ชิงแท็บเล็ตจากกิจกรรม Diwali Giveaway กับ WorldRemit!

Logo

เปิดให้ร่วมลุ้นระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563

ซิดนีย์–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2563

WorldRemit บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี (Diwali) ปีนี้ด้วยการแจกแท็บเล็ต 100 เครื่องให้กับผู้โชคดีในอินเดีย! ดิวาลี หรือเทศกาลแห่งแสงสว่าง เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ความดีเอาชนะความชั่วร้ายของผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู เชน และซิกข์ทั่วโลก โดยผู้คนจะร่วมเฉลิมฉลองกันในเดือนการ์ติกะ (Kartika) เป็นระยะเวลาห้าวันด้วยการไปสวดมนต์ที่วัด แลกเปลี่ยนของขวัญในครอบครัวและประดับประดาบ้านเรือนด้วยเทียนและโคมไฟ และ WorldRemit ปรารถนาที่จะส่งต่อความรักผ่านการมอบของขวัญครั้งนี้

ลูกค้าในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์สามารถลุ้นเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเพื่อมอบให้กับผู้รับที่ตนเลือกได้ง่าย ๆ เพียงโอนเงินขั้นต่ำ 10 ดอลลาร์ (ในสกุลเงินท้องถิ่น AUD หรือ NZD) ไปยังอินเดียผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของ WorldRemit ระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 และต้องลงทะเบียนร่วมสนุกกับกิจกรรมทางออนไลน์ทางเว็บไซต์ที่ https://www.worldremit.com/en/promotions/india-win-a-tablet โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไข ทั้งนี้ WorldRemit จะทำการสุ่มเลือกผู้ได้รับรางวัลสัปดาห์ละครั้ง ก่อนส่งแท็บเล็ตไปยังผู้ทีได้รับเลือกให้รับรางวัลในประเทศอินเดีย

“เราตระหนักถึงความสำคัญด้านการศึกษาที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้คนได้เสริมสร้างศักยภาพของตน และทราบดีว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่ลูกค้าของเราโอนเงินกลับบ้านก็เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่บนโลก ระบบการศึกษาในประเทศอินเดียได้อ้าแขนรับเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นเนื่องจากการระบาดของโรคที่ลุกลามไปทั่ว ไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้สร้างผลกระทบต่อหลาย ๆ ครอบครัวรวมถึงการเงินของพวกเขา เราจึงต้องการที่จะสร้างความมั่นใจว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นจะสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ทางออนไลน์ การมอบของขวัญด้านการศึกษาครั้งนี้เป็นการอวยพรลูกค้าของเราให้มีความสุขกับการเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี และช่วยให้พวกเขาสามารถดูแลครอบครัวรวมถึงเพื่อนฝูงซึ่งรออยู่ที่บ้านได้” Ruzan Ahamed ผู้อำนวยการระดับประเทศกลุ่มเอเชียใต้ของ WorldRemit กล่าว

เทศกาลดิวาลีเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและภราดรภาพอันแท้จริง จากการสำรวจในกลุ่มลูกค้าของ WorldRemit ในออสเตรเลีย พบว่า:

  • 37% ของผู้ตอบแบบสำรวจมักเดินทางต่างประเทศเพื่อพบปะกับญาติมิตรและเพื่อนฝูงในช่วงเทศกาลดิวาลี แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากข้อกำหนดด้านการเดินทางเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
  • 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาจะโอนเงินให้ครอบครัวและเพื่อนในช่วงเทศกาลดิวาลี
  • 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เทศกาลดิวาลีมีความสำคัญยิ่งขึ้นในปีนี้

WorldRemit ปรารถนาให้เทศกาลที่มีการเฉลิมฉลองทั่วอินเดียนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้นปีนี้! ผู้สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มผ่านลิงก์ด้านล่างหลังจากทำการโอนเงินไปอินเดียระหว่างวันที่ 23 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2563 นี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่:

https://www.worldremit.com/en/promotions/india-win-a-tablet

WorldRemit

WorldRemit เป็นบริษัทที่ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ และพลิกโฉมอุตสาหกรรมที่ก่อนหน้านี้ควบคุมโดยผู้เล่นที่ให้บริการโอนเงินออฟไลน์แบบดั้งเดิมด้วยการนำบริการโอนเงินระหว่างประเทศมาไว้บนโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความปลอดภัยขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีต้นทุนที่น้อยลง ปัจจุบันเราให้บริการโอนเงินจากกว่า 50 ประเทศสู่ 150 ประเทศ มีจุดให้บริการกว่า 6,500 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 1100 คนทั่วโลก

ในฝั่งของผู้โอนเงิน WorldRemit ให้บริการแบบดิจิทัล 100% (ไร้เงินสด) ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกและยกระดับความปลอดภัย สำหรับผู้รับเงิน มีช่องทางรับเงินให้เลือกหลายช่องทาง ซึ่งรวมถึงการโอนเข้าบัญชีธนาคาร การถอนเงินสด การเติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือ และรับผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลบนมือถือ

WorldRemit ซึ่งมีผู้สนับสนุนอย่าง Accel, TCV และ Leapfrog มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และมีสำนักงานอยู่ในทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ www.worldremit.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201110006284/en/

ติดต่อ:

WorldRemit
Kyara Kwan
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
kkwan@worldremit.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mary Kay สานต่อการสนับสนุนนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และการสอนโดยการมอบทุนการศึกษาร่วมกับ IMCAS Academy

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2563

Mary Kay Inc. ผู้บุกเบิกและคิดค้นนวัตกรรมด้านการวิจัยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมากว่าทศวรรษ สนับสนุนเงินทุนให้กับสถาบัน International Master Course on Aging Science (IMCAS) เพื่อจัดสัมมนาออนไลน์ที่ผู้คนตั้งตารอในหัวข้อ “Office Peels and Home Peels” ให้กับศัลยแพทย์ตกแต่ง แพทย์ผิวหนัง ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพด้านความงามที่มีเป้าหมายในการศึกษาต่อและพัฒนาการปฏิบัติงาน

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005239/en/

Dr. Michelle Hines, Director of Global Cosmetic Research & Innovation at Mary Kay Inc. (Photo: Mary Kay Inc.)

ดร. Michelle Hines ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของ Mary Kay Inc. (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

การสัมมนาทางออนไลน์ซึ่งเปิดตัวทั่วโลกต่อผู้เข้าร่วมกว่า 1,200 คนไปก่อนหน้านี้ เป็นเพียงกิจกรรมล่าสุดจากสถาบันซึ่งมีเป้าหมายในการมอบการศึกษาระดับแถวหน้าในหัวข้อด้านศาสตร์แห่งการสูงวัย

การสัมมนาดังกล่าวซึ่งมี ดร. Dominique Du Crest บรรณาธิการบริหารของสถาบัน IMCAS เป็นพิธีกร มีกลุ่มวิทยากรที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากหลากหลายวงการทั่วโลกร่วมบรรยาย โดย ดร. Michelle Hines ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของ Mary Kay เป็นผู้เปิดงานด้วยการบรรยายเกี่ยวกับการลอกผิวด้วยสารเคมี ก่อนที่จะร่วมกับผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ บรรยายในหัวข้อตามกำหนดการ ครอบคลุมการตั้งคำถามเกี่ยวกับการมีอยู่ของ ‘การลอกผิว’ ว่าควรมีหรือไม่ การลอกผิวประเภทต่าง ๆ การลอกผิวในผู้ที่มีผิวคล้ำ การใช้ส่วนประกอบแบบใหม่ที่ทันสมัย และอันตรายจากการลอกผิวสำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนัง โดยผู้บรรยายได้ร่วมแชร์เคล็ดลับดูแลผิวหลังการลอกผิวเพื่อยืดอายุผลลัพธ์ให้นานยิ่งขึ้น ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยช่วงถาม-ตอบซึ่งนำโดย ดร. Uliana Gout (M.D.) ทั้งนี้ นอกจาก ดร. Hines แล้ว ยังมี ดร. Foteini Bageorgou แพทย์ผิวหนัง ดร. Marina Landau แพทย์ผิวหนัง และ ดร. Mukta Sachdev แพทย์ผิวหนัง ร่วมบรรยายด้วย

“ผู้หญิงทุกช่วงวัยจากทุกมุมโลกต่างต้องการผิวที่สวยไร้ที่ติ” ดร. Hines กล่าว “ปัจจุบัน การลอกผิวด้วยสารเคมีกลายมาเป็นวิธีฟื้นฟูผิวและขั้นตอนการผลัดผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การลอกผิวที่ทำโดยผู้เชี่ยวชาญและการลอกผิวเองที่บ้านย่อมให้ประสบการณ์และผลลัพธ์ที่ต่างกัน แต่ด้วยทางเลือกที่มีอย่างหลากหลายในปัจจุบัน การศึกษาและการสร้างการตระหนักรู้จึงสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุด Mary Kay ตื่นเต้นอย่างมากกับการเป็นผู้สนับสนุนทุนเพื่อการศึกษาและการวิจัยในหัวข้อนี้”

“ผมอยากจะเน้นย้ำถึงธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและการเติบโตของชุมชนที่มีความหลากหลายของเรา” ดร. Du Crest กล่าว “เรามีสมาชิกที่เป็นแพทย์มากกว่า 28,000 คน และการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส่งให้ชุมชนของเราขยายใหญ่ขึ้นอย่างมาก “เรามีการจัดสัมมนาออนไลน์ให้กับบุคคลภายนอก บางครั้งสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อสร้างโอกาสให้แพทย์ แพทย์ผิวหนัง และผู้ที่หลงใหลในศาสตร์แห่งความงามจากทั่วโลกได้มารวมตัวกันและแบ่งปันความรู้และความเชี่ยวชาญ รวมถึงตอบข้อซักถามเกี่ยวกับอุตสาหกรรมจากเพื่อน ๆ ของเราโดยที่ไม่ต้องเดินทางหรือออกจากบ้านหรือสำนักงานของพวกเขาเลย บนแพลตฟอร์มการเรียนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ของเรามีเคสทางคลินิกหลายร้อยรายการ บล็อกโพสต์จำนวนมาก การสัมมนาออนไลน์มากกว่า 40 รายการต่อปี และวิดีโอหลายพันรายการสำหรับผู้ที่ประกอบวิชาชีพในอุตสาหกรรมในการเสริมสร้างความรู้ตามต้องการ”

ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอการสัมมนาออนไลน์ย้อนหลังได้ที่ IMCAS Academy Library

เกี่ยวกับ Mary Kay
Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นเมื่อ 57 ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมาย 3 ข้อได้แก่ มอบโอกาสให้กับผู้หญิง ผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และสร้างโลกให้น่าอยู่ ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้าน พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอมมากมาย และยังทุ่มเทกับการช่วยให้ผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขามีพลังด้วยการร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญและสนับสนุนกับการวิจัยด้านมะเร็ง ปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกายและพาเธอสู่ความสำเร็จไปทีละขั้น เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ MaryKay.com

เกี่ยวกับ International Course on Aging Science (IMCAS)
IMCAS ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าศัลยแพทย์ตกแต่งและแพทย์ผู้ชำนาญโรคผิวหนัง นับตั้งแต่ก่อตั้ง IMCAS ได้พยายามเชื่อมรอยต่อความรู้ด้านศัลยกรรมพลาสติกและการตกแต่งและโรคผิวหนังเพื่อสร้างการทำงานร่วมกันและช่วยเชื่อมความรู้ของศาสตร์ทั้งสอง พันธกิจของหน่วยงานนี้คือการช่วยให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านความงามเข้าถึงเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพซึ่งกำลังได้รับความนิยม เมื่อเร็ว ๆ นี้ IMCAS ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มอี-เลิร์นนิงที่ชื่อ IMCAS Academy ซึ่งให้สมาชิกเข้าถึงวิดีโอแนะนำ งานวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ บทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและอื่น ๆ อีกมากมายได้แบบทันที ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IMCAS ได้ที่นี่: https://www.imcas.com/en.

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201110005239/en/

ติดต่อ:

ฝ่ายสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


Mavenir ประกาศรองรับ 2G และ 3G เต็มรูปแบบบนระบบ 4G / 5G Cloud-Native OpenRAN และ แพ็คเกตคอร์

Logo

นำเสนอเฉพาะโซลูชันระบบคลาวด์เนทีฟที่ครบวงจรอย่างแท้จริงสำหรับเทคโนโลยีมือถือทุกรุ่น

ริชาร์ดสัน, เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–10 พ.ย. 2563

Mavenir, ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายแบบครบวงจรรายเดียวของอุตสาหกรรมสำหรับเครือข่าย 4G / 5G ประกาศการรวมเทคโนโลยี 2G และ 3G เข้ากับชุดบรอดแบนด์ 4G และ 5G ที่มีอยู่ ทั้งนี้ โซลูชันระบบคลาวด์แบบครบวงจรแบบใหม่ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีมือถือทั้งหมด หรือแบบ 2G / 3G / 4G / 5G จะครอบคลุมสำหรับการเข้าถึงวิทยุและแพ็คเก็ตคอร์ (packet core) และจะมอบโซลูชันแบบครอบคลุมที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ทำให้เครือข่ายมือถือมีระบบอัตโนมัติและความคล่องตัวแบบเว็บสเกล

สำหรับส่วนประกอบ RAN ความสามารถของ 2G และ 3G จะถูกรวมเข้ากับสถาปัตยกรรม OpenRAN อย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วย CU และ DU ที่เต็มรูปแบบเพื่อมอบ Multi Radio Access Technology (vMRAT) แบบ all-in-one

สแต็กของ 2G และ 3G จะรวมเข้ากับโซลูชันหลักของแพ็กเก็ตอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้กลายเป็นระบบคลาวด์ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมเชิงบริการ หรือ Service Based Architecture (SBA) ซึ่งสิ่งนี้ช่วยพัฒนาโซลูชันแพ็กเก็ตคอร์ที่มีอยู่ของ Mavenir ในการใช้งาน 4G และ 5G ทั่วโลกในปัจจุบัน และที่โดยปกติก็ให้ความสามารถเกตเวย์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้ได้มีการรวมระบบเคลื่อนที่เข้ากับ 2G / 3G ได้อย่างสมบูรณ์เข้าไปอีก

Pardeep Kohli ประธานและซีอีโอของ Mavenir กล่าวว่า“ เราได้รับฟังลูกค้าชั้นนำของเราที่ไว้วางใจเราอย่างรอบคอบในการเปลี่ยนแปลงเครือข่าย และตระหนักว่าเราจำเป็นต้องเชื่อมโยงเทคโนโลยีเดิมกับ OpenRAN และโซลูชันระบบคลาวด์เนทีฟ นอกจากนี้ระบบ 2G / 3G ยังจะมีความเกี่ยวข้องในหลาย ๆ ตลาดในอีกหลายปีข้างหน้า ด้วยโซลูชันเหล่านี้ลูกค้าของเราจะสามารถสร้างเครือข่ายของตนโดยอัตโนมัติและรองรับเทคโนโลยีมือถือทั้งหมดบนเครือข่ายคลาวด์เนทีฟ”

โซลูชันนี้จะนำเสนอความสามารถในการปรับขนาดและใช้สถาปัตยกรรมเดี่ยวเพื่อให้ครอบคลุมเทคโนโลยีมือถือทุกรุ่น (multi-G) ด้วยการกำหนดค่าที่คล่องตัวและยืดหยุ่นอย่างมากเพื่อให้เวลาในการทำตลาดเร็วขึ้น และให้การดำเนินการจากระยะไกลเข้าถึงแกนและวิทยุของเครือข่าย ทั้งนี้คาดว่าจะพร้อมใช้งานภายในไตรมาสที่สองของปี 2564  บนแพลตฟอร์มเวอร์ชวลและในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ รวมถึงแพลตฟอร์ม WebScale Platform ของ Mavenir  ซึ่งเป็นเลเยอร์ซอฟต์แวร์ Open Source Kubernetes ที่มี Mavenir Telco Integration Layer (Platform as a Service) คอยอำนวยการอยู่ สิ่งนี้จะตอบสนองความต้องการของผู้ปฏิบัติงานในด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวทางกฎหมาย การตรวจสอบการปฏิบัติงาน การกำหนดค่า และความพร้อมใช้งานสูง

“ Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ที่มาพร้อมระบบคลาวด์เพียงรายเดียวในอุตสาหกรรม และด้วยโซลูชันที่มีความก้าวหน้าแห่งอนาคต จะช่วยให้สามารถแทนที่หรือขยายระบบเดิมได้” Stefano Cantarelli ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Mavenir กล่าว “ Mavenir ยืนหยัดที่นี่เพื่อเป็นพันธมิตรกับลูกค้าของเราและช่วยพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง โดยการมอบการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่นและเชื่อถือได้อย่างเต็มที่สำหรับโลกแห่งบริการและการดำเนินงานที่คล่องตัวและอัตโนมัติ ขอให้ฝากอนาคตไว้กับ Mavenir ของเรา”

เกี่ยวกับ Mavenir:

Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายคลาวด์เนทีฟแบบครบวงจร (end-to-end) รายเดียวในอุตสาหกรรม การมุ่งเน้นไปที่การเร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายซอฟต์แวร์และการกำหนดนิยามใหม่ของระบบเครือข่ายสำหรับผู้ให้บริการการสื่อสาร หรือ Communications Service Providers (CSP) โดยนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ครบวงจร ที่ครอบคลุมในทุกชั้นของสแต็กโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มจากด้านเครือข่ายตั้งแต่การให้บริการ 5G ไปจนถึงแพ็คเก็ตคอร์และ RAN ทั้งนี้ Mavenir เป็นผู้นำในโซลูชันระบบเครือข่ายคลาวด์เนทีฟที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่สร้างสรรค์และปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ปลายทาง ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมในด้าน VoLTE, VoWiFi, Advanced Messaging (RCS), Multi-ID, vEPC และ Virtualized RAN ทำให้ Mavenir เร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายสำหรับลูกค้า CSP มากกว่า 250 รายในกว่า 130 ประเทศโดยให้บริการมากกว่า 50% ของสมาชิกทั่วโลก .

เรายอมรับสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่และรูปแบบธุรกิจที่ก่อให้เกิดความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความเร็วในการให้บริการ ด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการของ NFV เพื่อบรรลุเศรษฐศาสตร์ระดับเว็บ Mavenir นำเสนอโซลูชันเพื่อช่วย CSP ในการลดต้นทุน การสร้างรายได้ และการปกป้องรายได้ เรียนรู้เพิ่มเติมที่ mavenir.com

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005332/en/

ติดต่อ:

Maryvonne Tubb

Mavenir

PR@mavenir.com

Loren Guertin

MatterNow

mavenir@matternow.com

Kevin Taylor

GlobalResultsPR

mavenir@globalresultspr.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Spotify ประกาศซื้อผู้นำเทคโนโลยีพอดแคสต์ Megaphone

Logo

นิวยอร์ก–(บิสิเนสไวร์)–10 พ.ย. 2563

Spotify Technology SA (NYSE: SPOT) บริการสตรีมเสียงแบบสมัครสมาชิกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกประกาศในวันนี้ว่าทางบริษัทได้ทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการซื้อ Megaphone หนึ่งในแพลตฟอร์มโฆษณาและเผยแพร่พอดแคสต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สุดของโลก  Spotify และ Megaphone จะร่วมกันช่วยให้ผู้โฆษณาและผู้เผยแพร่พอดแคสต์พัฒนาตัวตามศักยภาพสูงสุดของพอดแคสต์  ทั้งสองบริษัทจะบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยพลังของ Megaphone Targeted Marketplace และโดยการทำให้ Streaming Ad Insertion พร้อมใช้งานสำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์บุคคลที่สามเป็นครั้งแรก

ด้วยการซื้อกิจการครั้งนี้ Spotify ยังคงดำเนินตามเป้าหมายที่จะเป็นแพลตฟอร์มเสียงชั้นนำของโลกและมุ่งเน้นไปที่การสร้างรายได้จากสื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม  การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการเปิดตัว Streaming Ad Insertion ของ Spotify ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโฆษณาพอดแคสต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มอบความใกล้ชิดและคุณภาพของโฆษณาพอดแคสต์แบบดั้งเดิมด้วยความแม่นยำและความโปร่งใสของการตลาดดิจิทัลในยุคปัจจุบัน

ตอนนี้ผู้ลงโฆษณาจะสามารถเปิดใช้งานผ่านพอดแคสต์ออริจินัลและพิเศษของ Spotify และขยายการเข้าถึงผ่านทาง Megaphone Targeted Marketplace  สำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์การเข้าซื้อครั้งนี้จะปลดล็อกเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นจากงาน  สิ่งนี้รวมถึงโอกาสในการสร้างรายได้จากเนื้อหาโดยจับคู่ผู้ฟังกับความต้องการของผู้ลงโฆษณามากยิ่งขึ้น  หลังจากปิดการทำธุรกรรมแล้ว Spotify จะทำให้การแทรกโฆษณาแบบสตรีมมิ่งพร้อมใช้งานสำหรับผู้เผยแพร่พอดแคสต์ทั้งหมดบน Megaphone โดยเป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยีนี้มีให้บริการแก่บุคคลที่สาม  ด้วยการแทรกโฆษณาสตรีมมิ่ง ผู้เผยแพร่พอดแคสต์จะสามารถนำเสนอผู้ชมพอดแคสต์ที่มีคุณค่ามากขึ้นให้กับผู้โฆษณา โดยพิจารณาจากการแสดงโฆษณาแก่ผู้ฟัง

“เรายังคงอยู่ในช่วงต้นๆ ของอุตสาหกรรมเสียงสตรีมมิ่ง แต่ศักยภาพนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง” Dawn Ostroff ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจเนื้อหาและโฆษณาของ Spotify กล่าว “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะให้ Megaphone เข้าร่วมกับ Spotify เพื่อเร่งสร้างรายได้จากพอดแคสต์ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นสำหรับผู้โฆษณาและผู้เผยแพร่พอดแคสต์ที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่และเทคโนโลยีล้ำสมัย”

“เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้เข้าร่วม Spotify เพื่อช่วยพัฒนาสื่อพอดแคสต์สำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณา” Brendan Monaghan ซีอีโอของ Megaphone กล่าว “เราเชื่อว่ามูลค่าร่วมกันของ Megaphone และ Spotify ในด้านนวัตกรรมจะขับเคลื่อนระบบนิเวศของพอดแคสต์ไปทั่วโล”

การปิดธุรกรรมขึ้นอยู่กับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับทั่วไป

เกี่ยวกับ Spotify Technology S.A.

Spotify ได้เปลี่ยนการฟังเพลงไปตลอดกาลเมื่อเปิดตัวในปี 2551  ค้นพบ จัดการ และแชร์เพลงมากกว่า 60 ล้านเพลงรวมถึง Podcast มากกว่า 1.9 ล้านชื่อได้ฟรีหรืออัพเกรดเป็น Spotify Premium เพื่อใช้งานฟีเจอร์พิเศษสำหรับเพลงรวม ถึงคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น คุณภาพและประสบการณ์การฟังแบบออนดีมานด์ ออฟไลน์ และไม่มีโฆษณา

ปัจจุบัน Spotify เป็นบริการสมัครสมาชิกสตรีมเสียงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ใช้ 320 ล้านคนรวมถึงสมาชิก 144 ล้านคนใน 92 ตลาด

เราใช้เว็บไซต์ Investors และ For the Record ของเราตลอดจนโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่ระบุไว้ในแท็บ “Resources – Social Media” ของเว็บไซต์นักลงทุนของเราเพื่อเปิดเผยข้อมูลสำคัญของบริษัท  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม รูปภาพ หรือจะติดต่อทีมงาน ไปที่ https://newsroom.spotify.com/

เกี่ยวกับ Megaphone

Megaphone เป็นบริษัทเทคโนโลยีพอดแคสต์ที่ให้บริการโฮสติ้งและความสามารถในการแทรกโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่โฆษณาและการขายโฆษณาที่ตรงเป้าหมายสำหรับพันธมิตรแบรนด์  แพลตฟอร์ม Megaphone เชื่อมต่อพอดแคสต์ระดับองค์กรและบริษัทสื่อด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุดเพื่อเผยแพร่ สร้างรายได้ และวัดเนื้อหาเสียงของพวกเขา  Megaphone Targeted Marketplace (MTM) ปฏิวัติการโฆษณาพอดแคสต์โดยนำเสนอการเข้าถึงผู้ฟังที่ไม่เคยมีมาก่อน การวัดผลที่แท้จริง การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ และรับประกันความปลอดภัยของแบรนด์  Megaphone Creative Solutions (MCS) ให้บริการครีเอทีฟโฆษณาแบบ end-to-end สำหรับผู้ลงโฆษณา โดยพัฒนาโฆษณาแบบเสียงที่ล้ำหน้าซึ่งครอบคลุมผู้ใช้และขับเคลื่อนผลลัพธ์

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005725/en/

สื่อมวลชนติดต่อ:
Spotify Communications
press@spotify.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

NuScale Power ประกาศการเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ ของ NuScale Power Module™ เอาต์พุต ซึ่งเป็นโซลูชันโรงไฟฟ้าที่เพิ่มเติมเข้ามา

Logo

จากการวิเคราะห์ครั้งใหม่พบว่า NuScale Power Module™ สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ถึง 77 MWe

พอร์ตแลนด์, โอเรกอน –(BUSINESS WIRE)–10 พฤศจิกายน 2563

NuScale Power ประกาศในวันนี้เกี่ยวกับความพยายามด้านคุณค่าวิศวกรรมเพิ่มเติม โดยการใช้เครื่องมือการทดสอบและการสร้างแบบจำลองขั้นสูง ทำให้ NuScale สามารถวิเคราะห์และสรุปได้ว่า NuScale Power Module™ (NPM) สามารถสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ต่อโมดูล รวมเป็น 77 MWe ต่อโมดูล ( ขั้นต้น) ทำให้สร้างไฟฟ้าได้ 924 MWe สำหรับโรงไฟฟ้าเรือธงแบบ 12 โมดูล นอกจากนี้ NuScale กำลังยังได้ประกาศโซลูชันทางเลือกโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในแบบสี่โมดูล (ประมาณ 308 MWe) และแบบหกโมดูล (ประมาณ 462 MWe)

วิศวกรของเราได้พิสูจน์อีกครั้งว่าเทคโนโลยีของ NuScale เป็นเทคโนโลยีระดับเฟิร์สคลาส ที่สามารถประหยัดต้นทุนและปรับแต่งได้เองในระดับที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในตลาดพลังงานนิวเคลียร์” John Hopkins ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NuScale Power กล่าว“ ด้วยความก้าวหน้านี้ NuScale ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำระดับโลกในการแข่งขันเพื่อทำการค้าเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก”

การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงงานเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก NuScale (SMR) 12 โมดูลอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายสิ่งอำนวยความสะดวกในราคาต่อกิโลวัตต์ ได้ในชั่วข้ามคืน จากที่คาดไว้ 3,600 ดอลลาร์ เหลืออยู่ที่ประมาณ 2,850 ดอลลาร์ นอกจากนี้โรงไฟฟ้า 12 โมดูลที่ปรับขนาดได้นี้ จะทำให้มันเข้าใกล้การเป็นคู่แข่งที่แท้จริงสำหรับตลาดขนาดกิกะวัตต์มากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นมา เกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใด ๆ กับเทคโนโลยี NPM

โซลูชันโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจะทำให้ลูกค้า NuScale มีตัวเลือกมากขึ้นทั้งในด้านขนาดกำลังการผลิต ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และต้นทุน นอกจากนี้ยังจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลง ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้การก่อสร้างง่ายขึ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้าง (กำหนดการ) และลดต้นทุน โซลูชันใหม่นี้ช่วยให้ NuScale สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น รวมไปถึงความต้องการโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น สำหรับประเทศบนเกาะ ชุมชนนอกโครงข่ายไฟฟ้าระยะไกล พื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐบาล นอกจากนี้ การไม่ใช้พลังงานถ่านหินที่ทำให้ใช้พลังงานน้อยลงยังทำให้ลูกค้าปฏิบัติตามกฏทางด้านมลภาวะทางอากาศอีกด้วย

กระบวนการกำกับดูแลในการเพิ่มระดับกำลังเครื่องปฏิกรณ์สูงสุดที่โรงงานนิวเคลียร์สามารถทำงานได้นั้นเรียกว่าการเพิ่มกำลัง (power uprate) โดยการเพิ่มกำลังไฟฟ้าจะได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับใช้มาตรฐาน Standard Design Approval (SDA) ของ NuScale  ซึ่ง NuScale มีกำหนดทำให้บรรลุภายในปี 2565

ผลิตภัณฑ์ใหม่ระดับเริ่มต้นของ NuScale จะเป็นโซลูชันโรงไฟฟ้าสี่และหกโมดูลโดยสามารถกำหนดค่าอื่น ๆ ได้อีกด้วย โซลูชันสำหรับโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเหล่านี้มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและได้รับการสนับสนุนและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี NPM ชั้นนำของอุตสาหกรรมและมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาแล้ว อนึ่ง เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้า NuScale ที่เป็นเรือธง การกำหนดค่าที่เล็กลงเหล่านี้จะยังคงรักษาความสามารถในการส่งมอบโซลูชันโรงไฟฟ้าที่ปรับขนาดได้พร้อมคุณสมบัติความสามารถและประสิทธิภาพที่ไม่มีใน SMR อื่น ๆ ทั้งนี้ NuScale จะสามารถส่งมอบโมดูลแรกให้กับลูกค้าได้ในปี 2570

เกี่ยวกับ NuScale Power

NuScale Power ได้พัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำเบาแบบแยกส่วนเพื่อจัดหาพลังงานสำหรับการผลิตไฟฟ้า การให้ความร้อน การกรองน้ำทะเล และการใช้ความร้อนในกระบวนการอื่น ๆ โดยการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก (SMR) ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้มีการออกแบบโดยใช้กระบวนการ NuScale Power Module™ ที่ประดิษฐ์ขึ้นจากโรงงาน ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 77 เมกะวัตต์โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบน้ำแรงดันที่ปลอดภัยกว่า เล็กกว่า และปรับขนาดได้ ทั้งนี้การออกแบบที่ปรับขนาดได้ของ NuScale หมายความว่า โรงไฟฟ้าสามารถรองรับโมดูลไฟฟ้าได้ถึง 12 โมดูล ซึ่งมอบประโยชน์ในรูปแบบของพลังงานที่ปราศจากคาร์บอนและลดภาระผูกพันทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับโรงงานนิวเคลียร์ขนาดกิกะวัตต์ ผู้ลงทุนรายใหญ่ใน NuScale คือ Fluor Corporation ซึ่งเป็น บริษัท ด้านวิศวกรรมการจัดหาและการก่อสร้างระดับโลกที่มีประวัติ 60 ปีในด้านพลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์

NuScale มีสำนักงานใหญ่ในพอร์ตแลนด์ โอเรกอน และมีสำนักงานใน คอร์วัลลิส โอเรกอน  ร็อควิลล์ แมรีแลนด์ ชาร์ล็อต  นอร์ธคาโรไลนา ริชแลนด์วอชิงตัน และลอนดอนสหราชอาณาจักร ติดตามเราได้ที่ Twitter: @NuScale_Power, Facebook: NuScale Power, LLC, LinkedIn: NuScale-Power,  และ Instagram: nuscale_power. NuScale มีโลโก้แบรนด์และ เว็บไซต์ ดู วิดีโอ สั้น

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005452/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ:

Diane Hughes รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร NuScale Power

dhughes@nuscalepower.com

(C) 503-270-9329

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

APRU เผยแพร่รายงาน AI เพื่อความดี โดยร่วมกับองค์กร ESCAP ของสหประชาชาติและ Google

Logo

รายงานเรียกร้องให้ใช้นวัตกรรม AI เพื่อช่วยการฟื้นตัวหลังโควิต

ฮ่องกง–(บิสิเนสไวร์)–10 พ.ย. 2563

APRU ร่วมมือกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations ESCAP) และ Google เพื่อเผยแพร่รายงาน AI for Social Good  รายงานนี้เป็นโครงการที่สามที่สำรวจผลกระทบที่ AI มีต่อสังคมในเอเชียแปซิฟิกและมอบข้อเสนอแนะเชิงวิจัยแก่ผู้กำหนดนโยบาย โดยมุ่นเน้นวิธีการใช้ AI ในการช่วยบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573

ด้วยผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของ โควิด-19 บทบาทของ AI ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นในการช่วยเหลือการฟื้นตัว  ข้อมูลเชิงลึกของนักวิจัยสนับสนุนข้อเสนอแนะของรายงานในการสร้างสภาพแวดล้อมและกรอบการกำกับดูแลที่เอื้อต่อ AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งเป็นคำที่ครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วท่ามกลางความไม่เท่าเทียม การเปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างเร่งด่วน และความตึงเครียดระหว่างประเทศ

Chris Tremewan เลขาธิการ APRU ให้ความเห็นว่า “สมาชิก APRU มีงานวิจัยเชิงลึกที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความท้าทายในภูมิภาคนี้ ตั้งแต่เหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกไปจนถึงปัญหาข้ามพรมแดนที่ซับซ้อน  การนำความเชี่ยวชาญและนวัตกรรม AI มารวมกันจะทำให้สามารถสนับสนุนสังคมและสุขภาพของโลกของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

Jonathan Wong หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและนวัตกรรม ESCAP แห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “แผนงานความร่วมมือด้านดิจิทัลของเลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้มี AI ที่มีความน่าเชื่อถือ อิงตามสิทธิมนุษยชน ปลอดภัย ยั่งยืน และส่งเสริมสันติภาพ  นโยบายสาธารณะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคมโดยกำหนดทิศทางการพัฒนาและใช้งาน AI เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน”

Dan Altman, AI Public Policy, Google แบ่งปันว่าความเห็นว่า “Google และ APRU มีความเชื่อร่วมกันว่านวัตกรรม AI สามารถปรับปรุงชีวิตของผู้คนได้อย่างมีความหมาย  Google ได้เปิดตัวโปรแกรม AI for Social Good เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญด้าน AI ของเราในการจัดการกับความท้าทายด้านมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้องค์กรอื่นๆ ทำเช่นเดียวกัน  Google รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนเพื่อทำงานที่มีผลกระทบอย่างแท้จริงและยั่งยืน”

การศึกษาแบบสหสาขาวิชาชีพในรายงานนี้ให้ความรู้และมุมมองของนักวิจัยจากสิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลี ไทย อินเดีย และออสเตรเลีย  การผสมผสานความเข้าใจในท้องถิ่นเข้ากับมุมมองระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายในการตอบสนองต่อกฎระเบียบที่ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีระหว่างประเทศสามารถมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ข้อเสนอแนะที่สำคัญ:

1.การกำกับดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องผลักดันนวัตกรรมเพื่อให้บรรลุศักยภาพสูงสุดของ AI

  • นอกจากการดูแลผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังควบคุมข้อมูลแล้ว การกำกับดูแลจะต้องยอมเสี่ยงในรูปแบบที่สามารถจัดการได้และทำการทดสอบก่อนการใช้งานเทคโนโลยีขนาดใหญ่

2.สร้างรูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและความสามารถในทำงานร่วมกัน

  • ความไม่สมดุลของข้อมูลทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน  ดังนั้นรูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและสามารถทำงานร่วมกันระหว่างระบบจึงมีความสำคัญ

3.จัดการข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและปกป้องศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคล

  • สร้างโครงสร้างการกำกับดูแลข้อมูลที่เพียงพอโดยมอบประโยชน์ของเทคโนโลยีแก่ทุกคนและปกป้องศักดิ์ศรีส่วนบุคคลและผสมผสานคุณค่าของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบบเอเชียเพื่อส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูลเพื่อประโยชน์ต่อสังคม

เดือนพฤศจิกายนเป็น “เดือนของ AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคม” โดยมีการอภิปรายและบรรยายสรุปนโยบายกับนักคิด AI ชั้นนำจากเอเชีย สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ  ลงทะเบียนเพื่อชมการประชุมได้ที่นี่

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201109006220/en/

ติดต่อ:

Jack Ng
jack.ng@apru.org

Marisa Lam
marisa@plug.agency

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บริดจสโตนผนึกบีซีไอ ดึงเทคโนโลยีบล็อกเชน เพิ่มศักยภาพธุรกิจซื้อขายยางรถยนต์

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS ON BEHALF OF KBANKPR)–11 พฤศจิกายน 2563

imgบริดจสโตนฯ จับมือบีซีไอฯ ร่วมเสริมศักยภาพธุรกิจซื้อขายยางรถยนต์ ด้วยการริเริ่มใช้ “บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ประเภท Common Node (Website)”  ซึ่งสามารถใช้บริการผ่านช่องทาง Web application ได้เป็นครั้งแรกของประเทศ และรายแรกในธุรกิจยางรถยนต์ของไทย

นายไตสุเกะ เมกุโระ ผู้อำนวยการสายงานบริหารองค์กร บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) ได้นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาเสริมศักยภาพด้านการบริหารกระบวนการซื้อขายยางรถยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่ริเริ่มนำ “บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ประเภท Common Node (Website)” มาใช้กับธุรกิจและคู่ค้าของบริษัท โดยบริดจสโตนฯ ซึ่งเป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันสามารถเข้าระบบเพื่อเรียกดูข้อมูลและตรวจสอบสถานะหนังสือค้ำประกันของคู่ค้าจากธนาคารต่าง ๆ ภายใต้ระบบดิจิทัลเดียวกันทั้งหมด ซึ่งช่วยลดต้นทุนการจัดการด้านเอกสารและการดูแลข้อมูล ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้สะดวก รวดเร็ว ต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์รายแรกของไทย

ทั้งนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยให้การประมวลผลข้อมูลและการทำธุรกรรมทั้งหมดผ่านอินเทอร์เน็ต (ระบบ Decentralized) ของบริดจสโตนฯ ให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทุกวัน ทุกเวลา มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมีความโปร่งใสตลอดกระบวนการ ช่วยตอบโจทย์วิสัยทัศน์ทางธุรกิจของบริดจสโตน ที่มุ่งมั่นส่งมอบคุณภาพด้านบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกให้แก่คู่ค้าของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยการวางหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนมีความสะดวก ปลอดภัยมาตรฐานโลก ช่วยลดเวลาในการจัดการเอกสาร แม้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีบทบาทสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไม่ให้หยุดชะงัก และยังคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบสถานะของหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง

นายสิริวัฒน์ เกียรติเจริญสิน ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บีซีไอ ในบทบาทของผู้ให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Letter of Guarantee – eLG)  บนเทคโนโลยีบล็อกเชนรายแรกของไทยที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ได้รับความสนใจและใช้บริการอย่างแพร่หลาย ทั้งธนาคารไทยและต่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ โดยบีซีไอฯ มุ่งเน้นพัฒนาบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ให้ใช้งานได้จริง ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และเข้าถึงได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และยังพร้อมวางแผนพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีบล็อกเชนสู่บริการอื่นๆ เพื่อให้ทันต่อ Disruptive technology และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเพื่อลด Pain points ให้กับผู้ใช้งานในทุกภาคส่วน ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มั่นใจได้ มีความปลอดภัยสูง และใช้เป็นหลักฐานได้ตามกฎหมายอย่างถูกต้องสมบูรณ์ และปริมาณหนังสือค้ำประกันทั่วประเทศที่มีกว่า 500,000 ฉบับ มูลค่ากว่า 1.35 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด จึงตั้งเป้าที่จะให้บริการได้กว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าทั้งหมดภายใน 3 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคต

เกี่ยวกับ บริษัท บริดจสโตนเซลล์(ประเทศไทย) จำกัด

บริดจสโตนเซลล์(ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2533 โดยเป็นผู้นำด้านการนำเข้า จัดจำหน่าย และทำการตลาด ยางรถยนต์ยี่ห้อ บริดจสโตน (BRIDGESTONE), ไฟร์สโตน (FIRESTONE) และเดย์ตัน (DAYTON) เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และปัจจุบัน บริดจสโตนมีบริษัทในเครือทั้งหมด 15 แห่ง ที่ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรครอบคลุมตั้งแต่ ต้นน้ำ (Upstream) กลางน้ำ (Midstream) และปลายน้ำ (Downstream) ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำทางการตลาดยางรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งเราได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการคิดค้น วิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศและส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค ตัวแทนจำหน่าย และผู้ผลิตรถยนต์  เริ่มตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การนำเครื่องจักร และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต การตรวจสอบควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน และพร้อมมุ่งมั่นสู่การก้าวเป็น “Solutions for your journey” ผู้นำด้านการเดินทางอย่างยั่งยืนที่พร้อมการนำเสนอโซลูชั่นขั้นสูงสุดทั่วโลก

เกี่ยวกับ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นจากการร่วมมือของกลุ่มธนาคารของไทย 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารทหารไทย เพื่อให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Letter of Guarantee – eLG) ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนำศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีขององค์กรมาร่วมพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนธุรกิจทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุนในกระบวนการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ ส่งเสริมพัฒนาให้พร้อมที่จะเติบโตสร้างความสามารถในการแข่งขันบนโลกยุคดิจิทัล

ด้วยบริการ หนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชน (Letter of Guarantee on Blockchain) จะช่วยลดต้นทุนในการจัดการเอกสารและการดูแลข้อมูล ตลอดจนลดขั้นตอนในการทำงาน ภายใต้ความปลอดภัยระดับโลก โดยเป็นการรับรองหนังสือค้ำประกัน ผ่านระบบ Cloud Technology ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งช่วยให้การใช้งานคล่องตัว ปลอดภัย เชื่อถือได้ ป้องกันการปลอมแปลงหนังสือค้ำประกัน รองรับการทำธุรกรรม และสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ ทำให้ผู้ออกหนังสือค้ำประกันสามารถวางหนังสือค้ำประกันได้เร็วขึ้น ผู้รับวางหนังสือค้ำประกันสามารถตรวจสอบเอกสารได้อย่างรวดเร็วบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ 100%

Korea BRANDSTARS ประกาศรายชื่อแบรนด์ที่เป็นตัวแทนกระแสนิยมเกาหลีประจำปี 2563

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–09 พฤศจิกายน 2563

Korea BRANDSTARS ได้ทำการคัดเลือกแบรนด์ที่เป็นตัวแทนกระแสนิยมเกาหลีประจำปี 2563 ตามหมวดหมู่ โดยจะทำการประกาศรายชื่อพร้อมกันในจีนและเกาหลี

งานคัดเลือกและประกาศรายชื่อแบรนด์ที่เป็นตัวแทนกระแสนิยมเกาหลีผ่านสื่อหลักในจีนและเอเชีย มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและบริการอันยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าในต่างประเทศ

แบรนด์ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นแบรนด์ในหมวดหมู่ที่อยู่ในความสนใจของแฟน ๆ ผู้คลั่งไคล้กระแสนิยมเกาหลี หรือ Hallyu ผ่านสื่อต่าง ๆ และการประเมินโดยผู้บริโภค ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญ

แบรนด์ที่เป็นตัวแทนของแต่ละอุตสาหกรรมซึ่งได้รับการคัดเลือกประกอบด้วย Samsung Galaxy จาก Samsung ElectronicsGenesis จาก Hyundai Motors, TROMM และ OLED TV จาก LG ElectronicsBacchus จาก Dong-A Pharm และ Chamisul จาก HITEJINRO

สำหรับหมวดหมู่ช้อปปิ้ง ความบันเทิง เกม การท่องเที่ยว และการแสดง แบรนด์ The Shilla Duty FreeBTS ซึ่งได้รับความนิยมจากแฟน ๆ ทั่วโลก รวมถึงแบรนด์ Lineage 2M จาก NCSOFTจังหวัดปกครองตนเองพิเศษเชจู และการแสดงชุด Jeju Sky Water เป็นแบรนด์ที่ได้รับคัดเลือกตามลำดับ

Sulwhasoo จาก Amorepacific และ The History of Whoo จาก LG Household and Health Care ได้รับการคัดเลือกในหมวดหมู่ความงาม Olive Young ได้รับการคัดเลือกในหมวดหมู่ร้านค้าสุขภาพและความงาม ขณะที่ LG Pra.L ได้รับการคัดเลือกในหมวดหมู่อุปกรณ์ความงามภายในบ้าน และ MEDIHEAL ได้รับการคัดเลือกในหมวดผลิตภัณฑ์มาสก์หน้า

ในหมวดหมู่การดูแลสุขภาพ แบรนด์ที่ได้รับเลือกได้แก่ CheongKwanJang แบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพแถวหน้าของเกาหลีซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านโสมแดง และ FromBIO บริษัทอาหารเพื่อสุขภาพ และในหมวดหมู่การตรวจสุขภาพ Samsung Medical Center ได้รับเลือก

แบรนด์อาหารเกาหลีที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่  Bibigo จาก CJ CheilJedangนมรสกล้วยจาก BinggraeChapaghetti จาก Nongshim, และ Paris Baguette ขณะที่แบรนด์ Sinjeon Tteok-bokki และ Buldak-bokkeum-myeon ได้รับการคัดเลือกในหมวดหมู่แบรนด์อาหารรสชาติเผ็ด

แบรนด์ที่ได้รับการคัดเลือกในหมวดหมู่แฟชันเกาหลีได้แก่ BLACKYAK แบรนด์ผลิตภัณฑ์เอาท์ดอร์ SPAO แบรนด์เครื่องแต่งกายลำลอง และ Gentle Monster แบรนด์แว่นกันแดด

ทั้งนี้ แบรนด์ Sulwhasoo, The History of Whoo, Olive Young, Samsung Galaxy, LG TROMM, BTS, Bibigo, Buldak-bokkeum-myeon, Sinjeon Tteok-bokki, CheongKwanJang, FromBIO, จังหวัดปกครองตนเองพิเศษเชจู และการแสดงชุด Jeju Sky Water ได้รับการคัดเลือกเป็นปีที่สามติดต่อกันต่อเนื่องจากปีที่แล้ว

Korea BRANDSTARS เผยว่า “แม้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจะทำให้เกิดความยากลำบากด้านการแลกเปลี่ยนค้าขายระหว่างประเทศ แต่แบรนด์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวแทนของเกาหลีก็ยังได้รับความนิยมจากแฟน ๆ ทั่วโลกไม่จำกัดเฉพาะในเอเชียเท่านั้น นั่นเป็นเพราะประสิทธิภาพที่เป็นที่สุดของผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศ”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

คณะกรรมการคัดเลือก Korea BRANDSTARS
Ki-joo Kim +82-2-544-0153
brandstars@daum.net
http://brandstars.kr/

Stephanie Sprangers ผู้ก่อตั้ง Glamhive และ Jennifer Rade สไตลิสต์ของคนดัง Jennifer Rade ประกาศการประชุมสุดยอดด้านสไตล์และความงามแบบดิจิทัลสำหรับฤดูใบไม้ร่วง หรือ Digital Fall Style and Beauty Summit

Logo

การประชุมจะนำผู้นำในอุตสาหกรรมด้านสไตล์และความงามมารวมกัน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแฟชั่น ความงาม และสุขภาพ

ซีแอตเทิล และลอสแองเจลิส–(BUSINESS WIRE)–6 พ.ย. 2563

Glamhive ประกาศการประชุมออนไลน์ครั้งที่สามที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน การประชุม Glamhive Digital Fall Style and Beauty Summit จะรวบรวมผู้นำแฟชั่นและความงามระดับแนวหน้าตั้งแต่สไตลิสต์ของ Sarah Jessica Parker ไปจนถึงช่างทำผมของ Kim Kardashian โดย ผู้นำด้านนวัตกรรมจะพูดคุยทุกเรื่องเกี่ยวกับแฟชั่น สุขภาพ ความงามและอีกหลากหลายประเด็น โดย Stephanie Sprangers และ Jennifer Rade จะเป็นพิธรกรจัดงานร่วมกัน

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201106005072/en/

The Glamhive Digital Fall Style and Beauty Summit will bring together top fashion and beauty leaders (Graphic: Mary Kay Inc.)

The Glamhive Digital Fall Style and Beauty Summit จะรวบรวมผู้นำแฟชั่นและความงามชั้นนำ (กราฟิก: Mary Kay Inc.)

"ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด Glamhive LIVE Fall Style and Beauty กับ Stephanie เรารวบรวมเอาสไตลิสต์ ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ดีไซเนอร์ และผู้ประกอบการที่น่าทึ่งที่สุดในโลกมาไว้ที่นี่ เพื่อแบ่งปันทุกสิ่งที่เราเรียนรู้ ตั้งแต่วิธีเริ่มต้นไปจนถึงกลเม็ดเคล็ดลับในการมีสไตล์ส่วนตัวที่ยอดเยี่ยม "Jennifer Rade สไตลิสต์คนดังและนักออกแบบเครื่องแต่งกายกล่าว Jennifer เป็นหนึ่งในสไตลิสต์ที่มีงานเยอะที่สุดในปัจจุบัน ลูกค้าของเธอมีตั้งแต่ดารา A-List อย่าง Angelina Jolie, Abbie Cornish, Cher และ Jenna Fischer ไปจนถึงนักดนตรี Lady A, Pink, Marilyn Manson, Dave Matthews, Amy Winehouse, Motley Crue และ Tina Turner ผลงานของเธอได้รับการนำเสนอในสิ่งพิมพ์หลายฉบับเช่น W, Vanity Fair, Marie Claire, GQ, Esquire และ Harper's Bazaar

"วิสัยทัศน์ของ Glamhive คือการจัดแต่งทรงผมให้กับทุกคน ทุกที่ และงานดิจิทัลของเราเป็นส่วนเสริมที่ยอดเยี่ยมในปีนี้ ทำให้เราสามารถนำกิจกรรมของเราไปสู่ทุกคนได้ทุกที่เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นและความงามหรือที่ทำงานในอุตสาหกรรมสามารถเรียนรู้จากผู้ที่มีความสามารถเยี่ยมยอดที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ได้ "Stephanie Sprangers ผู้ก่อตั้ง Glamhive กล่าว โดย Sprangers เป็นผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Glamhive ซึ่งเป็นบริการจัดแต่งทรงผมส่วนตัวออนไลน์ที่นำเสนอสไตลิสต์ส่วนตัวและช่างแต่งหน้าผู้เชี่ยวชาญจากการคัดเลือกโดยตรงจากฮอลลีวูดและอินสตาแกรม ส่งตรงให้กับทุกคน อนึ่ง Glamhive ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งช่วยให้สไตลิสต์สามารถทำให้ลูกค้าพบกับประสบการณ์การจัดแต่งทรงผมออนไลน์ได้ 100% ทำให้ผู้คนสามารถทำงานร่วมกับกับสไตลิสต์ได้ทุกที่ในโลก

กิจกรรมที่ต้องมีตั๋วสำหรับการเข้าร่วมงานนี้ จะเป็นกิจกรรมตลอดทั้งวัน โดยจะมี 22 กลุ่ม (segments) พร้อมกับวิทยากร 50 คน ด้านล่างนี้เป็นภาพรวมของหัวข้อบางส่วนที่จะจะมีการอภิปรายโดยกลุ่มวิทยากรระดับ All-Star ณ งาน

หัวข้อ

  • Zoom Style: สไตล์ที่ยอดเยี่ยม (และสวมใส่สบาย)
  • การกลายมาเป็นแฟชั่นสไตลิสต์
  • Foundations First (การลงรองพื้นเป็นอันดับหนึ่ง)
  • สภาพแวดล้อมในบ้านของคุณส่งผลต่ออารมณ์และสะท้อนสไตล์ของคุณอย่างไร
  • How to Build the Wardrobe of Your Dreams
  • 360 Style — การผสมผสานระหว่างทรงผมการแต่งหน้าและตู้เสื้อผ้า
  • การเป็นผู้ประกอบการ – ความกล้าที่จะก้าวไปเพื่อความฝันของคุณ
  • อนาคตของการเดินพรมแดง
  • สาวฝรั่งเศสสุดชิคและความหลงใหลของเราต่อ Emily in Paris
  • Shape Matters — รักตัวเองและรูปร่างของคุณ
  • Style Your Health –  เพิ่มพลังงานและภูมิคุ้มกันของคุณ
  • Skincare Basics:  การฝึกสอนลูกค้าเกี่ยวกับการดูแลตนเอง
  • Iconic Style + วิธีสร้างความแตกต่างแบบมีสไตล์ของคุณ

วิทยากร:

วิทยากร ได้แก่ สไตลิสต์ของคนดัง ช่างแต่งหน้า ผู้สร้างอิเมจที่ทำงานกับคนดังในฮอลลีวูดและอื่น ๆ ได้แก่ :

Angelina Jolie, Mandy Moore, Sarah Jessica Parker, Kristen Bell, Khloe Kardashian, Robert Downey Jr, Keanu Reeves, Dwayne Johnson, Donald Glover, Sharon Stone, Serena Williams, Miranda Lambert, Julianne Moore, Liv Tyler, และอื่น ๆ

สไตลิสต์ของคนดัง:

Jennifer Rade, Ilaria Urbinati, Erin Walsh, Nicole Chavez, Jeanne Yang, Janelle Miller, Lindsey Dupuis, Tiffany Gifford, Sonia Young, Rachel Wirkus, Kesha McCloud

เมคอัพอาร์ติสต์คนดัง + แฮร์สไตลิสต์:

Danesa Myricks, Andrew Fitzsimons, Daniel Martin, Colleen, Runne, Quinn Murphy, Sheridan Ward, Simedar Jackson และ  Mia Santiago

ผู้ประกอบการ นักออกแบบ และผู้นำทางธุรกิจ

Cindy Eckhert (The Pink Ceiling Fund), Jonathan Sposato (ผู้ก่อตั้ง PicMonkey), Carrie Colbert (Curated Capital), Summer Holl (ประธาน Elyse Walker), Christian Juul Nielsen (Herve Leger | Aknvas), Lucy Aylen (Never Fully Dressed), Dr. Shrereene Idress, Dr. Avanti Kumar Singh

โมเดอเรเตอร์:

Brian Underwood (O the Oprah Magazine), Brooke Jaffe (อดีตผู้อำนวยการฝ่ายแฟชั่น Bloomingdales), Jack Eustace, Nicole Young (E! News), Kibwe Chase Marshall, ผู้ร่วมก่อตั้ง, The Kelly Initiative), Jezlan Moyet

ตั๋วเข้าร่วมการประชุมมีราคา 99 เหรียญ สำหรับการร่วมงานตลอดทั้งวันและยังรวมเพลย์ลิสต์ที่ She-J Nikki Pennie จัดทำขึ้นเป็นพิเศษด้วย ผู้สนับสนุนการนำเสนองาน Glamhive Digital Fall Style and Beauty Summit ได้แก่ Mary Kay และ Mary Kay Global Design Studio ส่วนผู้สนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ NuBra USA, LEO, AKNVAS, NYDJ และอีกมากมาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.glamhive.com/upcoming.

เกี่ยวกับ Glamhive

Glamhive ก่อตั้งขึ้นโดยผู้ประกอบการ Stephanie Sprangers ในปี 2560 โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้การเสริมภาพลักษณ์และสไตล์ส่วนบุคคลเป็นเรื่องของคนทั่วไป และความเชื่อมั่นที่มาพร้อมกับความงามเย้ายวนใจ (glamour) ไม่ควรเป็นเฉพาะของคนรวยและคนดัง

ประสบการณ์การจัดสไตล์แบบออนไลน์ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อกับสไตลิสต์ผ่าน WiFi โดยสไตลิสต์จะให้การสนับสนุนแก่พวกเขาเพื่อให้พวกเขาเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเอง สำหรับสไตลิสต์แล้วมันเป็นแพลตฟอร์มแบบคบวงจรที่ไร้รอยต่อเพื่อช่วยให้พวกเขาขยายเครือข่ายและธุรกิจได้เกือบ 100% แบบโลกออนไลน์

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉีกกฎเกณฑ์แบบเดิมได้ก่อตั้งบริษัทด้านความงามของเธอมานานกว่า 56 ปี โดยมีเป้าหมายสามประการ คือ มอบโอกาสที่คุ้มค่าสำหรับผู้หญิง ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ และการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น ความฝันดังกล่าวได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยมีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัยเครื่องสำอางค์สี น้ำหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงและครอบครัวด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลกโดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง การปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงภายในครัวเรือน การทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และการส่งเสริมเด็ก ๆให้ทำตามความฝันของตน ดังนั้นวิสัยทัศน์อันดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ในคอนเซปท์ ก้าวไปด้วยกันทีละลิปสติกยังคงส่องสว่างนำทางต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่ MaryKay.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201106005072/en/

ติดต่อ:

Stephanie Sprangers, ผู้ก่อตั้ง + CEO, Glamhive

stephanie@glamhive.com

+1.206.851.0446

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย





Farfetch, Alibaba Group และ Richemont จับมือเป็นพันธมิตรระดับโลกเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของอุตสาหกรรมสินค้าลักชัวรี

Logo

  • Alibaba เตรียมเปิดช่องทางช้อปปิ้งสินค้าหรูของ Farfetch บน Tmall Luxury Pavilion และ Luxury Soho และจะร่วมลงทุนในกิจการร่วมค้าที่ก่อตั้งขึ้นใหม่อย่าง Farfetch China และใน Farfetch Limited
  • Richemont มีแผนลงทุนในกิจการร่วมค้าที่ก่อตั้งขึ้นใหม่อย่าง Farfetch China และ Farfetch Limited และจะหาโอกาสใหม่ ๆ ในการร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ Farfetch
  • Farfetch และ Alibaba จะใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเสมือนจริงในธุรกิจค้าปลีกของพวกเขาผลักดันการก้าวสู่โลกดิจิทัลของอุตสาหกรรมสินค้าหรู รวมถึงก่อตั้งกลุ่มขับเคลื่อน Steering Group ร่วมกับผู้นำแบรนด์หรูผู้ทรงอิทธิพลอย่าง Johann Rupert และ François-Henri Pinault
  • Artemis เตรียมลงทุนเพิ่มเติมใน Farfetch เพื่อสิทธิในการเป็นเจ้าของที่มากขึ้น

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–06 พฤศจิกายน 2563

วันนี้ Farfetch (NYSE:FTCH), Alibaba Group (NYSE:BABA and HKSE:9988) และ Richemont (SWX:CFR) ได้ประกาศความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก เพื่อให้แบรนด์ระดับลักชัวรีมีช่องทางที่ดีขึ้นในการทำตลาดประเทศจีน รวมถึงเป็นการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีความหรูหราทั่วโลกให้เร็วขึ้น ด้วยความเชี่ยวชาญและการเข้าถึงตลาดของแต่ละบริษัท ความเป็นพันธมิตรครั้งนี้จะยกระดับธุรกิจค้าปลีกแบรนด์หรูไปสู่เจเนอเรชันใหม่ด้วยการเชื่อมโลกกายภาพและโลกดิจิทัลเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหาในลักษณะมัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201105006200/en/

Farfetch เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มสินค้าหรูบน Alibaba ในจีน

Farfetch มีแผนเปิดตัวช่องทางสำหรับช้อปปิ้งแบรนด์หรูบนแพลตฟอร์มของ Alibaba อย่าง Tmall Luxury Pavilion และ Luxury Soho ซึ่งเป็นสถานที่ช้อปสินค้าหรูระดับพรีเมียมและเอาต์เลตสินค้าหรูของจีนบนมาร์เก็ตเพลสที่ชื่อ Tmall รวมถึง Tmall Global ซึ่งเป็นมาร์เก็ตเพลสสำหรับตลาดต่างประเทศของ Alibaba ช่องทางขายสินค้าใหม่นี้จะช่วยให้แพลตฟอร์มแบรนด์หรูระดับโลกของ Farfetch เข้าถึงผู้บริโภคกว่า 757 ล้านคนบน Alibaba และยังเป็นแหล่งรวมสินค้าแบรนด์หรูหลาย ๆ แบรนด์ของ Farfetch ไว้ที่เดียว ซึ่งจะเป็นโอกาสให้แบรนด์หรูต่าง ๆ ได้ยกระดับการรับรู้ตราสินค้าไปพร้อมกับขยายตลาดผู้บริโภคระดับลักชัวรีที่มีอยู่แล้วให้กว้างขึ้นจากการร่วมจำหน่ายสินค้าบนมาร์เก็ตเพลสระดับโลกของ Farfetch ขณะที่ลูกค้ากลุ่มลักชัวรีจะได้เลือกซื้อสินค้าแบรนด์โปรดผ่านการควบรวมกับ Farfetch หรือแม้แต่ผ่านแพลตฟอร์มที่มีอยู่แล้วอย่าง NET-A-PORTER ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากบน Tmall Luxury Pavilion

การลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ Farfetch และ Farfetch China

Alibaba และ Richemont จะลงทุนมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (บริษัทละ 300 ล้านดอลลาร์) ในพันธบัตรแปลงสภาพส่วนบุคคลที่ออกโดย Farfetch Limited ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นพันธมิตรระดับโลกครั้งนี้ ขณะที่ Alibaba และ Richemont จะลงทุนเป็นมูลค่า 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (บริษัทละ 250 ล้านดอลลาร์) ใน Farfetch China คิดเป็นหุ้น 25% ในกิจการร่วมค้าใหม่นี้ซึ่งรวมการดำเนินการของมาร์เก็ตเพลสของ Farfetch ในประเทศจีนด้วย นอกจากนี้ Alibaba และ Richemont ยังสามารถเลือกที่จะเข้าซื้อหุ้นของ Farfetch China เพิ่มอีก 24% หลังกิจการร่วมค้านี้ก่อตั้งครบ 3 ปีแล้ว Alibaba และ Richemont ยังจะได้รับโอกาสเพิ่มเติมในการร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ Farfetch เพื่อนำเสนอบริการต่าง ๆ ให้กับแบรนด์หรูต่าง ๆ การลงทุนโดย Alibaba และ Richemont ใน Farfetch China และการก่อตั้งกิจการร่วมค้าครั้งนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีปฏิทัน 2564 ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสุดท้ายก่อนที่จะมีการตกลง

ขณะเดียวกัน Artemis ได้ตกลงที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Farfetch จากเดิมด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญ Class A ของ Farfetch เป็นมูลค่า 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ

เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของอุตสาหกรรมแบรนด์หรูระดับโลก

การค้าปลีกยุคใหม่สำหรับตลาดสินค้าหรู หรือ Luxury New Retail (“LNR”) เป็นการริเริ่มสุดสร้างสรรค์ซึ่งจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีค้าปลีกในรูปแบบ omnichannel ที่ทันสมัยของ Farfetch และ Alibaba เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจแบรนด์หรู รวมถึงโซลูชันสำหรับองค์กรแบบครบวงจรที่มี Farfetch เป็นผู้ขับเคลื่อน โดยโซลูชันเหล่านั้นจะรองรับกลยุทธ์กระจายสินค้าแบบโมโนแบรนด์และมัลติแบรนด์ของแบรนด์หรูต่าง ๆ รวมถึงเว็บไซต์และเเอปพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ที่เชื่อมถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ เทคโนโลยีค้าปลีก omnichannel และการเข้าถึงตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์ของทั้ง Farfetch และ Tmall Luxury Pavilion บนแพลตฟอร์มที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

Farfetch และ Alibaba ยังได้ก่อตั้งกลุ่มที่จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนการยกระดับการค้าปลีกยุคใหม่ หรือ LNR ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำการก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลของอุตสาหกรรมค้าปลีกแบรนด์หรูระดับโลก Johann Rupert ประธานของ Richemont และ François-Henri Pinault ประธานของ Artemis จะร่วมกับ Farfetch และ Alibaba ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งและจะนำความเป็นผู้นำและความเชี่ยวชาญรวมกว่าทศวรรษมาสู่กลุ่มขับเคลื่อนนี้

José Neves ผู้ก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ Farfetch กล่าวว่า “การประกาศความเป็นพันธมิตรครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับพันธกิจของเราที่ต้องการเชื่อมเจ้าของแพลตฟอร์ม นักสร้างสรรค์ และผู้บริโภคในอุตสาหกรรมแฟชันลักชัวรีเข้าด้วยกัน การลงทุนมูลค่า 1.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน Farfetch จาก Alibaba Group, Richemont และ Artemis เป็นการยืนยันถึงบทบาทของเราในฐานะแพลตฟอร์มแบรนด์หรูระดับโลกอย่างชัดเจน

โปรเจกต์ใหม่ที่ทำร่วมกับ Alibaba Group และ Richemont เป็นการขยายกลยุทธ์ของ Farfetch ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมแบรนด์หรู ซึ่งถูกเร่งรัดโดยความท้าทายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสืบเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) โปรเจกต์ Luxury New Retail จะพาเราไปเจอกับวิธีต่าง ๆ ในการช่วยให้อุตสาหกรรมเดินหน้าไปได้ในวงที่กว้างขึ้น และประสบความสำเร็จหลังจากการระบาดของไวรัสหมดไป”

Daniel Zhang ประธานและซีอีโอแห่ง Alibaba Group กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรกันครั้งนี้เป็นการรวมแพลตฟอร์มค้าปลีกสินค้าหรูและเทคโนโลยีชั้นนำของโลกเข้าด้วยกัน ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จอีกขั้นในกลยุทธ์ของ Alibaba ในการตอบสนองความต้องการสินค้าลักชัวรีในจีนที่กำลังเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลาดสินค้าหรูในจีน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมียอดขายครึ่งหนึ่งของยอดขายสินค้าหรูหราทั่วโลกภายในปี 2568 ประกอบด้วยผู้บริโภควัยหนุ่มสาวหลายร้อยล้านคนที่ใช้ดิจิทัลเป็นหลัก การจับมือกับ Farfetch และขยายความร่วมมือกับ Richemont จะช่วยให้เราพาอุตสาหกรรมค้าปลีกสินค้าหรูเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลและพลิกโฉมประสบการณ์ช้อปปิ้งสินค้าลักชัวรีให้กับลูกค้าได้เร็วขึ้น”

Johann Rupert ประธานแห่ง Richemont กล่าวว่า “การพัฒนาที่เกิดขึ้นจากความสำเร็จในกิจการร่วมทุนกับ Alibaba สะท้อนถึงการรุดหน้าสู่การค้าปลีกสินค้าหรูในรูปแบบใหม่อันสำคัญ การร่วมมือครั้งนี้เป็นการนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาเสริมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชี่ยวชาญด้านการค้าปลีกสินค้าหรูจาก Maisons และความเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็ง การบริการที่เช่ียวชาญ และการดูแลลูกค้าที่เป็นเลิศของ YOOX NET-A-PORTER ซึ่งจะช่วยให้เราส่งมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้าที่มีวิสัยทัศน์ของเรา

ความเป็นพันธมิตรจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ผมยินดีอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับ Daniel, José และ François-Henri ในการนำวิสัยทัศน์ที่เรามีร่วมกันมาทำให้เกิดผล เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอตุสาหกรรมลักชัวรีแห่งอนาคต“

François-Henri Pinault ประธานแห่ง Artemis กล่าวว่า “ศักยภาพในการเติบโตของการขายสินค้าหรูออนไลน์ไม่เคยสดใสเท่านี้มาก่อน และความสำคัญของประเทศจีนต่ออุตสาหกรรมสินค้าหรูก็ฉายให้เห็นเพิ่มมากขึ้นทุกวัน วิสัยทัศน์ของ José Neves ทำให้ Farfetch มีบทบาทสำคัญในการยกระดับประสบกรณ์ซื้อขายสินค้าผ่านกลยุทธ์ omnichannel ให้กับลูกค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ การลงทุนโดย Artemis แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของเราต่ออนาคตของ Farfetch และตัวผมเองก็ตั้งตารอที่จะได้สัมผัสอนาคตของการค้าปลีกสินค้าหรูร่วมกับกลุ่มคนผู้มีวิสัยทัศน์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้”

Goldman Sachs International (ทีมหลัก) และ Allen & Company LLC ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินให้กับ Farfetch

การออกพันธบัตรแปลงสภาพส่วนบุคคล 0% ที่ครบกำหนดในปี 2573 มูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของ FARFETCH

เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ข้างต้น Alibaba Group และ Richemont ได้ตกลงที่จะซื้อพันธบัตรแปลงสภาพ 0% มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ ครบกำหนดในปี 2573 ("พันธบัตร") ซึ่งออกโดย Farfetch Limited ("บริษัท ") สำหรับรายได้รวมทั้งหมด 600 ล้านดอลลาร์ เงินทุนที่เพิ่มเข้ามาจะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ระยะยาวของ Farfetch ในการให้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีระดับโลกสำหรับอุตสาหกรรมแฟชันอันหรูหรา และช่วยให้เป้าหมายที่ต่อเนื่องของบริษัทในการวางแผนการเติบโตและเดินหน้าสู่การทำกำไรได้สำเร็จง่ายขึ้น การขายพันธบัตรให้กับ Alibaba Group และ Richemont คาดว่าจะสำเร็จลุล่วงราววันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสุดท้ายก่อนที่จะมีการตกลง

พร้อมกับการลงทุนครั้งนี้ Alibaba Group จะเสนอชื่อผู้อำนวยการหนึ่งคนให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารของ Farfetch

พันธบัตรจะครบกำหนดในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2573 เว้นแต่จะมีการแปลง แลก หรือซื้อคืนภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด พันธบัตรจะไม่มีดอกเบี้ยและจำนวนเงินต้นของพันธบัตรจะไม่มีการทบสูงขึ้น ก่อนการปิดทำการในวันซื้อขายที่กำหนดไว้ในวันที่สองก่อนวันครบกำหนด ผู้ถือพันธบัตรสามารถแปลงสภาพพันธบัตรในราคาเดิมที่ประมาณ 32.29 ดอลลาร์ เท่ากับมูลค่าหุ้น 22% ของราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตลอดระยะเวลาการซื้อขายสามสิบ (30) วัน สิ้นสุดในวันที่ 30 ตุลาคม 2563 เมื่อมีการแปลงสภาพแล้ว พันธบัตรจะถูกจัดให้เป็นหุ้นสามัญประเภท A ของบริษัท (ภายใต้สิทธิ์ของบริษัท ในบางกรณี เพื่อแปลงสภาพพันธบัตรให้เป็นหุ้นสามัญ Class A เงินสด หรือทั้งสองรวมกันโดยการลงคะแนนเสียงของบริษัท) หากมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นซึ่งส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานมีการเปลี่ยนแปลง (Fundamental Change) (ตามที่กำหนดไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับนิยามของพันธบัตร) ผู้ถือพันธบัตรมีสิทธิ์เรียกร้องให้บริษัทซื้อคืนพันธบัตรทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นเงินสดในราคาเท่ากับ 100% ของจำนวนเงินต้นรวมทั้งดอกเบี้ยพิเศษที่ค้างชำระภาย ถ้ามี ในวันที่ครบกำหนด ในบางกรณี บริษัท อาจเพิ่มอัตราการแปลงสภาพสำหรับเจ้าของที่ทำการแปลงสภาพพันธบัตรตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐาน

Alibaba Group และ Richemont อาจให้บริษัทซื้อคืนพันธบัตรทั้งหมดหรือบางส่วนในวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ในราคาซื้อคืนเท่ากับ 100% ของจำนวนเงินต้นที่จะซื้อคืน รวมทั้งดอกเบี้ยที่ค้างจ่ายและยังไม่ได้ชำระ หากมี โดยรวมวันที่ซื้อคืนดังกล่าว

บริษัทไม่สามารถไถ่ถอนพันธบัตรก่อนวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ได้ ยกเว้นในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษีบางประการ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป บริษัทอาจไถ่ถอนพันธบัตรเป็นเงินสดทั้งหมดหรือบางส่วนของพันธบัตรที่เกี่ยวข้องหากราคาขายสุดท้ายของหุ้นสามัญ Class A มีมูลค่าอย่างน้อย 130% (หรือ 200% หากพันธบัตรที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในครอบครองของ Alibaba Group หรือ Richemont มีจำนวนเพียงพอในขณะนั้น) ของราคาแลกเปลี่ยน และให้มีผลในอย่างน้อย 20 วันทำการซื้อขาย (ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม) ในช่วงระยะเวลาการซื้อขาย 30 วันติดต่อกัน (รวมถึงวันซื้อขายสุดท้ายของช่วงเวลาดังกล่าว) สิ้นสุดในวันซื้อขายก่อนวันที่บริษัทแจ้งการไถ่ถอน ในราคาเท่ากับ 100% ของจำนวนเงินต้นของพันธบัตรที่จะไถ่ถอนรวมทั้งดอกเบี้ยพิเศษที่ค้างรับและยังไม่ได้ชำระ หากมี จนถึงแต่ไม่รวมวันที่ไถ่ถอน

หลังออกพันธบัตรแล้ว พันธบัตรจะอยู่ในสถานะหุ้นกู้ที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท และจะถูกจัดให้เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิสำหรับชำระหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัท ซึ่งเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิในการชำระหนี้ของพันธบัตรโดยชัดแจ้ง เทียบเท่ากับการชำระหนี้ผูกพันแบบไม่มีหลักประกันใด ๆ ของบริษัทซึ่งไม่ด้อยสิทธิ ส่งผลให้เป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิในการชำระหนี้แบบมีหลักประกันของบริษัท ในขอบเขตของมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันการเป็นหนี้ดังกล่าว ด้อยสิทธิต่อพันธบัตรไม่ด้อยสิทธิแบบแปลงสภาพได้ 5.00% ของบริษัทซึ่งครบกำหนดปี 2568 และด้อยสิทธิต่อความเป็นหนี้และภาระผูกพันอื่น ๆ (รวมถึงเจ้าหนี้การค้า) ของบริษัทย่อยของบริษัท

การเปิดเผยข้อมูลการลงทุนของ ARTEMIS

เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ข้างต้น Artemis ได้ตกลงที่จะซื้อหุ้นสามัญ Class A ที่ออกโดย Farfetch จำนวน 1,889,338 หน่วยสำหรับกำไรรวมขั้นต้นราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การออกหุ้นให้กับ Artemis คาดว่าจะเสร็จสิ้นในหรือประมาณวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการปิดตามธรรมเนียม

ข้อมูลการประชุมทางไกลผ่านโทรศัพท์

Farfetch จะจัดประชุมทางไกลผ่านโทรศัพท์ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งตรงกับวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 เวลา 8:00 น. ตามเขตเวลาตะวันออก เพื่อหารือถึงธุรกรรมและการลงทุนที่กล่าวมาข้างต้น ผู้สนใจสามารถฟังการประชุมสดผ่านการถ่ายทอดเสียงได้ที่เว็บไซต์ http://farfetchinvestors.com และชมการนำเสนอสไลด์ไปพร้อมกัน โดยสามารถชมบันทึกการประชุมย้อนหลังได้ 30 วันที่เว็บไซต์เดียวกันนี้

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต

เอกสารเผยแพร่นี้ประกอบด้วยข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตตามความหมายของพระราชบัญญัติปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 ข้อความทั้งหมดในที่นี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในอดีตให้ถือว่าเป็นการคาดการณ์ในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย แต่ไม่จำกัดเฉพาะ การทำธุรกรรมใด ๆ และผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกิจการร่วมค้าของ Farfetch China และการค้าปลีกยุคใหม่สำหรับตลาดสินค้าหรู (Luxury New Retail) โอกาสในอนาคตและระดับของธุรกิจที่คาดหมาย ผลการประกอบการและผลการดำเนินงานในอนาคต กิจกรรมและเป้าหมายที่วางแผนไว้ การเติบโตที่คาดการณ์ โอกาสทางการตลาด กลยุทธุ์ การแข่งขันและความคาดหวังอื่น ๆ และ/หรือความสำเร็จในการออกพันธบัตร และ/หรือหุ้นสามัญ Class A ของ Farfetch และสมมติฐานใด ๆ ที่เป็นการเน้นย้ำถึงข้อความดังกล่าว รวมถึงข้อความที่ประกอบด้วยคำว่า “คาดว่า” “ตั้งใจ” “วางแผน” “เชื่อ” “ตั้งเป้า” “คาดการณ์” “ประมาณการ” “อาจจะ” “ควร” “คาด” และข้อความอื่น ๆ ที่คล้ายกันซึ่งบ่งชี้ถึงเหตุการณ์ในอนาคต ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตเหล่านี้อ้างอิงจากการคาดการณ์ของฝ่ายบริหารซึ่งเป็นปัจจุบันในขณะนั้น ข้อความเหล่านี้ไม่ใช่คำมั่นหรือหลักประกันใด ๆ และมีความเสี่ยงทั้งที่ทราบและไม่ทราบ ความไม่แน่นอน และปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้ผลประกอบการ ผลการดำเนินงาน หรือความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงแตกต่างออกไปจากผลที่เกิดขึ้นในอนาคตที่กล่าวถึงทั้งโดยตรงและโดยนัยในข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต รวมถึงปัจจัยที่พูดถึงในหัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยง” ใน Form 20-F ในรายงานประจำปีของเรา ซึ่งได้ยื่นต่อยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐอเมริกา เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และปัจจัยเหล่านั้นอาจมีการปรับปรุงแก้ไขในเอกสารอื่น ๆ ที่ยื่นต่อ SEC ซึ่งสามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของ SEC ที่ www.sec.gov และหน้าสำหรับนักลงทุนบนเว็บไซต์ของเราที่ www.farfetchinvestors.com และนอกจากนี้ เราดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจมีความเสี่ยงใหม่ ๆ เกิดขึ้น ฝ่ายบริหารของเราจึงไม่สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงได้ทั้งหมด หรือประเมินผลกระทบจากความเสี่ยงต่อธุรกิจของเราได้ทั้งหมด หรือระดับที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งหรือทั้งหมดจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานจริงแตกต่างจากที่กล่าวในข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตใด ๆ ของเรา  และด้วยความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และสมมติฐานเหล่านี้ เหตุการณ์และสถานการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าซึ่งกล่าวถึงในเอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้จึงมีความไม่แน่นอนและอาจไม่เกิดขึ้นจริง และผลที่เกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างออกไปอย่างมากจากกล่าวไว้ในที่นี้ทั้งโดยตรงและโดยนัย ฉะนั้น ไม่ควรใช้ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต และข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือข้อมูล ณ วันที่จัดทำเท่านั้น เว้นเสียแต่จะกำหนดไว้โดยกฎหมาย เราไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตใด ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นใดหลังจากวันที่จัดทำเอกสารนี้ขึ้นแล้ว หรือเพื่อให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่นอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้

เกี่ยวกับ FARFETCH

Farfetch Limited เป็นแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับวงการแฟชันหรู Farfetch ก่อตั้งขึ้นในปี 2550 โดย José Neves ผู้ซึ่งหลงใหลในแฟชัน ก่อนเปิดตัวในปี 2551 โดยเริ่มต้นจากการเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าออนไลน์สำหรับร้านสินค้าระดับหรูจากทั่วโลก ปัจจุบันมาร์เก็ตเพลสของ Farfetch ให้ลูกค้าในกว่า 190 ประเทศทั่วโลกเลือกซื้อสินค้าจากกว่า 50 ประเทศและแบรนด์ ร้านบูติกและห้างสรรพสินค้าระดับโลกกว่า 1,300 ราย มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แท้จริง และการเข้าถึงสินค้าหรูที่มีตัวเลือกเยอะที่สุดบนแพลตฟอร์มเดียว ธุรกิจอื่น ๆ ของ Farfetch ประกอบด้วย Farfetch Platform Solutions ซึ่งให้บริการลูกค้าระดับองค์กรด้านอีคอมเมิร์ซและความสามารถด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึง Browns and Stadium Goods ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับหรูให้กับผู้บริโภค และ Guards แพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาแบรนด์แฟชันระดับโลก นอกจากนี้ Farfetch ยังลงทุนในนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น โซลูชันค้าปลีกในโลกเสมือนจริงอย่าง Store of the Future และยังพัฒนาเทคโนโลยีหลัก ๆ โซลูชันทางธุรกิจ และบริการต่าง ๆ ป้อนอุตสาหกรรมแฟชันลักชัวรีอีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดดูที่ www.farfetchinvestors.com

เกี่ยวกับ ALIBABA GROUP

เป้าหมายของ Alibaba Group คือการทำให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องง่ายในทุก ๆ ที่ บริษัทตั้งเป้าสร้างระบบพื้นฐานของการค้าขายให้กับอนาคต และปรารถนาที่จะได้เห็นลูกค้าพบปะ ทำงาน และใช้ชีวิตที่ Alibaba ซึ่งนั่นจะทำให้ Alibaba เป็นบริษัทที่ดีซึ่งมีอายุยาวนานถึง 102 ปี

เกี่ยวกับ RICHEMONT

Richemont เป็นเจ้าของธุรกิจ Maisons ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่น ความประณีตและความสร้างสรรค์ กลุ่มดำเนินธุรกิจสี่ด้าน ได้แก่: อัญมนี ประกอบด้วยแบรนด์ Buccellati, Cartier และ Van Cleef & Arpels ผลิตนาฬิกา ประกอบด้วยแบรนด์ A. Lange & Söhne, Baume & Mercier, IWC Schaffhausen, Jaeger-LeCoultre, Panerai, Piaget, Roger Dubuis และ Vacheron Constantin จำหน่ายสินค้าออนไลน์ ได้แก่ YOOX NET-A-PORTER GROUP (NET-A-PORTER, MR PORTER, YOOX, THE OUTNET) และ Watchfinder & Co. และอื่น ๆ โดยเน้นที่ธุรกิจแฟชันและเครื่องประดับภายใต้เครือ Maisons ประกอบด้วยแบรนด์ Alaïa, Chloé, dunhill, Montblanc และ Peter Millar

เกี่ยวกับ ARTEMIS

Artemis ก่อตั้งขึ้นในปี 2535 โดยนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสอย่าง François Pinault โดย Artemis เป็นผู้ถือหุ้นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจของกลุ่มธุรกิจแบรนด์หรูระดับโลกอย่าง Kering (Gucci, Saint Laurent, Bottega Veneta, Balenciaga, Alexander McQueen, Brioni, Boucheron, Pomellato, Dodo, Qeelin, Ulysse Nardin, Girard-Perregaux และ Kering Eyewear) Artemis ยังเป็นเจ้าของบริษัทซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอีกหลายแห่ง ได้แก่ ธุรกิจจัดประมูล Christie สวนองุ่น Chateau Latour และเรือสำราญ Ponant และในฐานะผู้ถือหุ้น Artemis ตั้งเป้าหมายที่การเติบโตระยะยาวและการสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201105006200/en/

ติดต่อ:

แผนกนักลงทุนสัมพันธ์ของ Farfetch:
Alice Ryder
รองประธานแผนกนักลงทุนสัมพันธ์
IR@farfetch.com

แผนกสื่อของ Farfetch Media:
Susannah Clark
รองประธานแผนกงานสื่อสาร
susannah.clark@farfetch.com
+44 7788 405224

Brunswick Group
farfetch@brunswickgroup.com
สหรัฐอเมริกา: +1 (212) 333 3810
สหราชอาณาจักร: +44 (0) 207 404 5959

Alibaba Group:
Julia Hutton-Potts
j.hutton-potts@alibaba-inc.com
+44-7307807007

Holly Zhao
holly.zhao@alibaba-inc.com
+1-5054693316

Ivy Ke
ivy.ke@alibaba-inc.com
+852-55909949

Richemont:
Sophie Cagnard ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร
James Fraser กรรมการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนและนักวิเคราะห์ติดต่อที่: +41 22 721 30 03; investor.relations@cfrinfo.net
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อติดต่อที่: +41 22 721 35 07; pressoffice@cfrinfo.netrichemont@teneo.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Thai Herald

Thai Herald