Category Archives: Finance

FalconX ระดมทุน 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังรายได้เติบโต 30 เท่าจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 3.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Logo

การระดมทุนรอบ Series C นำโดย Altimeter Capital, B Capital Group, Sapphire Ventures และ Tiger Global Management และยังมีการเข้าร่วมจาก Amex Ventures และ Mirae Asset

ซานฟรานซิสโก–(BUSINESS WIRE)–10 สิงหาคม 2564

FalconX บริษัทผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและบริการด้านการเงินสำหรับสกุลเงินดิจิทัลซึ่งเกี่ยวกับการซื้อขายระดับสถาบัน การให้เครดิต และการหักบัญชีผ่านสกุลเงินดิจิทัลชื่อดัง ประกาศระดมทุนรอบ Series C มูลค่า 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทำให้มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 3.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การระดมทุนในรอบนี้นำโดย Altimeter Capital, Sapphire Ventures รวมถึง B Capital Group และ Tiger Global Management ซึ่งเป็นผู้ลงทุนปัจจุบัน และยังมี Mirae Asset เข้าร่วมด้วย รวมถึง Amex Ventures ที่ได้เพิ่มเงินลงทุนจากเดิมในรอบนี้ โดยทั้งหมดได้เข้าร่วมกับผู้ลงทุนรายปัจจุบันอย่าง Accel, Accomplice VC, Coinbase Ventures, CMT Digital, Flybridge Capital Partners, Lightspeed Venture Partners และ Avon Ventures กองทุนร่วมลงทุนในเครือของ FMR LLC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Fidelity Investments

ภายในเวลาเพียง 3 ปี FalconX ได้กลายมาเป็นหนึ่งในบริษัทด้านเงินดิจิทัลระดับสถาบันที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก ซึ่งขับเคลื่อนด้วยค่า unit economics ที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการทำกำไร และการเติบโตของรายได้จากสายงานต่าง ๆ ของธุรกิจ FalconX นำเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องมาใช้เพื่อให้คู่ค้าแต่ละรายเข้าถึงสภาพคล่องของสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลก พร้อมเวลาใช้งานผ่านอินเทอร์เฟสของเว็บหรือ API เกินกว่า 99.9% และบริการซื้อขายระดับมืออาชีพตลอด 24 ชั่วโมง 365 วันไม่เว้นวันหยุด ธุรกิจด้านเครดิตของบริษัทยังช่วยให้สถาบันสามารถเข้าถึงแหล่งลงทุนระยะสั้นเพื่อการซื้อขาย ซึ่งเป็นการลดช่องว่างระหว่างสินเชื่อระยะยาวและตลาดอนุพันธ์สำหรับสถาบันที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของงบดุลด้วยวิธีที่มีความยืดหยุ่น FalconX มีแผนที่จะเปิดตัวข้อเสนอใหม่ ๆ อย่างเป็นทางการสำหรับผลิตภัณฑ์หลากหลายรายการในเดือนที่กำลังจะมาถึงนี้ ซึ่งผลิตภัณฑ์แต่ละรายการอยู่ในตลาดแล้วตอนนี้ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วและสร้างผลกำไรให้กับบริษัท

Raghu Yarlagadda ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง FalconX กล่าวว่า “FalconX คือผู้ให้บริการแบบครบวงจรที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่อยู่ในแวดวงตลาดเงินดิจิทัลระดับสถาบันชั้นนำของโลก โดยเป็นผู้มอบเทคโนโลยี ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในวงกว้าง การได้ให้บริการผู้ลงทุนชั้นนำของโลกพาเราก้าวสู่ความเป็นแนวหน้าของแนวโน้มต่าง ๆ ที่สำคัญ ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงบริการทางด้านการเงินตั้งแต่ระดับพื้นฐาน หากบริษัทอย่าง Google หรือ Amazon ไม่ได้ทำงานเพียงแค่ 5 วันต่อสัปดาห์ บริการทางการเงินก็ควรให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นจากทั่วโลกอย่างแท้จริง เทคโนโลยีบล็อกเชนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งนี้สามารถเป็นไปได้ และ FalconX ก็ตื่นเต้นที่ได้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนั้น”

การเติบโตของ FalconX นั้นขับเคลื่อนโดยความต้องการจากผู้ที่อยู่ในตลาดระดับสถาบันกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยบรรดาสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของโลก กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ผู้จัดการสินทรัพย์ บริษัทร่วมลงทุน ผู้ให้บริการระบบชำระเงินและแอปพลิเคชันสำหรับการลงทุน ทั้งนี้เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ด้านสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถออกแบบได้เอง มีความปลอดภัย และเชื่อถือได้ FalconX จะนำเงินจากการระดมทุนในรอบ Series C มาขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ เสาะหาการเข้าซื้อใหม่ ๆ อย่างมีกลยุทธ์ และเดินหน้าสรรหาผู้ที่มีความสามารถจากทั่วโลกให้มาร่วมงาน ซึ่งจะรวมถึงผู้บริหารในตำแหน่งที่สำคัญ ๆ โดยจะต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านตลาดการเงินแบบดั้งเดิม สินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีรวมกัน

บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับการระดมทุน:

“FalconX วางตำแหน่งของบริษัทไว้อย่างชัดเจนในฐานะบริษัทชั้นนำด้านสกุลเงินดิจิทัลระดับสถาบัน เรามีความตื่นเต้นที่ได้สนับสนุนผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ความซื้อง่ายขายคล่องของผลิตภัณฑ์และความรวดเร็วในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ของ FalconX นั้นน่าประทับใจและเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของการเงินและโครงสร้างพื้นฐานของตลาดเงินดิจิทัล” – Brad Gerstner ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Altimeter Capital

“เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มระดับเดียวกันแล้ว FalconX ถูกมองให้เป็นแพลตฟอร์มเงินดิจิทัลระดับสถาบันที่ดีที่สุดซึ่งช่วยให้การซื้อขายเงินดิจิทัลมูลค่าหลายพันล้านต่อเดือนเป็นเรื่องง่าย เรามักได้ยินลูกค้าที่เป็นกลุ่มสถาบันกล่าวชื่นชม FalconX อยู่บ่อย ๆ ถึงความน่าเชื่อถือซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้และการเป็นแพลตฟอร์มที่มีโครงสร้างการบริการแบบครบวงจรสำหรับตอบสนองทุกความต้องการด้านการซื้อขายเงินดิจิทัลในระยะยาว เราตื่นเต้นที่ได้เป็นพันธมิตรกับทีมของ FalconX เพื่อสร้างแพลตฟอร์มซึ่งเกิดขึ้นจริงแล้วและขับเคลื่อนการค้นหาใหม่ ๆ การแลกเปลี่ยน และการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลไปทั่วโลก” – Rashmi Gopinath ผู้ลงทุนประเภท General Partner ของ B Capital Group

“FalconX สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่แข็งแกร่งไปพร้อมกับการสร้างทีมงานระดับโลก และยังนำผู้ที่มีความสามารถจากซิลิคอนวัลเลย์ ตลาดการเงินแบบดั้งเดิม และระบบนิเวศของบล็อกเชนมารวมกันไว้ที่เดียวได้อย่างไม่เหมือนใคร ทำให้สามารถร่วมกับลูกค้าสร้างสรรค์กลยุทธ์ที่เหนือคู่แข่งและส่งมอบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเติบโตได้” – Rajeev Dham หุ้นส่วนของ Sapphire Ventures

“ขณะที่นักลงทุนระดับสถาบันเดินหน้าเข้าสู่ตลาดสกุลเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง FalconX ก็ได้ขยายธุรกิจและไลน์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด เราตื่นเต้นที่ได้เพิ่มทุนให้กับแพลตฟอร์มชั้นนำซึ่งมีความครบวงจรทั้งบริการซื้อขาย ให้เครดิต และหักบัญชีสำหรับลูกค้าสถาบันแพลตฟอร์มนี้” – Scott Shleifer หุ้นส่วนของ Tiger Global Management

เกี่ยวกับ FalconX

FalconX คือแพลตฟอร์มด้านการเงินสำหรับสกุลเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลแบบครบวงจรที่จะช่วยให้การซื้อขาย การให้เครดิต และการหักบัญชีเป็นเรื่องง่ายสำหรับลูกค้ากลุ่มสถาบัน บริษัทได้รับการสนับสนุนโดย Accel, Accomplice VC, Altimeter Capital, B Capital Group, American Express Ventures, CMT Digital, Coinbase Ventures, Flybridge Capital Partners, Lightspeed Venture Partners, Mirae Asset, Sapphire Ventures, Tiger Global Management และ Avon Ventures กองทุนร่วมลงทุนในเครือของ FMR LLC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Fidelity Investments สำนักงานของ FalconX ตั้งอยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ ชิคาโก เบงกาลูรู และมอลตา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ falconx.io

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210810005701/en/

ติดต่อ:

FalconX
Kelsey Williams
falconx@strangebrewstrategies.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Riskified Ltd. ประกาศกำหนดราคาเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–29 กรกฎาคม 2564

Riskified Ltd. (“Riskified”) แพลตฟอร์มการจัดการการฉ้อโกงที่มอบประสบการณ์การเปิดใช้งานอีคอมเมิร์ซที่ลื่นไหล ประกาศราคาการเสนอขายหุ้นครั้งแรกแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 17,500,000 หุ้นสามัญ Class A ในราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปที่ 21.00 ดอลลาร์ต่อหุ้นสามัญ Class A การเสนอขายประกอบด้วยหุ้นสามัญ Class A จำนวน 17,300,000 หุ้นที่เสนอขายโดย Riskified และหุ้นสามัญ Class A จำนวน 200,000 หุ้นเพื่อจำหน่ายโดยผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่งของ Riskified ซึ่ง Riskified จะไม่ได้รับเงินจากการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นที่ขายหุ้น ผู้จัดการการจัดจำหน่ายจะมีสัญญาอนุพันธ์เป็นเวลา 30 วันในการซื้อหุ้นสามัญ Class A เพิ่มเติมสูงสุดจำนวน 2,625,000 หุ้นจาก Riskified ในราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก โดยหักส่วนลดการรับประกันและค่าคอมมิชชั่น หุ้นสามัญ Class A คาดว่าจะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ภายใต้สัญลักษณ์ “RSKD”

การปิดการเสนอขายคาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 ขึ้นอยู่กับความพอใจของเงื่อนไขการปิดตามธรรมเนียม

Goldman Sachs & Co. LLC, J.P. Morgan Securities LLC และ Credit Suisse Securities (USA) LLC ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้จัดการด้านธุรกรรมสำหรับการเสนอขายครั้งนี้ โดย Barclays Capital Inc., KeyBanc Capital Markets Inc., Piper Sandler & Co., Truist Securities, Inc. และ William Blair & Company, L.L.C. เป็นผู้จัดการร่วมดำเนินการจัดทำรายการเสนอขาย Loop Capital Markets LLC, Samuel A. Ramirez & Company, Inc., Siebert Williams Shank & Co., LLC และ Stern Brothers & Co. ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการร่วมสำหรับการเสนอขาย

การเสนอขายจะทำโดยใช้หนังสือชี้ชวนเท่านั้น กรุณารับสำเนาหนังสือชี้ชวนขั้นสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายได้จาก Goldman Sachs & Co. LLC, Attn: Prospectus Department, 200 West Street, New York, New York, 10282 ทางอีเมลที่ prospectus-ny@ny.email.gs.com หรือทางโทรศัพท์ที่ 866-471-2526; J.P. Morgan Securities LLC, Attn: Broadridge Financial Solutions, 1155 Long Island Avenue, Edgewood, New York, 11717 ทางอีเมลที่ Prospectus-eq_fi@jpmorgan.com หรือทางโทรศัพท์ที่ 1-866-803-9204 และ Credit Suisse Securities (USA) LLC, Attn: Prospectus Department, One Madison Avenue, New York, New York, 10010 ทางอีเมลที่ newyork.prospectus@credit-suisse.com หรือทางโทรศัพท์ที่หมายเลข 800-221-1037

ได้มีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการจดทะเบียนในแบบฟอร์ม F-1 ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์เหล่านี้ และมีผลบังคับใช้แล้วโดยสำนักงาน ก.ล.ต. ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ไม่ถือเป็นการเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อหลักทรัพย์เหล่านี้ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์เหล่านี้ในรัฐหรือเขตอำนาจศาลใดๆ ตามข้อเสนอ การชักชวน หรือการขายดังกล่าวจะไม่ชอบด้วยกฎหมายก่อนการลงทะเบียนหรือคุณสมบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐหรือเขตอำนาจศาลดังกล่าว

เกี่ยวกับ Riskified

Riskified ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มศักยภาพของอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มที่โดยเพิ่มความปลอดภัย เข้าถึงได้ และความลื่นไหล Riskified ได้สร้างแพลตฟอร์มการจัดการความเสี่ยงอีคอมเมิร์ซยุคหน้าที่ช่วยให้ผู้ค้าออนไลน์สร้างความสัมพันธ์ที่เชื่อถือได้กับผู้บริโภคของพวกเขา แพลตฟอร์มของ Riskified ใช้ประโยชน์จากการทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยได้ประโยชน์จากเครือข่ายผู้ค้าทั่วโลกเพื่อระบุบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการโต้ตอบออนไลน์ในแต่ละครั้ง ช่วยให้ผู้ค้า—ลูกค้าของ Riskified สามารถขจัดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากธุรกิจของพวกเขา Riskified ช่วยเพิ่มยอดขายและลดการฉ้อโกงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ สำหรับผู้ค้า และมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าแก่ผู้บริโภค เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของผู้ค้าก่อนที่จะเริ่มดำเนินการของ Riskified

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210728006106/en/

ติดต่อ:

นักลงทุนสัมพันธ์:
Chris Mammone, The Blueshirt Group for Riskified
ir@riskified.com

การสื่อสารองค์กร:
Rowena Kelley
press@riskified.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Ripple เปิดตัวบริการ On-Demand Liquidity ร่วมกับ SBI Remit เพื่อเร่งสร้างการเติบโตของระบบชำระเงินข้ามพรมแดนจากญี่ปุ่น

Logo

Ripple เปิดตัวบริการ On-Demand Liquidity ร่วมกับ SBI Remit เพื่อเร่งสร้างการเติบโตของระบบชำระเงินข้ามพรมแดนจากญี่ปุ่น

การเข้าเป็นพันธมิตรกับ Coins.ph และ SBI VC Trade จะช่วยให้ SBI Remit สามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าด้วยบริการโอนเงินที่เร็วขึ้นในราคาที่ถูกกว่า โดยจะเริ่มจากประเทศฟิลิปปินส์เป็นที่แรก

ซานฟรานซิสโก & โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–28 กรกฎาคม 2564

Ripple ผู้ให้บริการชั้นนำด้านบล็อกเชนสำหรับธุรกิจและโซลูชันเงินดิจิทัลสำหรับการชำระเงินทั่วโลก วันนี้ ได้ประกาศเปิดตัวบริการ On-Demand Liquidity (ODL) ของ Ripplenet แบบเรียลไทม์เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น โดยร่วมกับ SBI Remit Co., Ltd ผู้ให้บริการโอนเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และหนึ่งในผู้ให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลชั้นนำในฟิลิปปินส์อย่าง Coins.ph

การขยายความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ SBI Remit เชื่อมต่อกับ Coins.ph และ SBI VC Trade ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลบน RippleNet เพื่อให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนจากญี่ปุ่นไปยังฟิลิปปินส์ที่รวดเร็วมากขึ้นและในราคาที่เอื้อมถึงง่ายขึ้น หลังการมาถึงของบริการ ODL ในญี่ปุ่น ลูกค้าของ RippleNet จะสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัล XRP ในการลดความจำเป็นในการวางเงินล่วงหน้า (pre-funding) และช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการ ซึ่งเป็นการปลดล็อคเงินทุนและเร่งให้เกิดการขยายธุรกิจรับชำระเงินของลูกค้า

Asheesh Birla ผู้จัดการทั่วไปของ RippleNet แห่ง Ripple กล่าวว่า “การขยายความร่วมมือของเรากับ SBI Remit เพื่อเริ่มให้บริการ ODL ของ RippleNet ในญี่ปุ่น เป็นอีกก้าวความสำเร็จครั้งสำคัญในหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเรา หากพูดถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า SBI Remit คือผู้นำทางด้านนี้มาตลอด เราตื่นเต้นที่ได้เป็นพันธมิตรกับบริษัทที่มีวิสัยทัศน์อย่าง SBI ที่มองเห็นคุณค่าในเทคโนโลยีบล็อกเชน และได้สนับสนุนพวกเขาในการเตรียมความพร้อมสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยสกุลเงินดิจิทัล”

แนวโน้มการเติบโตของแรงงานต่างชาติในระยะยาวและธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศในญี่ปุ่นคาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้มีการโอนเงินที่มียอดไม่สูงแต่จำนวนครั้งถี่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน ประชากรฟิลิปปินส์พลัดถิ่นในญี่ปุ่นนั้นมีจำนวนมากสูงสุดเป็นอันดับสาม เฉพาะในปี 2563 มีการโอนเงินจากญี่ปุ่นไปยังฟิลิปปินส์โดยแรงงานชาวฟิลิปปินส์ในต่างประเทศรวมราว 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกเหนือจากนั้น ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าธรรมเนียมในการชำระเงินระหว่างประเทศสูงที่สุดของโลก โดยข้อมูลจากธนาคารโลกเผยว่าการส่งเงินจากญี่ปุ่นจะมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 10.5% ขณะที่ต้นทุนเฉลี่ยในการส่งเงินจากกลุ่มประเทศ G8 อยู่ที่ 5.92%

Nobuo Ando ประธานกรรมการแห่ง SBI Remit กล่าวว่า “เรามองเห็นศักยภาพอันมหาศาลในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อพลิกโฉมไม่เพียงเฉพาะวิธีการทำธุรกรรมชำระเงิน แต่ยังรวมถึงวิธีบริหารจัดการธุรกิจโดยการปลดล็อคเงินทุนที่จมอยู่ การเปิดตัวบริการ ODL ในญี่ปุ่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และเราตั้งตารอที่จะได้สานต่อการผลักดันไปสู่อีกระดับของนวัตกรรมการเงินที่เหนือกว่าการชำระเงินแบบเรียลไทม์เฉพาะในฟิลิปปินส์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย”

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างมากและเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยโอกาสมากมายสำหรับ RippleNet สืบเนื่องจากระเบียบข้อบังคับที่ก้าวหน้าและบริษัทที่มีความก้าวล้ำเช่น SBI Remit ซึ่งตั้งเป้าขึ้นแท่นผู้นำอุตสาหกรรมเงินดิจิทัล เอเชียแปซิฟิกเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดสำหรับ Ripple โดยมีการทำธุรกรรมเติบโต 130% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับความร่วมมือในระยะถัดไป SBI Remit จะเชื่อมต่อกับพันธมิตรรายอื่น ๆ ของ RippleNet และใช้ XRP เพื่อเร่งสร้างธุรกิจรับชำระเงินประสิทธิภาพสูงให้กับพวกเขาต่อไป

Nauman Mustafa ซีอีโอของ Coins.ph กล่าวว่า “นวัตกรรมฟินเทคเป็นกุญแจที่จะนำไปสู่การทำธุรกรรมทางการเงินที่รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีความปลอดภัยมากขึ้น ด้วยการสนับสนุนจาก SBI Remit และ Ripple เราหวังที่จะได้สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นให้กับลูกค้าด้วยบริการชำระเงินระหว่างญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ที่มีความรวดเร็วยิ่งกว่าในราคาที่ถูกลง พร้อมก้าวสู่การปฏิวัติระบบการเงินไปอีกขั้น”

ขณะที่มีธุรกิจจำนวนมากขึ้นต้องการผสานบริการที่รองรับเงินดิจิทัลเข้ากับผลิตภัณฑ์ของตน SBI Remit จึงจะร่วมกับลูกค้า ODL ปัจจุบันในเอเชียแปซิฟิก เช่น Novatti และ Tranglo และเข้าไปมีบทบาทสำคัญบน RippleNet ในรูปแบบ fiat ทั้งแบบ on ramp และ off-ramp โดย SBI Holdings เป็นผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้นของ Ripple

เกี่ยวกับ Ripple

Ripple ช่วยให้ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงบริการชำระเงินได้ทุกที่ ทุกช่องทาง โดยใช้พลังของคริปโตและบล็อกเชน การเข้าร่วมเครือข่ายที่มีอยู่ทั่วโลก (RippleNet) ซึ่งกำลังเติบโตของ Ripple ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถดำเนินการการชำระเงินของลูกค้าได้ทันทีจากทุกที่ในโลกด้วยความน่าเชื่อถือและความคุ้มค่า ธนาคารและผู้ให้บริการชำระเงินสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัล XRP เพื่อลดต้นทุนและเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ และด้วยสำนักงานทีมีอยู่ทั้งในซานฟรานซิสโก วอชิงตันดีซี นิวยอร์ก ลอนดอน มุมไบ สิงคโปร์ เซาเปาโล เรคยาวิก และดูไบ Ripple จึงมีลูกค้าหลายร้อยรายทั่วโลก

เกี่ยวกับ SBI Remit

SBI Remit ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือของ SBI FinTech Solutions เป็นหนึ่งในบริษัทที่ให้บริการโอนเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศด้วยความปลอดภัย สะดวก และง่ายดาย สามารถทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้ภายใน 10 นาที เมื่อสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม ปี 2563 มียอดการโอนเงินรวมสูงกว่า 1 ล้านล้านเยน

เกี่ยวกับ Coins.ph

พันธกิจของ Coins.ph คือการพัฒนาบริการทางการเงินที่ให้ใคร ๆ สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายผ่านทางโทรศัพท์มือถือแม้ไม่มีบัญชีธนาคาร ด้วยบริการจาก Coins.ph ลูกค้าสามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ให้พวกเขาใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ อย่างเช่นการส่งและรับเงิน การชำระบิลออนไลน์ การซื้อ air-time สำหรับมือถือ การใช้งานจากผู้ให้บริการด้านการขนส่ง และสกุลเงินดิจิทัล Coins.ph อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Bangko Sentral ng Pilipinas (BSP) และเป็นบริษัทด้านบล็อกเชนเพียงแห่งเดียวในเอเชียที่ได้รับทั้งใบอนุญาต Virtual Currency และ Electronic Money Issuer จากธนาคารกลาง

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210727006246/en/

Sheryl Tham
press@ripple.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Regencell Bioscience Holdings Limited ประกาศราคาเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทให้กับนักลงทุนประมาณ 21.9 ล้านดอลลาร์

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–16 กรกฎาคม 2564

Regencell Bioscience Holdings Limited (NASDAQ:RGC) (“Regencell” หรือ “บริษัท”) ซึ่งเป็นบริษัทชีววิทยาศาสตร์ระยะเริ่มต้นที่มุ่งเน้นการวิจัย พัฒนา และการค้าของแพทย์แผนจีน (“TCM”) สำหรับการรักษาความผิดปกติและความเสื่อมของระบบประสาท โดยเฉพาะโรคสมาธิสั้น Attention Deficit Hyperactivity Disorder (“ADHD”) และโรคออทิสติก Autism Spectrum Disorder (“ASD”) ประกาศราคาการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (“การเสนอขาย”) จำนวน 2,300,000 หุ้น ในราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป 9.50 ดอลลาร์ต่อหุ้นสามัญ โดยหุ้นสามัญได้รับการอนุมัติให้เข้าจดทะเบียนในตลาดทุนของ Nasdaq และคาดว่าจะเริ่มซื้อขายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ภายใต้สัญลักษณ์ “RGC”

Regencell คาดว่าจะได้รับรายได้รวมประมาณ 21.9 ล้านดอลลาร์จากการเสนอขายนี้ ก่อนที่จะหักส่วนลดการรับประกันภัยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้บริษัทได้ให้สิทธิผู้รับประกันการจัดจำหน่ายในการซื้อหุ้นสามัญโดยเพิ่มทุนจำนวน 345,000 หุ้นในราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปได้ภายใน 45 วัน หักด้วยส่วนลดการรับประกันภัย การเสนอขายนี้คาดว่าจะปิดในหรือประมาณวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเงื่อนไขการปิดตามธรรมเนียม

เงินที่ได้จากการเสนอขายนี้จะนำไปใช้เป็นทุนในการศึกษาวิจัยครั้งที่สอง สูตรและผลิตภัณฑ์ TCM ของบริษัท เงินเดือนพนักงาน การเช่าสิ่งอำนวยความสะดวก การปรับปรุงและอุปกรณ์ การจดทะเบียนผลิตภัณฑ์และทรัพย์สินทางปัญญา และเงินทุนหมุนเวียนและวัตถุประสงค์ทั่วไปอื่นๆ ขององค์กร

การเสนอขายจะดำเนินการบนพื้นฐานของความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ Maxim Group LLC ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการบัญชีสำหรับนี้แต่เพียงผู้เดียว

Hunter Taubman Fischer & Li LLC ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท และ Loeb & Loeb LLP ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ Maxim Group LLC ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขาย

แบบแสดงรายการข้อมูลการลงทะเบียนในแบบฟอร์ม F-1 ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“ก.ล.ต.”) (หมายเลขไฟล์: 333-254571) และประกาศให้มีผลบังคับโดยสำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 การเสนอขายนี้จัดทำขึ้นโดยใช้หนังสือชี้ชวนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแสดงรายการข้อมูลการจดทะเบียนเท่านั้น สำเนาหนังสือชี้ชวนขั้นสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายสามารถรับได้จาก Maxim Group LLC, 300 Park Ave, 16th Floor, New York, NY 10022 ที่ (212) 895-3745 นอกจากนี้ สามารถรับสำเนาหนังสือชี้ชวนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายได้จากเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. ที่ www.sec.gov

ก่อนการลงทุนควรอ่านหนังสือชี้ชวนและเอกสารอื่นๆ ที่บริษัทได้ยื่นหรือจะยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับบริษัทและการเสนอขาย ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ถือเป็นการเสนอขาย หรือการชักชวนให้เสนอซื้อหลักทรัพย์ใดๆ ของบริษัท และจะไม่มีการนำเสนอหรือขายหลักทรัพย์ดังกล่าวในสหรัฐอเมริกาหากไม่ได้ลงทะเบียนหรือได้รับการยกเว้นจากการลงทะเบียน และจะไม่มี การเสนอ การชักชวน หรือการขายหลักทรัพย์ใดๆ ของบริษัทในรัฐหรือเขตอำนาจศาลใดๆ ที่การเสนอ การชักชวน หรือการขายดังกล่าวจะไม่ชอบด้วยกฎหมายก่อนการลงทะเบียนหรือคุณสมบัติภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐหรือเขตอำนาจศาลดังกล่าว

เกี่ยวกับ Regencell Bioscience Holdings Limited

Regencell Bioscience Holdings Limited เป็นบริษัทด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพระยะเริ่มต้นที่มุ่งเน้นการวิจัย การพัฒนา และการค้าของ TCM สำหรับการรักษาความผิดปกติและความเสื่อมของระบบประสาท โดยเฉพาะ ADHD และ ASD บริษัทเริ่มต้นในฮ่องกงในปี 2557 และเสร็จสิ้นการศึกษาวิจัยครั้งแรกโดยใช้สูตร TCM เฉพาะบุคคลในฮ่องกง บริษัทมีเป้าหมายที่จะเปิดตัวยาสูตร TCM ที่เป็นของเหลวมาตรฐานจำนวนสามสูตรสำหรับผู้ป่วย ADHD และ ASD ที่มีอาการเล็กน้อย ปานกลาง และขั้นรุนแรงในฮ่องกงก่อนแล้วจึงค่อยไปสู่ตลาดอื่นๆ ตามความเหมาะสม

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

ข้อความทั้งหมดนอกเหนือจากข้อความข้อเท็จจริงในอดีตในประกาศนี้เป็นข้อความที่มีลักษณะคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะการเสนอขายของบริษัท ข้อความที่มีลักษณะการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทั้งที่ทราบและไม่ทราบ และอยู่บนพื้นฐานของความคาดหวังในปัจจุบันและการคาดการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์และแนวโน้มทางการเงินในอนาคตที่บริษัทเชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน กลยุทธ์ทางธุรกิจ และความต้องการทางการเงิน รวมทั้งความคาดหวังว่าการเสนอขายจะเสร็จสมบูรณ์ นักลงทุนสามารถระบุข้อความที่มีลักษณะคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้ด้วยคำหรือวลี อย่างเช่น “อาจจะ” “จะ” “คาดหวัง” “คาดการณ์” “ตั้งเป้า” “ประมาณการ” “ตั้งใจ” “วางแผน” “เชื่อ” “มีศักยภาพ” “ดำเนินต่อไป” “มีแนวโน้มว่าจะ” หรือสำนวนอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน บริษัทไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงข้อความที่มีลักษณะคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตที่สะท้อนถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามมา หรือการเปลี่ยนแปลงในความคาดหวัง ยกเว้นตามที่กฎหมายกำหนด แม้ว่าบริษัทเชื่อว่าความคาดหวังที่แสดงไว้ในข้อความที่มีลักษณะคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้มีความสมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าความคาดหวังดังกล่าวจะถูกต้อง และบริษัทเตือนนักลงทุนว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากผลลัพธ์ที่คาดการณ์ไว้ และสนับสนุนให้นักลงทุนทบทวนปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ในอนาคตในแบบแสดงรายการข้อมูลการจดทะเบียนของบริษัทและการยื่นเอกสารอื่นๆ ต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต.

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210715006080/en/

ติดต่อ:

องค์กร:
James Chung
Chief Strategy Officer
Regencell Bioscience Holdings Limited
ir@rgcbio.com

สำหรับนักลงทุนในภูมิภาคเอเชีย:
Strategic Financial Relations Limited
Vicky Lee (852) 2864 4834
Brigid Lee (852) 2114 4313
Yvonne Lee (852) 2864 4847
SPRG_Regencell@sprg.com.hk

สำหรับนักลงทุนนอกภูมิภาคเอเชีย:
Lena Cati
The Equity Group Inc.
Vice President
(212) 836-9611
lcati@equityny.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

SoftBank Group แต่งตั้ง Mark Kornblau ให้ดำรงตำแหน่ง Global Head of Communications

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–07 กรกฎาคม 2564

วันนี้ SoftBank Group Corp. (“SBG”) ได้ประกาศว่า Mark Kornblau จะเข้าร่วม SBG ในตำแหน่ง Global Head of Communications ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม เป็นต้นไป โดยก่อนที่จะย้ายมาร่วมงานกับ SBG ปัจจุบันนี้ Mark ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายสื่อสารอยู่ที่ NBCUniversal News Group

Mark จะประจำอยู่ที่สำนักงานของ SoftBank ในนิวยอร์ก และรายงานตรงต่อ Masayoshi Son กรรมการบริหาร เจ้าหน้าที่บริหาร ประธานและซีอีโอของ SBG รวมถึง Marcelo Claure เจ้าหน้าที่บริหาร รองประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการของ SBG และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SoftBank Group International ในบทบาทใหม่นี้ Mark จะรับผิดชอบงานด้านกลยุทธ์ของฝ่ายสื่อสารองค์กรของ SBG โดยจะเป็นผู้อำนวยการการปฏิบัติงานด้านการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กรในระดับนานาชาติ นอกจากนี้จะทำงานร่วมกับบริษัทในเครือของ SBG อีกเกือบ 300 แห่ง เพื่อสร้างความสอดคล้องและค่านิยมเดียวกันทั่วทั้งระบบนิเวศของ SoftBank Group

Marcelo กล่าวว่า “Mark เป็นผู้นำด้านการสื่อสารที่มีความสามารถและเป็นที่นับถืออย่างมาก และยังเป็นที่ปรึกษาที่เหล่าซีอีโอ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหลาย ๆ ท่าน รวมถึงบรรดาผู้นำของรัฐบาลและนักหนังสือพิมพ์ให้ความไว้วางใจมากว่าสองทศวรรษ เขาจะเป็นพันธมิตรที่มีค่าสำหรับทีมบริหารของเรารวมถึงธุรกิจและบริษัทต่าง ๆ ที่เราเข้าไปลงทุน”

ขณะที่ Mark กล่าวว่า “SoftBank คือศูนย์กลางช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลก และเป็นผู้กำหนดอนาคตด้วยการชี้ให้เห็นว่าอะไรคือเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมอย่างแท้จริงและช่วยเร่งการเติบโตของบริษัทต่าง ๆ ที่พลิกโฉมวิถีชีวิตและการทำงานของพวกเราอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่าในทางที่ดีขึ้น ผมตั้งตารออย่างมากที่จะได้สนับสนุนภารกิจนี้”

ที่ NBCUniversal News Group, Mark เป็นผู้นำทีมสื่อสารให้กับแบรนด์ด้านโทรทัศน์และข่าวดิจิทัลเจ้าของรางวัล และเป็นผู้วางตำแหน่งธุรกิจให้อยู่บนเส้นทางความสำเร็จในวงการสื่อที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สำหรับในบทบาทใหม่ Mark จะร่วมงานกับผู้บริหารด้านธุรกิจและบรรณาธิการของแบรนด์ต่าง ๆ อย่าง NBC News, MSNBC, TODAY, Nightly News, Meet the Press และเครือข่ายบริการสตรีมมิ่งรวมถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลของแบรนด์เหล่านั้น โดยเขายังเป็นผู้นำการเจรจาเพื่อคว้าสิทธิ์ถ่ายทอดการอภิปรายระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2563 ในรอบแรก ซึ่งมียอดชมสูงสุดเป็นสถิติให้กับเครือข่ายอีกด้วย

ก่อนจะเข้าร่วมงานกับ NBCUniversal News Group, Mark เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรให้กับ JPMorgan Chase ซึ่งที่นั่นเขาได้ร่วมงานกับทีมผู้บริหารด้านการสื่อสารเชิงกลยุทธ์และการสื่อสารในภาวะวิกฤต รวมถึงดูแลงานด้านสื่อมวลชนสัมพันธ์เพื่อสนับสนุนงานด้านรัฐสัมพันธ์และความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร

ก่อนหน้านี้ Mark ยังเคยทำงานภายใต้ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโอบามาในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและโฆษกของผู้แทนถาวรของสหรัฐประจำสหประชาชาติ เอกอักคราชทูต Susan Rice โดยเขาอยู่ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการสื่อสารในการรณรงค์เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สองแคมเปญ ได้แก่ครั้งที่แคปิตอลฮิลล์และสภาผู้แทนและวุฒิสภาสหรัฐฯ

ปัจจุบัน Mark ยังดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการโครงการ Careers in Culinary Arts Program ซึ่งเป็นโครงการด้านการพัฒนาแรงงานที่ไม่แสวงหากำไร และเขายังได้รับปริญญาด้านศิลปศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสันด้วย

เกี่ยวกับ SoftBank Group

SoftBank Group ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนทั่วโลก SoftBank Group ประกอบด้วย SoftBank Group Corp. (TOKYO: 9984) บริษัทโฮลดิ้งเพื่อการลงทุนที่มีหุ้นในบริษัทผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม บริการอินเทอร์เน็ต ปัญญาประดิษฐ์ หุนยนต์อัจฉริยะ เทคโนโลยี IoT และเทคโนโลยีพลังงานสะอาด, SoftBank Vision Funds ซึ่งลงทุนไปกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ และกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังมีกองทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ฯ อย่าง SoftBank Latin America Fund ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และ SB Opportunity Fund กองทุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ฯ เพื่อการลงทุนในธุรกิจที่ก่อตั้งโดยผู้ประกอบการผิวสีในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ โปรเยี่ยมชมที่ https://global.softbank เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210707005434/en/

ติดต่อ:

ญี่ปุ่น:
sbpr@softbank.co.jp
+81 3 6889 2300

สหรัฐอเมริกา:
Sard Verbinnen & Co
Benjamin Spicehandler / Hannah Dunning
SoftBank-SVC@sardverb.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

EIG-Led Consortium ปิดข้อตกลงโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 12.4 พันล้านดอลลาร์กับ Aramco

Logo

กิจการค้าร่วมประกอบด้วยกลุ่มนักลงทุนที่มีชื่อเสียงจากอเมริกาเหนือ เอเชีย และตะวันออกกลาง

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–19 มิถุนายน 2564

EIG สถาบันลงทุนชั้นนำในภาคพลังงานทั่วโลกและหนึ่งในนักลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของโลก ประกาศปิดการทำธุรกรรมที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้กับ Saudi Arabian Oil Co. (“Aramco”) ภายใต้กลุ่มนักลงทุนได้เข้าซื้อกิจการ 49% สัดส่วนการถือหุ้นใน Aramco Oil Pipelines Company (“Aramco Oil Pipelines”) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่โดยมีสิทธิ์ในการชำระภาษีเป็นเวลา 25 ปีสำหรับน้ำมันที่ขนส่งผ่านเครือข่ายท่อส่งน้ำมันดิบที่มีความเสถียรของ Aramco

กระบวนการลงทุนร่วมที่นำโดย EIG ใน Aramco Oil Pipelines ดึงดูดกลุ่มสถาบันลงทุนชั้นนำระดับโลกจากจีน ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เกาหลี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรวมถึงสหรัฐอเมริกา ตามด้วยบริษัท Mubadala Investment Company, นักลงทุน Abu Dhabi Sovereign Investor, กองทุน Silk Road Fund, Hassana และ Samsung Asset Management

R. Blair Thomas ประธานและซีอีโอของ EIG กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ทำธุรกรรมกับ Aramco ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายด้านพลังงานชั้นนำระดับโลก ความสามารถของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกนี้ได้รับการพิสูจน์โดยนักลงทุนชั้นนำที่ลงทุนควบคู่ไปกับ EIG เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับกิจการค้าร่วมระดับโลกนี้ และหวังว่าจะได้เป็นหุ้นส่วนระยะยาวและมีผลสำเร็จ”

HSBC Bank plc เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ EIG เกี่ยวกับการทำธุรกรรมดังกล่าว และ Latham & Watkins ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของ EIG

เกี่ยวกับ EIG 

EIG เป็นสถาบันลงทุนชั้นนำในภาคพลังงานทั่วโลกด้วยเงิน 21.7 พันล้านดอลลาร์ภายใต้การบริหาร ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564  EIG เชี่ยวชาญด้านการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 39 ปี EIG ได้สร้างมูลค่ากว่า 37 พันล้านดอลลาร์แก่ภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทมากกว่า 370 โครงการใน 37 ประเทศในหกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยแผนบำเหน็จบำนาญชั้นนำมากมาย บริษัทประกันภัย กองทุนเงินบริจาค มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งอธิปไตยในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป  EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ ริโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ EIG ที่ www.eigpartners.com

เกี่ยวกับ Aramco

Aramco เป็นบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์แบบบูรณาการระดับโลกซึ่งขับเคลื่อนโดยความเชื่อหลักที่ว่าพลังงานคือโอกาส จากการผลิตน้ำมันประมาณหนึ่งในทุกๆ แปดบาร์เรลของอุปทานน้ำมันของโลกไปจนถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ทีมงานระดับโลกของ Aramco มุ่งมั่นที่จะสร้างผลสะท้อนในทุกสิ่งที่ทำ บริษัทให้ความสำคัญกับการทำให้ทรัพยากรมีความน่าเชื่อถือ ยั่งยืน และมีประโยชน์มากขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาวทั่วโลก www.aramco.com

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210618005526/en/

ติดต่อ:

EIG
Sard Verbinnen & Co.
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG-SVC@sardverb.com

Aramco
International Media Relations: international.media@aramco.com
Investor Relations: investor.relations@aramco.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Pathway ปิดการซื้อขายกองทุนรวมหน่วยลงทุน (FOF) ที่กำหนดเองได้ มูลค่า 400 ล้านเหรียญสำหรับผู้ลงทุนในเอเชีย

Logo

เออร์ไวน์ แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–26 พฤษภาคม 2564

Pathway มีความยินดีที่จะประกาศว่า เราได้ปิดกองทุนรวมหน่วยลงทุนที่กำหนดเองได้ มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สำหรับผู้ลงทุนสถาบันในเอเชีย กองทุนจะพยายามสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของการลงทุนในกองทุนหลักและการร่วมลงทุนทั้งในตลาดขนาดเล็กและระดับกลางทั่วโลก กองทุนนี้แสดงถึงความต่อเนื่องของประวัติยาวนานถึง 30 ปีที่ประสบความสำเร็จของ Pathway ในการลงทุนในตลาดเอกชน ซึ่งมีภาระผูกพันมากกว่า 95 พันล้านดอลลาร์ จนถึงปัจจุบัน Pathway ได้พัฒนาโซลูชันที่กำหนดเองได้สำหรับลูกค้าของเรามากกว่า 95 รายการทั้งในส่วนของหุ้นนอกตลาด สินเชื่อภาคเอกชน และการมอบอำนาจด้านโครงสร้างพื้นฐาน

เกี่ยวกับ Pathway Capital Management

Pathway เป็นผู้ให้บริการโซลูชันพอร์ตโฟลิโอในตลาดภาคเอกชน ด้วยทรัพย์สินกว่า 75 พันล้านดอลลาร์ภายใต้การบริหารจัดการจากหุ้นนอกตลาด สินเชื่อภาคเอกชน และการมอบอำนาจด้านโครงสร้างพื้นฐาน  

Pathway ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2534 สร้างและจัดการโครงการผู้ลงทุนรายเดียวและหลายรายสำหรับผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก การลงทุนในกลยุทธ์การตลาดภาคเอกชนต่างๆ ผ่านตลาดแรก ตลาดรอง การร่วมลงทุน และการลงทุนแบบโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากอัติโนมัติ

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210525005854/en/

ติดต่อ:

Jim Chambliss, Managing Director
Richard Mazer, Managing Director
Phone: 949-622-1000
Email: news@pathwaycapital.com
Website: www.pathwaycapital.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายงานการแบ่งส่วนของตลาดของ Best หรือ Best’s Market Segment Report พบว่าบริษัทประกันวินาศภัยในประเทศไทยมีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์รุนแรง แต่ความท้าทายก็ยังคงมีอยู่

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–20 พ.ค. 2564

แม้จะมีการหดตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทยซึ่งเป็นผลมาจาก COVID-19 ในปี 2563  แต่ตลาดประกันวินาศภัยของประเทศก็ยังคงสามารถขยายตัวได้ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในกลุ่มสุขภาพ ข้อมูลจากรายงานฉบับใหม่ของ AM Best

ด้วยผลกระทบเชิงลบของการระบาดต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยทำให้ GDP ที่แท้จริงของประเทศหดตัวลง 6.1% ในปี 2564ในขณะที่ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลง 75 คะแนนทำให้ไปสู่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ที่ 0.5% ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในรายงาน Market Segment Report ของ Best ฉบับใหม่“ ตลาดประกันวินาศภัยของประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น แต่อย่างไรเสีย ความท้าทายก็ยังคงอยู่” AM Best ระบุว่า บริษัทประกันวินาศภัยที่อยู่ในประเทศมีกำไรจากการจัดจำหน่ายโดยรวม 12,500 ล้านบาท (0.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณหกเท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของเบี้ยประกัน พร้อมกับค่าใช้จ่ายและการเคลมที่ลดลง ตลาดประกันวินาศภัยขยายตัว 3.5% เป็น 253,000 ล้านบาท (8.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในรูปของเบี้ยประกันภัยรับตรง หรือ direct premium written (DPW)

การประกันสุขภาพซึ่งเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการขยายตัว 44% ในปี 2563 โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มความตระหนักด้านสุขภาพเนื่องมาจากการระบาดของโรค ประกันภัยรถยนต์ซึ่งเป็นสายธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดและมีสัดส่วนมากกว่า 55% ของ DPW ทั้งหมด เติบโตขึ้น 1.4% ทั้งนี้ AM Best ตั้งข้อสังเกตว่าการลดลงของยอดขายรถยนต์และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงในปี 2563 ไม่ได้แปลว่าจะมีการลดลงของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นได้รับการชดเชยด้วยอัตราที่แข็งค่าขึ้นในบางส่วน

มาตรการกักกัน COVID-19 ที่รัฐบาลกำหนดได้กระตุ้นให้เกิดการปรับตัวสู่ดิจิทัลและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศไทย ในฐานะบริษัทที่มีส่วนแบ่งในตลาดประกันวินาศภัยที่มีการแข่งขันสูงและกำลังพัฒนาในประเทศ แม้ความต้องการประกันการเดินทางจะลดลงซึ่งโดยปกติจะขายทางออนไลน์ แต่การขายประกันผ่านช่องทางออนไลน์ก็เพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี 2563 เนื่องจากบริษัทประกันพยายามที่จะปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครื่องมือเพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

AM Best คาดว่า บริษัทประกันจะให้ความสำคัญกับนวัตกรรมมากขึ้นในช่วงหลายปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยสามารถช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การกระจายสินค้า รวมทั้งเสริมสร้างความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการกำหนดราคา AM Best คาดว่าการเติบโตในส่วนงานประกันวินาศภัยของประเทศไทยจะดำเนินต่อไปโดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ GDP ในปี 2564 ที่เป็นบวก 2.6% อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะใกล้ถึงระยะกลางยังคงไม่แน่นอนโดยมีความท้าทายที่น่าจะเกิดจากการจัดการการระบาดที่กำลังดำเนินอยู่และความสามารถของประเทศไทยในการเปิดภาคการท่องเที่ยวอีกครั้ง

หากต้องการเข้าถึงสำเนาฉบับเต็มของรายงานการแบ่งส่วนตลาดฉบับนี้ โปรดไปที่ http://www3.ambest.com/bestweek/purchase.asp?record_code=308773

AM Best เป็นหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกผู้เผยแพร่ข่าวและผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมประกันภัย บริษัทมีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกาดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศโดยมีสำนักงานประจำภูมิภาคในลอนดอน อัมสเตอร์ดัม ดูไบฮ่องกง สิงคโปร์ และเม็กซิโกซิตี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ambest.com

ลิขสิทธิ์© 2021 ของ A.M. Best Rating Services, Inc. และ / หรือ บริษัทในเครือ สงวนลิขสิทธิ์

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210519005767/en/

ติดต่อ:

Susan Tan

นักวิเคราะห์การเงิน

+65 6303 5023

susan.tan@ambest.com

Christopher Sharkey

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์

+1 908 439 2200, ext. 5159

christopher.sharkey@ambest.com

Yuan Tian

นักวิเคราะห์การเงินอาวุโส

+65 6303 5016

yuan.tian@ambest.com

Jim Peavy

ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร

+1 908 439 2200, ext. 5644

james.peavy@ambest.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Asset Value Investors (AVI) เรียกร้องให้ผู้ถือหุ้นสนับสนุนให้ถอดและเปลี่ยนคณะกรรมการของ Symphony International Holdings

Logo

ลอนดอน–(บิสิเนสไวร์)–29 เม.ย. 2564

Asset Value Investor (“AVI”) เริ่มรณรงค์เพื่อเรียกร้องให้ผู้ถือหุ้นของ Symphony International Holdings Ltd (“SIHL”) ซึ่งเป็นหน่วยการลงทุนแบบปิดที่บริหารจัดการจากสิงคโปร์และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ให้ช่วยนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่บริษัทหลังจากที่มีผลงานไม่ดีมาหลายปี  AVI ถือหุ้น 15.4% ใน SIHL ในนามของลูกค้าสถาบัน  จากการลงทุนครั้งแรกในปี 2555 ทาง AVI ได้ข้อสรุปแล้วว่าแนวทางการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนไม่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ

Tom Treanor  ผู้อำนวย Asset Value Investors เปิดตัวการรณรงค์ใหม่ โดยกล่าวว่า “ผลการดำเนินงานที่แย่ของ Symphony International Holdings Ltd (SIHL) ได้เกิดขึ้นมานานพอแล้ว  เรามีเป้าหมายหลักสองประการและเราต้องการการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมหุ้นของเราเพื่อทำให้เป็นจริง”

เรามุ่งมั่นที่จะ:

  1. ให้ผู้ถือหุ้นจะได้รับรู้เกี่ยวกับความกังวลของเราเรื่องการบริหารของ SIHL และความเป็นอิสระของคณะกรรมการ ซึ่งในมุมมองของเรานั้นมีความขัดแย้งอย่างแท้จริงและไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นไว้ก่อนหน้าผลประโยชน์ของทีมบริหาร
  2. รวบรวมการสนับสนุนที่เพียงพอ (30% รวมถึงสัดส่วนการถือหุ้น 15.4% ของเราเอง) เพื่อขอ EGM ให้ถอดถอนกรรมการปัจจุบันและแทนที่ด้วยกรรมการใหม่ที่เต็มใจและสามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นได้อย่างเหมาะสม  หลังจากได้รับการแต่งตั้ง คณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับมอบอำนาจในการปรึกษาหารือกับผู้ถือหุ้นอย่างกว้างขวางเพื่อสร้างฉันทามติสำหรับแนวทางที่ดีที่สุดในการเพิ่มมูลค่าสูงสุดเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกคน

SIHL จดทะเบียนในปี 2550 โดยมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนโดยมุ่งเน้นไปที่การเติบโตผ่านการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคในเอเชีย  อย่างไรก็ตาม ผลการลงทุนนั้นต่ำเมื่อวัดเทียบกับดัชนีตลาดหรือกองทุนที่ใกล้เคียงกัน  นอกจากนี้ SIHL ในวันนี้ซื้อขายด้วยส่วนลดมากกว่า 50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) โดย AVI เห็นว่าส่วนลดจำนวนมากของ SIHL แสดงถึงคำตัดสินของตลาดเกี่ยวกับประวัติผลการดำเนินงานของบริษัท ข้อเสนอการลงทุน การกำกับดูแล ผู้จัดการ และคณะกรรมการ

ได้มีการเผยแพร่การนำเสนอย่างละเอียดบนเว็บไซต์เฉพาะ www.savesymphony.com และวิเคราะห์ประเด็นสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างกันซึ่งต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน:

  1. มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทรัพย์สินและผลการดำเนินงานของราคาหุ้น
  2. การนำเสนอผลการดำเนินงานอย่างไม่ถูกต้องและการไม่เปิดเผยข้อมูล
  3. การลดราคาอย่างต่อเนื่องต่อ NAV
  4. ผลตอบแทนผู้จัดการมากกว่าของผู้ถือหุ้น
  5. คณะกรรมการที่ขัดแย้งกัน
  6. การลงคะแนนเสียงในปี 2560 ที่ล้มเหลว ผู้ถือหุ้นถอนออกเนื่องจากการความผิดหวัง
  7. ถูกบังคับขายการลงทุน Minor International บางส่วนในราคาต่ำ

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210429005468/en/

ติดต่อ:

Tom Treanor
tom.treanor@assetvalueinvestors.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ไตรคอร์กรุ๊ป (Tricor Group) และ Financial Times Board Director Programme เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับช่องว่างที่สำคัญระหว่างคณะกรรมการของบริษัทต่างๆในประเทศไทยในเรื่องของการกำกับดูแลเทคโนโลยีดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการบริหารจัดการความเสี่ยง

Logo

ไตรคอร์กรุ๊ป (Tricor Group) และ Financial Times Board Director Programme ร่วมกันเผยแพร่รายงาน Asia Pacific Board Director Barometer Report 2021 ซึ่งระบุถึงความคิดเห็นของคณะกรรมการบริษัทที่มีต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกโดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศไทยและตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ตามรายงาน Asia Pacific Board Director Barometer Report 2021 พบว่า

  • คณะกรรมการบริษัทต่างก็พยายามที่จะผลักดันนำระบบดิจิทัล มาเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน เพื่อก้าวผ่านวิกฤติการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคโควิด 19 ไปให้ได้
  • การวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) ตลอดจนธรรมมาภิบาลบริษัท การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (GRC) ถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่คณะกรรมการองค์กรให้ความสำคัญ
  • คณะกรรมการองค์กรณ์ ยังไม่มีความพร้อมในด้านครื่องมือที่รองรับรูปแบบการประชุมแบบผสมผสานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นรูปแบบการประชุมที่จะเป็นที่นิยมเป็นอย่างสูงหลังจากการแพร่ระบาดของโรคระบาด
  • ความเหลื่อมล้ำทางด้านดิจิทัลในแต่ละองค์กรยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและคณะกรรมการองค์กรยังคงตามไม่ทันต่อวิวัฒนาการ ส่งผลทำให้เกิดความเสี่ยงในด้านการปฏิบัติงาน ความปลอดภัยของระบบไซเบอร์ รวมถึงความด้อยประสิทธิ์ภาพในการทำงาน
  • ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีในองค์กร ส่งผลต่อกระบวนการดำเนินการของคณะกรรมการ และ ช่องโหว่นี้ก็ได้ส่งผลคุกคามต่อกระบวนการปฏิบัติงานและความซื่อสัตย์ของคนในองค์กร

รายงาน Asia Pacific Board Director Barometer Report 2021 ได้ระบุให้เห็นถึงความคิดเห็นและการแนวทางปฎิบัติของกรรมการขององค์กรทั่วโลก ในด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ความมั่นคงทางไซเบอร์ การดำเนินงานของคณะกรรมการ ธรรมมาภิบาลบริษัท การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (GRC) รวมถึงการวางแผนความต่อเนื่องของธุรกิจ (BCP) ทั้งนี้ ได้มีการสำรวจในเชิงลึกกับคณะกรรมการบริษัท 771 คนซึ่งเป็นตัวแทนของธุรกิจเกิดใหม่ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บริษัทข้ามชาติ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ตลอดจนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วทั้งอุตสาหกรรมหลัก 12 ประเภท การสุ่มตัวอย่างมุ่งเน้นไปที่ตลาดหลักๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (รวมทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย) รวมทั้งตัวอย่างเปรียบเทียบจากทวีปอเมริกา ยุโรป และแอฟริกา

สรุปประเด็นสำคัญจากรายงาน ดังนี้ :

  • BCP และ GRC ต่างสร้างแรงกดดันต่อคณะกรรมการองค์กร โดยร้อยละ 83 ของคณะกรรมการองค์กรทั่วโลกและร้อยละ 84 ของคณะกรรมการบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเล็งเห็นว่าประเด็นนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อองค์กร กล่าวโดยสรุปแล้ว คณะกรรมการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคมั่นใจว่าจะสามารถจัดการวิกฤตต่างๆได้ อีกทั้งยังมีช่องว่างสำหรับการพัฒนาตลาดบางแห่ง ร้อยละ 52 ของคณะกรรมการบริษัทในประเทศไทยกล่าวว่าตนเองรู้สึกพอใจในวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ในขณะที่ คณะกรรมการในประเทศเวียดนาม (ร้อยละ 42) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 45) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 50) ฮ่องกง (ร้อยละ 51) มาเลเซีย (ร้อยละ 56) จีนแผ่นดินใหญ่ (ร้อยละ 68) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 71) ต่างก็มีความคิดเห็นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
  • นับตั้งแต่ที่มีการสร้างแบบจำลองการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ความปลอดภัยทางด้านข้อมูลกลายเป็นประเด็นที่กรรมการองค์กร กว่าร้อยละ 83% เป็นกังวล อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยังไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่ากรรมการบริษัทร้อยละ 91 ในประเทศญี่ปุ่นได้กล่าวว่าความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลเคยเป็นเรื่องที่เป็นกังวล แต่มีเพียงร้อยละ 79% ของคณะกรรมการที่ได้ดำเนินการเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยของข้อมูล และได้แสดงให้เห็นว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่ ยังมีวิธีจัดการที่ไม่เหมาะสม และมีกรอบการดำเนินงานในเรื่องของความปลอดภัยของไซเบอร์ที่ล้าหลัง
  • คณะกรรมการบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคต่างไม่เห็นด้วยกับการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอก เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะที่กรรมการกว่าร้อยละ 60 ในทวีปอเมริกากล่าวว่าจะพิจารณาเกี่ยวกับการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาช่วยเหลือในการประเมินกรอบการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการ ความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมทั้งการวางแผนเพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ เห็นได้ชัดว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่ไม่ค่อยให้การยอมรับเนื่องจากกรรมการน้อยกว่าครึ่ง (เพียงร้อยละ 48) กล่าวว่าจะพิจารณาใช้ผู้เชี่ยวชาญภายนอก รวมถึงประเทสไทย (ร้อยละ 49%)
  • คณะกรรมการองค์กรยังไม่มีการเตรียมตัวที่จะรับมือกับข้อกำหนดด้านของความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการประชุมเสมือนจริง (Virtual meeting)ทั้งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคร้ายและภายหลังการแพร่ระบาดของโรคร้าย : การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ได้สะท้อนออกมาให้เห็นในผลสำรวจอย่างชัดเจน กล่าวคือ คณะกรรมการทั่วโลกรายงานว่า มีการประชุมเสมือนจริงเพียง 5% จากการประชุมทั้งหมด มาเป็นการประชุมแบบเข้าประชุมด้วยตัวเอง เพียง 5% แทน อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยของข้อมูล คณะกรรมการหลายคนไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการแบบผสมผสานดังกล่าว ซึ่งจะเป็นรูปแบบการดำเนินงานที่ได้รับความนิยมอย่างมากหลังการแพร่ระบาด โดยร้อยละ 9 ของคณะกรรมในประเทศไทย (เทียบกับอัตราของคณะกรรมการทั่วโลกจำนวน 5%) ที่ยังคงเข้าร่วมประชุมด้วยตนเอง และร้อยละ 9 (เทียบกับอัตราของคณะกรรมการทั่วโลกที่ 12%) ที่คิดว่าจะเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองหลังการแพร่ระบาดของโรค
  • ดังนั้น 1 ใน 4 ของคณะกรรมการบริษัทก็มิได้ดำเนินการเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจของตนเองเพื่อที่จะลดช่องว่างในการนำเอาระบบดิจิทัลที่แพร่หลายมาใช้ ทั้งนี้ ในการเตรียมตัวหลังจากการที่แพร่ระบาดของโรคร้ายผ่านพ้นไปในอนาคต ร้อยละ 73 ของกรรมการทั่วโลกกล่าวว่าตนเองจะหาเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ มาใช้ โดยสามารถแบ่งออกเป็นคณะกรรมการในประเทศไทย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในอัตราร้อยละ 79 78 และ 76 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเทศที่ความต้องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆมาใช้ ในอัตราส่วนที่ค่อนข้างน้อยอยู่ เช่น ฮ่องกง (ร้อยละ 70) จีนแผ่นดินใหญ่ (ร้อยละ 68) และประเทศสิงคโปร์ (ร้อยละ 67) โดยระบุว่าคณะกรรมการองค์กรจำนวนมาก ยังไม่มีการใช้ดิจิทัลในการดำเนินงานของคณะกรรมการ หรือ การแก้ปัญหาอื่นๆที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
  • คณะกรรมการบริษัทกำลังมองหาที่จะเข้ารับการฝึกอบรมด้านการกำกับดูแลกิจการให้มากขึ้นเพื่อที่จะเสริมสร้างศักยภาพของตนเอง – ร้อยละ 94 ของคณะกรรมการทั่วโลกกล่าวว่าตนเองต้องการฝึกอบรมเพิ่มเติม ในขณะที่กรรมการแค่เพียงร้อยละ 58 กำลังรับการฝึกอบรมดังกล่าว ตัวเลขทางสถิติเหล่านี้จะสอดคล้องกับตัวอย่างของคณะกรรมการบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่ปรากฏอยู่ในแบบสำรวจ สำหรับประเทศไทยแล้ว กรรมการร้อยละ 91 กล่าวว่าตนเองต้องการรับการฝึกอบรมเพิ่มเติม และมีแค่เพียงร้อยละ 55 ที่ปัจจุบันกำลังรับการฝึกอบรมดังกล่าว

คุณเลนนาร์ด ย้ง (Mr. Lennard Yong) ประธานกรรมการบริหารของไตรคอร์กรุ๊ป กล่าวว่า“การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ของสัดส่วนที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียและพื้นที่อื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคณะกรรมการบริษัทเกือบทุกองค์กรทั่วทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม” นับตั้งแต่การแพร่ระบาดเริ่มต้นขึ้น ไตรคอร์ก็ได้รับการสอบถามจากองค์กรต่าง ที่กำลังมองหาวิธีการในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของคณะกรรมการ โดยรวมรวมถึงการเอาวิธีการกำกับดูแลคณะกรรมการบริษัทแบบดิจิทัลมาใช้ ในขณะที่ยังคงต้องเผชิญหน้ากับความปั่นป่วนทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยการให้บริการในรูปแบบบูรณาการและส่งเสริมความเป็นดิจิทัลรวมทั้งโซลูชั่นในการกำกับดูแลกิจการที่มีความหลากหลาย พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่คณะกรรมการในการสร้างความคุ้นเคยกับสภาวะทางธุรกิจที่กำลังวิวัฒนาการและพยายามรับมือกับความไม่แน่นอน”

คุณซันไชน์ ฟาซาน (Ms. Sunshine Farzan) หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร ไตรคอร์กรุ๊ป กล่าวว่า “คณะกรรมการบริษัทต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการลดความเสี่ยง และนำพาธุรกิจให้ผ่านพ้นหายนะและเหตุการณ์ที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับองค์กรและยังส่งผลต่อการลงทุนของผู้ถือหุ้น หากมองในแง่ของการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น ตามรายงาน Asia Pacific Board Director Barometer 2021 ได้ยืนยันแล้วว่า คณะกรรมการต่างก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับ วิกฤติของความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ GRC และ BCP และรายงานฉบับนี้จะสามารถช่วยให้คณะกรรมการมองเห็นถึงความท้าทาย ปัญหา รวมถึงด้านสำคัญที่ต้องการการแก้ไขพัฒนา เพื่อนำไปสู่ขั้นต่อไปในการดำเนินธุรกิจอย่างและความยืดหยุ่นอย่างต่อเนื่อง

คุณดีแลนด์ หม่า (Mr. Dyland Mah) กรรมการผู้จัดการ บริษัทไตรคอร์ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ธนาคารโลกได้จัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจในเอเชียในด้านของการกำกับดูแลกิจการซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิรูปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ประสบความสำเร็จในเรื่องของมาตรฐานด้านการกำกับดูแลกิจการรวมทั้งความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนดในระดับสูงในด้านที่สำคัญ อาทิเช่น การเปิดเผย ความโปร่งใส และการคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ หากแต่ในส่วนของการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสภาวการณ์ของตลาดที่เปี่ยมไปด้วยความท้าทายแล้ว ขณะนี้คณะกรรมการบริษัทในประเทศไทยก็กำลังรับมือกับสภาวะของความไม่แน่นอนที่แพร่กระจายไปทั่ว รวมทั้งความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด ตลอดจนข้อบังคับ และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับไตรคอร์

ประเทศไทยแล้ว เราต่างก็ให้ความช่วยเหลือแก่คณะกรรมการบริษัทเพื่อที่จะสนับสนุนกรอบการทำงานในเรื่องของการกำกับดูแลกิจการรวมทั้งความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นสามารถที่จะส่งเสริมพนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น ผู้มีอำนาจในการควบคุม และชุมชนได้ดีขึ้น”

นอกเหนือจากประเด็นหลักที่กล่าวมาข้างต้น รายงาน Asia Pacific Board Director Barometer 2021 ยังมีรายละเอียดสำหรับประเด็นรอง บทสรุปสำคัญ บทวิเคราะห์อุตสาหกรรม ประเด็นที่ควรพิจารณา และ วิธีการปฏิบัติด้านต่างๆ เพื่อช่วยให้คณะกรรมการ เข้าใจและชี้ทางเพื่อให้พัฒนาธุรกิจต่อไปท่ามกลางวิกฤติ

หากสนใจรับชมรายงานฉบับเต็ม สามารถเข้าชมรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.tricorglobal.com/2021-asia-pacific-board-director-barometer-report

ขอบคุณ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ

HONG KONG SAR (GROUP OFFICE)

Sunshine Farzan

Tricor Services Limited

Group Head of Marketing & Communications

Tel: +852 2980 1261

Email: Sunshine.Farzan@hk.tricorglobal.com

เกี่ยวกับ บริษัท ไตรคอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัทไตรคอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งขึ้นในปี 2005 และมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งบริการของเราครอบคลุมทั้งบริการจัดทำบัญชีและภาษีอากรให้กับบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก, บริการด้านเลขานุการและการจัดการทั่วไปสำหรับบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริการด้านการจัดทำเงินเดือน  หากท่านต้องการที่จะจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย พนักงานผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมที่จะให้คำแนะนำในการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ในระบบเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น โครงสร้างพื้นฐานชั้นแนวหน้า ทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถ และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐ

ไตรคอร์กรุ๊ป (“ไตรคอร์”) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขยายธุรกิจระดับชั้นนำของเอเชีย ซึ่งมีองค์ความรู้ระดับโลก และมีสำนักงานซึ่งให้บริการทางธุรกิจ บริการด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบริษัท บริการให้คำแนะนำแก่นักลงทุน บริการทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน บริการทรัสต์สำหรับองค์กร (Corporate trust & debt services) การจัดการด้านธุรการกองทุน และบริการให้คำปรึกษาทางด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจ   ไตรคอร์มีสำนักงานใหญ่ประจำที่ฮ่องกง เราให้บริการมากกว่า 21 ประเทศ/เขตการปกครอง มีเครือข่ายสำนักงานใน 47 เมือง เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในความดูแลมากกว่า 50,000 รายทั่วโลก  โดยจำนวนลูกค้าดังกล่าว กว่า 2,000 บริษัทเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย และมากกว่า 40 % เป็นบริษัทที่อยู่ในรายชื่อบริษัทชั้นนำ 500 แห่งทั่วโลกจากการรวบรวมและจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune  นอกจากนี้ไตรคอร์มีพนักงานกว่า 2,800 คน ซึ่งเป็นพนักงานที่มีใบรับรองทางวิชาชีพถึง 630 คน โดยเราพร้อมให้บริการที่สำคัญเพื่อสนับสนุนบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการเติบโตทั้งในระดับเอเชียและระดับต่อไป

จุดแข็งของไตรคอร์ประกอบขึ้นจากประสบการณ์เชิงลึกในทุกๆ อุตสาหกรรม พนักงานที่มุ่งมั่น การดำเนินการที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การปฏิบัติการตามมาตรฐาน การให้ความสนใจในการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและกฎระเบียบ และการติดต่อสื่อสารกับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย  ไตรคอร์มีความสามารถเฉพาะเพื่อปลดล็อกศักยภาพของธุรกิจของท่าน และช่วยให้ท่านก้าวไปข้างหน้าในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลากหลายในปัจจุบัน

 โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา: www.tricorglobal.com/locations/thailand