin ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรมที่สําคัญของบริษัท ในวิชิตาฟอลส์ รัฐเท็กซัส อาคารขนาด 500,000 ตารางฟุตตั้งอยู่บนพื้นที่ 97 เอเคอร์นี้ เป็นอาคารแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันตก โดยมีความสามารถในการแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรม 10 เมตริกตัน ให้เป็นเส้นใยเกรดสิ่งทอ  แกนกัญชง ผสมเส้นใยสั้น/แกนกัญชง และแกนกัญชงที่เป็นผงละเอียดที่อุดมด้วยสารอาหารต่อชั่วโมง เป็นกระบวนการที่ไม่มีของเสีย โดยใช้ทุกส่วนของลำต้นกัญชงอุตสาหกรรม และดําเนินการใช้พลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซ็นต์เพียงอย่างเดียว ทําให้เป็นพารากอนแห่งความยั่งยืนในอุตสาหกรรม

Panda Hemp Gin is a 500,000-square-foot building situated on 97 acres with the capacity to process 10 metric tons of industrial hemp into textile-grade fiber, hurd, short-fiber/hurd mix, and nutrient-rich micronized hurd per hour. (Photo: Business Wire)

Panda Hemp Gin เป็นอาคารขนาด 500,000 ตารางฟุตตั้งอยู่บนพื้นที่ 97 เอเคอร์ โดยมีความสามารถในการแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรม 10 เมตริกตันให้เป็นเส้นใยเกรดสิ่งทอ แกนกัญชง ผสมเส้นใยสั้น/แกนกัญชง และแกนกัญชงที่เป็นผงละเอียดที่อุดมด้วยสารอาหารต่อชั่วโมง (ภาพ: Business Wire)

Panda Hemp Gin  ดําเนินการอย่างเต็มรูปแบบ และการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในเดือนกุมภาพันธ์กระบวนการการทดลองเครื่องที่ซับซ้อนของ สายการผลิตความยาว 600 หลาของ Panda และท่อลมเหนือศีรษะความยาวสามไมล์ รวมถึงอุปกรณ์แต่ละชิ้นสําหรับการตีเยื่อออก การกลั่น การผสม การทำให้เส้นใยนุ่มด้วยเครื่องจักร การบรรจุและการจัดเก็บแกนกัญชง และการอัดก้อน เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

“โรงงานแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรมที่ล้ำสมัยของ Panda Biotech ถือเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ และเป็นตัวเปลี่ยนเกมสําหรับทั้งการเกษตรและอุตสาหกรรม” Dixie Carter ประธาน Panda Biotech กล่าว “ในขณะที่การวิจัยและพัฒนาในด้านนี้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เส้นใยและเซลลูโลสกัญชงอุตสาหกรรม จะช่วยเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมจํานวนมาก โดยมีเป้าหมายและความท้าทายที่ยั่งยืน กัญชงอุตสาหกรรมของ Panda จะมีบทบาทสําคัญในการตอบสนองความต้องการที่สำคัญของตลาดโลก สําหรับกระบวนการและผลิตภัณฑ์หมุนเวียน”

กัญชงอุตสาหกรรมถือเป็นวัตถุดิบที่หลากหลายที่สุดชนิดหนึ่ง พร้อมศักยภาพการใช้งานที่หลากหลายที่ไม่มีใครเทียบได้ Panda Hemp Gin จะมุ่งเน้นไปที่การจัดหาสายผลิตภัณฑ์หลักห้าสายจากกัญชง ได้แก่ การทำให้เส้นใยนุ่มด้วยเครื่องจักร เส้นใยที่ผ่านกระบวนการตีเยื่อออก แกนกัญชง (เซลลูโลส) ผสมเส้นใยสั้น/แกนกัญชง และผงกัญชงละเอียดที่อุดมด้วยสารอาหาร การใช้งานที่หลากหลายสําหรับแต่ละผลิตภัณฑ์แตกต่างกันไป ตั้งแต่สิ่งทอสําหรับผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ผ้าไม่ทอ ผลิตภัณฑ์กระดาษ พลาสติกชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ วัสดุรองนอนของสัตว์ วัสดุที่ใช้แทนไฟเบอร์กลาส วัสดุก่อสร้างเช่น เฮมพ์กรีต วัสดุคลุมดิน ฉนวนกันความร้อน และอื่น ๆ

ด้วยความมุ่งมั่นในการตรวจสอบย้อนกลับและแปรรูปเฉพาะเศษเส้นใยกัญชงที่ปลูกในสหรัฐฯ เท่านั้นตลอดจนการจัดโครงการจ่ายต่อเพื่อการเติบโตที่น่าประหลาดใจ ความร่วมมือของ Panda กับชุมชนเกษตรกรรมอเมริกันถือเป็นหัวใจสําคัญของการดําเนินงาน กัญชงอุตสาหกรรมให้ประโยชน์มากมายแก่ผู้ผลิต เนื่องจากได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยดูดซับต่อเอเคอร์ได้มากกว่าป่าไม้หรือพืชเชิงพาณิชย์ใดๆ นอกจากนี้ กัญชงยังต้องการน้ำน้อยกว่าพืชหลักส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก ให้การฟื้นฟูดินที่โดดเด่น และความต้องการปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และสารเคมีกําจัดวัชพืชน้อยที่สุด  Panda กําลังทําสัญญากับผู้ผลิตอย่างแข็งขันสําหรับโครงการจ่ายต่อเพื่อการเติบโต สําหรับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้และกับเกษตรกรที่อาจมีเศษเส้นใยหรือเส้นใยจากการเก็บเกี่ยวครั้งก่อนหรือฤดูปลูกปี 2024 ผู้ผลิตที่สนใจสามารถติดต่อ Panda ผ่านเว็บไซต์ได้ที่ pandabiotech.com

“พื้นที่ขนาดใหญ่ของแคมปัส สามารถรองรับการแปรรูปเศษเส้นใยกัญชงมากกว่า 22,000 ปอนด์ต่อชั่วโมง เป็นสิ่งที่ทําให้โรงงานแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรมแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” Scott Evans ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Panda Biotech กล่าว “เศษเส้นใยของเรามาจากพันธมิตรด้านการเกษตรของเราในเท็กซัสและรัฐโดยรอบโดยตรง และผ่านกระบวนการการตีเยื่อออกของเรา เศษเส้นใยจะถูกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์บรรจุหีบห่อ พร้อมสําหรับการค้าปลีกหรือการผลิตขั้นปลายภายในไม่กี่นาที อุปกรณ์การประมวลผลและโครงสร้างพื้นฐานของ Panda นั้นดีที่สุดในระดับเดียวกันอย่างแท้จริง”

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.pandabiotech.com และติดตามเราได้ที่ @pandabiotech บน Facebook, Instagram, X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ PANDA BIOTECH

Panda Biotech, LLC เป็นบริษัทเอกชนซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส เป็นผู้บุกเบิกรายแรกในอุตสาหกรรมเส้นใยกัญชงและเศษวัสดุอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของสหรัฐฯ ซึ่งมีชาวอเมริกันเป็นเจ้าของ ปลูก และแปรรูป 100 เปอร์เซ็นต์ ความเป็นผู้นําระดับผู้บริหารของ Panda Biotech มีประสบการณ์อย่างกว้างขวางในการพัฒนา จัดหาเงินทุน ก่อสร้าง และดําเนินการสิ่งอํานวยความสะดวกโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในด้านพลังงานสะอาด พวกเขาได้พัฒนา 22 โครงการคิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 12 พันล้านเหรียญสหรัฐ โครงการแรกของ Panda Biotech คือ Panda Hemp Gin™ ร่วมมือกับ Aka-Ag, LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Southern Ute Indian Tribe Growth Fund โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในวิชิตาฟอลส์ รัฐเท็กซัส เป็นโรงงานแปรรูปกัญชาอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันตก

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53921552/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Beth Gebhard

รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์
beth.gebhard@pandabiotech.com

ที่มา: Panda Biotech

Mary Kay Inc. เป็นหัวหอกสำคัญของความพยายามในการอนุรักษ์มหาสมุทร ณ การประชุม World Ocean Summit ประจำปีครั้งที่ 11

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–04 เมษายน 2024

Mary Kay Inc. ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการเสริมพลังสตรี และผู้สนับสนุนความยั่งยืนอย่างแข็งขัน ได้เป็นแนวหน้าสำคัญของความพยายามในการอนุรักษ์มหาสมุทรระดับโลกอีกครั้ง แบรนด์ความงามแห่งนี้มีความภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมการประชุม World Ocean Summit & Expo ประจำปีครั้งที่ 11 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม ในฐานะผู้สนับสนุนระดับทองแดงเป็นปีที่สองติดต่อกัน Mary Kay แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงินอย่างยั่งยืนในฐานะตัวแทนภาคเอกชน และผ่านความร่วมมืออันยาวนานกับ องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก (The Nature Conservancy – TNC)

Sandra Silva, General Manager of Mary Kay in Portugal, shared insights on the crucial need for collaborative efforts in marine conservation and highlighted the impact of incorporating gender perspectives in initiatives tackling climate change challenges and biodiversity loss. (Photo: Mary Kay Inc.)

Sandra Silva ผู้จัดการทั่วไปของ Mary Kay ในโปรตุเกส แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความจำเป็นสำคัญสำหรับความพยายามร่วมกันในการอนุรักษ์ทางทะเล และเน้นย้ำถึงผลกระทบของการผสมผสานมุมมองทางเพศสภาพในโครงการริเริ่มการจัดการกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

งานประชุม World Ocean Summit & Expo ประจำปี ซึ่งจัดโดย Economist Impact มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญกว่า 200 คนและผู้ฟังจากต่างประเทศที่หลากหลายเข้าร่วมในการอภิปราย เวิร์คช็อป และเซสชัน “How to” ที่มีความหมาย การชุมนุมเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่แนวทางแก้ไขที่สามารถนำไปปฏิบัติได้เพื่อรับมือกับความท้าทายในมหาสมุทรอย่างเร่งด่วนที่สุด โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความพยายามร่วมกันในภาคส่วนต่างๆ

Sandra Silva ผู้จัดการทั่วไปของ Mary Kay ในโปรตุเกส มีบทบาทอย่างแข็งขันในการอภิปราย หัวข้อ “การพัฒนาโครงการที่อิงธรรมชาติสีฟ้า (Developing Blue Nature-based Projects) “ Silvaได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความจำเป็นสำคัญสำหรับความพยายามร่วมกันในการอนุรักษ์ทางทะเล และเน้นย้ำถึงผลกระทบของการผสมผสานมุมมองทางเพศสภาพในโครงการริเริ่มการจัดการกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

“การมีส่วนร่วมของ Mary Kay ในการประชุม World Ocean Summit ในปีนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอกย้ำความทุ่มเทของเราในการอนุรักษ์มหาสมุทรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของผู้หญิงในความพยายามเหล่านี้ด้วย” Silva กล่าว “เราเชื่อว่าการกระทำร่วมกันของเราในปัจจุบันมีส่วนสำคัญต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเล ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดออกจากการประชุมสุดยอดด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันใหม่ การมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ที่สามารถดำเนินการได้ และโซลูชั่นที่ป้องกันเสียงเพื่อยกระดับการดูแลมหาสมุทร”

Dr. Lizzie Mcleod ผู้อำนวยการมหาสมุทรระดับโลกของThe Nature Conservancy แสดงความขอบคุณสำหรับความสัมพันธ์ระยะยาวและมีผลกระทบต่อ Mary Kay “ความร่วมมือที่แข็งแกร่งของเราถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังของการผนึกกำลังกันทั่วทั้งชุมชนวิทยาศาสตร์และภาคเอกชนเพื่อปรับปรุงสุขภาพของมหาสมุทร การสนับสนุนของ Mary Kay ในโครงการริเริ่มด้านการอนุรักษ์ทางทะเล รวมถึงโครงการ Super Reefs ในปาเลา เป็นตัวอย่างหนึ่งของความพยายามร่วมกันของเรา เพื่อให้แน่ใจว่ามหาสมุทรมีสุขภาพที่ดีและฟื้นตัวได้”

Mary Kay ได้ทำงานเพื่อยกระดับสุขภาพของมหาสมุทรและความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวปะการังผ่านการสนับสนุน The Nature Conservancy มาเป็นเวลา 37 ปี โครงการล่าสุดบางโครงการ ได้แก่ การฟื้นฟู Super Reef (Super Reef restoration) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และโครงการอื่นๆ ในฮาวาย ปาเลา หมู่เกาะมาร์แชลล์ และเบลีซ โครงการเหล่านี้สอดคล้องกับพันธกิจของ Mary Kay ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ชีวิตดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังรับประกันความยืนยาวและสุขภาพของสภาพแวดล้อมทางทะเลสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป

คุณรู้หรือไม่?

  • Mary Kay เริ่มสนับสนุน The Nature Conservancy (TNC) ในปี 1987 และปัจจุบันได้มีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ มานานกว่าสามทศวรรษในโครงการอนุรักษ์ 100 โครงการทั่วโลก
  • ในฐานะส่วนหนึ่งของภารกิจในการอนุรักษ์ผืนดินและน้ำของโลก TNC ตั้งเป้าที่จะอนุรักษ์มหาสมุทร 4 พันล้านเฮกตาร์ภายในปี 2030 ซึ่งรวมถึงแนวปะการังด้วย
  • จากบทความมากกว่า 1,500 รายการที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แนวปะการังในประเทศ OECD ผู้เขียน 33% เป็นผู้หญิง1
  • 13-24% ของตำแหน่งอาวุโสในภาควิทยาศาสตร์ทางทะเลของสหภาพยุโรปเป็นผู้หญิง1
  • 90% ของผู้หญิงในอุตสาหกรรมประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีส่วนร่วมในงานที่มีรายได้น้อยหรือไม่ได้รับค่าจ้างมากกว่า1

เกี่ยวกับ Mary Kay

จากตอนนั้นถึงตอนนี้และตลอดไป (Then. Now. Always.) หนึ่งในผู้ทำลายเพดานกระจกแบบเดิม Mary Kay Ash ก่อตั้งบริษัทเพื่อความงามในฝันของเธอในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือการทำให้ชีวิตผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสโดย Mary Kay ได้เพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิงในการกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอางที่มีสี อาหารเสริม รวมไปถึงน้ำหอมที่ทันสมัย Mary Kay เชื่อในการรักษาโลกของเราไว้ให้คนรุ่นอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการทารุณกรรมในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทำตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com หรือค้นหาเราได้ใน Facebook Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราใน X (formerly Twitter)

เกี่ยวกับ The Nature Conservancy

เป็นองค์กรอนุรักษ์ระดับโลกที่อุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์ผืนดินและผืนน้ำที่ทุกชีวิตต้องพึ่งพา ด้วยแนวทางทางวิทยาศาสตร์ เราสร้างสรรค์โซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมภาคพื้นดินเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยากที่สุดของโลก เพื่อให้ธรรมชาติและผู้คนสามารถเจริญเติบโตร่วมกันได้ เรากำลังจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ผืนดิน น้ำ และมหาสมุทรในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน การจัดหาอาหารและน้ำอย่างยั่งยืน และช่วยทำให้เมืองต่างๆ มีความยั่งยืนมากขึ้น การทำงานใน 76 ประเทศและดินแดน —37 แห่งโดยผลกระทบด้านการอนุรักษ์โดยตรง และอีก 39 แห่งผ่านพันธมิตร — เราใช้แนวทางการทำงานร่วมกันที่มีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น รัฐบาล ภาคเอกชน และพันธมิตรอื่นๆ เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.nature.org หรือติดตาม @nature_press ในทวิตเตอร์

1 แหล่งที่มา : https://impact.economist.com/ocean/sustainable-ocean-economy/valuing-women-in-the-blue-economy-for-international-womens-day

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53921920/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mary Kay Inc. การสื่อสารองค์กร

marykay.com/newsroom 
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

แหล่งที่มา: Mary Kay Inc.


“โคเมเฮียว” เติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสอง เปิดเพิ่มสาขาที่ 5 ในไทย ปักหมุดทำเลทอง “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ” ชูบริการซื้อ-ขายการันตีจาก KOMEHYO แบรนด์อันดับ 1 จากประเทศญี่ปุ่น

Logo

KOMEHYO (โคเมเฮียว) ศูนย์รวมสินค้าแบรนด์เนม Luxury Pre-loved Items ที่ครองใจชาวญี่ปุ่นยาวนานกว่า 76 ปี เผยกลยุทธ์การขยายตลาดแบรนด์เนมมือสองในไทยที่ยังคงเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยการเปิดสาขาที่ 5 เพิ่มย่านทำเลทอง “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ” พร้อมจัดเต็มโปรโมชันเฉลิมฉลองเปิดสาขาใหม่ ลุ้นรับส่วนลดสูงสุดกว่า 10,000 บาท ชูความเป็นศูนย์รวมแบรนด์เนมมือสอง ด้วยบริการรับซื้อ – ขายสินค้า คัดสรรโดยผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ที่ผ่านการอบรมเฉพาะด้าน นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพการบริการด้วยการตรวจสอบความละเอียดของสินค้าได้ถึง 99% เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากขึ้น 

มร.ฮิเดโอะ ทาเคโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโคเมเฮียว จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างเครือสหพัฒน์และกลุ่ม KOMEHYO (โคเมเฮียว) ผู้นำด้านสินค้าแบรนด์เนมมือสองที่ได้รับความนิยมสูงสุด
ในประเทศญี่ปุ่นกว่า 76 ปี เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดร้านโคเมเฮียวแห่งใหม่ ณ ชั้น M “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ” นับเป็นสาขาที่ 5 พร้อมเปิดให้บริการรับซื้อ – ขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ในวันที่ 1 เมษายน นี้ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมและมีความชำนาญในการคัดเลือกสินค้าคุณภาพมาให้บริการ ภายใต้แนวคิด Relay Use’ ส่งต่อสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วไปให้บุคคลอื่นที่ยังต้องการ เพื่อนำไปใช้งานให้ได้ประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด

“หลังจากที่โคเมเฮียวได้เข้ามาเปิดสาขาในไทย 4 สาขา นับว่าได้รับกระแสตอบรับจากผู้บริโภค
เป็นอย่างดี ซึ่งตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสองยังคงเติบโตได้ดีในไทย เนื่องจากเป็น Pre-loved Items ที่มีคุณค่าทางจิตใจกับลูกค้า ด้วยความเข้าใจผู้บริโภคอันลึกซึ้งนี้ ทำให้เราได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทย
เป็นอย่างดี และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 5 ปี  ซึ่งปัจจุบันเรายังคงพร้อมรับซื้อแบรนด์เนมมือสองจำนวนมาก เพื่อตอบรับความต้องการของตลาด โดยสินค้าทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า นาฬิกา
จะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างพิถีพิถันจากผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นมากประสบการณ์ที่พร้อมให้บริการ
ให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดการซื้อ – ขายอย่างมืออาชีพ ลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้านโคเมเฮียว สามารถเชื่อมั่นได้ในชื่อเสียงและคุณภาพแบบญี่ปุ่น ทำให้มีความน่าเชื่อถือในการซื้อหรือขายของแบรนด์เนมมือสองได้อย่างสบายใจและมั่นใจ โดยสามารถนัดขายสินค้าได้ในห้องรับรองส่วนตัว” มร. ฮิเดโอะกล่าว

นอกจากการเปิดขยายสาขาที่ 5 แล้ว ในโอกาสนี้ทางโคเมเฮียว ประเทศไทย ยังได้มีการนำเทคโนโลยี AI จาก KOMEHYO ประเทศญี่ปุ่น มาเริ่มใช้เป็นครั้งแรกด้วย โดยเทคโนโลยี AI นี้จะทำงานผ่านกล้อง Microscope ที่ถูกออกแบบขึ้นเองโดย KOMEHYO สามารถตรวจสอบความละเอียดของสินค้าได้ถึง 99% ผ่านฐานข้อมูลของ KOMEHYO ที่สะสมมายาวนาน การใช้เทคโนโลยี AI ในลักษณะนี้จะเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้ว่าสินค้าทุกชิ้นที่ผ่านการตรวจสอบจะมีคุณภาพสูงสุดภายใต้มาตรฐานญี่ปุ่น และยังเป็น
การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อส่งต่อความสุขและความพึงพอใจให้กับลูกค้าชาวไทย

สินค้าแบรนด์เนมมือสองไม่เพียงแค่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่ยังมี “มูลค่า” ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งช่วยสร้างการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ที่ชื่นชอบ
แบรนด์เนม นับเป็นการตอกย้ำจุดแข็งของ KOMEHYO แบรนด์อันดับหนึ่งจากญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ยาวนาน มีมาตรฐาน ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการสร้างความประทับใจ ด้วยคอนเซ็ปต์ความสุขที่ส่งต่อได้ไม่รู้จบ “Spread Joy, Spark Happiness” ของ KOMEHYO เป็นการยกระดับการซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองไปสู่การสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน โดยเฉพาะสินค้า Luxury Pre-loved Items แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้สินค้าได้รับชีวิตใหม่ในมือของเจ้าของคนต่อไปเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการบริโภคที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย

ทั้งนี้ การเปิดสาขาใหม่ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การขยายสาขาของบริษัทฯ โดยก่อนหน้านี้
มีการเปิดสาขา Flagship store ในไทยมาแล้ว 4 สาขา ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล@เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2,ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา ชั้น 1, ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พระราม 3 ชั้น G และ เจพาร์ค นิฮอน
มูระ ศรีราชา ชั้น 2 New Town Zone

สำหรับ ลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมมือสอง สาขาใหม่ “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ” สามารถมาเลือกช้อปสินค้าที่หน้าร้าน หรือเลือกชมสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ www.komehyo.co.th หรือทาง Facebook: Komehyo Thailand

เกี่ยวกับ

บริษัท สห โคเมเฮียว จำกัด ก่อตั้งโดยความร่วมมือระหว่าง “เครือสหพัฒน์” และ KOMEHYO JAPAN ปัจจุบันมี 5 สาขา ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล@เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2,ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล
บางนา ชั้น 1, ศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 พระราม 3 ชั้น G, เจพาร์ค ศรีราชา นิฮอน มูระ ชั้น 2 New Town Zone และ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์โสตร์ บางกะปิ ซึ่งเป็นสาขาล่าสุด

โคเมเฮียว (KOMEHYO) ตั้งใจจะร่วมส่งต่อความสุขจากการนำสิ่งที่คุณไม่ได้ใช้แล้วมาส่งต่อให้กับ
ผู้ที่ต้องการในคอนเซ็ปต์ความสุขที่ส่งต่อได้ไม่รู้จบ ‘Spread Joy, Spark Happiness’ โดยสินค้าทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า นาฬิกา ฯลฯ จะผ่านการตรวจสอบอย่างพิถีพิถันจากผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นมากประสบการณ์ที่พร้อมให้บริการ ให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดการรับซื้อ – ขายอย่างมืออาชีพ ลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้านโคเมเฮียว สามารถเชื่อมั่นได้ในชื่อเสียงและคุณภาพแบบญี่ปุ่น ทำให้มีความน่าเชื่อถือในการซื้อหรือขายของแบรนด์เนมมือสองได้อย่างสบายใจและมั่นใจโดยสามารถนัดขายสินค้าได้ในห้องรับรองส่วนตัว ซึ่งปัจจุบัน    โคเมเฮียวยังคงพร้อมรับซื้อสินค้าแบรนด์เนมได้เป็นจำนวนมาก

จากคอนเซ็ปต์ “ความสุขส่งต่อได้ไม่รู้จบ” โคเมเฮียว (KOMEHYO) ดูแลสินค้าในฐานะตัวกลาง
ที่สร้างความไว้วางใจความน่าเชื่อถือในการการันตีสินค้า จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 300 คนในญี่ปุ่น
ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการดูแลสินค้าแต่ละประเภท โดยทุกคนจะต้องผ่านการฝึกอบรมและสอบ
ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งเรื่องการรับซื้อ การดูแลรักษาสินค้า รวมถึงการตั้งราคาขาย ภายใต้หลักสูตรเฉพาะของทางบริษัทที่ผ่านการทำธุรกิจมายาวนาน มีฐานข้อมูลสินค้ามากกว่า 1.4 ล้านชิ้นต่อปี เพื่อให้มั่นใจว่าการซื้อขายในทุก ๆ รายการมีความน่าเชื่อถือ และสร้างความประทับใจจนนำไปสู่ความสุข ของทั้งลูกค้าที่มาซื้อและมาขายเพื่อส่งมอบสินค้าแบรนด์เนมที่พวกเขารักในทุก ๆ กระบวนการ

###

สื่อมวลชนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

ยอดขาย Dragon’s Dogma 2 ของ Capcom สูงถึง 2.5 ล้านชุด!

Logo

 ยอดขายสะสมของซีรีส์ Dragon’s Dogma ทะลุ 10 ล้านชุดแล้วตอนนี้

OSAKA, Japan–(BUSINESS WIRE)–02 เมษายน 2024

Capcom Co., Ltd. (TOKYO:9697) ประกาศในวันนี้ว่า ยอดขายทั่วโลกของ Dragon’s Dogma 2 ได้ทะลุ 2.5 ล้านชุดแล้ว

Dragon's Dogma 2 is the latest game in Capcom's beloved action RPG series. (Graphic: Business Wire)

Dragon's Dogma 2 เป็นเกมใหม่ล่าสุดในซีรีส์แอคชั่น RPG อันเป็นที่ชื่นชอบของ (กราฟิก: Business Wire)

หลังจากภาคแรกถึงสิบสองปี กว่าที่จะมีการเปิดตัว Dragon’s Dogma 2 ซึ่งเป็นเกมแอคชั่นที่มีฉากอยู่ในโอเพนเวิล์ดที่กว้างใหญ่และอิสระในระดับสูง ในเกมนี้ ผู้เล่นจะสามารถเพลิดเพลินไปกับฉากแฟนตาซีต่างๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีตและสมจริง ในขณะเดียวกัน ก็มีกลิ่นอายการผจญภัยสำหรับผู้เล่นเป็นกลุ่มมากสุดสี่คน ในขณะที่ผู้เล่นเดี่ยวก็มีตัวละครที่ควบคุมโดย AI มาเป็นเพื่อนร่วมทาง Capcom มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดไม่เฉพาะแฟนพันธุ์แท้ของซีรีส์นี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้เล่นใหม่ด้วยเช่นกัน รวมทั้งการเปิดตัวแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถสร้างอวตาร์ของตัวเองก่อนที่เกมจะมีการวางจำหน่าย พร้อมทั้ง “pawn” ซึ่งเป็นผู้ร่วมผจญภัยในเกมที่เป็นการร่วมมือกับเซเลบริตี้จากหลากหลายประเทศและนักกีฬาระดับชาติของญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

มีการดำเนินการอัปเดตเกี่ยวกับการเพิ่มเติมและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ สำหรับข้อกำหนดบางรายการใน Dragon’s Dogma 2 มาอย่างต่อเนื่อง สามารถดูรายละเอียดได้จากโฮมเพจอย่างเป็นทางการขอเกม https://www.dragonsdogma.com/2/en-us/topics/update/

Capcom ยังคงมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะตอบสนองความคาดหวังของหุ้นส่วนทุกคน โดยใช้ประโยชน์จากความสามารถในการพัฒนาเกมชั้นนำของอุตสาหกรรม เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่มีความสนุกสนานอย่างยิ่งยวด

เกี่ยวกับ Dragon’s Dogma

ซีรีส์ Dragon’s Dogma ประกอบด้วยเกมแอคชั่นในฉากแฟนตาซีที่ผู้เล่นจะผจญภัยในโอเพนเวิล์ดอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดาบและเวทมนตร์ นับตั้งแต่เปิดตัวภาคแรกในปี 2012 ซีรีส์นี้ก็ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกสำหรับฟีเจอร์ในเกม เช่น “pawn” ผู้ร่วมผจญภัยที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ส่งผลให้ซีรีส์นี้มียอดขายสะสมทะลุ 10 ล้านชุด

เกี่ยวกับ CAPCOM

Capcom เป็นกลุ่มนักพัฒนา ผู้เผยแพร่ และผู้จัดจำหน่ายเกมแบบโต้ตอบชั้นนำระดับโลกสำหรับเกมคอนโซล พีซี อุปกรณ์พกพา และอุปกรณ์ไร้สาย บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1983 และมีการสร้างเกมขึ้นกว่าร้อยเกม รวมถึงแฟรนไชส์ที่ล้ำสมัยอย่าง Resident Evil™, Monster Hunter™, Street Fighter™, Mega Man™, Devil May Cry™ และ Ace Attorney™ Capcom มีการดำเนินงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และโตเกียว โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Capcom ได้ที่ https://www.capcom.co.jp/ir/english/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53921068/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Capcom Public Relations & Investor Relations Section
Daniel Levine
+81-6-6920-3623
daniel-levine@capcom.com

Yoshiko Ikeda
+81-6-6920-3623
yoshiko-ikeda@capcom.com

แหล่งข้อมูล: Capcom Co., Ltd.

SMART Modular Technologies เปิดตัวโมดูลหน่วยความจำ Zefr ZDIMM ที่มีประสิทธิภาพความน่าเชื่อถือสูงพิเศษสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ต้องการสมรรถนะสูง

Logo

นวร์ก แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–03 เมษายน 2024

SMART Modular Technologies, Inc. (“SMART”) หรือแผนกของ SGH (Nasdaq: SGH) ร่วมกับผู้นำโซลูชันอุปกรณ์หน่วยความจำ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล SSD และผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลไฮบริด เปิดตัวโซลูชันอุปกรณ์หน่วยความจำ  หรือแรมที่ใช้โมดูลแบบ Zefr™ ZDIMM™ โมดูล ZDIMM เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูล ศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกล แพลตฟอร์มที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่มีการใช้งานหน่วยความจำขนาดใหญ่ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรทุกส่วนของแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจัยสำคัญสำหรับศูนย์ข้อมูลคือประสิทธิภาพความน่าเชื่อถือของหน่วยความจำ เพราะหากเกิดเหตุระบบขัดข้อง ก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงตามมา โมดูล ZDIMM มีลักษณะของเมนบอร์ด (Form factor) ทั้งในรูปแบบ DDR4-3200 และ DDR5-5600 และในรูปแบบดิสก์ความหนาแน่นสูง (HD) ให้บริการ

SMART Modular’s Zefr ZDIMM ultra-high reliability memory modules are ideally suited for data centers, hyperscalers, high performance computing (HPC) platforms and other environments that run large memory applications. (Photo: Business Wire)

มดูลหน่วยความจำ Zefr ZDIMM ที่มีความน่าเชื่อถือสูงเป็นพิเศษของ SMART Modular เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับศูนย์ข้อมูล ไฮเปอร์สเกลเลอร์ แพลตฟอร์มการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ใช้งานแอปพลิเคชันหน่วยความจำขนาดใหญ่ (รูปภาพ: Business Wire)

โมดูล ZDIMM ใช้การประมวลผลหน้าจอ Zefr ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ SMART ซึ่งให้ประสิทธิภาพของช่วงเวลาที่ระบบทำงานและความน่าเชื่อถือในระดับสูงสุด โดยทั่วไปจะสามารถทำงานได้ดีกว่าหน่วยความจำโมดูลมาตรฐานอุตสาหกรรมถึง 90%  โมดูล ZDIMM จะทำงานผ่านการประมวลผลหน้าจอที่จำลองสภาวะโลกจริง ซึ่งเป็นการรับรองถึงความทนทานและความสามารถในการกลับคืนสู่การทำงานปกติของโมดูล ZDIMM สำหรับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องการสมรรถนะสูง

“จำนวนของเสียต่อการผลิตหนึ่งล้านชิ้น หรือ DPPM ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับโมดูล DRAM อยู่ในช่วง 3,000 ถึง 5,000 ชิ้น สำหรับโมดูล Zefr ZDIMM จะมี DPPM อยู่ในช่วง 200 ถึง 300 ชิ้น ประสิทธิภาพความน่าเชื่อถือสูงพิเศษนี้มีค่ามากต่อสภาพแวดล้อมที่การประมวลผลข้อมูลมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด โดยช่วงเวลาที่ระบบทำงานมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดและค่าความเสียหายจากช่วงเวลาที่ระบบขัดข้องสามารถเพิ่มขึ้นสูงได้อย่างรวดเร็ว” Tom Quinn รองประธานอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ SMART กล่าว

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน่วยความจำ Zefr ZDIMM ของ SMART โปรดดูที่ DDR4 ZDIMM และ DDR5 ZDIMM ดูที่ smartm.com หรือติดต่อ info@smartm.com

Zefr, ZDIMM, รูปแบบอักษร “S” และ “SMART” รวมถึง “SMART Modular Technologies” เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ SMART Modular Technologies, Inc. เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนอื่น ทั้งหมดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองเครื่องหมายนั้น

เกี่ยวกับ SMART Modular Technologies

เป็นเวลามากกว่า 30 ปีที่ SMART Modular Technologies ช่วยให้ลูกค้าจากทั่วโลกได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงผ่านการออกแบบ การพัฒนา และการนำเทคโนโลยี advanced packaging มาใช้ในโซลูชันอุปกรณ์หน่วยความจำที่ใช้ความชำนาญพิเศษ ผลงานอันโดดเด่นของเรามีตั้งแต่เทคโนโลยีชั้นนำที่ทันสมัย ไปจนถึงผลิตภัณฑ์หน่วยความจำแฟลชและ DRAM ที่มีมาก่อนหน้า เราให้บริการโซลูชันสำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลและหน่วยความจำที่ได้มาตรฐาน ทนทานและสามารถปรับให้เหมาะสมได้ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการการใช้งานที่หลากหลายในตลาดที่มีการเติบโตสูงได้

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/53915134/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ติดต่อฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์
Arthur Sainio
Director, DRAM Product Marketing
SMART Modular Technologies
39870 Eureka Dr., Newark, CA 94583
+1 (510) 364-3647
info@smartm.com

ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์
John Crook
Sr. Marketing Communications Specialist
SMART Modular Technologies
John.Crook@smartm.com

ที่มา: SMART Modular Technologies, Inc.

MidOcean Energy ของ EIG ประกาศการลงทุนเชิงกลยุทธ์จาก Mitsubishi Corporation

Logo

Anchor Investment ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การเติบโตของ MidOcean

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–02 เมษายน 2024

MidOcean Energy (“MidOcean”) เป็นบริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระดับโลกที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ได้ประกาศการลงทุนเชิงกลยุทธ์โดย Mitsubishi Corporation (“Mitsubishi Corp”) ในวันนี้ การลงทุนของ Mitsubishi Corp จะช่วยเร่งกลยุทธ์ของ MidOcean เพื่อสร้างบริษัท LNG บูรณาการระดับโลกที่มี ‘pure play’ คุณภาพสูง อีกทั้งมีความหลากหลาย

Mitsubishi Corp มีบทบาทอย่างแข็งขันในภาคส่วน LNG มานานกว่า 50 ปี โดยมีการลงทุนครอบคลุมถึง 12 โครงการใน 8 ประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทที่มีต่อ LNG และบทบาทของบริษัทในฐานะผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน Mitsubishi Corp มีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจเพื่อบรรลุสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ขณะเดียวกันก็ตอบสนองความรับผิดชอบในฐานะซัพพลายเออร์พลังงานที่มั่นคง และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าอีกด้วย

การลงทุนครั้งนี้ทำให้ฐานนักลงทุนระดับบลูชิพของ MidOcean ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และต่อยอดจากแรงผลักดันที่สำคัญของ MidOcean นับตั้งแต่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2022 เมื่อไม่นานมานี้ MidOcean ได้ประกาศปิดการเข้าซื้อหลักทรัพย์โครงการ LNG ของออสเตรเลียจาก Tokyo Gas

De la Rey Venter ซีอีโอของ MidOcean Energy กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ Mitsubishi Corp จะเข้าร่วมในฐานะนักลงทุนหลักใน MidOcean Energy ซึ่ง Mitsubishi Corp เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรม LNG ระดับโลก และได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและการมองการณ์ไกลในการระบุโอกาสอันมีค่าอย่างต่อเนื่อง การลงทุนของพวกเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่งของตลาด LNG และกลยุทธ์ของ MidOcean ในการสร้างแพลตฟอร์มการเติบโตในระยะยาวที่สามารถแข่งขันได้สำหรับนักลงทุน”

R. Blair Thomas ประธานและซีอีโอของ EIG กล่าวว่า “การต้อนรับบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง Mitsubishi Corp ในฐานะนักลงทุนหลักและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ช่วยเร่งความก้าวหน้าของ MidOcean ในการสร้างบริษัท LNG ระดับโลกขนาดใหญ่และบริสุทธิ์ ความต้องการในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานของโลกมีส่วนทำให้ความต้องการ LNG ทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว และเราหวังว่าจะได้ดำเนินการต่อไปตามโอกาสที่น่าสนใจและสำคัญนี้ร่วมไปกับนักลงทุนและพันธมิตรของเรา”

เกี่ยวกับ EIG
EIG คือนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยมีมูลค่าภายใต้การบริหาร $22.9 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2023 โดย EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 41 ปี EIG ได้ทุ่มเงินกว่า $47.1 พันล้านดอลลาร์ให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทมากกว่า 405 แห่งใน 42 ประเทศใน 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยสำนักแผนบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งชั้นนำหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีสำนักงานอยู่ในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ MidOcean Energy
MidOcean Energy ซึ่งเป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งมั่นที่จะสร้างหลักทรัพย์ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย มีความยืดหยุ่น มีต้นทุนและคาร์บอนที่แข่งขันได้ โดยสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะทรัพยากรพลังงานเชิงกลยุทธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นำโดย De la Rey Venter ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมมา 26 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึง Global Head of LNG ของ Shell Plc

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เกี่ยวกับ Mitsubishi Corporation
Mitsubishi Corp ดำเนินธุรกิจที่หลากหลายครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมและดูแลโดยกลุ่มธุรกิจเฉพาะอุตสาหกรรม 8 กลุ่ม ได้แก่ พลังงานสิ่งแวดล้อม โซลูชันวัสดุ ทรัพยากรแร่ การพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน การเคลื่อนย้าย อุตสาหกรรมอาหาร การสร้างชีวิตอัจฉริยะ (Smart-Life) และโซลูชันพลังงาน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัท Mitsubishi Corporation ได้ที่ www.mitsubishicorp.com/jp/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

แหล่งที่มา: EIG

Black & Veatch ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสกัดไฮโดรเจนธรรมชาติในออสเตรเลีย

Logo

ผู้นำด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างระดับโลกจะเป็นผู้จัดทำแนวความคิดในการออกแบบสำหรับโครงการไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติของ H2EX

เมลเบิร์น ออสเตรเลีย–(BUSINESS WIRE)–01 เมษายน 2024

Black & Veatch ผู้นำระดับโลกในด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานสำคัญจะดำเนินการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสำรวจหาและการสกัดไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติในออสเตรเลีย

การศึกษาเพื่อการพัฒนานี้เป็นข้อตกลงว่าด้วยบริการด้านวิศวกรรมระหว่างบริษัทไฮโดรเจนธรรมชาติของออสเตรเลียอย่าง H2EX Limited ซึ่งเป็นผู้นำในการสำรวจหาไฮโดรเจนที่มีอยู่ตามธรรมชาติกับ Black & Veatch การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางออสเตรเลียที่ดำเนินการโดย H2EX

ไฮโดรเจนธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าไฮโดรเจนสีทองหรือไฮโดรเจนสีขาว หมายถึง ไฮโดรเจนที่พบอยู่ในรูปแบบแก๊สธรรมชาติที่เกิดอยู่อย่างอิสระ

“ความพยายามดำเนินการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในเอเชียแปซิฟิกจัดว่ามีความสำคัญในอันดับต้น ๆ สำหรับ Black & Veatch ซึ่งรวมถึงการสกัดไฮโดรเจนธรรมชาติที่อาจเป็นแหล่งพลังงานสะอาดของภูมิภาคนี้” กล่าวโดย Yatin Premchand ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการด้านการเติบโตเชิงกลยุทธ์ ฝ่ายที่ปรึกษาระดับสากลของ Black & Veatch

Yatin Premchand ยังระบุเพิ่มว่า “Black & Veatch มีประสบการณ์กว่า 80 ปีในการปฏิบัติงานด้านการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียในหลายอุตสาหกรรม ทางบริษัทได้จัดทำโครงการแปลงการผลิตพลังงานไฮโดรเจนโครงการแรกและเปิดใช้สถานีเติมไฮโดรเจนแห่งใหญ่แห่งแรกในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้เชี่ยวชาญของเราก็นำเสนอนวัตกรรมที่เชื่อถือได้และโซลูชันที่คิดค้นขึ้นมาใหม่เป็นแห่งแรกมาอย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ด้านไฮโดรเจน”

ไฮโดรเจนมีศักยภาพในการลดและทดแทนการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการจัดเก็บพลังงานระยะยาว การทำความร้อน การขนส่ง และการผลิตสารเคมีสีเขียวและปุ๋ย นอกจากนี้ ไฮโดรเจนยังสามารถนำไปเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียสีเขียว ซึ่งจะผลิตขึ้นโดยใช้พลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซ็นต์โดยปราศจากการปล่อยคาร์บอน

มีการนำฮีเลียมไปใช้งานในด้านกลาโหม การแพทย์ การผลิต และการนำพลังงานไปใช้ รวมถึงเครื่องตรวจสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI) และการผลิตสายไฟเบอร์ออฟติก

Black & Veatch จะดำเนินการจัดทำแนวความคิดในการออกแบบ 2 รายการสำหรับใบอนุญาต PEL 691 ในการสำรวจของ H2EX ที่คาบสมุทรEyre ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อการพัฒนานี้ แนวความคิดในการออกแบบรายการหนึ่งจะจัดทำขึ้นสำหรับการขุดเจาะและการดำเนินการกับบ่อสำรวจจนเสร็จสมบูรณ์ ส่วนแนวคิดในการออกแบบอีกรายการจะจัดทำขึ้นเพื่ออาคารสถานที่บนพื้นผิวสำหรับกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ การแปรรูป และการนำส่งไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติ รวมถึงการผลิตพร้อมกันของทรัพยากรในกรณีที่พบร่วมกัน

“เรารู้สึกยินดีที่จะร่วมมือกับบริษัทบริการด้านวิศวกรรมระดับโลกที่เป็นที่รู้จักด้านเทคโนโลยีและมีประสบการณ์อย่าง Black & Veatch การศึกษาเพื่อการพัฒนาครั้งนี้จะช่วยให้ H2EX เร่งดำเนินการกับบ่อสำรวจ และแผนการพัฒนาครั้งแรกของเราได้ ซึ่งหากประสบความสำเร็จได้ ไฮโดรเจนจะกลายเป็นแหล่งพลังงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับการผลิตพลังงานและการขนส่งในคาบสมุทรEyre” กล่าวโดย Mark Hanna ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO และกรรมการผู้จัดการของ H2EX

Mark Hanna ระบุเพิ่มว่า “ไฮโดรเจนธรรมชาติจะช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในภูมิภาคนี้ที่ใช้เชื้อเพลิงเหลวเป็นหลักสำหรับพลังงานและการขนส่ง ฮีเลียมก็เป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงและขาดแคลน การขุดเจาะเมื่อเร็ว ๆ นี้ในเซาท์ออสเตรเลียยังพบฮีเลียมที่มีความเข้มข้นสูงด้วย”

Black & Veatch จะวิเคราะห์หลักปฏิบัติของอุตสาหกรรมแก๊สในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานดั้งเดิมสำหรับการขุดเจาะบ่อและการสกัด จากนั้นจึงระบุข้อควรพิจารณาที่สำคัญเพื่อปรับใช้หลักปฏิบัติเหล่านี้สำหรับไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติ

การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโซลูชันการสกัดจะเป็นแนวทางในการขุดเจาะและสกัดไฮโดรเจนโดยใช้ต้นทุนต่ำที่สุด ซึ่งอาจถูกลงถึง 75 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับกาผลิตไฮโดรเจน

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือการเปิดโอกาศให้ประเทศออสเตรเลียเป็นผู้นำในภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมสร้างโอกาสภายในประเทศและโอกาสในการส่งออกโดยยังคงรักษาความเป็นผู้นำในการแข่งขันและความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและวิศวกรรมของประเทศ

การศึกษานี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนบางส่วนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของออสเตรเลียผ่านโครงการริเริ่มให้เงินอุดหนุนรอบที่ 14 สำหรับโครงการคณะกรรมการศึกษาวิจัยร่วม (Cooperative Research Council Project หรือ CRC-P) โดยเงินอุดหนุนของ CRC-P จะให้การสนับสนุนการร่วมมือศึกษาวิจัยตามอุตสาหกรรมในระยะสั้น ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจะดำเนินการศึกษาเสร็จสิ้นภายในกลางปี 2024

รัฐบาลออสเตรเลียลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (332 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาศูนย์รวมไฮโดรเจนในภูมิภาคออสเตรเลีย โครงการศูนย์รวมไฮโดรเจนภูมิภาค (Regional Hydrogen Hub) เป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนมูลค่า 40 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อปฏิรูปประเทศให้เป็นมหาอำนาจในการผลิตและนวัตกรรมพลังงานสีเขียว

ติดต่อ Black & Veatch เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม การจัดหา การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับสากลที่พนักงานเป็นผู้ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยให้ลูกค้าของเรายกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยอาศัยความยืดหยุ่นในการฟื้นตัวและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราบน www.bv.com และโซเชียลมีเดีย

เกี่ยวกับ H2EX

H2EX Limited เป็นบริษัทไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติ โดย H2EX นั้นจะดำเนินการค้นหาและสูบไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติตามใบอนุญาต PEL 691 ในการสำรวจหาทรัพยากรของบริษัท (~6,000 ตร.ม. กิโลเมตร) ในเซาท์ออสเตรเลีย H2EX จะพัฒนาและดำเนินการศึกษาวิจัยในหัวข้อที่ยังไม่มีผู้ใดศึกษา รวมถึงดำเนินกิจกรรมสำรวจในพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้ H2EX มีการยื่นสำรวจเพิ่มเติมอีก 52,000 ตารางกิโลเมตร รวมถึงในเซาท์ออสเตรเลีย ติดตามเราบน www.h2ex.com.au และ H2EX Ltd: Overview | LinkedIn

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผู้ติดต่อ

Black & Veatch:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 สำนักงาน | +65 9875 8907 มือถือ | Chialp@bv.com
อีเมลสำหรับสื่อตลอด 24 ชั่วโมง | Media@bv.com

H2EX Limited:
Greschen Brecker | CFO & ผู้อำนวยการ | +61 433 133 417 มือถือ | greschen.brecker@h2ex.com.au

แหล่งที่มา: Black & Veatch