Category Archives: Finance

QED Investors ขยายสู่ตลาดอินเดียพร้อมจ้างงานตำแหน่งใหม่เพื่อดูแลการลงทุนในเอเชียใต้

Logo

QED ยังแต่งตั้งงานอีกสองตำแหน่งเพื่อดูแลการลงทุนในสหรัฐฯ และการดำเนินงานของ Belay โดยเฉพาะ

อเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนีย–(BUSINESS WIRE)–19 พฤศจิกายน 2563

QED Investors บริษัทชั้นนำด้านธุรกิจเงินร่วมลงทุน ซึ่งเน้นเจาะกลุ่มบริษัทที่ให้บริการทางการเงินซึ่งอยู่ในระยะเริ่มต้นของการก่อตั้ง ประกาศการเข้าสู่ตลาดอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ว่าจ้าง Sandeep Patil ให้เป็นผู้ดูแลการลงทุนในภูมิภาคนี้

Sandeep จะเข้ามาช่วยให้ QED ขยายธรุกิจไปทั่วโลก โดยมีอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาเสริมตลาดอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และสหราชอาณาจักร QED Investors ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2550 ได้ลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ไปกว่า 120 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยบริษัทยูนิคอร์น 13 แห่ง นอกจากนี้ยังเป็นผู้บริหารจัดการทุนที่มีมูลค่ากว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การลงทุนที่สำคัญ ๆ ของบริษัท ได้แก่ Nubank, SoFi, Credit Karma, Klarna, GreenSky, Avant, Flywire, Remitly, QuintoAndar, Creditas, ClearScore และ Konfio

“ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเฉพาะในอินเดียที่เดียวมีจำนวนมหาศาลสูงกว่า 560 คน เมื่อนำปัจจัยดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกับค่าใช้จ่ายในการใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือที่ลดลงอย่างมาก ชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมความต้องการด้านการเงินและโครงสร้างพื้นฐานภาคบังคับที่รองรับ เท่ากับว่าคุณมีระบบนิเวศที่สุกงอมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผัน QED ได้ประเมินการเข้าสู่ตลาดเอเชียอย่างใกล้ชิด และเราตื่นเต้นอย่างมากกับการได้ Sandeep เข้ามาช่วยด้านการลงทุนในบริษัทฟินเทคที่ดีที่สุดในตลาด” Nigel Morris ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการของ QED Investors กล่าว

QED สร้างชื่อจากการเน้นเจาะกลุ่มบริษัทที่ให้บริการทางการเงินและประสบการณ์ในการบริหารจัดการที่สะสมมากว่า 200 ปี และ Sandeep จะเข้ามาเติมเต็มศักยภาพทั้งสองด้านนี้อย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาได้ช่วยเปิดตัวธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคและเอสเอ็มอีที่ Flipkart และมีส่วนช่วยระดมทุนของบริษัทซึ่งถูกขายให้กับ Walmart ในที่สุด เขาเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและซีอีโอของ Truecaller ประจำอินเดีย ซึ่งเขาเป็นผู้บริหารธุรกิจ Adtech ระบบชำระเงิน เทคโนโลยีด้านการเงิน เอสเอ็มอี/องค์กร และนักพัฒนา ซึ่งสร้างรายได้ให้บริษัทเป็นสองเท่า และยังประสบความสำเร็จในการสร้างผลกำไรท่ามกลางการเกิดโรคระบาด เขามาพร้อมรากฐานด้านสินเชื่อผู้บริโภคอันแข็งแกร่งที่สะสมจาก Capital One ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร และเคยให้บริการนักลงทุน ธนาคาร และบริษัทประกันทั่วโลกร่วมกับ McKinsey & Co. มาแล้ว Sandeep จะนำแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยสมมติฐานของ QED อันแข็งแกร่งมาใช้เพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนในธุรกิจฟินเทคที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นและอยู่ในสถานะที่ดีในตลาด

“มีโอกาสมากมายมหาศาลสำหรับ QED รออยู่ในอินเดียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมรับรู้และชื่นชมในความเชี่ยวชาญด้านฟินเทคของ QED มานาน รวมถึงวิธีการที่บริษัทนำประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการมาใช้ช่วยผู้ก่อตั้งและซีอีโอหลาย ๆ ท่านสร้างบริษัทที่สามารถพลิกการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ได้อย่างประสบความสำเร็จ” Sandeep กล่าว “ผมตื่นเต้นกับการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับทีมและร่วมงานกับยูนิคอร์นด้านเทคโนโลยีการเงินเจเนอเรชันถัดไปแห่งทวีปเอเชีย”

นอกจากนี้ QED และ Sandeep ยังได้เลือกให้ Camila Key Saruhashi ดำรงตำแหน่งหัวหน้าประจำสำนักงานในซานฟรานซิสโก และให้ Adams Conrad ดำรงตำแหน่งหัวหน้าประจำสำนักงานในนิวยอร์ก Camila จะทำหน้าที่เสริมแกร่งธุรกิจของ QED ในเบย์แอเรีย โดยมุ่งเน้นการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ Adams จะขยายการเติบโตของ Belay ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนของธุรกิจในระยะก่อตั้งของ QED ที่ช่วยบริษัทด้านฟินเทคก่อตั้งและสร้างธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งคู่เข้าร่วม QED พร้อมกับประสบการณ์ด้านการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยก่อนหน้านี้ Camila เคยมีประสบการณ์ในการนำทีมขนาด 300 คนในตำแหน่งหัวหน้างานปฏิบัติการที่ Nubank ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ QED รวมถึงมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ที่ Earnin ขณะที่ Adams มีประสบการณ์ด้านการบริหารความสัมพันธ์จาก Quovo และ Plaid ซึ่งเขาเป็นผู้ดูแลงานด้านความมั่งคั่งในแนวดิ่ง การสร้างช่องทางและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และช่วยให้ลูกค้าฟินเทคจำนวนมากขยายธุรกิจให้เติบโต

“หลังการระดมทุนมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ฯ โดย QED เองในเดือนกุมภาพันธ์ QED ยังมีทิศทางที่ดีในการประสบความสำเร็จ เรามองเห็นถึงตัวเลือกข้อเสนอในทิศทางบวกมากมายจากบริษัทอันยอดเยี่ยมที่กำลังมองหาความเชี่ยวชาญด้านฟินเทคและประสบการณ์ในด้านการจัดการจาก QED Camila และ Adams จะนำประสบการณ์ในการบริหารจัดการที่สะสมมากว่าหลายปีมาพร้อมกับพวกเขา และทั้งคู่จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราประเมินและควบคุมโอกาสในการลงทุน รวมถึงทำหน้าที่เป็นคอนซิลรีโยหรือที่ปรึกษาของผู้บริหารให้กับซีอีโอของบริษัทในเครือของเรา” Nigel Morris กล่าวเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ QED Investors

QED เป็นบริษัทด้านธุรกิจเงินร่วมลงทุนชั้นนำจากอเล็กซานเดรีย เวอร์จิเนีย โดยมี Nigel Morris และ Frank Rotman ร่วมกันก่อตั้ง บริษัทลงทุนในบริษัทที่ให้บริการด้านการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ในอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ รวมถึงสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้ง QED ทุ่มเทให้กับการสร้างธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและใช้วิธีการแบบลงมือปฏิบัติที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ด้านการเป็นผู้ประกอบการและการดำเนินงานที่สะสมมากว่าทศวรรษของบริษัทคู่ค้า เพื่อช่วยให้บริษัทต่าง ๆ เติบโตแบบก้าวกระโดด การลงทุนที่สำคัญ ๆ ได้แก่ Nubank, SoFi, Credit Karma, Klarna, GreenSky, Avant, Flywire, Remitly, QuintoAndar, Creditas, ClearScore และ Konfio

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201119005837/en/

ติดต่อ:

Prosek Partners
Meredith Mitchell
646.818.9268
mmitchell@prosek.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ชิงแท็บเล็ตจากกิจกรรม Diwali Giveaway กับ WorldRemit!

Logo

เปิดให้ร่วมลุ้นระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563

ซิดนีย์–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2563

WorldRemit บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี (Diwali) ปีนี้ด้วยการแจกแท็บเล็ต 100 เครื่องให้กับผู้โชคดีในอินเดีย! ดิวาลี หรือเทศกาลแห่งแสงสว่าง เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ความดีเอาชนะความชั่วร้ายของผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู เชน และซิกข์ทั่วโลก โดยผู้คนจะร่วมเฉลิมฉลองกันในเดือนการ์ติกะ (Kartika) เป็นระยะเวลาห้าวันด้วยการไปสวดมนต์ที่วัด แลกเปลี่ยนของขวัญในครอบครัวและประดับประดาบ้านเรือนด้วยเทียนและโคมไฟ และ WorldRemit ปรารถนาที่จะส่งต่อความรักผ่านการมอบของขวัญครั้งนี้

ลูกค้าในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์สามารถลุ้นเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเพื่อมอบให้กับผู้รับที่ตนเลือกได้ง่าย ๆ เพียงโอนเงินขั้นต่ำ 10 ดอลลาร์ (ในสกุลเงินท้องถิ่น AUD หรือ NZD) ไปยังอินเดียผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของ WorldRemit ระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 และต้องลงทะเบียนร่วมสนุกกับกิจกรรมทางออนไลน์ทางเว็บไซต์ที่ https://www.worldremit.com/en/promotions/india-win-a-tablet โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไข ทั้งนี้ WorldRemit จะทำการสุ่มเลือกผู้ได้รับรางวัลสัปดาห์ละครั้ง ก่อนส่งแท็บเล็ตไปยังผู้ทีได้รับเลือกให้รับรางวัลในประเทศอินเดีย

“เราตระหนักถึงความสำคัญด้านการศึกษาที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้คนได้เสริมสร้างศักยภาพของตน และทราบดีว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่ลูกค้าของเราโอนเงินกลับบ้านก็เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่บนโลก ระบบการศึกษาในประเทศอินเดียได้อ้าแขนรับเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นเนื่องจากการระบาดของโรคที่ลุกลามไปทั่ว ไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้สร้างผลกระทบต่อหลาย ๆ ครอบครัวรวมถึงการเงินของพวกเขา เราจึงต้องการที่จะสร้างความมั่นใจว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นจะสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ทางออนไลน์ การมอบของขวัญด้านการศึกษาครั้งนี้เป็นการอวยพรลูกค้าของเราให้มีความสุขกับการเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี และช่วยให้พวกเขาสามารถดูแลครอบครัวรวมถึงเพื่อนฝูงซึ่งรออยู่ที่บ้านได้” Ruzan Ahamed ผู้อำนวยการระดับประเทศกลุ่มเอเชียใต้ของ WorldRemit กล่าว

เทศกาลดิวาลีเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและภราดรภาพอันแท้จริง จากการสำรวจในกลุ่มลูกค้าของ WorldRemit ในออสเตรเลีย พบว่า:

  • 37% ของผู้ตอบแบบสำรวจมักเดินทางต่างประเทศเพื่อพบปะกับญาติมิตรและเพื่อนฝูงในช่วงเทศกาลดิวาลี แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากข้อกำหนดด้านการเดินทางเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
  • 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาจะโอนเงินให้ครอบครัวและเพื่อนในช่วงเทศกาลดิวาลี
  • 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เทศกาลดิวาลีมีความสำคัญยิ่งขึ้นในปีนี้

WorldRemit ปรารถนาให้เทศกาลที่มีการเฉลิมฉลองทั่วอินเดียนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้นปีนี้! ผู้สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มผ่านลิงก์ด้านล่างหลังจากทำการโอนเงินไปอินเดียระหว่างวันที่ 23 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2563 นี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่:

https://www.worldremit.com/en/promotions/india-win-a-tablet

WorldRemit

WorldRemit เป็นบริษัทที่ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ และพลิกโฉมอุตสาหกรรมที่ก่อนหน้านี้ควบคุมโดยผู้เล่นที่ให้บริการโอนเงินออฟไลน์แบบดั้งเดิมด้วยการนำบริการโอนเงินระหว่างประเทศมาไว้บนโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความปลอดภัยขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีต้นทุนที่น้อยลง ปัจจุบันเราให้บริการโอนเงินจากกว่า 50 ประเทศสู่ 150 ประเทศ มีจุดให้บริการกว่า 6,500 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 1100 คนทั่วโลก

ในฝั่งของผู้โอนเงิน WorldRemit ให้บริการแบบดิจิทัล 100% (ไร้เงินสด) ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกและยกระดับความปลอดภัย สำหรับผู้รับเงิน มีช่องทางรับเงินให้เลือกหลายช่องทาง ซึ่งรวมถึงการโอนเข้าบัญชีธนาคาร การถอนเงินสด การเติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือ และรับผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลบนมือถือ

WorldRemit ซึ่งมีผู้สนับสนุนอย่าง Accel, TCV และ Leapfrog มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และมีสำนักงานอยู่ในทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ www.worldremit.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201110006284/en/

ติดต่อ:

WorldRemit
Kyara Kwan
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
kkwan@worldremit.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บริดจสโตนผนึกบีซีไอ ดึงเทคโนโลยีบล็อกเชน เพิ่มศักยภาพธุรกิจซื้อขายยางรถยนต์

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS ON BEHALF OF KBANKPR)–11 พฤศจิกายน 2563

imgบริดจสโตนฯ จับมือบีซีไอฯ ร่วมเสริมศักยภาพธุรกิจซื้อขายยางรถยนต์ ด้วยการริเริ่มใช้ “บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ประเภท Common Node (Website)”  ซึ่งสามารถใช้บริการผ่านช่องทาง Web application ได้เป็นครั้งแรกของประเทศ และรายแรกในธุรกิจยางรถยนต์ของไทย

นายไตสุเกะ เมกุโระ ผู้อำนวยการสายงานบริหารองค์กร บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) ได้นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาเสริมศักยภาพด้านการบริหารกระบวนการซื้อขายยางรถยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่ริเริ่มนำ “บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ประเภท Common Node (Website)” มาใช้กับธุรกิจและคู่ค้าของบริษัท โดยบริดจสโตนฯ ซึ่งเป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันสามารถเข้าระบบเพื่อเรียกดูข้อมูลและตรวจสอบสถานะหนังสือค้ำประกันของคู่ค้าจากธนาคารต่าง ๆ ภายใต้ระบบดิจิทัลเดียวกันทั้งหมด ซึ่งช่วยลดต้นทุนการจัดการด้านเอกสารและการดูแลข้อมูล ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้สะดวก รวดเร็ว ต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์รายแรกของไทย

ทั้งนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยให้การประมวลผลข้อมูลและการทำธุรกรรมทั้งหมดผ่านอินเทอร์เน็ต (ระบบ Decentralized) ของบริดจสโตนฯ ให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทุกวัน ทุกเวลา มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมีความโปร่งใสตลอดกระบวนการ ช่วยตอบโจทย์วิสัยทัศน์ทางธุรกิจของบริดจสโตน ที่มุ่งมั่นส่งมอบคุณภาพด้านบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกให้แก่คู่ค้าของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยการวางหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนมีความสะดวก ปลอดภัยมาตรฐานโลก ช่วยลดเวลาในการจัดการเอกสาร แม้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีบทบาทสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไม่ให้หยุดชะงัก และยังคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบสถานะของหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง

นายสิริวัฒน์ เกียรติเจริญสิน ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บีซีไอ ในบทบาทของผู้ให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Letter of Guarantee – eLG)  บนเทคโนโลยีบล็อกเชนรายแรกของไทยที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ได้รับความสนใจและใช้บริการอย่างแพร่หลาย ทั้งธนาคารไทยและต่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ โดยบีซีไอฯ มุ่งเน้นพัฒนาบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ให้ใช้งานได้จริง ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และเข้าถึงได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และยังพร้อมวางแผนพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีบล็อกเชนสู่บริการอื่นๆ เพื่อให้ทันต่อ Disruptive technology และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเพื่อลด Pain points ให้กับผู้ใช้งานในทุกภาคส่วน ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มั่นใจได้ มีความปลอดภัยสูง และใช้เป็นหลักฐานได้ตามกฎหมายอย่างถูกต้องสมบูรณ์ และปริมาณหนังสือค้ำประกันทั่วประเทศที่มีกว่า 500,000 ฉบับ มูลค่ากว่า 1.35 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด จึงตั้งเป้าที่จะให้บริการได้กว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าทั้งหมดภายใน 3 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคต

เกี่ยวกับ บริษัท บริดจสโตนเซลล์(ประเทศไทย) จำกัด

บริดจสโตนเซลล์(ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2533 โดยเป็นผู้นำด้านการนำเข้า จัดจำหน่าย และทำการตลาด ยางรถยนต์ยี่ห้อ บริดจสโตน (BRIDGESTONE), ไฟร์สโตน (FIRESTONE) และเดย์ตัน (DAYTON) เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และปัจจุบัน บริดจสโตนมีบริษัทในเครือทั้งหมด 15 แห่ง ที่ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรครอบคลุมตั้งแต่ ต้นน้ำ (Upstream) กลางน้ำ (Midstream) และปลายน้ำ (Downstream) ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำทางการตลาดยางรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งเราได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการคิดค้น วิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศและส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค ตัวแทนจำหน่าย และผู้ผลิตรถยนต์  เริ่มตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การนำเครื่องจักร และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต การตรวจสอบควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน และพร้อมมุ่งมั่นสู่การก้าวเป็น “Solutions for your journey” ผู้นำด้านการเดินทางอย่างยั่งยืนที่พร้อมการนำเสนอโซลูชั่นขั้นสูงสุดทั่วโลก

เกี่ยวกับ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นจากการร่วมมือของกลุ่มธนาคารของไทย 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารทหารไทย เพื่อให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Letter of Guarantee – eLG) ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนำศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีขององค์กรมาร่วมพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนธุรกิจทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุนในกระบวนการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ ส่งเสริมพัฒนาให้พร้อมที่จะเติบโตสร้างความสามารถในการแข่งขันบนโลกยุคดิจิทัล

ด้วยบริการ หนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชน (Letter of Guarantee on Blockchain) จะช่วยลดต้นทุนในการจัดการเอกสารและการดูแลข้อมูล ตลอดจนลดขั้นตอนในการทำงาน ภายใต้ความปลอดภัยระดับโลก โดยเป็นการรับรองหนังสือค้ำประกัน ผ่านระบบ Cloud Technology ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งช่วยให้การใช้งานคล่องตัว ปลอดภัย เชื่อถือได้ ป้องกันการปลอมแปลงหนังสือค้ำประกัน รองรับการทำธุรกรรม และสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ ทำให้ผู้ออกหนังสือค้ำประกันสามารถวางหนังสือค้ำประกันได้เร็วขึ้น ผู้รับวางหนังสือค้ำประกันสามารถตรวจสอบเอกสารได้อย่างรวดเร็วบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ 100%

WorldRemit ระงับการเก็บค่าธรรมเนียมการโอนเงินมายังฟิลิปปินส์ สืบเนื่องจากภัยธรรมชาติที่เพิ่งเกิดขึ้น

Logo

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–05 พฤศจิกายน 2563

WorldRemit แพลตฟอร์มระบบชำระเงินชั้นนำ เตรียมระงับการเก็บค่าบริการสำหรับบริการโอนเงินระหว่างประเทศไปยังประเทศฟิลิปปินส์ สืบเนื่องจากเหตุการณ์พายุโซนร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยลูกค้าสามารถโอนเงินจากทุกประเทศทั่วโลกไปยังผู้รับในฟิลิปปินส์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการระหว่างวันที่ 4 พฤศจิกายน ถึง 10 พฤศจิกายน 2563 นี้

พายุโซนร้อนโคนีซึ่งพัดขึ้นฝั่งในประเทศฟิลิปปินส์ได้คร่าชีวิตและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ส่งผลให้ประชาชนกว่า 370,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย และสร้างความเสียหายให้บ้านเรือนหลายพันหลัง เขตบีโคล เคโซน และวิรัคบเกาะคาตันดัวเนสได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุด อาคารบ้านเรือนราว 90% ถูกทำลาย ช่องทางการสื่อสารถูกตัดขาด และประชาชนต้องอยู่อาศัยโดยปราศจากน้ำและไฟฟ้า

“เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วโลก ประเทศฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) และยังต้องรับมือกับความเสียหายอย่างรุนแรงจากภัยธรรมชาติในขณะเดียวกัน นี่เป็นเหตุผลที่เราระงับการเก็บค่าธรรมเนียมชั่วคราวจากผู้ที่ต้องการช่วยเหลือชาวฟิลิปปินส์ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ ประชาชนจำนวนมากที่อยู่ในพื้นที่จะต้องอาศัยช่องทางนี้ในการรับเงินช่วยเหลือเพื่อสร้างชีวิตของพวกเขาขึ้นใหม่ และเนื่องจากการสื่อสารที่ถูกตัดขาด เราเข้าใจว่าหลาย ๆ คนมีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือครอบครัวและเพื่อน ๆ ในบ้านเกิดของพวกเขาผ่านการโอนเงินช่วยเหลือ การระงับค่าธรรมเนียมสำหรับการโอนเงินมายังฟิลิปปินส์ครั้งนี้เป็นการแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและความช่วยเหลือในแบบของเราต่อชุมชนชาวฟิลิปปินส์ทั่วโลก” Earl Melivo ผู้อำนวยการประจำประเทศฟิลิปปินส์ของ WorldRemit กล่าว

ลูกค้าของเราสามารถส่งความช่วยเหลือผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันบนมือถือของ WorldRemit ไปยังครอบครัวและเพื่อน ๆ ของพวกเขาในฟิลิปปินส์ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมโดยใช้โค้ด “PHRolly” เพื่อทำธุรกรรมภายใต้ข้อกำหนดเเละเงื่อนไขของบริษัท

โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ www.worldremit.com

WorldRemit

WorldRemit เป็นบริษัทที่ให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศชั้นนำ และพลิกโฉมอุตสาหกรรมที่ก่อนหน้านี้ควบคุมโดยผู้เล่นที่ให้บริการโอนเงินออฟไลน์แบบดั้งเดิมด้วยการนำบริการโอนเงินระหว่างประเทศมาไว้บนโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความปลอดภัยขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีต้นทุนที่น้อยลง ปัจจุบันเราให้บริการโอนเงินจากกว่า 50 ประเทศสู่ 150 ประเทศ มีจุดให้บริการกว่า 6,500 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 1100 คนทั่วโลก

ในฝั่งของผู้โอนเงิน WorldRemit ให้บริการแบบดิจิทัล 100% (ไร้เงินสด) ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกและยกระดับความปลอดภัย สำหรับผู้รับเงิน มีช่องทางรับเงินให้เลือกหลายช่องทาง ซึ่งรวมถึงการโอนเข้าบัญชีธนาคาร การถอนเงินสด การเติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือ และรับผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลบนมือถือ

WorldRemit ซึ่งมีผู้สนับสนุนอย่าง Accel, TCV และ Leapfrog มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และมีสำนักงานอยู่ในทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ www.worldremit.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201104005789/en/

ติดต่อ:

WorldRemit
Kyara Kwan
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
kkwan@worldremit.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Jefferies ประกาศ เป็นพันธมิตรด้านแบรนด์กับบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ในประเทศไทย

Logo

นิวยอร์ก ฮ่องกง ลอนดอน และกรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–21 ต.ค. 2563

Jefferies ประกาศในวันนี้ว่าได้สร้างพันธมิตรร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด สำหรับธุรกิจตราสารทุนในประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว Jefferies จะเผยแพร่การวิจัยด้านตราสารทุนเกี่ยวกับบริษัทในประเทศไทยที่จัดทำโดยบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ให้กับกับฐานลูกค้าทั่วโลกของ Jefferies บนพื้นฐานการเป็นพันธมิตรด้านแบรนด์ร่วม นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จะให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศแก่ Jefferies และลูกค้าต่างประเทศด้วย

บริษัทหลักทรัพย์  ทิสโก้ จำกัด ก่อตั้งมายาวนานและเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย ทีมงานในประเทศให้บริการการวิจัย การขายและการซื้อขาย การเข้าถึงการซื้อขายขององค์กร หรือ corporate access trading และการบริการลูกค้าสถาบันต่าง ๆ ในท้องถิ่นและทั่วโลก  ทิสโก้ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2512 ในฐานะวาณิชธนกิจแห่งแรกในประเทศไทยโดยได้เข้าเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในปี พ.ศ. 2518 และได้รับการยอมรับจากสาธารณชนในฐานะผู้นำด้านความคิด การวิจัยและให้คำปรึกษาด้านตราสารทุนและได้รับรางวัล Best Equity House และ Best Research House หลายรางวัลจากสถาบันในประเทศ และรางวัลด้านสิ่งพิมพ์ระดับภูมิภาค ซึ่งรวมถึงรางวัล SET Awards จาก สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (Investment Analysts Association หรือ IAA) และ Asiamoney

บริษัท หลักทรัพย์ทิสโก้เป็น บริษัท ย่อยของ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (SET:  ทิสโก้) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับรางวัล Best Company Performance จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2561-2562 ติดต่อกัน

การเป็นพันธมิตรกับทิสโก้ช่วยยกระดับแฟรนไชส์หุ้นที่เติบโตของ Jefferies ในเอเชียและเป็นอีกก้าวในการลงทุนระยะยาวของ Jefferies ในภูมิภาคนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Jefferies ได้ขยายธุรกิจอย่างมากในภูมิภาคนี้โดยเพิ่มพนักงานของ Jefferies อีกประมาณ 200 คนในช่วงสองปีที่ผ่านมาเพื่อให้บริการฐานลูกค้าสถาบันทั่วโลกได้ดียิ่งขึ้น

Murray Wilson ประธาน บริษัท Jefferies Asia กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ร่วมมือกับ บริษัท หลักทรัพย์ทิสโก้ในความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงและขยายธุรกิจการวิจัยการขายและการค้าที่มีมายาวนานของ Jefferies โดยเน้นที่การตอบสนองความต้องการของฐานลูกค้านักลงทุนทั่วโลกของเรา  เราตั้งตาคอยการได้ร่วมงานกับทีมงานที่ทิสโก้ในครั้งนี้”

ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท หลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า“ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เริ่มต้นความร่วมมือกับ Jefferies เนื่องจากจะเพิ่มโอกาสในการให้บริการคำปรึกษาและการดำเนินการที่มีคุณภาพสูงให้กับลูกค้าสถาบันทั่วโลกโดยอาศัยเครือข่ายทั่วโลกของ Jefferies และ  ทิสโก้ ที่มีชื่อเสียงในตลาดตราสารทุนไทยมายาวนาน เรามั่นใจว่า Jefferies และบล. ทิสโก้ จะสามารถสร้างความร่วมมือสำหรับความร่วมมือในอนาคตเพื่อเสริมสร้างพันธมิตรในธุรกิจนี้

Jefferies มีข้อตกลงที่คล้ายกันกับบริษัทหลายแห่งทั่วเอเชียรวมถึง Mandiri Sekuritas ในอินโดนีเซีย KAF Securities ในมาเลเซีย JB Securities ในศรีลังกา Fubon Securities ในไต้หวันและ Regis Partners, Inc ในฟิลิปปินส์ โดยรวมแล้ว Jefferies และพันธมิตรครอบคลุมบริษัทประมาณ 1,500 แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิค โดยให้บริการลูกค้าด้วยงานวิจัยด้านหุ้นที่มีประสิทธิภาพและมีความครอบคลุมการวิจัยตราสารทุนที่ในภูมิภาค Jefferies และมีพันธมิตรในกว่า 3,000 บริษัท ทั่วโลก

Jefferies Group LLC เป็น บริษัทวาณิชธนกิจอิสระระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกาโดยมุ่งเน้นที่การให้บริการลูกค้ามาเกือบ 60 ปี Jefferies เป็นผู้นำในการให้ข้อมูลเชิงลึก ความเชี่ยวชาญ และการดำเนินการแก่นักลงทุน บริษัท และรัฐบาล บริษัทของเราให้บริการด้านวาณิชธนกิจที่ปรึกษาการขายและการค้าการวิจัยและการบริหารความมั่งคั่งในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในอเมริกา ยุโรป และเอเชีย Jefferies Group LLC เป็น บริษัทในเครือของ Jefferies Financial Group Inc. (NYSE: JEF) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201020006152/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ:

Richard Khaleel, +1 212 284 2556, rkhaleel@jefferies.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ฝ่ายการธนาคารพาณิชย์ของ Goldman Sachs จับมือกับทีมบริหารโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลชั้นนำและลงทุนเงินถึง 500 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างแพลตฟอร์มศูนย์ประมวลผลข้อมูลระดับโลก

Logo

นิวยอร์ก–(บิสิเนสไวร์)–20 ต.ค. 2563

Goldman Sachs Merchant Banking Division (“GS MBD”) ประกาศในวันนี้ว่าได้ร่วมมือกับทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์นำโดย Scott Peterson ผู้มีประสบการณ์ยาวนานในการบริหารอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลเพื่อก่อตั้ง Global Compute Infrastructure LP (“Global Compute” หรือ “บริษัท ”) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลระดับโลกที่ได้ก่อตั้งขึ้นใหม่

ในช่วงแรก GS MBD ได้ลงทุนสูงถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่มาจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน West Street Infrastructure Partners III, LP (“WSIP III”) เพื่อให้สามารถลงทุนระยะสั้นได้ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ทั่วอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชียแปซิฟิก และละตินอเมริกา  Global Compute มุ่งมั่นที่จะเติบโตผ่านการรวมกันของการเข้าซื้อกิจการและการพัฒนาตามปกติเพื่อให้บริการลูกค้าในพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่มีแนวโน้มและมีศักยภาพต่อการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล  การใช้ประโยชน์จากประสบการณ์และผลงานของทีมผู้บริหาร Global Compute จะมุ่งเน้นไปที่การจัดหาและพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผล การจัดเก็บ การเชื่อมต่อ และการปรับใช้โคโลเคชั่นที่เพิ่มขึ้นของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ต่างๆ ในโลก

ทีมผู้บริหาร Global Compute นำโดยซีอีโอ Scott Peterson อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนและผู้ร่วมก่อตั้ง Digital Realty (“DLR”) ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลมากกว่า 18 ปีและกว่า 30 ปีในเวทีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์  ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งที่ DLR ตั้งแต่ปี 2547 ถึงปี 2561 คุณ Scott เป็นผู้นำกิจกรรมการลงทุนทั้งหมดและรับผิดชอบปริมาณการซื้อขายรวม 17 พันล้านดอลลาร์ทั้งในการควบรวมกิจการและการพัฒนาตามปกติ คุณ Scott จะได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารจำนวนมากในวงการศูนย์ข้อมูล ได้แก่ Christopher Kenney ผู้ร่วมก่อตั้ง DLR ในฐานะซีโอโอ และอดีตผู้บริหารอาวุโส DLR ใน EMEA Stephen Taylor ในฐานะหัวหน้าฝ่ายยุโรป  คุณ Chris เป็นผู้รับผิดชอบส่วนใหญ่ในการขยาย DLR ในระดับสากลและ Stephen เป็นผู้นำโครงการริเริ่มเหล่านั้นมากมายทั่วทั้ง EMEA  ทีม Global Compute มีประสบการณ์เฉพาะทาง ความสัมพันธ์เชิงลึกกับลูกค้า และความสามารถในการส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลที่ดีที่สุดในระดับโลก  เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2563 Global Compute ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อซื้อกิจการ ATM S.A. (“ATM”) ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลและธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารชั้นนำในโปแลนด์จากกลุ่มกองทุนที่บริหารจัดการโดย MCI Capital ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นนำที่เน้นหุ้นนอกตลาดใน CEE และ Mezzanine Management ซึ่งเป็นกองทุนชั้นลอยชั้นนำในภูมิภาค  โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงวอร์ซอ ศูนย์ข้อมูลระดับโลกของ ATM  เครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสาร ฐานลูกค้า และชื่อเสียงที่แข็งแกร่งในตลาดทำให้ Global Compute เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจในตลาดศูนย์ข้อมูลในยุโรปกลางและยุโรปที่เติบโตอย่างรวดเร็ว  Global Compute มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความสำเร็จของ ATM และความเป็นผู้นำทางการตลาดด้วยการวางตำแหน่งบริษัทเพื่อให้บริการตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบันในโปแลนด์และภูมิภาค CEE ที่กว้างขึ้น

“Goldman Sachs เป็นพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบสำหรับเราในขณะที่เรามองหาโอกาสการลงทุนระดับโลกในด้านโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล” Scott Peterson ซีอีโอของ Global Compute กล่าว “ประสบการณ์และเครือข่ายระดับโลกที่รวมกันของเรา พร้อมกับการเข้าถึงเงินทุนที่เติบโตอย่างกว้างขวางของ GS MBD จะช่วยให้แพลตฟอร์ม Global Compute ไม่เพียง แต่ตอบสนองความต้องการที่สำคัญของลูกค้าทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังสร้างและปลดล็อคคุณค่าให้กับคู่ค้าของเราด้วย  การลงทุนครั้งแรกของเราใน ATM S.A. เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับความร่วมมือนี้  เรามีความกระตือรือร้นอย่างมากเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรกับ Goldman Sachs ซึ่งทำให้เราสามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์สำหรับลูกค้าทั่วโลก

“เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้ร่วมมือกับ Scott และทีม Global Compute” Leonard Seevers กรรมการผู้จัดการของ Goldman Sachs กล่าว “เราเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในพื้นที่ศูนย์ข้อมูลที่ขับเคลื่อนโดยความต้องการด้านคอมพิวเตอร์และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและเราเชื่อว่าทีม Global Compute ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทรัพยากรทั่วโลกของ Goldman Sachs อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นในการนำเสนอโซลูชันระดับโลกเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว”

GS MBD ได้รับคำปรึกษาจาก Davis Polk & Wardwell LLP  ทีมผู้บริหาร Global Compute ได้รับคำปรึกษาจาก PJT Park Hill และ Mayer Brown ในขณะที่ Global Compute ได้รับคำปรึกษาจาก Torch Partners และ White & Case LLP ในส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการ ATM SA

เกี่ยวกับ Goldman Sachs Merchant Banking Division

โดยก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2412 The Goldman Sachs Group, Inc. เป็นบริษัทวาณิชธนกิจ หลักทรัพย์ และการจัดการการลงทุนชั้นนำระดับโลก  Goldman Sachs Merchant Banking Division (MBD) เป็นศูนย์กลางหลักสำหรับกิจกรรมการลงทุนหลักในระยะยาวของ บริษัท  MBD เป็นหนึ่งในนักลงทุนนอกตลาดชั้นนำของโลกที่มีการลงทุนนอกตลาด โครงสร้างพื้นฐาน หนี้ส่วนบุคคล การเติบโต และอสังหาริมทรัพย์

เกี่ยวกับ Global Compute

Global Compute เป็นหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล  นำโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมระหว่างประเทศรวมกันมากกว่า 50 ปี  บริษัทตั้งใจที่จะซื้อ พัฒนา และดำเนินการสินทรัพย์ศูนย์ข้อมูลทั่วอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชียแปซิฟิก และละตินอเมริกา  เรามุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่เป็นพันธมิตรกับบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกและลูกค้าของพวกเขาด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และสร้างสรรค์สำหรับความสามารถในการประมวลผลและความต้องการในการเชื่อมต่อในตลาดที่มีการเติบโตสูงและเป็นที่ยอมรับ  Global Compute ได้รับการสนับสนุนโดย Goldman Sachs Merchant Banking Division

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201020005407/en/

ติดต่อ:

Goldman Sachs
Leslie Shribman
+1 212 902 5400

leslie.shribman@gs.com

Global Compute
Christopher J Kenney
+1 213 810-8732
ckenney@gc-infra.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

MetLife ประกาศการเปลี่ยนแปลงผู้นำระดับสูง

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–15 ต.ค. 2563

MetLife, Inc. (NYSE: MET) ได้ประกาศในวันนี้ถึงการเปลี่ยนแปลงหลายประการในทีมผู้นำระดับสูง การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น

Oscar Schmidt รองประธานบริหารและประธานประจำภูมิภาคละตินอเมริกา จะเกษียณอายุหลังจากทำงานร่วมกับบริษัท มา 26 ปี เขาจะก้าวออกจากตำแหน่งผู้บริหารในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และจะอยู่ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2564 เพื่อช่วยในการเรื่องการส่งต่อตำแหน่งผู้นำ

“ในช่วงสองทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา Oscar ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาธุรกิจละตินอเมริกาของเรา โดยการสร้างผลงานธุรกิจที่หลากหลายทั่วทั้งภูมิภาค” Michel Khalaf ประธานและซีอีโอของ MetLife กล่าว “ ภายใต้การนำที่แข็งแกร่งของเขา เราได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการต่าง ๆ หลายครั้ง”

เมื่อได้รับการอนุมัติทุกครบแล้ว Eric Clurfain จะมารับหน้าที่ต่อจาก Schmidt ในฐานะประธานประจำภูมิภาคละตินอเมริกาในตำแหน่ง รองประธานบริหารและประธานกรรมการประธานและซีอีโอของ MetLife Japan K.K. โดยเขา เขาจะรายงานตรงต่อ Khalaf

“ด้วยประสบการณ์ด้านการประกันภัยมากว่าสองทศวรรษ Eric มีผลงานที่พิสูจน์แล้วในด้านการสร้างทีมงานและธุรกิจที่มีประสิทธิภาพสูง “ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขามุ่งเน้นไปที่การดำเนินธุรกิจและการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในญี่ปุ่นและสร้างผลลัพธ์ที่สนับสนุนกลยุทธ์ Next Horizon ภายใต้การนำของเขาผมมั่นใจว่า LatAm จะยังคงเป็นกลไกในการเติบโตของ MetLife ต่อไป”

เส้นทางอาชีพของ Clurfain ครอบคลุมหลายภูมิภาคและหลากความรับผิดชอบในการเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ ก่อนหน้าที่จะมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน Clurfain ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภูมิภาคของ EMEA ซึ่งดูแลตลาด 25 แห่งในภูมิภาค ก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าภูมิภาคของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกหลังจากดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของ MetLife ในตุรกี และก่อนหน้านั้นในอาชีพของเขากับ AIG / Alico Clurfain อาศัยและทำงานในละตินอเมริกา

เมื่อผ่านการอนุมัติแล้ว ผู้ที่จะเข้ามาแทน Clurfain ในตำแหน่งรองประธานบริหารและประธานกรรมการประธานและซีอีโอของ MetLife Japan K.K. ได้แก่ Dirk Ostijn หัวหน้า EMEA โดย Ostijn จะรายงานต่อ Kishore Ponnavolu รองประธานบริหารประจำภูมิภาคเอเชีย

“Dirk ประสบความสำเร็จในการนำภูมิภาค EMEA ของเราผ่านสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ท้าทาย” Khalaf กล่าว “ภายใต้การนำของเขา ทีม EMEA ได้สร้างโมเมนตัมที่แข็งแกร่งด้วยโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่มุ่งเน้นด้านประสิทธิภาพอย่างไม่หยุดยั้งและรูปแบบที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมมากกว่า 25 ตลาด ผมรู้ว่าความเป็นผู้นำที่เป็นต้นแบบ ความเชี่ยวชาญด้านการประกันภัยที่ลึกซึ้งและความหลงใหลในลูกค้าของเขา จะได้รับการต้อนรับและชื่นชมจากทีมงานของเราในญี่ปุ่น”

ด้วยประสบการณ์มากกว่า 30 ปีอาชีพของ Ostijn ซึ่งครอบคลุมทุกด้านของอุตสาหกรรมประกันชีวิต ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์การเงิน การดำเนินงานการบริการลูกค้าและเทคโนโลยี นอกจากนี้เขายังใช้เวลามากกว่าทศวรรษในการบริหารการดำเนินงานนายหน้าประกันภัยจากการดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปในเบลเยียม และมีบทบาทในระดับภูมิภาค เช่น หัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงินและหัวหน้าฝ่ายริเริ่มเชิงกลยุทธ์

ผู้ที่จะมารับตำแหน่งต่อจาก Ostijn ในตำแหน่งหัวหน้า EMEA คือ Nuria Garcia รองประธานอาวุโสและรองหัวหน้า EMEA โดยเธอเธอจะรายงานต่อ  Khalaf

“Nuria ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจและการเป็นหุ้นส่วนตลอดจนความใส่ใจในลูกค้า” Khalaf กล่าว “เธอเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผลสูง ผู้ที่สามารถเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในและภายนอกเพื่อทำงานร่วมกันในธุรกิจ ฟังก์ชั่นต่าง ๆ และการตลาด ความเป็นผู้นำของเธอมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของภูมิภาคนี้และผมมีความมั่นใจทุกครั้งว่าเธอจะยังคงสร้างผลงานที่ดีต่อไปในอนาคต”

Garcia มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีใน EMEA ซึ่งครอบคลุมทั้งการจัดจำหน่ายการตลาด การปฏิบัติการ และการเงิน ทั้งกับ MetLife และ GE

“เมื่อนำมารวมกัน แล้วการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาคนและการวางแผนสืบทอดตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านผู้นำในระดับลึกของเราที่พร้อมจะทำงานทันทีและส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าและผู้ถือหุ้นของเรา” Khalaf กล่าว

เกี่ยวกับ MetLife

MetLife, Inc. (NYSE: MET) ผ่านบริษัทย่อยและบริษัทในเครือ ("MetLife") เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำของโลกที่ให้บริการประกันภัย เงินรายปี ผลประโยชน์ของพนักงาน และการจัดการสินทรัพย์เพื่อช่วยให้ลูกค้าบุคคลและสถาบันสามารถไปต่อได้โลกที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ MetLife ก่อตั้งขึ้นในปี  พ.ศ. 2411 มีการดำเนินงานในกว่า 40 ตลาดทั่วโลกและดำรงตำแหน่งผู้นำในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ละตินอเมริกา เอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.metlife.com.

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าในการเปิดเผยนี้ใช้คำตัวอย่างเช่น "พินัยกรรม" ตั้งอยู่บนสมมติฐานและความคาดหวังที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนรวมถึง "ปัจจัยเสี่ยง" ที่ MetLife, Inc. อธิบายไว้ในเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ผลลัพธ์ในอนาคตของ MetLife อาจแตกต่างออกไป และ MetLife  ไม่มีหน้าที่ในการแก้ไขหรือปรับปรุงข้อความเหล่านี้

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201015005425/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ: Randy Clerihue, 646-552-0533

ติดต่อสำหรับนกลงทุน: John Hall, 212-578-7888

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ไตรคอร์กรุ๊ปแต่งตั้งคุณดีแลนด์ หม่า (Dyland Mah) ให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ เพื่อขยายธุรกิจในประเทศไทย

Logo

ฮ่องกงและประเทศไทย–(BUSINESS WIRE)–9 ตุลาคม 2020

ไตรคอร์กรุ๊ป (“ไตรคอร์”) ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการขยายการประกอบธุรกิจระดับชั้นนำของเอเชีย ซึ่งให้บริการต่างๆ ทั้งบริการธุรกิจแบบบูรณาการ บริการต่างๆ เกี่ยวกับบริษัท บริการนักลงทุน บริการบริหารทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน บริการทรัสต์สำหรับองค์กร บริการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และบริการให้คำปรึกษาทางด้าน
กลยุทธ์ทางธุรกิจ ได้ประกาศการแต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่ผู้มากด้วยประสบการณ์ คุณดีแลนด์ หม่า (Dyland Mah) ให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการประจำไตรคอร์ประเทศไทย

โดยเขาจะรายงานขึ้นตรงกับประธานกรรมการบริหารกลุ่มไตรคอร์กรุ๊ปคุณเลนนาร์ด ย้ง เป้าหมายสำคัญที่คุณดีแลนด์จะต้องมุ่งเน้นคือ จะพัฒนาและนำสิ่งใหม่ ๆ มาใช้กับธุรกิจของไตรคอร์ประเทศไทย รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำของตลาดในประเทศไทย โดยคุณดีแลนด์จะเข้ามารับผิดชอบในการขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร ขยายฐานลูกค้า และผลักดันการเปลี่ยนแปลงโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ

คุณดีแลนด์มีประสบการณ์ด้านการค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่สะสมมาจากการดำรงตำแหน่งต่างๆ ในระดับผู้บริหารภูมิภาคอาวุโส อาทิ กรรมการบริหารด้านการขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัทข้ามชาตชั้นนำ เป็นผู้อำนวยการด้านการเงินและเลขานุการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงที่มีรายได้ต่อปีมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตำแหน่งต่าง ๆ ที่คูเปอร์ส แอนด์ ไลแบรนด์ (ก่อนควบรวมเป็นพีดับบลิวซี) ซึ่งได้ให้คำปรึกษากับลูกค้าข้ามชาติจากหลากหลายอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้คุณดีแลนด์ยังผ่านการอบรมวิชาชีพบัญชี (professionally-trained chartered certified accountant) และได้รับคุณวุฒิวิชาชีพต่างๆ รวมถึงเป็นสมาชิกของสมาคมนักบัญชีของประเทศอังกฤษ (Fellow of the Association of Chartered Certified Accountants)

คุณเลนนาร์ด ย้ง ประธานกรรมการบริหารกลุ่มไตรคอร์กรุ๊ป กล่าวว่า “นี่ถือเป็นเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับไตรคอร์ ที่เรายังทำการขยายและทำให้องค์กรของเราเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงอย่างมากเพิ่มขึ้นไปอีกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผ่านการควบรวมกิจการ การร่วมมือทางธุรกิจ และการเติบโตจากภายในองค์กรเอง ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญของเรา ที่เราจะได้นำเสนอโอกาสสำคัญให้แก่ลูกค้าของเราเพื่อขยายธุรกิจและการลงทุนในตลาดซึ่งเติบโตเร็วและมีความเป็นพลวัต”

“เราต้องขอขอบคุณ คุณสมจินต์ พลพรประเสริฐ นับเป็นเวลามากกว่า 15 ปี  สำหรับการอุทิศตนเองทำงานหนักของคุณสมจินต์ ด้วยความเป็นมืออาชีพพร้อมทั้งความซื่อสัตย์ต่อองค์กรและลูกค้าเพื่อธำรงชื่อเสียงขององค์กรตลอดมา เราขอให้คุณประสบแต่สิ่งดี ๆ ในช่วงเวลาต่อจากนี้ พวกเราและน้อง ๆ พนักงานที่ไตรคอร์ ประเทศไทยจะต้องคิดถึงคุณอย่างมากแน่นอน” “ในช่วงเวลาต่อจากนี้ คุณดีแลนด์ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการตลาดและมีผลงานเป็นที่พิสูจน์มาแล้ว จะมาเป็นกำลังสำคัญในการช่วยให้ไตรคอร์ดำเนินการขยายฐานลูกค้าและการบริการในประเทศไทยต่อไป ผมรอคอยที่จะร่วมงานกับเขาและทีมงานบริหารคนอื่น ๆ เพื่อผลักดันกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจในเอเชียแฟซิฟิก เพิ่มตลาดใหม่ ๆ และคว้าโอกาสในการดูแลลูกค้าให้มากขึ้น”

คุณดีแลนด์ หม่า กล่าวว่า “จากภาวะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปี 2562 ที่เพิ่มสูงขึ้น 5% อันเป็นจำนวนที่ถูกบันทึกไว้เป็นสถิติที่จำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นหกพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาเซียนจึงถือเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนธุรกิจของโลก และความสำคัญของประเทศไทยในฐานะที่เป็นตลาดสำหรับการขยายธุรกิจและการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับไตรคอร์ และพร้อมที่จะได้ทำงานกับทีมงานคุณภาพเพื่อที่จะเพิ่มพูนมูลค่าและศักยภาพสำหรับให้บริการลูกค้าของเรา”

ขอบคุณ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ

HONG KONG SAR (GROUP OFFICE)

Sunshine Farzan

Tricor Services Limited

Group Head of Marketing & Communications

Tel: +852 2980 1261

Email: Sunshine.Farzan@hk.tricorglobal.com

เกี่ยวกับไตรคอร์กรุ๊ป

ไตรคอร์กรุ๊ป (“ไตรคอร์”) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการประกอบธุรกิจระดับชั้นนำของเอเชีย ซึ่งมีองค์ความรู้ระดับโลก และมีสำนักงานให้บริการธุรกิจทางด้านต่าง ๆ เช่น กฏหมายบริษัท บริการนักลงทุน บริการทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน บริการทรัสต์สำหรับองค์กร บริการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และบริการให้คำปรึกษาทางด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยไตรคอร์พร้อมสนับสนุนตั้งแต่ขั้นตอนการวางฐานรากของธุรกิจ และส่งเสริมการขยายตัวของธุรกิจในทุกช่วง ซึ่งเริ่มตั้งแต่การจัดตั้งบริษัทไปจนถึงการนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ไตรคอร์ได้พัฒนาการเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากการเติบโตภายในองค์กร และจากการร่วมมือทางธุรกิจ ตลอดจนการควบและรวมกิจการ ปัจจุบัน ไตรคอร์กรุ๊ปมีลูกค้าในความดูแลมากกว่า 50,000 รายทั่วโลก (ซึ่งรวมถึงลูกค้าที่จีนแผ่นดินใหญ่ จำนวน 20,000 ราย) และมีพนักงานมากกว่า 2,700 คน จากเคริอข่ายสำนักงานใน 47 เมืองจาก 21 ประเทศ / เขตการปกครอง โดยจำนวนลูกค้าดังกล่าว เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกงและที่จีนแผ่นดินใหญ่มากกว่า 1,500 บริษัท เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่สิงคโปร์และมาเลเซียโดยประมาณ 500 บริษัท และมากกว่า 40 % เป็นบริษัทที่อยู่ในรายชื่อบริษัทชั้นนำ 500 แห่งทั่วโลกจากการรวบรวมและจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune รวมทั้งบริษัทข้ามชาติ และบริษัทจำกัดอื่น ๆ ที่ประกอบธุรกิจในหลากหลายประเทศ โดยไตรคอร์กรุ๊ปอยู่ภายใต้การบริหารและการถือหุ้นของกองทุนเพอร์มีรา (Permira Fund) นับตั้งแต่ มีนาคม 2560

โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา: www.tricorglobal.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

วิธีการสร้างรายได้จากการเทรดฟอเร็กซ์ในช่วงวิกฤต

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS ON BEHALF OF FXCLEARING)–7 ตุลาคม 2563

ถ้าเป้าหมายของคุณคือการหารายได้เพิ่มเติมในช่วงสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ การเทรดฟอเร็กซ์ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากโดยส่วนใหญ่การลงทุนจะได้กำไรเมื่อตลาดอยู่ในขาขึ้นเท่านั้น แต่ว่าการเทรดฟอเร็กซ์ คุณสามารถทำกำไรได้แม้ในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

ถ้าเป้าหมายของคุณคือการหารายได้เพิ่มเติมในช่วงสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ การเทรดฟอเร็กซ์ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากโดยส่วนใหญ่การลงทุนจะได้กำไรเมื่อตลาดอยู่ในขาขึ้นเท่านั้น แต่ว่าการเทรดฟอเร็กซ์ คุณสามารถทำกำไรได้แม้ในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

เริ่มลงทุนอย่างไร

ข้อแรกคืออย่าลงทุนด้วยจำนวนเงินที่คุณไม่สามารถสูญเสียไปได้ และก่อนอื่นคุณต้องมีการจัดการเงินที่ดีก่อนในช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำนี้ ซึ่งความรู้ทางด้านการเงินสามารถช่วยคุณได้ ให้คุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงิน ความรู้นี้จะช่วยให้คุณจัดการเงินได้ดีขึ้น รวมถึงรู้วิธีลดค่าใช้จ่ายและวิธีการหาช่องทางหารายได้เพิ่มเติม

คุณไม่จำเป็นต้องเก็บเงินนานก่อนที่จะลงทุน ข้อดีของการเทรดฟอเร็กซ์ก็คือคุณสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยได้ คุณสามารถเริ่มทำรายได้ในตลาดจากเงินเพียงแค่ $100 และเมื่อคุณมีรายได้เพิ่มเติมจากงานอื่น คุณก็สามารถฝากเงินลงทุนเพิ่มได้ ด้วยวิธีนี้จำนวนกำไรจากการเทรดของคุณก็จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้

คุณไม่สามารถเข้าไปเทรดในตลาดด้วยตัวเองได้หากไม่มีโบรกเกอร์ เนื่องจากคุณจะต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล โบรกเกอร์จะเป็นบริษัทให้บริการเทรดที่จะให้คุณสามารถใช้เลเวอเรจเพื่อให้คุณลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยเทียบเท่ากับลงทุนด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าสิบเท่าหรือร้อยเท่าได้

การเลือกโบรกเกอร์เป็นขั้นตอนที่สำคัญ โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ ให้คุณพิจารณาจากหัวข้อเหล่านี้:

  1. เงื่อนไขการเทรด – สเปรดและเลเวอเรจ
  2. การฝากถอนเงิน – ช่องทางการฝากถอนเงินและจำนวนเงินฝากขั้นต่ำ
  3. โปร่งใส – ไม่ปกปิดเงื่อนไขใด ๆ
  4. ไม่มีค่าคอมมิชชัน หรือมีค่าคอมมิชชันต่ำ
  5. ความเสี่ยงต่ำ – รองรับบัญชีหน่วยเซนต์ และสามารถเปิดออเดอร์ปริมาณน้อย ๆ ได้

เริ่มต้นศึกษา

อย่าเพิ่งเริ่มลงทุนโดยไม่มีความรู้และการฝึกฝนเทรดก่อน สำหรับขั้นตอนแรก ให้คุณศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับฟอเร็กซ์ก่อนดังนี้:

  • อ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคและจิตวิทยาการเทรด
  • เรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางการเทรดรวมถึงกลยุทธ์การเทรด ให้คุณเลือกวิธีการเทรดที่เหมาะสมกับคุณ
  • เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยง และให้ทำแผนการเทรดขึ้นมา

เมื่อคุณมีความรู้เบื้องต้นแล้ว ให้คุณเริ่มทดลองเทรดที่บัญชีเดโม และเมื่อคุณมีประสบการณ์มากพอและมีความมั่นใจ ให้คุณเริ่มต้นเทรดที่บัญชีจริงได้

แน่นอนว่าขั้นตอนทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลา อาจจะใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ยิ่งคุณมีความรู้และประสบการณ์มากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งสามารถทำกำไรได้มากขึ้นในภายหลังแม้กระทั่งในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ การลงทุนเป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพมากในการให้คุณรวมถึงคนที่คุณรักมีอิสรภาพทางการเงิน

www.fxclearing.com

—————————————-

ข้อความปฎิเสธความรับผิดชอบ

Thai Business News ไม่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการเงินและไม่แนะนำหรือต่อต้านการซื้อขายสกุลเงินหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ และไม่ได้แนะนำโบรกเกอร์ใดๆ โดยเฉพาะการซื้อขายตราสารดังกล่าวขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ในกรณีของการสูญเสียตราสารที่มีเลเวอเรจอาจเกินมูลค่าของเงินลงทุนเดิม

การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบนมาร์จิ้นนั้นมีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนในบางราย ผลการดำเนินการในอดีตไม่ได้บ่งบอกถึงผลลัพธ์ในอนาคต  โดยระดับของ leverage อาจทำอันตรายกับสถานะทางการเงินของท่าน ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินนั้น ท่านควรพิจารณาจุดมุ่งหมายการลงทุนของท่าน, ระดับของประสบการณ์และการยอมรับความเสี่ยง โดยมีความเป็นไปได้ที่ท่านจะสูญเสียเงินทุนเริ่มต้นเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด ดังนั้นท่านจึงไม่ควรนำเงินส่วนที่ท่านคิดว่าไม่สามารถจะสูญเสียได้มาลงทุน ท่านควรจะคำนึงถึงทุกความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระดับการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินและหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินหากท่านมีข้อสงสัยใดๆ

Lightspeed Venture Partners ขยายไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ก่อตั้งไฟแรงเพื่อสร้างนวัตกรรมบุกเบิก

Logo

สรุปหัวข้อข่าว:

  • Lightspeed ได้ลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Grab, Chilibeli, Ula, Shipper และ NextBillion โดยมีแผนการเร่งด่วนต่อไป
  • Lightspeed จะลงทุนทั่วทั้งภูมิภาคโดยใช้ทุน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ได้ระดมเมื่อเร็วๆ นี้จากกองทุนทั่วโลก โดยสิงคโปร์และอินโดนีเซียเป็นประเทศที่สำคัญ
  • Lightspeed ได้จัดตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคในสิงคโปร์ นำโดยทีมงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประสบการณ์ที่แข็งแกร่งด้านการลงทุนและการดำเนินงานในระดับภูมิภาค

สิงคโปร์0–(บิสิเนสไวร์)–17 ก.ย. 2563

Lightspeed Venture Partners (“ Lightspeed”) ประกาศการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ Lightspeed จะเป็นพันธมิตรและสนับสนุนผู้ประกอบการไฟแรงในภูมิภาคกำลังสร้างบริษัทบุกเบิก  Lightspeed จะลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยใช้เงินจากกองทุนทั่วโลกซึ่งก่อนหน้านี้ได้ประกาศว่าระดมได้รวม 4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200916005103/en/

Lightspeed Southeast Asia Team (pictured left to right): Akshay Bhushan, Marsha Sugana, Pinn Lawjindakul, and Bejul Somaia.(Graphic: Business Wire)

ทีม Lightspeed Southeast Asia (ภาพจากซ้ายไปขวา): Akshay Bhushan, Marsha Sugana, Pinn Lawjindakul และ Bejul Somaia (กราฟฟิค : บิสิเนสไวร์)

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจที่เพราะโรคโควิด 19 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่รวดเร็วในอุตสาหกรรมและประเภทต่างๆ แรงหนุนเหล่านี้ทำให้ผู้ก่อตั้งที่แข็งแกร่งสามารถสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ  Lightspeed มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ก่อตั้งทั่วทั้งภูมิภาคที่กำลังสร้างอนาคตใหม่จากการหยุดชะงักครั้งนี้โดยการใช้เทคโนโลยี

ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา Lightspeed ได้สนับสนุนผู้ก่อตั้งนักบุบเบิกตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงช่วงเติบโต กว่า 70% ของการลงทุนเป็นบริษัทในระยะเริ่มต้น โดยมักจะเป็นหุ้นส่วนทุนสถาบันรายแรก  ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Lightspeed มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับการลงทุนตั้งแต่ระยะแรกๆ โดยช่วยตอบโจทย์ที่เป็นเอกลักษณ์ในเอเชียในภาคส่วนต่าง เช่นการค้า ฟินเทค edtech และ SaaS และอื่นๆ อีกมากมาย

“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและระบบนิเวศของสตาร์ทอัพที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเกิดจากความสามารถพิเศษของผู้ประกอบการในภูมิภาคนี้  เราเชื่อว่าระบบนิเวศสตาร์ทอัพจะยังคงขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญและรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการในช่วงที่พวกเขาสร้างและขยายขนาดบริษัท” Akshay Bhushan หุ้นส่วนของ Lightspeed Venture Partners กล่าว

Lightspeed ได้ลงทุนไปแล้วในซุปเปอร์แอพพลิเคชั่นแห่งภูมิภาค Grab  แพลตฟอร์มพาณิชย์สังคม Chilibeli แอพตลาด B2B Ula ผู้ให้บริการองค์กรซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ NextBillion.ai เช่นเดียวกับบริษัทจัดส่งสินค้า Shipper  นอกจากนี้บริษัทในพอร์ตโฟลิโอของ Lightspeed หลายแห่งกำลังขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในสิงคโปร์ ได้แก่ Snap, OYO Rooms, Yellow Messenger และ Darwinbox เป็นต้น  นอกจากนี้กิจการหลายแห่งกำลังสร้างธุรกิจที่มีความสามารถด้านวิศวกรรมจากอินเดียและพื้นที่อื่นๆ

“ภารกิจของเราที่ Lightspeed ยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าเราจะขยายตัวจากซิลิคอนวัลเลย์ไปยังอิสราเอล จีน อินเดีย ยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่กล้าหาญซึ่งกำลังสร้างบริษัทในอนาคตในวันนี้” Ravi Mhatre ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ Lightspeed Venture Partners กล่าว “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในระบบนิเวศนวัตกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยและเราหวังว่าจะสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยาวนานกับผู้ก่อตั้งและชุมชนเทคโนโลยีที่กว้างขึ้น”

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา Lightspeed ได้ช่วยให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ เติบโตกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ได้แก่ Snap (สหรัฐฯ), Nutanix (สหรัฐฯ), Pinduoduo (จีน), Man Bang group (จีน), Grab (เอเชีย), ห้อง OYO (อินเดีย), Udaan (อินเดีย) และ Byju's (อินเดีย).  Lightspeed มีส่วนร่วมอย่างอย่างลึกซึ้งกับการลงทุนเพื่อให้ผู้ก่อตั้งประสบความสำเร็จโดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายทั่วโลกการแนะนำลูกค้า ความสามารถและการสนับสนุนด้านการตลาด และเงินทุนในการเติบโต

“ด้วยประชากรจำนวนมากที่เข้าใจเทคโนโลยีและอายุที่น้อย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากในโอกาสที่นี่และความสามารถที่ผู้ก่อตั้งในภูมิภาคนี้ได้แสดงให้เห็น” Bejul Somaia หุ้นส่วนหุ้นส่วนของ Lightspeed Venture กล่าว “การดำเนินงานในระดับโลกของเรา เมื่อรวมกับความเชี่ยวชาญของทีมงานในพื้นที่แล้ว จะช่วยให้ผู้ก่อตั้งภูมิภาคสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสระดับโลกได้ดีขึ้นและเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับพวกเขา”

Lightspeed จะนำพากิจกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากสำนักงานประจำภูมิภาคในสิงคโปร์  ทีมงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยผู้มีความสามารถจากทั่วภูมิภาค พร้อมด้วยประสบการณ์ การดำเนินงาน และการลงทุนที่หลากหลายในยูนิคอร์นระดับภูมิภาคและบริษัทข้ามชาติ  ทีมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย:

  • Akshay Bhushan หุ้นส่วน ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา Akshay เป็นผู้นำการลงทุนร่วมกับ Lightspeed  ก่อนหน้านี้เขาเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งทีมพัฒนาองค์กรของ Flipkart ซึ่งเป็นผู้นำการลงทุนเชิงกลยุทธ์และการเข้าซื้อกิจการของสตาร์ทอัพ  ก่อนหน้าการทำงานที่ Flipkart, Akshay เคยเป็นที่ปรึกษาของ Bain & Company ซึ่งเขาได้ก่อตั้ง บริษัท Atlanta Private Equity Practice ซึ่งเป็นองค์กรลงทุนระยะแรกในอินเดียและผู้ร่วมก่อตั้ง Whalelogix แพลตฟอร์มการมีส่วนร่วมของนักช้อป
     
  • Bejul Somaia หุ้นส่วน Bejul เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ปี 2542 ได้เข้าร่วมงานกับ Lightspeed ในปี 2551 และมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งบริษัท Lightspeed India  เขามีส่วนช่วยในการสร้างบริษัทที่กำหนดตลาดเช่น OYO Rooms และ Udaan ในอินเดีย
     
  • Pinn Lawjindakul รองประธาน Pinn ได้ทำงานร่วมกับผู้ก่อตั้งในจีนและอินเดีย  นอกเหนือจากการทำงานร่วมกับ Grab ในช่วงแรกๆ ของซุปเปอร์แอพพลิเคชั่นนี้แล้ว เธอยังเคยทำงานกับ Tiger Global Management ในสิงคโปร์ซึ่งทำงานในบริษัทพอร์ตโฟลิโอในด้านต่างๆ เช่น fintech ไรด์แชร์ การสื่อสารและอีคอมเมิร์ซ  นอกจากนี้เธอยังทำงานกับ Bain & Company ซึ่งเธอให้คำแนะนำแก่ลูกค้าหุ้นเอกชนในช่วงแรกของการเริ่มต้นธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
     
  • Marsha Sugana รองหุ้นส่วนอาวุโสด้านการลงทุน Marsha เคยดำรงตำแหน่ง Private equity ร่วมกับ L Catterton และ Goldman Sachs ในอดีตและมีประสบการณ์ครอบคลุมบริษั ผู้บริโภคและบริษัทค้าปลีกมหาชนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เธอยังทำงานร่วมกับแผนกที่ปรึกษาตลาดการเงินของ BlackRock ในนครนิวยอร์กในฐานะนักวิเคราะห์

ด้วยการขยายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ Lightspeed ยังคงมุ่งมั่นในพันธกิจมากกว่าที่เคย ซึ่งก็คือการเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการไฟแรงในการสร้าง บริษัทที่ยอดเยี่ยมในอนาคต

เกี่ยวกับ Lightspeed Venture Partners

Lightspeed Venture Partners เป็นบริษัทร่วมทุนหลายขั้นตอนที่มุ่งเน้นการเร่งสร้างนวัตกรรมและแนวโน้มที่บุกเบิกในภาคธุรกิจและผู้บริโภค  ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทีมงาน Lightspeed ได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการหลายร้อยรายและช่วยสร้างบริษัทมากกว่า 400 แห่งทั่วโลกรวมถึง Snap, Nest, Nutanix, AppDynamics, MuleSoft, OYO, Guardant, StitchFix และ GrubHub  ปัจจุบัน Lightspeed และบริษัทในเครือบริหารจัดการแพลตฟอร์ม Lightspeed ทั่วโลกมูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและที่ปรึกษาในซิลิคอนวัลเลย์ อิสราเอล อินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป www.lsvp.com

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม: www.lsvp.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200916005103/en/

สำหรับสื่อมวลชนกรุณาติดต่อ:
Pranav Rastogi – REDHILL ​​ในนามของ Lightspeed Venture Partners
pranav@redhill.asia l +6587487919