Category Archives: General News

Robert J. Giuffra Jr. และ Scott Miller เป็นประธานร่วมของบริษัท Sullivan & Cromwell LLP

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–03 มกราคม 2565

Sullivan & Cromwell LLP ประกาศในวันนี้ว่า Robert J. Giuffra, Jr. และ Scott Miller เป็นประธานร่วมของบริษัท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565

เอกสารนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220103005204/en/

Robert Giuffra and Scott Miller become Co-Chairs of Sullivan & Cromwell LLP. (Photo: Sullivan & Cromwell LLP)

Robert Giuffra และ Scott Miller เป็นประธานร่วมของบริษัท Sullivan & Cromwell LLP (รูปภาพ: Sullivan & Cromwell LLP)

Giuffra และ Miller ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 พวกเขาสืบทอดตำแหน่งต่อจาก Joseph C. Shenker ซึ่งเป็นประธานของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2553 และจะดำรงตำแหน่งในฐานะประธานอาวุโสของคณะกรรมการบริหารในบริษัทต่อไปนอกเหนือจากการดำเนินงานให้แก่ลูกค้าที่มีอยู่

Shenker กล่าวว่า “นับตั้งแต่ก่อตั้ง บริษัท Sullivan & Cromwell มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อลูกค้า บุคลากร และชุมชนของเรา Bob และ Scott เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความมุ่งมั่นเหล่านี้มาเป็นระยะเวลานานผ่านการสร้างความน่าเชื่อถือในการเป็นที่ปรึกษา โดยจุดแข็งด้านกฎหมายการดำเนินคดีและกฎหมายองค์กรได้แสดงให้เห็นถึงขอบเขตการทำงานภาพรวมที่เราดำเนินการเพื่อลูกค้าของเราทั่วโลก”

Miller กล่าวว่า “การดำเนินงานและความสามารถในระดับสากลของบริษัทเพื่อให้บริการลูกค้าแบบบูรณาการผ่านเครือข่ายสำนักงาน 13 แห่งทั่วทั้ง 4 ทวีปคือสิ่งที่สำคัญมากต่อความสำเร็จของเรา ลูกค้าของบริษัทมากกว่าครึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา และผมกับ Bob ต่างก็ใช้เวลาในอาชีพของเราในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่ซับซ้อนที่สุดของลูกค้าในต่างประเทศ ในขณะที่โลกมีการบูรณาการมากขึ้นและปัญหาที่ลูกค้าเผชิญก็ซับซ้อนมากขึ้น เราคาดว่าการดำเนินงานระดับโลกของเราจะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทของเราประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง”

Giuffra กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับ Scott และหุ้นส่วนของเราเพื่อสร้างวัฒนธรรมความเป็นเลิศ นวัตกรรม และความมุ่งมั่นของบริษัทของเราที่มีต่อลูกค้า และมีต่อกันและกัน กว่า 143 ปีที่รูปแบบของเราได้รับการทดลองและเป็นจริง ซึ่งประกอบไปด้วยการสรรหาและฝึกอบรมทนายความที่ดีที่สุดในการทำงานร่วมกันเพื่อช่วยลูกค้าของเราแก้ปัญหาความท้าทายที่สำคัญที่สุดและคว้าโอกาสที่มีคุณค่าสูงสุด”

Giuffra ผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ซึ่งเข้าร่วม S&C ในปี 2532 หลังจากดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานกฎหมายให้กับ William Rehnquist ประธานศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา และ Ralph Winter ผู้พิพากษาของศาลอุทธรณ์เขต 2 สหรัฐอเมริกา Giuffra เป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของ Sullivan & Cromwell ตั้งแต่ปี 2550 โดยประจำอยู่ที่นิวยอร์ก ด้วยความเป็นศิษย์จากวิทยาลัยทนายความคดีแห่งอเมริกา (ACTL) และสถาบันทนายความคดีนานาชาติ (IATL) เขาประสบความสำเร็จในการว่าความและพิจารณาคดีของลูกค้ามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ รวมถึงการตรวจสอบรัฐบาล เขามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขวิกฤตขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วย การล้มละลายของ Enron การฉ้อโกงทางบัญชีที่ Computer Associates และ HealthSouth Corporation วิกฤตการณ์ทางการเงิน และวิกฤตการปล่อยมลพิษดีเซลของ Volkswagen ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาประสานงานระดับชาติของผู้ผลิตรถยนต์ ลูกค้าปัจจุบันของเขา ได้แก่ Allianz, Goldman Sachs, Stellantis, UBS และ Volkswagen เขาได้เป็นตัวแทนของคณะกรรมการบริหารของบริษัท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ้าหน้าที่รัฐบาลอาวุโส ครอบครัวที่มีชื่อเสียง บริษัทกฎหมาย และทีมกีฬามืออาชีพ

Miller ที่ปรึกษาชั้นนำขององค์กร ซึ่งเข้าร่วม S&C ในปี 2529 หลังจากทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานกฎหมายให้แก่ William A. Norris ผู้พิพากษาแห่งศาลอุทธรณ์เขต 9 สหรัฐอเมริกา เขามักทำหน้าที่จัดการการควบรวมกิจการมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ตลาดทุนและธุรกรรมเชิงกลยุทธ์อื่น ๆ การตรวจสอบกิจการภายในและรัฐบาล และวิกฤตการณ์อื่น ๆ ขององค์กร เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2557 โดยประสานและดำเนินงานให้กับองค์กรในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยปัจจุบันปฏิบัติงานอยู่ที่นิวยอร์ก เขาได้ทำงานเกี่ยวกับการควบรวมกิจการและธุรกรรมหลักทรัพย์ในกว่า 20 ประเทศ รวมถึงการแปรรูปเป็นเอกชนครั้งแรกในอิตาลีและการซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ (LBO) ครั้งแรกในเยอรมัน เขาเป็นตัวแทนของ Fiat Chrysler ในการควบรวมกิจการกับ Peugeot มูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกผ่านการสร้างสรรค์ Stellantis ก่อนหน้านี้เขาเป็นตัวแทนของ Fiat ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ Chrysler ในปี 2552, Ferrari ในการเสนอขายหุ้น IPO ปี 2558 และ Alcan ในการต่อสู้กับข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการที่ไม่เป็นธรรมจาก Alcoa และการเข้าซื้อกิจการ 46 พันล้านดอลลาร์โดย Rio Tinto เขาเป็นตัวแทนของ DISH Network มาเป็นเวลาสองทศวรรษแล้ว และการทำธุรกรรมมากมายเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ช่วยก่อตั้งและให้การสนับสนุนงบประมาณด้านเครือข่ายการสื่อสารไร้สายทั่วประเทศ เขายังเป็นผู้นำในตลาดด้านการเป็นบริษัทที่สร้างขึ้นมาเพื่อระดมเงินทุนไปซื้อบริษัทอื่น (SPAC) โดยเป็นตัวแทนของ DraftKings ในรายการ de-SPAC และการเข้าซื้อกิจการและการจัดหาเงินทุนอื่น ๆ เพื่อก่อร่างให้บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทบันเทิงและเกมดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นตัวแทนของ Ermenegildo Zegna Group ในการควบรวมกิจการกับบริษัทด้าน SPAC ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Investindustrial โดยที่ Zegna กลายเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเริ่มต้นเกินกว่า 3 พันล้านดอลลาร์

Giuffra สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและโรงเรียนกฎหมายเยล เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาของคณะกรรมการการธนาคารวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาและประธานสภาเนติบัณฑิตยสภา เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรของนิวยอร์กว่าด้วยการเข้าถึงความยุติธรรมและคณะกรรมการประจำว่าด้วยหลักปฏิบัติและขั้นตอนของศาลสหรัฐฯ นอกจากนี้ เขายังเป็นประธานมูลนิธิ American Swiss Foundation อีกด้วย

Miller สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนาและโรงเรียนกฎหมายโคลัมเบีย เขาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ Sullivan & Cromwell สำนักงาน Palo Alto และเคยอาศัยอยู่ในสำนักงานในลอนดอนและลอสแองเจลิสของบริษัท เขาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของสภาธุรกิจระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา

เกี่ยวกับ Sullivan & Cromwell LLP

Sullivan & Cromwell LLP เป็นบริษัทกฎหมายระดับโลกที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินคดีใหญ่ ๆ การสืบสวนขององค์กร และกฎระเบียบที่ซับซ้อน การควบรวมกิจการในประเทศและต่างประเทศ การทำธุรกรรมด้านการเงิน องค์กร และปรับโครงสร้างหนี้ การวางแผนภาษีและอสังหาริมทรัพย์ Sullivan & Cromwell ก่อตั้งขึ้นในปี 2422 มีทนายความประมาณ 900 คน มีสำนักงานอยู่ที่นิวยอร์ก วอชิงตัน ลอสแอนเจลิส พาโลอัลโต ลอนดอน แฟรงก์เฟิร์ต ปารีส บรัสเซลส์ ฮ่องกง ปักกิ่ง โตเกียว เมลเบิร์น และซิดนีย์

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220103005204/en/

ติดต่อ:

Matthew J. Corrigan
corriganm@sullcrom.com
+1 (212) 558-4906

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

นิทรรศการ K-Chemicals Cyber Exhibition ฤดูกาลที่ 2 จัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 โดยมีบริษัทจากอุตสาหกรรมเคมีและความงามของเกาหลีกว่า 270 แห่งเข้าร่วม

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–24 ธันวาคม 2564

K-Chemicals Cyber Exhibition (K-Chemicals) ซึ่งเป็นนิทรรศการออนไลน์ระดับนานาชาติด้านเคมีและความงาม ได้ถูกจัดขึ้นสำหรับฤดูกาลที่ 2 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211221005817/en/

K-Chemicals Cyber Exhibition, an international online exhibition in the field of chemistry and beauty, hosted Season II in the second half of 2021. It has been operating permanently since its opening in March. About 270 companies are participating in the second half of this year for global expansion of the Korean chemical and beauty industries. Beauty products as well as industrial chemicals such as high-quality paints, adhesives, surfactants, additives, and plastics are showcased at the exhibition. The two virtual exhibition halls, Industrial Chemical Hall and Beauty Product Hall are implemented in 2D and 3D. Buyers can use video conferencing systems, chat functions, and counseling reservation functions. It is attracting buyers from all 129 overseas trade centers owned by the KOTRA, and video counseling will be conducted for buyers discovered for a month from December. (Graphic: Business Wire)

K-Chemicals Cyber Exhibition ซึ่งเป็นนิทรรศการออนไลน์ระดับนานาชาติด้านเคมีและความงาม ได้จัดงานนิทรรศการสำหรับฤดูกาลที่ 2 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ซึ่งให้บริการอย่างถาวรตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม บริษัทประมาณ 270 แห่งเข้าร่วมในครึ่งหลังของปีนี้เพื่อขยายอุตสาหกรรมเคมีและความงามของเกาหลีไปทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ความงามและเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมคุณภาพสูง เช่น สี กาว สารลดแรงตึงผิว สารเติมแต่ง และพลาสติก จะถูกจัดแสดงในนิทรรศการนี้ ห้องโถงนิทรรศการเสมือนจริงสองแห่ง ได้แก่ ห้องโถงเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม และ ห้องโถงความงามจะจัดแสดงในรูปแบบ 2D และ 3D ผู้ซื้อสามารถใช้ระบบการประชุมทางวิดีโอ ฟังก์ชันการสนทนา และฟังก์ชันการจองเพื่อรับคำปรึกษา นิทรรศการนี้ดึงดูดผู้ซื้อจากศูนย์กลางการค้าต่างประเทศทั้งหมด 129 แห่งที่ KOTRA เป็นเจ้าของ และจะมีการดำเนินการให้คำปรึกษาทางวิดีโอสำหรับผู้ซื้อที่พบเป็นเวลาหนึ่งเดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม (กราฟิก: Business Wire)

นิทรรศการ K-Chemicals จัดโดยกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงาน และดำเนินการโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าการลงทุนของเกาหลี (KOTRA) และสมาคมอุตสาหกรรมเคมีพิเศษแห่งเกาหลี (KSCIA) และได้ดำเนินการอย่างถาวรตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ปีนี้

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่การแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ยังไม่ลดลง บริษัทประมาณ 270 แห่งเข้าร่วมส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อขยายอุตสาหกรรมเคมีและความงามของเกาหลีไปทั่วโลก

ผลิตภัณฑ์ความงามที่ได้รับความสนใจในระดับสากล รวมถึงเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมคุณภาพสูง เช่น สี กาว สารลดแรงตึงผิว สารเติมแต่ง และพลาสติก จะถูกจัดแสดงในนิทรรศการนี้

สีและกาวคุณภาพสูง สารลดแรงตึงผิว สารเติมแต่ง และพลาสติกจะถูกจัดแสดงที่ห้องโถงเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ในขณะที่ผลิตภัณฑ์จากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เครื่องสำอางที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก จะถูกจัดแสดงที่ห้องโถงความงาม

ห้องโถงนิทรรศการเสมือนจริงสองแห่ง ได้แก่ ห้องโถงเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม และ ห้องโถงความงามจะจัดแสดงในรูปแบบ 2D และ 3D เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถดูได้ในรูปแบบที่ต้องการ ผู้ซื้อสามารถใช้ระบบการประชุมทางวิดีโอ ฟังก์ชันการสนทนา และฟังก์ชันการจองเพื่อรับคำปรึกษาได้ตลอดเวลา นิทรรศการนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศสามารถเยี่ยมชมได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยความสะดวกสบาย และเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาบริษัทและสินค้าที่เข้าร่วม

นอกจากนี้ วิดีโอการประชุมเกี่ยวกับเทรนด์อุตสาหกรรมเคมีของเกาหลี นวัตกรรม K-BEAUTY, EU-REACH, K-REACH และระบบการส่งออกของเกาหลีได้เปิดให้เข้าชมในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อช่วยให้ผู้ซื้อเข้าใจเกี่ยวกับเทรนด์การส่งออกทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย

นิทรรศการออนไลน์ด้านเคมีและความงามจะได้รับการส่งเสริมให้สอดคล้องกับตลาดเป้าหมายผ่านสื่อต่างประเทศและช่อง YouTube และจะเปิดตัวเข้าสู่ตลาดเอเชีย รวมถึงจีนและอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายที่บริษัทต้องการ นิทรรศการนี้ดึงดูดผู้ซื้อจากศูนย์กลางการค้าต่างประเทศทั้งหมด 129 แห่งที่ KOTRA เป็นเจ้าของ และจะมีการดำเนินการให้คำปรึกษาทางวิดีโอสำหรับผู้ซื้อที่พบเป็นเวลาหนึ่งเดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211221005817/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

สมาคมอุตสาหกรรมเคมีพิเศษแห่งเกาหลี
Sungyong Park
+82-2-2088-7256
psy@kscia.or.kr

Beyond2020 ยกระดับการเข้าถึงน้ำของชาวฟิลิปปินส์ 18,000 คนในพื้นที่ชนบทบนที่สูง

Logo

  • การดำเนินโครงการสุดช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูงสองแห่งได้อย่างมีนัยสำคัญด้วยการจัดหาแหล่งน้ำที่เชื่อถือได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันตลอด โดยใช้เทคโนโลยีที่ปราศจากคาร์บอน

อาบูดาบี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–15 ธ.ค. 2564

Beyond2020 หวนคืนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้ง หลังการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนที่สำคัญในอินโดนีเซียและกัมพูชา ด้วยการดำเนินโครงการที่ช่วยยกระดับชีวิตของผู้คน 18,000 คนในฟิลิปปินส์โดยการเพิ่มการเข้าถึงน้ำและลดต้นทุนน้ำอย่างน้อย 85% มีการใช้ปั๊มไฮดรอลิกสี่ตัวและตู้ 13 ตู้เพื่อส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัย 3,000 คนในหมู่บ้าน Cabagnaan ในจังหวัด Negros Occidental กับผู้คน 15,000 คนใน 14 หมู่บ้านทั่วเมือง Altavista ในจังหวัด Leyte

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211215005619/en/

Beyond2020 Philippines (Photo: AETOSWire)

Beyond2020 ฟิลิปปินส์ (ภาพ: AETOSWire)

เทคโนโลระดับนวัตกรรมนี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบที่สร้างขึ้นเมื่อกว่า 240 ปีที่แล้ว ซึ่งนำน้ำขึ้นไปบนเนินโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิง หรือปล่อยก๊าซอันตราย

โครงการ Beyond2020 เปิดตัวโดย Zayed Sustainability Prize ร่วมกับองค์กรชั้นนำหลายแห่ง โดยเป็นตัวอย่างมรดกด้านมนุษยธรรมของบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ Sheikh Zayed bin Sultan Al Nahyan ผู้ล่วงลับ โดยการบริจาคเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่ยั่งยืนให้กับชุมชนที่เปราะบางทั่วโลก การติดตั้งที่ฟิลิปปินส์นับเป็นครั้งที่สิบของการดำเนินโครงการ Beyond2020 ซึ่งจัดการกับความท้าทายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เร่งด่วนที่สุดในโลกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ พลังงานที่จำเป็น และการเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับดื่มและสุขาภิบาล

H.E. Mohammed Obaid Al Zaabi เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำฟิลิปปินส์กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นโครงการด้านมนุษยธรรมที่ใช้อย่างกว้างขวางซึ่งนำโดยรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และความเป็นผู้นำที่ชาญฉลาดในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนทั่วโลก โครงการ Beyond2020 นำเสนอโซลูชั่นที่สำคัญและเปลี่ยนชีวิตให้กับผู้รับผลประโยชน์ทั่วโลก การดำเนินงานในฟิลิปปินส์นำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีน้ำที่เป็นนวัตกรรมแก่ชุมชนที่มุ่งพัฒนาสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของชาวชนบทผ่านผลกระทบระยะยาว ปูทางสำหรับวิถีชีวิตที่ง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และยั่งยืนมากขึ้น”

H.E. Al Zaabi กล่าวเสริมว่า “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และฟิลิปปินส์มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและยั่งยืนมากขึ้นสำหรับประชาชนของพวกเขา ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันยังช่วยเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิดในอดีตของเราในหลาย ๆ ช่องทาง แรงผลักดันในการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรที่สำคัญเพื่อประโยชน์ของชุมชนในฟิลิปปินส์ นอกไปจากการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ยังเกิดขึ้นพร้อมกับการเปิดตัว 'หลักการ 50 ประการ' ของ UAE ที่พยายามกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางที่สำคัญที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมรดกที่ยั่งยืนของ Sheikh Zayed ผู้ล่วงลับซึ่งเป็นบิดาผู้ก่อตั้งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยยึดตามค่านิยมหลักของเขาในด้านความยั่งยืน มนุษยธรรม และความร่วมมือระดับโลก”

ชุมชนของ Cabagnaan และ Altavista ที่ตั้งอยู่บนเกาะต่าง ๆ ต่างก็เผชิญความท้าทายแบบเดียวกัน คือการที่ไม่มีน้ำให้บริการ และต้องดึงน้ำมาจากแหล่งที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน การติดตั้งใช้ระบบตะบันน้ำ แบบองค์รวมของบริษัท Alternative Indigenous Development Foundation, Inc. (AIDFI) ผู้เข้ารอบสุดท้ายรางวัล Zayed Sustainability Prize ประจำปี 2020 ภายใต้หมวด 'น้ำ'

เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ H.E. Hjayceelyn M. Quintana กล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นการเปิดตัวโซลูชั่นที่จำเป็น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนแปลงชีวิตโดยโครงการ Beyond2020 การเข้าถึงและผลกระทบที่โดดเด่นของเทคโนโลยีสนับสนุนแรงผลักดันของรัฐบาลฟิลิปปินส์ในการปรับปรุงบริการสาธารณะและสุขภาพของประชาชนของเรา โดยที่น้ำมีความสำคัญเป็นลำดับแรกสำหรับสวัสดิการสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน”

“เรามั่นใจว่าการระดมปฏิบัติการระดับนานาชาติที่ให้อำนาจและสนับสนุนความสามารถของชุมชนในการเข้าถึงและจัดการแหล่งน้ำจะส่งเสริมผลประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อชีวิตประจำวันของผู้รับผลประโยชน์ ดังนั้นเราจึงขอแสดงความขอบคุณต่อความคิดริเริ่มและพันธมิตรที่มีส่วนร่วมเป็นศูนย์กลางในการทำให้โครงการเป็นจริงในวันนี้”

H.E. Ólafur Grímsson ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัล Zayed Sustainability Prize และอดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ กล่าวว่า “โครงการล่าสุดของ Beyond 2020 ในฟิลิปปินส์แสดงให้เห็นถึงพลังของการใช้ประโยชน์จากโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่จากชุมชนผู้ชนะและผู้เข้ารอบสุดท้ายทั่วโลกของเรา และเป็นการสำรวจความเป็นไปได้ในระยะยาว ความสามารถสำหรับผู้รับผลประโยชน์ ความคิดริเริ่มนี้ยังแสดงให้เห็นถึงพลังของการทำงานร่วมกันระหว่างรางวัล Zayed Sustainability Prize กับพันธมิตร ที่ได้ส่งผลกระทบต่อชุมชนใน 10 ประเทศจนถึงปัจจุบัน โดยมีกำหนดการขยายการใช้งานเพิ่มเติมในปี 2565”

นอกจากการจัดหาน้ำสะอาดสำหรับดื่มและสุขาภิบาลแล้ว เทคโนโลยีที่ปราศจากคาร์บอนยังเปิดโอกาสให้ผู้อยู่อาศัยได้ปรับปรุงหรือดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น สวนผัก การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการเลี้ยงปศุสัตว์ ในขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยมากขึ้นในการหลีกเลี่ยงโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากน้ำ ที่เกิดจากน้ำสกปรก นอกจากนี้ การเข้าถึงสุขอนามัยที่ดีขึ้นยังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากความสำคัญของการล้างมือในการป้องกันการแพร่กระจายของโควิด-19 ซึ่งเป็นข้อกังวลเร่งด่วนสำหรับชุมชนที่เปราะบางทั่วโลก

มีการเปิดตัวโครงการสิบครั้ง ภายใต้โครงการ Beyond2020 โดยมีอีกเก้าดครงการอยู่ในระหว่างดำเนินการ การใช้งานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ได้แก่ โซลูชั่นด้านพลังงาน สุขภาพ น้ำ และอาหารที่สำคัญในเนปาล แทนซาเนีย ยูกันดา จอร์แดน อียิปต์ กัมพูชา มาดากัสการ์ อินโดนีเซีย บังคลาเทศ และฟิลิปปินส์

Beyond2020 รวบรวมพันธมิตรชั้นนำมากมาย ซึ่งรวมถึง Abu Dhabi Fund for Development, Mubadala Petroleum และ Masdar

ดูรายละเอียดของ the Zayed Sustainability Prize เพิ่มเติมได้ที่: https://zayedsustainabilityprize.com/

*แหล่งที่มา: AETOSWire

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211215005619/en/

ติดต่อ:

Medhat Juma
Hill+Knowlton Strategies
โทร: +971 561399482
Medhat.Juma@hkstrategies.com

Erika Spagakou
Hill+Knowlton Strategies
โทร: +971 551398765
Erika.Spagakou@hkstrategies.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ต้นแบบด้านความยั่งยืน

Logo

ซินจู๋, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–2 ธันวาคม 2564

มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ได้รับรางวัล Taiwan University Sustainability Award ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับองค์กรและบริษัทที่อยู่ในไต้หวันและได้รับการยอมรับด้านความยั่งยืน จากงาน Taiwan Corporate Sustainability Awards (TCSA) ครั้งที่ 14 ซึ่งจัดโดยสถาบัน Taiwan Institute for Sustainable Energy (TAISE) เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวามีความโดดเด่นจาก 38 มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ โดยได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในการประเมินภาพรวม และในการแข่งขันรายบุคคลยังได้รับรางวัล Social Inclusion Leadership Award และ University Sustainability Report Gold Award อีกด้วย

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูออย่างเต็มรูปแบบได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211202005031/en/

National Tsing Hua University was awarded the Taiwan University Sustainability Award. President Hocheng Hong (center) and Chief Sustainability Officer Tai Nyan-hwa (second from the left), Sustainability Office Director Lin Fu-ren (first from the left), Vice President and Chief of Staff King Chung-Ta (second from the right), Dean of International College Doong Ruey-an (first from the right). (Photo: National Tsing Hua University)

มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ได้รับรางวัล Taiwan University Sustainability Award. Hocheng Hong (กลาง) อธิการบดี และ Tai Nyan-hwa (คนที่สองจากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืน, Lin Fu-ren (คนแรกจากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานความยั่งยืน, King Chung-Ta (คนที่สองจากขวา) รองอธิการบดีและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพนักงาน), Doong Ruey-an (คนแรกจากขวา) คณบดีวิทยาลัยนานาชาติแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (ภาพ: มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา)

คณะกรรมการตัดสินกล่าวถึงแนวทางที่เป็นแบบอย่างซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาได้บ่มเพาะจากความสามารถหลัก ๆ ด้านการสอนและการวิจัยเพื่อตอบสนองต่อการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมตามข้อกำหนดของการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการดำเนินโครงการรณรงค์ทั่วทั้งวิทยสาขาเพื่อลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ พวกเขายังประทับใจในจรรยาบรรณการทำงานของมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาที่เน้นความหลากหลายและความเท่าเทียม ตลอดจนการมอบรางวัลให้แก่คณาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการวิจัย การสอน การให้คำปรึกษา และการบริการสาธารณะ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีต่อสังคมในวงกว้างและช่วยยกระดับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยในระดับนานาชาติ ในแง่ของความยั่งยืนนั้น มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาได้แสดงออกตามคำขวัญของมหาวิทยาลัยเสมอมา โดยคำขวัญนั้นคือ การเป็นตัวของตัวเองและช่วยดูแลธรรมชาติ “To Oneself Be True, Give Nature Its Due” 

Hocheng Hong อธิการบดีมหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความงามตามธรรมชาติของมหาวิทยาลัยเดินหน้าไปพร้อมกับหลักการของความยั่งยืน นอกเหนือจากการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในไต้หวันที่แต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืนแล้ว มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวายังมีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนในระดับปริญญาตรีทั้งหมด 517 หลักสูตร และระดับบัณฑิตศึกษา 216 หลักสูตร ซึ่งรวมกันเป็น 13% ของหลักสูตรในมหาวิทยาลัย

Tai Nyan-hwa รองอธิการบดีอาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่ด้านความยั่งยืนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาชี้ให้เห็นว่า เพื่อให้แนวคิดเรื่องความยั่งยืนในทุกระดับลึกซึ้งยิ่งขึ้น ฝ่ายธุรการและวิชาการแต่ละแห่งจึงได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ด้านความยั่งยืน โดยทั้ง 26 คนเป็นสมาชิกของคณะกรรมการความยั่งยืน ซึ่งจะมีการประชุมกันทุก ๆ สองเดือนเพื่อหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงและพัฒนาล่าสุดและประสานงานการดำเนินการต่าง ๆ

Lin Fu-ren ผู้อำนวยการสำนักงานความยั่งยืน กล่าวว่า เนื่องจากการวิจัย การสอน และการบริการสาธารณะเป็นงานที่สำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัย ความพยายามในช่วงแรก ๆ ของมหาวิทยาลัยเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนจึงเน้นที่การส่งเสริมให้ครู นักวิจัย และนักศึกษาบูรณาการหลักการของความยั่งยืนเข้าไว้ในงานที่กำลังปฏิบัติอยู่ คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาจำนวนมากกำลังดำเนินการวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ 17 เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ในกระบวนการนี้ พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่าการมุ่งความสนใจไปที่ปัญหาจะช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้อย่างไร

Lin Fu-ren กล่าวอีกว่านอกเหนือจากทุน Rising Sun ที่สนับสนุนนักเรียนที่ด้อยโอกาสทางการเงินอย่างต่อเนื่องแล้ว มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวายังได้จัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ประสบความยากลำบากอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เชื่อมโยงกับเป้าหมายความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติที่ว่า “ความยากจนจะต้องไม่มี” และ “การศึกษาที่มีคุณภาพ”

Lin Fu-ren ยังชี้ให้เห็นอีกว่าการทำให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นจริงนั้นต้องหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืนไว้ในหัวใจของนักศึกษา ดังนั้นเมื่อเรียนจบ เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะงอกงามและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในสังคม

ดูเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211202005031/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh
มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา
(886)3-5162006
hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Farmhouse Aurora Bangkok Bank Café Amazon King Power M-150 PTT Station Thai Life Insurance และ TrueOnline คว้ารางวัล World Branding Awards ประจำปี 2564 ที่จัดขึ้นเสมือนจริง

Logo

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–30 พฤศจิกายน 2564

งานประกาศรางวัล World Branding Awards ครั้งที่สิบสี่ มีแบรนด์มากกว่า 500 แบรนด์จากกว่า 60 ประเทศที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “แบรนด์แห่งปี” หรือ “Brand of the Year” และต้อนรับบรรดาผู้เยี่ยมเยือนกว่า 100 คนทั่วโลกเพื่อเชื่อมต่อจากระยะทางไกลและเฉลิมฉลองความสำเร็จของพวกเขาในพิธีเสมือนจริงครั้งแรกของฟอรั่ม

Spotify, Zoom, Yakult, Netflix, Amazon, The Lego Group, Neutrogena, Nescafé, Heinz, L'Oréal, Starbucks, Google และ VISA เป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของโลกที่ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชนะระดับโลกในพิธีออนไลน์ครั้งแรกที่พระราชวังเคนซิงตัน

ผู้ชนะจากประเทศไทย ได้แก่ Aurora, Bangkok Bank, Café Amazon, King Power, M-150, PTT Station, Thai Life Insurance และ TrueOnline ผู้ชนะระดับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ Airland (ฮ่องกง), Sinarmas Land (อินโดนีเซีย), Tanduay (ฟิลิปปินส์), ToastBox (สิงคโปร์), Tanishq (อินเดีย), Nahdi (ซาอุดีอาระเบีย), Natural Aqua Gel Cure (ญี่ปุ่น) เป็นต้น

โดยมีเพียงสิบสองแบรนด์เท่านั้นที่ได้รับเลือกให้ได้รับรางวัลระดับภูมิภาคในปีนี้ ได้แก่ Farmhouse, H&M, Mr D.I.Y., De’Longhi และ Pandora ซึ่งเป็นผลงานที่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นสามารถผ่านกระบวนการเสนอชื่อ ตัดสิน และประเมินผลที่ไม่เหมือนใครของฟอรั่ม ทั้งนี้ต้องใช้ 70 % ของการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคเพื่อค้นหาแบรนด์ที่ชื่นชอบของสาธารณชน

“ปี 2564 เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับธุรกิจทั่วโลก โดยโควิด-19 บีบคั้นแบรนด์ต่าง ๆ มากมายให้ปรับตัวสู่ความปกติใหม่ และรางวัลดังกล่าวก็เฉลิมฉลองให้กับความพยายามที่ธุรกิจเหล่านี้ได้ทุ่มเทให้กับการสร้างแบรนด์และการตลาด ผู้ชนะแต่ละคนได้รับความรักและความไว้วางใจจากผู้บริโภค และรางวัลนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสิ่งนี้” Richard Rowles ประธาน World Branding Forum กล่าว

โดยมีการโหวตของผู้บริโภคมากกว่า 1.3 ล้านคนตั้งแต่เริ่มต้นของรางวัล และในปีนี้ผู้บริโภคมากกว่า 345,000 คนเข้าร่วมในกระบวนการเสนอชื่อทั่วโลก โดยเฉลี่ยแล้วมีแบรนด์ที่ชนะเพียง 7 แบรนด์ในแต่ละประเทศ การพิสูจน์ว่าการได้รับรางวัล World Branding Award ถือเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นอย่างแท้จริง

งานนี้จัดโดยพิธีกรรายการโทรทัศน์ Jemma Forte และฟอรั่มวางแผนที่จะกลับไปจัดที่พระราชวังเคนซิงตันในปีหน้า

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อผู้ชนะทั้งหมด สามารถเยี่ยมชมได้ที่ awards.brandingforum.org

###

เกี่ยวกับ the World Branding Awards

World Branding Awards เป็นรางวัลระดับพรีเมียร์ของ World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่จดทะเบียน รางวัลดังกล่าวเป็นการยกย่องความสำเร็จของแบรนด์ชั้นนำของโลกบางส่วน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://awards.brandingforum.org

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211130005606/en/

ติดต่อ:

Kira Heather
media@brandingforum.org
+44(0)2037439880

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผู้บรรยายระดับสูงประกาศเปิดตัวการประชุม Global Business Forum ASEAN ครั้งแรกในดูไบ

Logo

ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–29 พฤศจิกายน 2564  

รัฐมนตรีของรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สามคนจะเข้าร่วมกับรัฐมนตรีจากสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ในการประชุม Global Business Forum ASEAN ครั้งแรก ซึ่งจะจัดขึ้นที่งาน Expo 2020 Dubai ในวันที่ 8-9 ธันวาคม

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211129005531/en/

HE Hamad Buamim, President and CEO, Dubai Chamber (Photo: AETOSWire)

HE Hamad Buamim, ประธานและซีอีโอของ Dubai Chamber (ภาพ: AETOSWire)

การประชุมนี้จัดโดย Dubai Chamber ร่วมกับงาน Expo 2020 Dubai โดยการประชุม GBF ASEAN จะจัดขึ้นภายใต้เรื่อง The New Frontiers ที่ประชุมประกอบไปด้วยผู้บรรยายมากกว่า 40 คนและการอภิปรายกันเป็นคณะ 25 กลุ่ม โดยจะสำรวจแรงผลักดันที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศอาเซียนและโอกาสในการเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้า ธุรกิจ และการลงทุนระดับทวิภาคีระหว่างสองภูมิภาค

H.E Reem Al Hashemi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ และผู้อำนวยการใหญ่ของงาน Expo 2020 Dubai; H.E Omar Sultan Al Olama รัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัลและการประยุกต์ใช้งานทางไกล และ H.E. Dr Thani Al Zeyoudi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศ จะเป็นผู้แทนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่การประชุม GBF ASEAN

รัฐมนตรีทั้งสามของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะเป็นผู้บรรยายในงานนี้ร่วมกับ H.E. Abdul Aziz Al Ghurair ประธานคณะกรรมการของ Dubai Chambers และ H.E. Hamad Buamim ประธานและ ซีอีโอ ของ Dubai Chamber

รัฐมนตรีจากภูมิภาคอาเซียนที่เข้าร่วมการประชุม ได้แก่ H.E Ramon Lopez เลขาธิการ (รัฐมนตรี) กรมการค้าและอุตสาหกรรม สาธารณรัฐฟิลิปปินส์; H.E William Dar เลขาธิการ (รัฐมนตรี) กรมวิชาการเกษตร สาธารณรัฐฟิลิปปินส์; H.E. Fortunato De La Pena เลขาธิการ (รัฐมนตรี) เลขานุการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองประธานสภาอวกาศแห่งฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์; H.E. Dato Lim Jock Hoi เลขาธิการใหญ่ สำนักเลขาธิการอาเซียน; และ Mohmed Razip Haji Hasan ผู้อำนวยการใหญ่ ศูนย์การท่องเที่ยวอิสลาม

“กลุ่มผู้บรรยายที่มีความสามารถสูงเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และประเทศในกลุ่มอาเซียนในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการประสานความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนที่มีอยู่ โดยมีศักยภาพมากมายที่จะสร้างความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่างธุรกิจของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และคู่ค้าในอาเซียน และเราตั้งตารอที่จะสำรวจสิ่งนั้นในที่เข้าร่วมการประชุมที่จะเกิดขึ้น” H.E. Hamad Buamim ประธานและ CEO ของ Dubai Chamber กล่าว

หมายเหตุบรรณาธิการ

หน่วยงานการค้าและอุตสาหกรรมแห่งดูไบก่อตั้งขึ้นในปี 2508 เป็นหน่วยงานสาธารณะที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยมีภารกิจในการเป็นตัวแทน สนับสนุน และปกป้องผลประโยชน์ของชุมชนธุรกิจในดูไบด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ และ โดยส่งเสริมให้ดูไบเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ

*แหล่งที่มา: AETOSWire

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211129005531/en/

ติดต่อ:

Ruba Abdel Halim
Manager, PR & Corporate Communications, +97142028450
ruba.halim@dubaichamber.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

เศรษฐกิจทางทะเลเริ่มเฟื่องฟูในเซียะเหมินในช่วงแผน 5 ปีที่ 14

Logo

เซียะเหมิน จีน–(บิสิเนสไวร์)–26 พ.ย. 2564

เศรษฐกิจทางทะเลของเซียะเหมินคาดว่าจะเปิดรับการพัฒนาคุณภาพสูงในช่วงแผนห้าปีที่ 14 (พ.ศ. 2564-2568) เนื่องจากเพิ่งได้รับการรับรองสถานะเมืองชั้นนำในภาคส่วนทางทะเลที่กำลังพัฒนาในมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกของจีน

ทางเทศบาลได้ออกแผนพัฒนาสองแผน ซึ่งระบุว่าควรมีการส่งเสริมบทบาทของตนในการหนุนเศรษฐกิจทางทะเลของจังหวัด

ตามแผนดังกล่าว เซียะเหมินจะจัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมทางทะเลโดยส่งเสริมความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์

โดยจะเร่งสร้างเขตสาธิตระดับชาติสำหรับเศรษฐกิจทางทะเล จะมีการสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวภาพทางทะเลและสร้างฐานอุปทานทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์ทะเล

เซียะเหมินจะส่งเสริมแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ ของการเติบโตทางเศรษฐกิจทางทะเล เช่น การสร้างตัวเองเป็นศูนย์การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตะวันออกเฉียงใต้ และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบขนส่งทางเรือเดินทะเล

แผนดังกล่าวระบุว่าในปี 2565 เซี่ยเหมินจะจัดตั้งระบบอุตสาหกรรมทางทะเลที่ทันสมัย ​​โดยได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมทางทะเลที่เกิดขึ้นใหม่ การประมงสมัยใหม่ การขนส่งท่าเรือ และการท่องเที่ยวชายฝั่งระดับไฮเอนด์

รัฐบาลท้องถิ่นยังได้เพิ่มความพยายามในการปรับปรุงความสามารถในการวิจัยขั้นพื้นฐาน และสร้างกลุ่มสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทางทะเล โดยได้ออกมาตรการสนับสนุนมากมายเพื่อกระตุ้นพลังของนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นอกจากนี้ยังคาดว่าจะสร้างสวนอุตสาหกรรมไฮเทคสำหรับอุตสาหกรรมทางทะเลในเซียะเหมินซึ่งจะผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมทางทะเลระดับไฮเอนด์

ด้วยการสนับสนุนจากความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมทางทะเลของเซียะเหมินจะสูงถึง 3 แสนล้านหยวนภายในปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะคิดเป็น 30% ของจีดีพีทั้งหมดของเมือง

ในฐานะเมืองท่าสำคัญของเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 เซียะเหมินจะพยายามดึงดูดผู้ประกอบการทางทะเลระดับโลกและเทคโนโลยีหลัก ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในเซียะเหมินไปต่างประเทศ และเปิดกว้างขึ้นเพื่อร่วมมือในเศรษฐกิจทางทะเล

เมืองนี้จะพัฒนาตนเองให้เป็นเมืองท่าระดับโลก เมืองท่องเที่ยวริมชายฝั่งระดับนานาชาติ ศูนย์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางทะเลสำหรับประเทศและภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ตลอดจนแบบจำลองระดับโลกสำหรับการกำกับดูแลระบบนิเวศทางทะเล

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/2021126005477/en/

ติดต่อ:

Lorraine Yuan
lorraine@hehutech.cn 
13911130781

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ZOVOO จัดการประชุมผู้จัดจำหน่ายเพื่อสร้างสีสันในวงการอุตสาหกรรม Atomization

Logo

เซินเจิ้น ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–26 พฤศจิกายน 2564

ZOVOO บริษัทผลิตละอองชั้นนำของอุตสาหกรรมแห่งใหม่ได้จัดการประชุมผู้จัดจำหน่ายปี 2564 ทางออนไลน์เมื่อเวลา 21.30 น. (GMT +8) ของวันที่ 12 พฤศจิกายน โดยมีผู้จัดจำหน่ายจากประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และประเทศอื่น ๆ เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ในขณะเดียวกัน ZOVOO ยังได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์ชุด DRAGBAR แบบใช้แล้วทิ้งที่พัฒนาขึ้นใหม่ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากผู้จัดจำหน่ายทั่วโลก

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211126005521/en/

(Photo: Business Wire)

(ภาพ: Business Wire)

ZOVOO ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 ซึ่งมีการวิจัยที่ล้ำหน้าสลับซับซ้อนและการพัฒนาประสิทธิภาพ การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มองกาลไกล และระบบซัพพลายเชนที่สมบูรณ์แบบ ทีมผู้ก่อตั้ง ZOVOO มีความแข็งแกร่งและประสบการณ์เป็นเวลา10 ปีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว พวกเขามีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ในมุมมองของวัสดุทำความร้อน การออกแบบโครงสร้างช่องอากาศ ฯลฯ และสร้างเกณฑ์ห้าประการของสารที่ให้รสชาติและกลิ่นที่ดี การกำเนิดของแต่ละผลิตภัณฑ์ต้องผ่านการวิจัยและพัฒนา การออกแบบ การผลิต การทดสอบ และอื่น ๆ ทุกรายละเอียดสมบูรณ์แบบ เพียงเพื่อมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและปลอดภัย ตัวอย่างเช่น การกำเนิดของสารที่ให้รสชาติและกลิ่นที่เข้มข้นมาจากแนวคิดนวัตกรรม 5 ประการของ ZOVOO ในความหวาน นุ่ม กลมกล่อม หอมกรุ่น และทรงพลัง ZOVOO ค้นคว้าวิจัยผู้ใช้ทั่วโลก 3,000 รายและทำการวิจัยล่วงหน้ากว่า 300 รสชาติ เพื่อสร้างระบบเนบิวลาของรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

ZOVOO มุ่งมั่นที่จะสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้ผลิต ICCPP โดยอาศัยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ZOVOO บรรลุการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนผ่านการสนับสนุนและความร่วมมือในมาตรฐานความปลอดภัย ค่านิยมทางสังคม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ZOVOO มีส่วนสนับสนุนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมด้วยการออกแบบที่เรียบง่าย เพิ่มประสิทธิภาพบรรจุภัณฑ์ ใช้วัสดุใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการรีไซเคิล และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่ความพึงพอใจทางประสาทสัมผัสของผู้ใช้ ซึ่งแปลเป็นตัวชี้วัดทางวิทยาศาสตร์ มาตรฐานการผลิต และข้อควรพิจารณาด้านความปลอดภัยเพื่อให้ตรงกับความต้องการที่แตกต่างกัน

ผลิตภัณฑ์สามอย่างของ DRAGBAR ที่กำลังจะมาถึงมีชื่อว่า DRAGBAR 600, DRAGBAR 1000 และ DRAGBAR 2200 โดย DRAGBAR ใช้กระบวนการฉีดขึ้นรูปคู่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและใช้สีสันจัด ๆ ที่ตัดกันอย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดูดี มีรสนิยมดี และมีคุณภาพดีเยี่ยม เพื่อตอบสนองต่อปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค อย่างเช่น การรั่วไหลของน้ำยาและมีกลิ่นไหม้ ZOVOO ได้ใช้คอตตอนพอลิเมอร์และปากเป่าที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ในขณะเดียวกันก็รับประกันรสชาติและฟื้นฟูผลิตภัณฑ์ ซึ่ง DRAGBAR มีถึงสิบรสชาติที่แตกต่างกัน รวมถึงกลิ่นแตงโม มะม่วง องุ่น และ OMG ฯลฯ ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาด

ZOVOOไม่ได้กำหนดโดยป้ายกำกับ ไม่ผูกพันตามวัย กล้าที่จะไม่เหมือนใคร สร้างสรรค์สิ่งที่แตกต่าง ZOVOO เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ในอนาคต ZOVOO จะทุ่มเทเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของไอระเหยทั่วโลกและจัดหาทางเลือกสำหรับผู้สูบบุหรี่ การสร้างโลกใบใหม่ที่มีบุคลิกภาพและจิตวิญญาณ ZOVOO จะนำประสบการณ์ที่แตกต่างและยอดเยี่ยมมาสู่ไอระเหยทั่วโลก

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211126005521/en/

ติดต่อสื่อ: Tingkai Xu
ตำแหน่ง: ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์ (Senior PR Manager):
หมายเลขโทรศัพท์: 15957944779

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation มุ่งมั่นที่จะป้องกันและยุติความรุนแรงทางเพศทั่วโลก

Logo

ความมุ่งมั่นสู่แนวร่วมปฏิบัติยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมต่อความรุนแรงทางเพศและความร่วมมือครั้งใหม่กับกองทุนแห่งสหประชาชาติเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี (UN Trust Fund to End Violence against Women) และ CARE ตอกย้ำพันธกิจของแบรนด์ในการปกป้องสตรีและเด็กผู้หญิงทั่วโลก

แดลลัส–(BUSINESS WIRE)–24 พฤศจิกายน 2564

เนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากลที่กำลังจะมาถึงเพื่อรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงทางเพศเป็นเวลา 16 วัน Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ในวันนี้ประกาศคำมั่นสัญญาร่วมกันในการป้องกันและยุติความรุนแรงทางเพศโดยเข้าร่วมกลุ่มแนวร่วมปฏิบัติยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมต่อความรุนแรงทางเพศ ความมุ่งมั่นที่องค์กรต่าง ๆ ได้เปิดเผยต่อสาธารณะในระหว่างการประชุมยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมล่าสุดขององค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ในกรุงปารีส เป็นเพียงแค่ขั้นตอนล่าสุดสตอรี่บิวตี้แบรนด์และกำลังด้านการกุศลที่ได้จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาชีวิตของผู้หญิงในทุก ๆ ที่

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211124005749/en/

Vesna Jaric, Officer-In- Charge, UN Trust Fund to End Violence against Women (Photo: Mary Kay Inc.)

Vesna Jaric เจ้าหน้าที่ดูแลกองทุน UN Trust Fund เพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี (ภาพ: Mary Kay Inc.)

แนวร่วมปฏิบัติยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมต่อความรุนแรงทางเพศนำโดย UN Women และกองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women (UN Trust Fund) ท่ามกลางผู้นำคนอื่น ๆ เป็นขบวนการระดับโลกที่ทรงพลังที่ระดมรัฐบาล องค์กรระหว่างประเทศ การกุศล และภาคเอกชนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การยุติความรุนแรงทางเพศผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรมสี่ประการ:

  • การสร้างนโยบายที่เอื้ออำนวยสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและทรัพยากร;
  • ขยายขนาดโปรแกรมป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วยหลักฐาน;
  • ขยายบริการที่ครอบคลุม เข้าถึงได้ และมีคุณภาพสำหรับผู้รอดชีวิต
  • เปิดใช้งานและเพิ่มขีดความสามารถองค์กรอิสระที่นำโดยเด็กผู้หญิงและสิทธิสตรีเพื่อฝึกฝนความเชี่ยวชาญของพวกเขา

เป้าหมายของแนวร่วมปฏิบัติยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมต่อความรุนแรงทางเพศ คือการมีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงมากกว่า 550 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มีกฎหมายและนโยบายของการยุติการใช้ความรุนแรงทางเพศทุกรูปแบบต่อสตรีและเด็กผู้หญิงภายในปี 2569 รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในระหว่างการประชุม UN Women มุ่งมั่นที่จะขยายการสนับสนุนและให้เงินช่วยเหลือแก่องค์กรด้านสิทธิสตรีด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อจัดหาเงินสนับสนุนขั้นต่ำที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อจัดสรรผ่านกองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women (UN Trust Fund) ในอีกห้าปีข้างหน้า

“มีวิกฤตการณ์ระดับโลกเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ” Ryan Rogers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Mary Kay Inc. และรองประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ Mary Kay Ash FoundationSM กล่าว “ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงนั้นไม่ได้รับการรายงานเป็นจำนวนมาก แต่คาดว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงและ 1 ใน 4 ของเด็กผู้หญิงวัยรุ่นเคยประสบกับความรุนแรงทางร่างกายหรือทางเพศจากคู่รักที่สนิทสนม เราต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่ปี 2543 มูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ได้มอบเงินมากกว่า 58 ล้านดอลลาร์ให้กับที่พักพิงสำหรับความรุนแรงในครอบครัว ความมุ่งมั่นของเราต่อแนวร่วมปฏิบัติการว่าด้วยความรุนแรงทางเพศจะช่วยให้เราสามารถขยายความช่วยเหลือนั้นออกไปได้อีก”

“ตั้งแต่ปี 2506 Mary Kay ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับปรุงชีวิตของเด็กผู้หญิงและผู้หญิงในทุกที่” Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Mary Kay Inc. กล่าว “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมกับรัฐบาล ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนทั่วโลกที่มีความปรารถนาคล้ายคลึงกันในคำมั่นสัญญาที่จะป้องกันและยุติความรุนแรงทางเพศ การบรรลุถึงความเท่าเทียมที่แท้จริงจะเปลี่ยนแปลงโลกตามที่เรารู้กัน การลงทุนในสตรีคือความดีที่ทรงอานุภาพที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย”

ปีที่แล้ว Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ได้ร่วมมือกับกองทุน United Nations Trust Fund to End Violence against Women (UN Trust Fund) และ CARE ซึ่งเป็นสองผู้สนับสนุนสิทธิสตรีเพื่อสานต่อภารกิจเพื่อบรรลุโลกที่ปราศจากความรุนแรงต่อผู้หญิง

ตั้งแต่ปี 2539 กองทุน UN Trust Fund ได้สนับสนุนองค์กร 609 แห่งมูลค่ารวม 198 ล้านดอลลาร์ใน 140 ประเทศและภูมิภาค โดยลงทุนในนวัตกรรมและแนวทางแก้ปัญหาที่นำโดยประชาสังคมตามหลักฐาน และการริเริ่มที่เปลี่ยนแปลงชีวิตในระดับชาติและระดับท้องถิ่นผ่านการเป็นพันธมิตรกับกองทุน UN Trust Fund ซึ่ง Mary Kayได้สนับสนุนการระดมทุนโครงการที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อปกป้องผู้หญิงและเด็กผู้หญิงใน 68 ประเทศและภูมิภาคในปี 2564

ในปี 2564 กองทุน UN Trust Fund ครบรอบ 25 ปีของการให้ทุน การสนับสนุน และความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรสิทธิสตรี ในวันครบรอบการก่อตั้ง กองทุนขอเชิญชวนทุกคนให้ลงมือทำและเข้าร่วมโครงการผ่านการระดมทุน crowdfunding challenge #Give25forUNTF25 เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรสิทธิสตรีจะได้รับเงินทุนระยะยาวและยืดหยุ่นได้

“กองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women ซึ่ง Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ได้ร่วมมือกันเพื่อบรรลุความทะเยอทะยานของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 5 และยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงด้วยการรับประกันเงินทุนระยะยาว เป็นแกนหลัก และยืดหยุ่นเพื่อองค์กรสิทธิสตรีต่าง ๆ ทั่วโลกที่ตอบสนองต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่รอดชีวิตเป็นครั้งแรก” Vesna Jaric เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบกองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women กล่าว “ในขณะที่โลกยังคงประสบกับวิกฤตหลายครั้งและเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับอัตราการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงที่เพิ่มมากขึ้น การคุกคามต่อสิทธิสตรี การเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนมีความสำคัญเท่าที่เคยมีมาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลก”

CARE ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 เป็นองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่ทำงานทั่วโลกเพื่อช่วยชีวิต ขจัดความยากจน บรรลุความยุติธรรมทางสังคม และต่อสู้เพื่อสตรีและเด็กหญิง ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงเป็นจุดสนใจหลักของ CARE เนื่องจากหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการจัดการกับความไม่เท่าเทียมกันทางเพศเป็นกุญแจสำคัญในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ การเอาชนะความยากจน และทำให้มั่นใจว่าทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมั่นคง ในปี 2563 Mary Kay ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรระดับโลกกับ CARE เพื่อสนับสนุนแคมเปญ Crisis Response Campaign ขององค์กร และมุ่งมั่นที่จะขจัดความรุนแรงทางเพศในทุก ๆ ที่ ซึ่งรวมถึงเกณฑ์การตั้งค่าด้านมนุษยธรรม

“เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่จะบรรลุความเท่าเทียมกัน เมื่อความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศคุกคามความปลอดภัยของพวกเขาทุกวัน” Michelle Nunn ประธานและซีอีโอของ CARE กล่าว “ทั่วทั้งโลกในกรณีของความรุนแรงทางเพศได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ด้วยมีการโทรเข้าสายด่วนเพิ่มขึ้น 5 เท่าในบางประเทศและผู้หญิงถูกกักขังอยู่กับผู้ล่วงละเมิด Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ร่วมมือกับ CARE เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถลดความเสี่ยงของความรุนแรงทางเพศและให้การดูแลที่ครอบคลุมสำหรับผู้รอดชีวิต ในช่วง 16 วันของกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง เราขอร้องให้สาธารณชนเข้าร่วมกับเราในการตอบรับการโทรและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและสังคมเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงทั่วโลก”

Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundation ร่วมสนับสนุนสิทธิสตรีทั่วโลกในการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของกองทุน UN Trust Fund to End Violence against Women และครบรอบ 75 ปีของ CARE

สาระสำคัญระดับโลกที่กำหนดโดยแคมเปญ UN Secretary-General’s UNiTE Campaign สำหรับกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง 16 วัน ของปี 2564 เพื่อต่อต้านความรุนแรงทางเพศ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2564 ในหัวข้อ Orange the world: ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงเดี๋ยวนี้! หรือ Orange the world: End violence against women now!”

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นเกือบ 58 ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมาย 3 ข้อได้แก่ มอบโอกาสให้กับผู้หญิง ผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และสร้างโลกให้น่าอยู่ ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay Inc. ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอม  Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขาด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลก โดยมุ่งเน้นที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง การปกป้องช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว สร้างความสวยงามให้กับชุมชน และสนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้ทำตามความฝันของพวกเขา วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกาย – และนำพาสู่ความสำเร็จไปทีละขั้น เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mary Kay ได้ที่ MaryKay.com

เกี่ยวกับมูลนิธิ Mary Kay Ash FoundationSM

เพื่อสานต่อความฝันของ Mary Kay Ash ในการส่งเสริมชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก มูลนิธิ Mary Kay Ash FoundationSM ได้ระดมทุนและทำการแจกจ่ายเพื่อลงทุนในการวิจัยโรคมะเร็งเพื่อค้นหาวิธีรักษาโรคมะเร็งที่มักเกิดกับผู้หญิง และเพื่อยุติผลกระทบความรุนแรงต่อผู้หญิงภายในประเทศ ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา มูลนิธฺ Mary Kay FoundationSM ได้มอบเงินบริจาคมากกว่า 80 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรต่าง ๆ ที่ทำงานสอดคล้องกับพันธกิจของมูลนิธิโดยให้ความสำคัญอย่างเท่ากัน นอกเหนือจากนั้นมูลนิธิยังสนับสนุนโครงการสร้างการรับรู้ โครงการเข้าถึงชุมชน และการสนับสนุนช่วยเหลือการร่างกฏหมายเพื่อให้ผู้หญิงมีสุขภาพดีและปลอดภัย พร้อมกันนั้นก็สร้างโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นสำหรับผู้หญิง ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้ความรู้ การสนับสนุน อาสาสมัคร และการบริจาค รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือชีวิตเพื่อสร้างแรงผลักดันแก่ผู้หญิง กรุณาเยี่ยมชม marykayfoundation.org ค้นหาเราได้ทาง Facebook และ Instagram หรือติดตามเราได้ที่ Twitter

เกี่ยวกับ United Nations Trust Fund to End Violence against Women

กองทุน United Nations Trust Fund to End Violence against Women (UN Trust Fund) ซึ่งบริหารจัดการโดย UN Women ในนามของระบบ UN system เป็นการให้ทุนระดับโลกเพียงกลไกเดียวที่อุทิศให้กับการขจัดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในทุกรูปแบบโดยเฉพาะ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้สนับสนุนองค์กร 609 แห่ง ลงทุนในโซลูชั่นที่นำโดยภาคประชาสังคมที่เป็นนวัตกรรมและอิงตามหลักฐาน และโครงการที่เปลี่ยนแปลงชีวิต โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนมุ่งเน้นไปที่การป้องกันความรุนแรง การนำกฎหมายและนโยบายไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขและยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิง และการปรับปรุงการเข้าถึงบริการที่จำเป็นสำหรับผู้รอดชีวิต เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ untf.unwomen.org  และติดตามเราบน FacebookInstagram และ Twitter

เกี่ยวกับ CARE

CARE ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 โดยมีการสร้าง CARE Package® เป็นองค์กรด้านมนุษยธรรมชั้นนำที่ต่อสู้กับความยากจนทั่วโลก CARE มีประสบการณ์มากกว่าเจ็ดทศวรรษในการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินในช่วงวิกฤต การตอบสนองวิกฤตการณ์ของเรามุ่งเน้นไปที่ความต้องการของกลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุดโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงและผู้หญิง ซึ่งปีที่แล้ว CARE ทำงานใน 100 ประเทศและเข้าถึงผู้คนเกือบ 70 ล้านคนทั่วโลก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.care.org

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211124005749/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย








Women’s Entrepreneurship Accelerator ร่วมมือกับ WE Empower UN SDG Challenge เพื่อเพิ่มผลกระทบต่อการพัฒนาของผู้ประกอบการสตรี

Logo

WE Empower Challenge เป็นโปรแกรมที่นำโดย Vital Voices และ Global Futures Laboratory ที่มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต เป็นการแข่งขันครั้งแรกสำหรับผู้ประกอบการทางสังคมสตรี

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–20 พฤศจิกายน 2564

Women's Entrepreneurship Accelerator (WEA) เป็นโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์แบบหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายที่จัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานของสหประชาชาติ 5 แห่งและ Mary Kay Inc. เพื่อสนับสนุน Global Entrepreneurship Week และ Women’s Entrepreneurship Day ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยประกาศความร่วมมือกับ WE Empower UN SDG challenge ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งแรกสำหรับผู้ประกอบการเพื่อสังคมสตรีทั่วโลก

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211120005125/en/

Women’s Entrepreneurship Accelerator Logo (Graphic: WEA)

โลโก้ Women’s Entrepreneurship Accelerator (กราฟิก: WEA)

WEA เป็นโครงการที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มผลกระทบทางด้านการพัฒนาของผู้ประกอบการสตรีในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยสำหรับผู้ประกอบการสตรีที่ส่งเสริมการเติบโต ความยั่งยืน และความยืดหยุ่น พันธมิตรของสหประชาชาติ หรือ UN ของ WEA ได้แก่ ความร่วมมือระหว่างองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC) ข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (UNGC) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) 

WE Empower UN SDG Challenge คือการแข่งขันทางธุรกิจระดับโลกสำหรับผู้ประกอบการสตรีที่กำลังก้าวไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนทั้งหมดในการดำเนินการเพื่อสร้างโลกที่พวกเขาต้องการภายในปี 2573 WE Empower UN SDG Challenge เป็นเกียรติแก่ผู้ประกอบการสตรีที่กำลังก้าวไปสู่ SDGs ผ่านการดำเนินธุรกิจ โอกาสดังกล่าวเป็นการยกย่องผลงานที่เป็นนวัตกรรมของพวกเขา จุดประกายความตระหนักเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมอันมีค่าของผู้ประกอบการสตรีที่สามารถนำไปสู่ ​​SDGs และจัดการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความเชื่อมโยงกับผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจทั่วโลกให้แก่ผู้ได้รับรางวัล

โปรแกรมดังกล่าวยกระดับและแสดงผลงานอันมีค่าที่ผู้ประกอบการสตรีและผู้นำทางธุรกิจสามารถมอบให้กับ SDGs และแก้ปัญหาความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก WE Empower นำโดย Vital Voices และ Julie Ann Wrigley Global Futures Laboratory ที่มหาวิทยาลัย ASU และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่ Bank of Montréal (BMO), Diane von Furstenberg, G5 Collective, GroYourBiz, Hawaii Tropical Botanical Garden, Mary Kay, Inc., Oxford University Said Business School, Procter & Gamble, Salesforce, มูลนิธิสหประชาชาติ (UN Foundation) และธนาคารโลก (World Bank)

“WE Empower SDG Challenge แสดงให้เห็นอย่างทรงพลังว่าผู้ประกอบการสตรีเป็นแบบอย่างในอุดมคติที่แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานในเชิงบวกของธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay, Inc. กล่าว “Women's Entrepreneurship Accelerator ได้รับเกียรติให้เป็นพันธมิตรกับ WE Empower กลุ่มพันธมิตรกว่า 70 รายที่ร่วมมือกันเพื่อสร้างผลกระทบที่ทวีคูณยิ่งขึ้น”

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เฉลิมฉลองความร่วมมือกับ Women's Entrepreneurship Accelerator ซึ่งร่วมก่อตั้งโดย WE Empower พันธมิตรชั้นนำของ Mary Kay, Inc.” ประธานร่วมของ WE Empower UN SDG Challenge และ Amanda Ellis ของ ASU Julie Ann Wrigley Global Futures Laboratory กล่าว “ผู้ประกอบการสตรีเป็นผู้แก้ปัญหาที่มีคุณค่าสำหรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประชาชาติและวาระการพัฒนาปี 2573 ระดับโลก หรือ global 2030 agenda และ WEA ได้ปลดล็อกชุดเครื่องมือสนับสนุนที่มีคุณค่าเพื่อช่วยขยายกระทบเชิงบวก”

ผู้หญิงเป็นหนึ่งในสามของเจ้าของธุรกิจทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งมีส่วนสนับสนุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญแม้จะเผชิญอุปสรรคทั่วทั้งระบบก็ตาม มีเพียงร้อยละห้าของประเทศเท่านั้นที่ออกกฎหมายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศโดยสมบูรณ์ ทำให้เครื่องมือสนับสนุนที่จัดทำโดย Women's Entrepreneurship Accelerator มีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก ในเดือนมิถุนายนปี 2564 WEA เข้าร่วมประชุมยุคสมัยแห่งความเท่าเทียม หรือ Generation Equality Forum ในกรุงปารีส เช่นเดียวกับแนวร่วมปฏิบัติของสิทธิและความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ หรือ Action Coalition on Economic Justice and Rights และให้คำมั่นที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีจำนวน 5 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2573 เพื่อเร่งความก้าวหน้าในความเท่าเทียมทางเพศ

ในระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ 76 (UNGA 76) WEA ได้ประกาศเปิดตัวชุดความคิดริเริ่มและผลิตภัณฑ์ความรู้ที่สร้างผลกระทบ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากมุมมองทางเพศ งานผลกระทบของ WEA ประกอบด้วยเครื่องมือและการฝึกอบรมสร้างขีดความสามารถทางดิจิทัล การวิจัยด้านผู้ประกอบการและนโยบาย การสนับสนุนและการฝึกอบรมด้านการจัดซื้อจัดจ้างโดยคำนึงถึงเพศสภาพ (GRP) ในเดือนตุลาคม WEA ยังได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับเครือข่าย Commonwealth Businesswomen's Network (CBWN) โดยมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาผู้ประกอบการสตรีใน 54 ประเทศในเครือจักรภพ (Commonwealth)

เกี่ยวกับ the Women’s Entrepreneurship Accelerator

Women's Entrepreneurship Accelerator (WEA) เป็นโครงการริเริ่มแบบหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายเกี่ยวกับผู้ประกอบการสตรีที่จัดโดยหน่วยงานของสหประชาชาติห้าแห่ง ได้แก่ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC) ข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (UNGC) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และ Mary Kay Inc. จะเพิ่มพลังให้ผู้ประกอบการสตรี 5 ล้านคนภายในปี 2573

เป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้คือการเพิ่มผลกระทบด้านการพัฒนาของผู้ประกอบการสตรีให้มากที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยสำหรับผู้ประกอบการสตรีทั่วโลก โครงการ Accelerator เป็นตัวอย่างของพลังในการเปลี่ยนแปลงของการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพื่อควบคุมศักยภาพของผู้ประกอบการสตรี

เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ we-accelerate ติดตามเราได้ที่: Twitter (@We_Accelerator), Instagram (@we_accelerator), Facebook (@womensentrepreneurshipaccelerator), LinkedIn (@womensentrepreneurshipaccelerator)

เกี่ยวกับ WE Empower UN SDG Challenge

WE Empower UN SDG Challenge คือการแข่งขันระดับโลกครั้งแรกสำหรับผู้ประกอบการทางสังคมสตรีที่กำลังก้าวไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนทั้งหมดในการดำเนินการเพื่อสร้างโลกที่เราต้องการภายในปี 2573 WE Empower Challenge เป็นเกียรติแก่ผู้นำนวัตกรรมสตรีจากทั่วโลกที่ผลักดัน SDGs ไปข้างหน้าผ่านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม โอกาสดังกล่าวถือเป็นการยกย่องผลงานที่เป็นนวัตกรรมของพวกเขา และจัดการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และโอกาสในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายระดับโลกที่ไม่มีใครเทียบได้เพื่อพัฒนาองค์กรของตนให้แก่ผู้ได้รับรางวัล โปรแกรมนี้ยกระดับและแสดงผลงานอันมีค่าที่ผู้ประกอบการสตรีและผู้นำทางธุรกิจสามารถบรรลุ SDGs และแก้ปัญหาความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้

เกี่ยวกับ Vital Voices Global Partnership

Vital Voices Global Partnership เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับสากลที่มีความเกี่ยวข้องและเป็นพันธมิตรกับผู้นำสตรีที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีความกล้าหาญทั่วโลก Vital Voices ค้นหาผู้นำสตรีที่มีวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญเพื่อการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก และทำงานร่วมกันเพื่อทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริงได้ เราคือธุรกิจร่วมลงทุนระยะยาว ผู้ซึ่งจัดหาผู้นำที่สร้างขีดความสามารถ การฝึกอบรมทักษะ เงินช่วยเหลือ การเข้าถึงเครือข่ายของเพื่อนร่วมงาน การให้คำปรึกษา การมองเห็น การยอมรับ และคำแนะนำเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ Vital Voices ได้ลงทุนในผู้นำสตรีกว่า 18,000 คนจาก 182 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งต่อมาได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก Vital Voices ทำงานร่วมกับผู้หญิงที่พัฒนาโอกาสทางเศรษฐกิจ เพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองและสาธารณะ ยุติความรุนแรงตามเพศภาวะ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนผ่านโปรแกรม signature fellowships การลงทุนรายบุคคล และความร่วมมือที่มีความหมายตลอดชีวิต Vital Voices เชื่อมโยงผู้หญิงในการแก้ปัญหาในชุมชนของพวกเขา และจัดเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับพวกเขาเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกในเชิงบวก และเร่งความก้าวหน้าร่วมกันสำหรับทุกคน สำหรับเรียนรู้เพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่ www.vitalvoices.org

เกี่ยวกับ Julie Ann Wrigley Global Futures Laboratory ที่มหาวิทยาลัย ASU

Julie Ann Wrigley Global Futures Laboratory ที่มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตตแสดงถึงความเชื่อเฉพาะหน้าว่าเราสามารถทำได้และต้องมีส่วนสนับสนุนที่มีความหมายเพื่อสร้างความมั่นใจว่าโลกที่สามารถอาศัยและอนาคตความเป็นอยู่ที่ดีจะเกิดขึ้นได้ Global Futures Laboratory เป็นห้องปฏิบัติการแห่งแรกของโลกใบนี้ที่อุทิศให้กับสุขภาพโลกและประชากร โดยสร้างขึ้นจากความเชี่ยวชาญเชิงลึกของมหาวิทยาลัย ASU และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวางสำหรับการแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและในทุกขอบเขตความรู้ที่หลากหลาย เพื่อจัดการกับความท้าทายทางสังคม เศรษฐกิจ และวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนที่เกิดจากภัยคุกคามในปัจจุบันและอนาคตจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม แพลตฟอร์มนี้ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของโลกสำหรับนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ และนักประดิษฐ์ระดับนานาชาติ และวางรากฐานในการคาดการณ์และตอบสนองต่อความท้าทายที่มีอยู่และที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ และใช้นวัตกรรมเพื่อกำหนดรูปแบบและรายงานอนาคตของเราอย่างมีจุดมุ่งหมาย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเยี่ยชมได้ที่ globalfutures.asu.edu

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211120005125/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
(+1) 972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย